หนีเสือปะจระเข้...

คีตากะ

%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%












     “กรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว! กรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว! พระยาตากรวบรวมไพร่พลอยู่ที่เชิงเขา ขอให้ชาวบ้านรวบรวมเสบียงและอาวุธไปช่วยกันกอบกู้เอกราชกลับคืนมาโดยไว !”

เสียงร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับเสียงของวัตถุอะไรบางอย่างกระทบกันเป็นจังหวะดังมาไม่ขาดสาย เหลียวมองไปก็พบว่าต้นเสียงมาจากชายวิกลจริตคนหนึ่งผมเผ้ายุ่งเหยิง ผิวกายเปรอะเปื้อนด้วยคราบดินสีดำสนิท คล้ายไม่ได้รับการชำระล้างร่างกายมานานแรมปี เสื้อผ้าเก่าขาดจนไม่สามารถจำแนกสีพื้นดั้งเดิมได้ ในมือถือกะลาสองใบตีกระทบกันเป็นจังหวะ ปากก็ร้องเสียงดังอยู่ตลอดเวลา เขาเดินอยู่บนถนนสายเล็กๆ ที่ตัดผ่านเข้าสู่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตรงบริเวณชานเมืองอันเป็นเขตรอยต่อกับเมืองหลวง....

ยามเช้าเช่นนี้ในฤดูฝนอากาศเย็นสบาย ในอากาศยังคงหลงเหลือละอองไอของน้ำลอยปลิวว่อนไปทั่วอาณาบริเวณ เวลาสูดหายใจเข้าไปทำให้ยิ่งรู้สึกชุ่มชื่นปอด ฝนตกตั้งแต่เช้ามืดและเพิ่งจะหยุดไปไม่นาน แสงแดดเริ่มแผดเผามวลน้ำให้ระเหยจางไปจนเบาบางและล่องหนหายไป แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสร้างความคึกคักทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ทำให้ชีวิตมีความหวังมากยิ่งขึ้น...

บนถนนเข้าสู่หมู่บ้านเจิ่งนองไปด้วยน้ำ รถขายอาหารเคลื่อนที่ ๒ คันจอดอยู่ริมถนนซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ชายสูงอายุท่าทางคงแก่เรียนคนหนึ่งกำลังเลือกผักและเนื้อใส่ในตะกร้าก่อนจะส่งให้แม่ค้าที่นั่งอยู่ท้ายรถคิดสตางค์ ปากก็กำลังสนทนากับชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งที่มาซื้ออาหารสดเข้าครัวในมื้อเช้าเช่นกัน ข้างๆ ยังมีหญิงชราอีกสองสามคนกำลังเลือกซื้อผักอยู่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อนราวกับว่ามีเรื่องราวใหญ่โตอันใดที่ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะชนก็ปาน ส่วนรถอีกคันที่มีลูกค้าน้อยกว่าซึ่งจอดอยู่ใกล้กันยังคงค่อนข้างเงียบเหงา อาจเป็นเพราะฝนที่ตกตอนเช้ามืดและอากาศเย็นสบายทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงนอนหลับอยู่ โดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ที่ไม่ต้องตื่นแต่ดึกแต่ดื่นเพื่อเตรียมตัวไปทำงานตามวิถีแบบคนเมือง ชายฉกรรจ์คนนั้นเอ่ยขึ้นว่า

“ปีนี้น้ำท่วมหนักกว่าทุกปี ดูข่าวทางทีวีแล้วใจคอไม่ค่อยดีเลยครับ หมู่บ้านเราจะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ!”
ชายสูงอายุทำหน้าเคร่งเครียดก่อนจะออกความเห็นว่า
“กลางเดือนน้ำเหนือจะลงมาถึง ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนขึ้นสูงพอดี แถมยังมีหย่อนความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคกลางซึ่งจะทำให้ฝนตกหนักอีกด้วย ผมว่าปีนี้หมู่บ้านของเราท่าทางจะแย่หนัก”
“หากน้ำท่วมเหมือนภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางที่อยู่เหนือเราตามข่าวอย่างจ.อยุธยา นั่นก็หนักหนาสาหัสเลยทีเดียวนะครับ ถึงแม้ว่าอดีตที่ผ่านมาทุกปีหมู่บ้านเราจะไม่เคยน้ำท่วมก็ตามที”
“อะไรก็เกิดขึ้นได้ เตรียมพร้อมเอาไว้จะดีกว่า”
“ถึงเวลาเดือดร้อนเอาเข้าจริงๆ หน่วยงานไหนก็คงช่วยเหลือเราไม่ทัน ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจริงๆ เลยนะครับ”
“เกิดภัยพิบัติแล้วค่อยมาช่วยก็สายเกินแก้แล้ว แต่ยังดีกว่าไม่มีใครเหลียวแลเลย คุณว่ามั๊ย?”
“ผมว่าปีหน้าคงจะน้ำท่วมโลกตามคำทำนายจริงๆ นะครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พวกคนสูงอายุคงจะหนีไม่ทัน สู้พวกวัยรุ่นไม่ได้ ใช้มอเตอร์ไซด์คงจะหนีตายได้ทัน ตามข่าวผมเห็นรถยนต์ก็ใช้ไม่ได้ แค่น้ำท่วมถนนนิดเดียวก็จอดเรียงกันไปไหนต่อไม่ได้ จมน้ำจมท่า กลับกลายเป็นเศษเหล็กไร้ค่าเท่านั้น!”
“รถมอเตอร์ไซด์ก็เหมือนกันนั่นแหละ อาจโดนน้ำพัดตกข้างถนนไปเลยก็ได้”
“ดูท่าทาง ๒๐๑๒ จะไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นๆ อีกแล้วนะครับ”
“เดี๋ยวปีหน้าก็รู้เองแหละจะรีบร้อนไปทำไม!”

ทางอบต. ให้รถบรรทุกขนทรายมาทิ้งให้ชาวบ้านตรงบริเวณสนามเด็กเล่นที่อยู่ตรงเกาะกลางของหมู่บ้านซึ่งปกติใช้เป็นศูนย์กลางในการกระจายข่าวมาตั้งแต่เริ่มโครงการขายของหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ ชาวบ้านต่างก็รีบกุลีกุจอใช้กระสอบที่ทางอบต.และเทศบาลเอามาแจกช่วยกันกรอกทรายใส่เอาไปเก็บไว้ที่บ้านของตนเพื่อป้องกันในเวลาฉุกเฉิน เผื่อเกิดน้ำท่วมฉับพลันเหมือนหลายพื้นที่ในทีวี รถราของชาวบ้านวิ่งกันขวักไขว่ดูวุ่นวายตลอดทั้งวัน เด็กๆ ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังปิดเทอมก็ช่วยกันกรอกทรายใส่กระสอบอย่างสนุกสนานกันตามประสา คงมีแต่เด็กๆเท่านั้นที่คล้ายไม่เคยทุกข์ร้อนกับเรื่องราวอะไรมากนัก ตามข่าวน้ำท่วมขณะที่พวกผู้ใหญ่ดิ้นรนหนีน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส ยังคงมีแต่เด็กๆ นี่แหละที่ยังคงเล่นสนุกไม่เลิก พวกเขายิ่งเห็นน้ำมาแทนที่จะรีบหนีกลับกระโดดน้ำเล่นกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินจนเสื้อผ้าเปียกปอนกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ยิ่งมีเพื่อนมากเท่าไหร่ การเล่นน้ำยิ่งเพิ่มความสนุกมากยิ่งขึ้นเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องไปเล่นน้ำที่ท่าน้ำที่ไหนอีก เพราะน้ำมาถึงหน้าบ้าน บางบ้านน้ำท่วมถึงหลังคา  สำหรับเด็กๆ ในช่วงเวลาปิดเทอมแบบนี้อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องสนุกให้ทำแก้เซ็งไปได้บ้าง อาจบางทีเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบพานมาในรอบร้อยปีของบ้านนี้เมืองนี้ก็เป็นได้!

เด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางสะลึมสะลือคล้ายเพิ่งตื่นนอนมาใหม่ๆ ในมือถือมะพร้าวสดลูกหนึ่ง เขาใช้หลอดดูดน้ำมะพร้าวพร้อมกับยืนดูพวกชาวบ้านและเด็กๆ กำลังขะมักเขม้นช่วยกันกรอกกระสอบทรายกันอยู่ที่สนามเด็กเล่นหน้าบ้าน และมองเห็นรถยนต์หลายคันวิ่งเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา

“ยายไม่ไปกรอกกระสอบทรายกับเขาบ้างเหรอ?” เขาเอ่ยถามหญิงชราคนหนึ่งอายุประมาณ ๗๐ ปีที่อยู่ข้างบ้านซึ่งแกเผอิญเดินผ่านมาพอดี
“โอ๊ย ไม่ไหวหรอก ยายยกไม่ไหว แก่ปูนนี้แล้ว!” แกส่ายศีรษะพร้อมกับตอบคำอย่างขอไปทีคล้ายมีเรื่องราวอะไรที่เร่งรีบต้องไปทำก็ปาน
“ยายไม่กลัวบ้านน้ำท่วมเหรอ?”
“ท่วมก็ท่วมไปเถอะ! จะให้ไปกรอกกระสอบทรายคงไม่ไหว เดี๋ยวจะตายเสียก่อนน้ำจะท่วมบ้านเสียอีก” แกทอดถอนใจ ขณะที่มือก็กำลังค้นหาขวดที่ถูกทิ้งในถังขยะอยู่อย่างเชื่องช้า รายได้หลักของแกมาจากการเก็บขวดตามถังขยะในบริเวณภายในหมู่บ้านไปขาย อาชีพนี้ทำให้แก่มีรายได้ไม่เคยขาดมือมายาวนานนับ ๒๐ ปี ตั้งแต่แกทิ้งไร่ทิ้งนาจากอีสานมาอยู่ในเมืองใหญ่นี้กับลูกชายซึ่งทำงานเป็นรปภ.ในโรงงานแห่งหนึ่งในเขตเมืองหลวง แน่นอนในช่วงเวลา ๒๐ ปีมานี้ไม่เคยปรากฎว่ามีน้ำท่วมหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อนทำให้ยายคิดว่าน้ำคงไม่ท่วม ปกติชาวบ้านแถวนี้มักเห็นภาพแกก้มๆ เงยๆ อยู่ตามถังขยะในอาณาเขตบริเวณหมู่บ้านจนชินตา สภาพของแกก็ไม่ต่างอะไรกับขยะ ดวงตาฝ้าฟางใบหน้าเหี่ยวย่น มีร่องรอยตีนกาปรากฎเต็มใบหน้า ท่าทางการเดินกะโผลกกะเผลกด้วยความชราภาพ ไม่ค่อยจะสมประกอบนัก คล้ายรอคอยวันเวลาที่ถูกนำไปทิ้งเหมือนกับขยะเหล่านั้นไม่ผิดเพี้ยน ขยะบางประเภทยังสามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่อีก แต่คนเล่า! ถึงยามทรุดโทรมชราภาพแล้วยังจะสามารถนำกลับมาใช้ได้อีกหรือไม่?....

“ประกาศ! ประกาศ! เนื่องจากทางคณะกรรมการหมู่บ้านได้คอยเฝ้าตรวจดูระดับน้ำในคลองด้านหลังหมู่บ้านตลอดเวลา พบว่ายังอยู่ในระดับปกติ ขอให้พี่น้องอย่าได้ตื่นตระหนกจนเกินเหตุกับสถานการณ์น้ำท่วมตามข่าว ทางเราจะรายงานให้พี่น้องทราบเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นจะรีบแจ้งให้ทราบทันที!”

เสียงตามสายของหมู่บ้านประกาศสถานการณ์ล่าสุดให้ชาวบ้านทราบเพื่อให้ตั้งอยู่ในความสงบเรียบร้อย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สร้างความโล่งอกโล่งใจให้กับชาวบ้านไปอีกหนึ่งวัน...

วันก่อนนายกรัฐมนตรีก็ออกมายอมรับว่าสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้หนักกว่าทุกปีที่เคยมีมาการคาดการณ์ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่ำกว่าสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละจังหวัด และกำชับให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสำหรับเขตพื้นที่น้ำที่ยังไม่ท่วม พร้อมกับจัดตั้งหน่วยงานกลางที่สนามบินขึ้นดูแลผู้ประสบภัย เปิดสายตรงฉุกเฉินตลอด ๒๔ ชั่วโมงสำหรับให้ประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มทั่วประเทศแจ้งขอความช่วยเหลือเข้ามา...

ท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนเมืองหลวงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติที่กำลังจะมาถึงชายคาทำให้คิดถึงพุทธทำนายที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสสรุปเอาไว้ว่า โลกจะเข้าสู่ยุคทองในปัจจุบันนี้ ซึ่งทางเข้ามีเพียงสองทางให้เลือกคือ

๑ พระศรีอารย์นำมนุษย์เข้ายุคใหม่ หรือ 
๒ ถ้าคนไม่สนใจพระศรีอารย์ ก็จะเกิดโลกามหาวินาศขึ้นแทนเพื่อล้างคนบาป (ดู "๒๐๑๒") คนที่รอดตายจะกลัวบาป เพราะรู้แล้วว่าสวรรค์ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ จึงกลายเป็นคนดีมีศีลธรรมทั้งหมด และสอนคนรุ่นต่อๆมาให้เป็นคนดีตามจนถึงมนุษย์คนสุดท้ายในปี พ.ศ. ๕๐๐๐

หญิงสาววัยกำดัดอายุราว ๒๐ ปีคนหนึ่ง เธอทำงานอยู่โรงงานทำเครื่องสำอางค์ที่ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปราวๆ ๒๐๐ เมตร ทุกวันเธอจะปั่นจักรยานคันเล็กๆ ของเธอไปทำงาน เธอเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นก็ตรงที่เธอปั่นจักรยานจากบ้านไปโรงงานประจำนี่เอง ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้รถมอเตอร์ไซด์หรือไม่ก็รถยนต์ ชาวบ้านย่านนั้นต่างยกย่องชื่นชมในความกล้าหาญของเธอ เธอเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวบ้านหันมาพึ่งพาลำแข้งของตัวเอง ซึ่งเป็นการลดการขาดดุลการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศและยังเป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อนตามที่พวกนักวิชาการชอบพูดกันอีกด้วย ไม่นานหลังจากที่เธอใช้ถนนซึ่งเป็นทางเข้า-ออกจากหมู่บ้านนี้เป็นประจำทางเทศบาลก็ทำการขยายถนนใหม่ให้กว้างขึ้นพร้อมกับทำช่องทางสำหรับจักรยานซึ่งหาพบไม่มากนักในส่วนของเมืองหลวงและเขตย่านชานเมือง ทำให้ทุกวันนี้คนทุกเพศทุกวัยต่างหันมาใช้จักรยานกันมากขึ้นในการสัญจรภายในหมู่บ้านและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นทั้งการประหยัดเงินและได้ออกกำลังกายไปด้วยในตัว

เธอกำลังนั่งอยู่บนชั้นสองของบ้านเพื่อจัดของต่างๆใส่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ กระเป๋าของเธอมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอจะหาซื้อมาได้จากห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เธอทำท่าครุ่นคิด เธอนำกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาอ่านทบทวนอีกครั้งด้วยเสียงอันดังว่า...

๑ อาหารกระป๋อง อาหารแห้งและที่เปิดกระป๋อง น้ำดื่ม พร้อมภาชนะใส่ และอุปกรณ์ทำครัวขนาดพกพา
๒ ผ้าห่ม ถุงนอน และเต้นนอน อุปกรณ์ทำความสะอาด ผงซักฟอก
๓ เสื้อผ้าหนาสัก ๒-๓ ชุด ผ้าเช็ดตัว และอุปกรณ์ใช้ครั้งเดียวทิ้ง จำพวกชาม ช้อน ถ้วยกระดาษ พร้อมถุงพลาสติกใส่ขยะ ฯลฯ
๔ ไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง เทียนไขหรือตะเกียง และไฟแช็กจำนวนหนึ่ง
๕ รองเท้าหุ้มส้นป้องกันเท้าบาดเจ็บ รองเท้ายาง ร่ม หมวกและเสื้อชูชีพ
๖ ยารักษาโรคและอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ไอโอดีนเม็ด และคลอรีนแบบใช้ในบ้านแบบไม่มีกลิ่นสำหรับทำน้ำให้สะอาด
๗ ไฟแช็ก ตะเกียง มีดผ่าฟืนหรือมีดอเนกประสงค์และอาวุธป้องกันสัตว์ร้าย(ถ้าต้องอพยพไปอยู่ป่า)
๘ ของใช้ส่วนตัว เช่น ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ยาสระผม สบู่หรือครีมอาบน้ำ กระดาษชำระ ขัน ยากันยุง ผ้าอนามัย ฯลฯ
๙ นกหวีด แผนที่ เข็มทิศ หรือพลุสัญญาณ และเชือกม้วนหนึ่ง
๑๐ สำเนาเอกสารประจำตัว รูปถ่ายของตัวเองและบุคคลในครอบครัว เก็บไว้ในถุงกันน้ำ....เอ ขาดอะไรอีกหว่า?....

การดำรงชีวิตในสภาวะฉุกเฉินที่ไฟฟ้า น้ำปะปาและถนนหนทางถูกตัดขาด เป็นปัญหาค่อนข้างใหญ่สำหรับคนในยุคปัจจุบันที่ยึดติดอยู่ในความสุขสบายทางด้านวัตถุมากจนเกินไป  โดยเฉพาะคนเมือง การฝึกฝนที่จะพึ่งพาตัวเองและอยู่รอดให้ได้ภายในป่าหรือสถานที่อันปราศจากสาธารณูโภคที่จำเป็นขั้นพื้นฐานต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสภาวะที่โลกซึ่งเต็มไปด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จ้องคอยจู่โจมทำร้ายชีวิตอยู่ตลอดเวลาเยี่ยงนี้ 

บนสะพานข้ามคลองที่อยู่หลังหมู่บ้านมีวัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่งประมาณ ๔-๕ คนกำลังจับกลุ่มเล่นดอกไม้ไฟกันอยู่ ตอนเย็นๆ ใกล้ค่ำได้ยินเสียงพลุและประทัดดังหลายครั้ง ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านพากันตื่นตระหนก เตรียมพร้อมอพยพออกจากพื้นที่กันโกลาหล เนื่องจากมีข่าวลือว่าเจ้าหน้าที่ประกาศว่าถ้ามีการจุดพลุขึ้นฟ้า 5 นัดให้ประชาชนในพื้นที่รีบอพยพออกจากพื้นที่ด่วนเพราะน้ำกำลังจะเข้าท่วมบริเวณหมู่บ้านแล้ว ทางคณะกรรมหมู่บ้านจึงต้องออกมาประกาศผ่านเสียงตามสายแก้ข่าวว่านั่นเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น พร้อมกับส่งเจ้าหน้าที่ไปห้ามปรามพวกวัยรุ่นที่กำลังเล่นกันอยู่บนสะพานว่าอย่าให้จุดประทัดกันอีก เพื่อความสะบายใจของชาวบ้าน

คุณย้ายบ้านจากทุ่งลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี ซึ่งเคยเป็นยุทธภูมิด่านหน้าในการรบทัพจับศึกกับพม่ามาหลายครั้งหลายคราวเมื่อครั้งในอดีต มาอาศัยอยู่แถวย่านคลองสอง จ.ปทุมธานีในปัจจุบัน ไม่ต่างอะไรกับการ “หนีเสือปะจระเข้” ที่สำคัญก็คือมันเป็นจระเข้ตัวเป็นๆ เสียด้วย...

ทุ่งลาดหญ้าเคยถูกใช้เป็นสมรภูมิรบในสงครามเก้าทัพที่ไทยสามารถเอาชนะข้าศึกได้โดยพระปรีชาสามารถของรัชกาลที่ ๑ และสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า จารึกตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าสงครามเก้าทัพ เป็นสงครามระหว่างอาณาจักรพม่ากับอาณาจักรไทย หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานีแห่งใหม่ เวลานั้นบ้านเมืองอยู่ในช่วงผ่านศึกสงครามมาใหม่ ๆ ประจวบทั้งการสร้างบ้านแปลงเมือง รวมทั้งปราสาทราชวังต่าง ๆ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่า หลังจากบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์อังวะแล้ว ต้องการประกาศแสนยานุภาพ เผยแผ่อิทธิพล โดยได้ทำสงครามรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยรวมถึงเมืองประเทศราชให้เป็นปึกแผ่น แล้วก็ได้ยกกองกำลังเข้ามาตีไทย โดยมีจุดประสงค์ทำสงครามเพื่อทำลายกรุงรัตนโกสินทร์ให้พินาศย่อยยับเหมือน เช่นกรุงศรีอยุธยา

สงครามครั้งนี้พระเจ้าปดุงได้ยกทัพมาถึง ๙ ทัพ รวมกำลังพลมากถึง ๑๔๔,๐๐๐ นาย โดยแบ่งการเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์ออกเป็น ๕ ทิศทาง

•	ทัพที่ ๑ ได้ยกมาตีหัวเมืองประเทศราชทางปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองระนองจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช
•	ทัพที่ ๒ ยกเข้ามาทางเมืองราชบุรีเพื่อที่จะรวบรวมกำลังพลกับกองทัพที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้แล้วค่อยเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์
•	ทัพที่ ๓ และ ๔ เข้ามาทางด่านแม่ละเมาแม่สอด
•	ทัพที่ ๕-๗ เข้ามาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เชียงแสน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตีตั้งแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบกับทัพที่ ๓ ๔ ที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เพื่อตีเมืองตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค์
•	ทัพที่ ๘-๙ เป็นทัพหลวงพระเจ้าปดุงเป็นผู้คุมทัพ โดยมีกำลังพลมากที่สุดถึง ๕๐,๐๐๐ นาย ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์เพื่อรอสมทบกับทัพเหนือ และใต้โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้ารบกับกรุงเทพฯ

เวลานั้นทางฝ่ายไทยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รวบรวมกำลังไพล่พลได้เพียง ๗๐,๐๐๐ นายมีกำลังน้อยกว่าทัพพระเจ้าพม่าถึง ๒ เท่า ประจวบเป็นทหารรบเดิมของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เคยกอบกู้บ้านเมืองสมัยเสีย กรุงศรีอยุธยาไว้ได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงปรึกษาวางแผนการรับข้าศึกกับ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ว่าจะทำการป้องกันบ้านเมืองอย่างไร แผนการรบของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ คือจัดกองทัพออกเป็น ๔ ทัพโดยให้รับศึกทางที่สำคัญก่อน แล้วค่อยผลัดตีทัพที่เหลือ

•	ทัพที่ ๑ ให้ยกไปรับทัพพม่าทางเหนือที่เมืองนครสรรค์
•	ทัพที่ ๒ ยกไปรับพม่าทางด้านพระเจดีย์สามองค์ ทัพนี้เป็นทัพใหญ่ มีสมเด็จพระบวรราชเจ้ามาหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพ คอยไปรับทัพหลวงของพระเจ้าปดุงที่เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์
•	ทัพที่ ๓ ยกไปรับทัพพม่าที่จะมาจากทางใต้ที่เมืองราชบุรี
•	ทัพที่ ๔ เป็นทัพหลวงโดยมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นผู้คุมทัพคอยเป็นกำลังหนุน เมื่อทัพไหนเพลี้ยงพล้ำก็จะคอยเป็นกำลังหนุน

สมเด็จพระอนุชาธิราช พระบวรราชเจ้ามาหาสุรสิงหนาท ได้ยกกองทัพไปถึงเมืองกาญจนบุรี  ตั้งรับทัพอยู่บริเวณทุ่งลาดหญ้า เชิงเขาบรรทัด สกัดกั้นไม่ให้ทัพพม่าได้เข้ามารวบรวมกำลังพลกันได้ นอกจากนี้ยังจัดกำลังไปตัดการลำเลียงเสบียงของพม่าเพื่อให้กองทัพขาดเสบียง อาหาร แล้วยังใช้อุบาย โดยทำเป็นถอยกำลังออกในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าก็ให้ทหารเดินเข้ามาผลัดเวร เสมือนว่ามีกำลังมากมาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เมื่อทัพพม่าขาดแคลนเสบียงอาหารประจวบกับครั้นคร้ามคิดว่ากองทัพไทยมีกำลัง มากกว่า จึงไม่กล้าจะบุกเข้ามาโจมตี สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเมื่อสบโอกาสทำการโจมตีกองทัพ ๘-๙ จนถอยร่นพระเจ้าปดุงเมื่อเห็นว่าไม่สามารถบุกโจมตีต่อได้ประจวบทั้งกองทัพ ขาดเสบียงอาหารจึงได้ถอยทัพกลับ สำหรับการโจมตีทางด้านอื่น ทางด้านเหนือพระยากาวิละเจ้าเมืองลำปางสามารถป้องกันทัพพม่าที่ยกมาทางหัว เมืองฝ่ายเหนือได้สำเร็จ

ส่วนทัพที่บุกมาทางด่านแม่ละเมามีกำลังมากกว่าจึงสามารถตีเมืองพิษณุโลก ได้ แต่เมื่อเสร็จศึกทางด้านพระเจดีย์สามองค์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงเสด็จยกทัพขึ้นไปช่วยหัวเมืองทางเหนือ

ส่วนทางปักษ์ใต้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เมืองเสร็จศึกที่ลาดหญ้าแล้ว เสด็จยกทัพลงไปช่วยทางปักใต้ต่อ แต่ก่อนที่จะเสด็จไปถึงทัพพม่าได้โจมตีเมืองระนองถึง เมืองถลาง เวลานั้นเจ้าเมืองถลางเพิ่งจะถึงแก่กรรมยังไม่มีการตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ แต่ชาวเมืองถลางนำโดยคุณหญิงจันภริยาเจ้าเมืองถลางที่ถึงแก่กรรมและนางมุก น้องสาว ได้รวบรวมกำลังชาวเมืองต่อสู้ข้าศึกจนสุดความสามารถ สามารถป้องกันข้าศึกพม่าไม่ให้ยึดเมืองถลางไว้ได้ หลังเสร็จศึกแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณหญิงจันเป็นท้าวเทพกษัตรีย์ (หรือท้าวเทพสตรี) นางมุกน้องสาวเป็นท้าวศรีสุนทร นอกจากนี้ทัพพม่าบางส่วนสามารถตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ และยกลงไปตีเมืองสงขลาต่อ เจ้าเมืองและกรมการเมืองสงขลาพอทราบข่าวทัพพม่าตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ด้วย ความขลาดจึงหลบหนีเอาตัวรอด แต่เจ้าเมืองพัทลุงพระยาขุนคางเหล็กและได้นิมนต์ภิกษุรูปหนึ่งนามว่าพระมหาช่วยมีชาวบ้านนับถือศรัทธากันมาก ได้ชักชวนชาวเมืองพัทลุงให้ต่อสู้ป้องกันสกัดทัพพม่าไม่ให้เข้ายึดเมือง พัทลุงได้ เมื่อกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ยกกองทัพลงมาช่วยหัวเมืองปักต์ใต้ ตีทัพพม่าตั้งแต่เมืองไชยาลงมาจนถึงนครศรีธรรมราช เมื่อทัพพม่าแตกพ่ายถอยร่นไปพ้นจากหัวเมืองปักษ์ใต้แล้ว พระมหาช่วยต่อมาได้ลาสิกขาบทและเข้ารับราชการ

อื่นๆ คำพูด พระราชวังบวรสุรสีหนาท ก่อนเข้าตีค่ายพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า “ พวกเจ้าเป็นไพร่หลวง ข้าเป็นพระราชวงศ์ แต่เจ้ากับข้าเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเราเป็นคนไทย เป็นเจ้าของแผ่นดินเหมือนกัน รบวันนี้เราจะแสดงให้ผู้รุกรานเห็นว่าเราหวงแหนแผ่นดินแค่ไหน รบวันนี้เราจะไม่กลับมาค่ายนี้อีกจนกว่าจะขับไล่ศัตรูไปพ้นชายแดน ข้าจะไม่ขอให้พวกเจ้ารบเพื่อใคร นอกจากรบเพื่อแผ่นดินของเจ้าเอง แผ่นดินที่เจ้ามอบให้ลูกหลานของเจ้าได้อยู่อาศัยอย่างเป็นสุขสืบไป”

การเชื่อข่าวลือมากจนเกินไป ทำให้คุณกักตุนเสบียงพวกอาหารแห้งและน้ำดื่มเอาไว้ล่วงหน้า กะว่าจะให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างต่ำ ๒ เดือน การรอคอยน้ำท่วมก็เหมือนการรอคอยคนรัก ยิ่งยาวนานยิ่งอ่อนล้า ยิ่งนานวันยิ่งเสื่อมโทรมทุกข์ทรมาน ที่สำคัญเสบียงเริ่มหมด ก่อนที่ถนนหนทางจะถูกตัดขาด ตลาดและร้านรวงต่างๆ จะปิดตัวลงอย่างไม่มีกำหนด และบางทีอาจปิดกิจการแบบถาวรไปเลย เป็นแรงผลักดันให้คุณจำใจต้องออกจากบ้าน เนื่องจากเป็นบ้านสองชั้นจึงไม่ค่อยวิตกกังวลอะไรมากนัก สิ่งของต่างๆ ที่เคยอยู่ชั้นหนึ่งก็ทยอยขนขึ้นชั้นสองจนหมดแล้ว เหลือก็เพียงตู้เย็นที่ยังคอยคนช่วยขนอยู่เท่านั้น เพราะคุณคนเดียวไม่มีปัญญายกขึ้นไปได้!

ภายหลังจากที่กบดานอยู่แต่บนชั้นสองของบ้านมายาวนานนับสัปดาห์ คุณพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ใบหนึ่งที่สะพายอยู่บนหลังก็ต้องมายืนตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นเมื่อออกมายืนรอรถเพื่อเข้ากรุงเทพฯในเช้าวันหนึ่งบริเวณหน้าหมู่บ้าน ระดับน้ำหน้าหมู่บ้านขึ้นสูงมากแล้วประมาณครึ่งเมตร รถเล็กใช้การไม่ได้ เริ่มมีรถทหารและเรือของหน่วยงานราชการเข้ามาวิ่งบนถนนที่เคยมีเพียงแต่รถราสัญจรเท่านั้น บริเวณหน้าหมู่บ้านก็ยุ่งวุ่นวายพอดู ทั้งเครื่องสูบน้ำทั้งกระสอบทรายและเหล่าจิตอาสาประจำหมู่บ้านจำนวนมากกำลังระดมสรรพกำลังกันต่อสู่กับมวลน้ำที่กำลังบุกจู่โจมเข้ามาเป็นระลอก แม้ภายในหมู่บ้านที่มีรั้วกำแพงกั้นโดยรอบอย่างรัดกุมยังไม่ปรากฎว่ามีน้ำซึมผ่านเข้ามาได้ แต่ด้วยระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็กำลังสร้างความหวั่นวิตกให้กับชาวบ้านอยู่ไม่น้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังคิดกันว่าจะอยู่ต่อหรือจะอพยพกันดี หลายครอบครัวเลือกแบบหลัง ในช่วงเวลาแบบนี้บนถนนที่เอ่อนองไปด้วยน้ำจึงมีผู้คนเดินทางกันอย่างทุลักทุเลตลอดเส้นทางออกจากตัวหมู่บ้าน หมู่บ้านส่วนใหญ่ถูกน้ำท่วมไปแล้วและกลายเป็นหมู่บ้านร้าง เพราะคิดว่าปีนี้น้ำคงจะไม่ท่วม ส่วนอีกบางหมู่บ้านก็ประเมินระดับน้ำต่ำเกินไปทำให้สร้างคันกั้นน้ำต่ำกว่าที่มันมาจริงๆ เช่นเดียวกับบ้านเรือนและร้านรวงต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมถนนล้วนมีชะตากรรมแบบเดียวกัน นั่นคือจมน้ำหมด มีหมู่บ้านไม่กี่หมู่บ้านที่ยังคงเหลือรอดปลอดภัยอยู่ด้วยการอาศัยเครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกจากภายในหมู่บ้านตลอด ๒๔ ชั่วโมง ก็ใครจะไปคิดว่าบริเวณนี้น้ำจะท่วมสูง ๒-๓ เมตรเล่า! นั่นคือ “อำเภอลำลูกกา”......

“เย็นวานผมยังเดินเมาโซเซอยู่บนถนนเส้นนี้อยู่เลย ไปกินเหล้ากับเพื่อนมาแถวประตูน้ำคลองสองนั่นแหละ! พอตกดึกได้ข่าวว่าคันกั้นน้ำตรงคลองรังสิตฯ แตก เท่านั้นแหละ มาตอนเช้าน้ำก็ท่วมหมดแล้ว ถนนทั้งสายจมน้ำพร้อมกับบ้านเรือนในชั่วข้ามคืนอย่างที่เห็นนี่แหละครับ!” พี่ชายคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นขณะที่นั่งอยู่บนรถตู้คอนเทรนเนอร์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มีน้ำใจช่วยรับคนผ่านทางที่ต้องการออกไปข้างนอกปากซอย ภายหลังจากภาระกิจส่งสินค้าให้กับโรงงานใกล้ๆ นี้เสร็จสิ้นลง สภาพของแกคล้ายว่ายังเมาสุราไม่สร่างตั้งแต่เมื่อคืน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ามอมแมม แววตายังแฝงความตื่นตระหนกอยู่ในที ไม่ต่างอะไรกับชายหญิงอีกหลายคนที่นั่งเบียดเสียดกันอยู่ภายในตู้คอนเทรนเนอร์ เนื้อตัวเปียกปอนไปตามๆ กันดูสภาพแล้วน่าเวทนายิ่งนัก แต่ทุกคนก็ยังมีแววตาแห่งความหวังอยู่ แม้ว่ามันจะเลือนรางอยู่บ้างก็ตาม หลายคนคงออกไปเลยไม่กลับมาอีกจนกว่าน้ำจะลด หลายคนก็แค่ออกมาดูเหตุการณ์โลกภายนอก และอีกหลายคนก็คงเหมือนกับคุณที่ออกมาเพื่อซื้อของเอาไว้กักตุนและรอดูสถานการณ์ต่อไปโดยเฉพาะพวกที่อาศัยอยู่บ้านสองชั้น ส่วนบ้านชั้นเดียวคาดว่าคงอพยพออกไปกันจนหมดแล้ว ระดับน้ำกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และทุกคนรวมทั้งคุณต้องทำงานแข่งกับเวลาในห้วงวิกฤติแบบนี้!

“ใครจะไปแยกลำลูกกาเชิญลงตรงนี้ได้เลยครับ!” เสียงคนขับรถตู้คอนเทรนเนอร์ดังมาพร้อมกับรถค่อยๆ หยุดลงบริเวณสามแยกไฟแดงหน้าปากซอย
“รถคันนี้จะไปทางไหนค่ะ?” หญิงวัยกลางคนพร้อมลูกสาวอายุราว ๗-๘ ขวบคนหนึ่งร้องตะโกนถามคนขับรถ
“ไปทางคลอง ๗ ครับ!” เสีญงชายคนขับรถตอบกลับมา
“ผมว่าอย่าไปแยกลำลูกกาเลยดีกว่าครับ น้ำท่วมสูงมาก อาจจะไม่มีรถผ่านได้แล้ว ไปลงคลอง ๕ หรือคลอง ๗ ดีกว่ามั๊ย? แล้วค่อยต่อรถย้อนเข้ากรุงเทพฯ !” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งออกความเห็นขณะที่ผู้คนกำลังลังเลว่าจะไปทางไหนดี
“ใช่ ตรงแยกลำลูกกาวันก่อนที่ไปมาน่ะ น้ำท่วมมิดหัวแล้ว” หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ถัดไปข้างในร้องบอกสนับสนุนความคิดของชายหนุ่ม แล้วแกก็ทำเสียงงึมงำอะไรบางอย่างอยู่ในลำคอคนเดียว ดวงตาพองโตด้วยความตื่นตระหนกคล้ายเพิ่งพบพานภูติผีปีศาจมาก็ปาน!

ผู้โดยสารส่วนใหญ่เลือกที่จะไปต่อ และมีผู้โดยสาร ๔-๕ คนเลือกที่จะไปเสี่ยงโชคที่ทางแยกลำลูกกาพร้อมกับก้าวลงรถที่สูงลิบลิวอย่างทุลักทุเล หนึ่งในนั้นคือคุณ!

“หนุ่ม! ระวังอย่าเดินตรงเกาะกางถนน มันอันตราย เกิดเผลอไปจับเสาไฟฟ้าที่มีไฟรั่วจะตายเอาเปล่าๆ เดินกลางถนนดีกว่าปลอดภัย!” พี่ชายวัยกลางคนท่าทางฉลาดหลักแหลมคนหนึ่งร้องบอกคุณ เมื่อเห็นคุณเดินบนเกาะกลางถนนที่น้ำยังไม่ท่วมถึงมากนัก ในขณะที่บนถนนน้ำท่วมสูงระดับหัวเขาซึ่งพวกคุณกำลังเดินลุยน้ำกันอยู่บนถนนเพื่อไปแยกลำลูกกาที่ห่างออกไปประมาณ ๒ กิโลกว่าๆ คุณพยักหน้าเห็นด้วยและลงมาเดินบนถนนอย่างว่าง่าย พวกคุณพากันเดินมาได้ประมาณกึ่งหนึ่งของระยะทางก็เผอิญมีรถของหน่วยงานราชการจากกรมทรัพย์ฯ ซึ่งออกมาวิ่งรับส่งผู้ประสบภัยน้ำท่วมวิ่งบนถนนลำลูกกาตามมาทันพวกคุณพอดี พวกคุณจึงขออาศัยไปแยกลำลูกกาด้วย รถกรมทรัพย์ฯ เป็นรถบรรทุกขนาดกลางยังเตี้ยกว่ารถของทหารเล็กน้อย ขณะที่รถวิ่งผ่านแยกลำลูกการะดับน้ำท่วมถึงกระจกหน้ารถและบางส่วนท่วมมาถึงบนกระบะท้ายที่ผู้โดยสารนั่งอยู่ ทุกคนต่างรีบลุกกระโดดขึ้นทันทีเพราะกลัวว่าจะเปียกน้ำ ตรงบริเวณแยกลำลูกกามีชายหนุ่ม ๒ คนกำลังลากเรือที่ทำขึ้นเองจากโฟมผ่านมาพอดี ระดับน้ำสูงถึงระดับคอพอดิบพอดี จะว่าไปแล้วชายหนุ่มทั้งคู่ก็ไม่เตี้ยและสูงจนเกินไป น่าจะมีส่วนสูงประมาณมาตรฐานชายไทยโดยเฉลี่ย นั่นแสดงว่าระดับน้ำบริเวณนี้น่าจะอยู่ประมาณเมตรกว่าๆ อาจจะถึงเมตรห้าสิบ ภายหลังน้ำลดคุณมีโอกาสนั่งรถผ่านไปแถวนั้นมองเห็นร่องรอยของระดับน้ำที่ปรากฎบนกำแพงและเสาไฟฟ้า บางแห่งสูงกว่า ๒ เมตร! ซึ่งสูงมิดหลังคารถเก๋งพอดี

รถบรรทุกของกรมทรัพย์ฯ วิ่งผ่านแยกลำลูกกามาโดยไม่รู้ว่าผ่านมาได้อย่างไร จะเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็คงไม่กล่าวเกินไปนัก แต่พอผ่านมาแล้วกลับหยุดรถอยู่บนสะพานสูงไม่กล้าไปต่อ เพราะบัดนี้ถนนพหลโยธินที่พวกเขาเคยรู้จักกลับมีสภาพไม่ต่างอะไรกับคลองทั้งสาย เช่นเดียวกับถนนวิภาวดีรังสิตที่มาบรรจบกันตรงบริเวณไม่ไกลจากแยกลำลูกกาพอดี ถนนทั้งสายกลับกลายเป็นคลองเพียงชั่วข้ามคืน! ระดับน้ำที่ท่วมสูงทำให้เบื้องหน้าเต็มไปด้วยรถที่จอดเสียจมอยู่ในน้ำเป็นระยะๆ คนขับรถเริ่มไม่แน่ใจกับสถานการณ์ว่าจะสามารถไปต่อได้หรือไม่ เขารีบโทรศัพท์ไปถามความเห็นจากผู้บังคับบัญชาทันที การเจรจาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงยังคงตกลงกันไม่ได้ รถยังคงหยุดนิ่งอยู่กับที่บนสะพาน ผู้โดยสารบางส่วนเริ่มทยอยลงจากรถเดินกลับไปทางเดิม เพราะเริ่มหมดความอดทนรอต่อไป บางส่วนว่าจ้างเรือแถวนั้นเพื่อไปทางอื่นต่อ ส่วนคุณทำได้เพียงสวดภาวนาเงียบๆ อยู่ภายใน คำสั่งที่ผ่านมาในท้ายที่สุดสรุปว่าให้ไปต่อ เพียงแต่อย่าหยุดรถเป็นอันขาดเพราะน้ำจะท่วมเข้าท่อและเครื่องยนต์ทำให้เครื่องดับและมีสภาพเหมือนรถอีกหลายคันที่อยู่จมน้ำเสียอยู่เรียงรายบนถนนเบื้องหน้า รถของทหารยังวิ่งรับส่งผู้ประสบภัยผ่านมาเป็นระยะๆ คงจะมีเพียงรถของทหารนี่เองกระมัง ที่ยังวิ่งอยู่บนถนนที่น้ำท่วมสูงแบบนี้ได้โดยไม่มีปัญหา ซึ่งมันก็สร้างความอุ่นใจให้แก่คุณในตอนขากลับมา อย่างน้อยก็ยังมีรถวิ่ง ไม่ถึงกับต้องเดินด้วยเท้า แต่น่าเสียดาย คุณคำนวณผิดพลาดไปถนัด อาจบางที่ความผิดพลาดนี้ต้องแลกด้วยชีวิตของคุณเองก็เป็นได้!....

รถของกรมทรัพย์ฯ วิ่งผ่านถนนพหลโยธินบริเวณน้ำท่วมสูงนำพาผู้โดยสารรอดมาได้ดั่งราวปาฏิหาริย์โดยที่ไม่ได้จอดรับคนเพิ่มอีกเลยตลอดรายทาง ทั้งคนขับรถและผู้โดยสารที่เหลืออยู่ประมาณ ๑๐ กว่าคนพากันระบายลมออกจากปากด้วยความโล่งอกไปตามๆ กัน ภายหลังจากกล่าวคำขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนขับแล้วผู้โดยสารต่างก็พากันแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง บางคนกลับบ้านที่อีสาน บางคนออกต่างจังหวัด  บางคนย้ายไปอยู่กับญาติ บางคนไปอาศัยอยู่ที่ศูนย์ผู้ประสบภัยที่ทางการจัดให้ ต่างที่มา ต่างที่ไป แต่คุณเองสิตอนเย็นยังคงต้องกลับมาที่นี่ก่อนที่จะค่ำมืดเสียก่อน การเดินทางฝ่าเกลียวคลื่นแบบนี้ใช้เวลามากกว่าปกติหลายเท่าตัวทีเดียว ทำให้กะเวลาเดินทางได้ยากลำบากมาก แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกมากนัก...

ภายหลังจากหาซื้อสิ่งของต่างๆในกรุงเทพฯซึ่งส่วนใหญ่น้ำยังไม่ท่วมได้ครบตามที่ต้องการแล้ว คุณตัดสินใจกลับเข้าหมู่บ้านด้วยเส้นทางเดิมเหมือนตอนเช้าที่ออกมา คงมีเพียงรถของทหารเท่านั้นที่จะผ่านแยกลำลูกกาเข้าไปได้ รถเมล์ทุกสายหยุดวิ่งไปนานแล้ว และรถอื่นก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงวิ่งผ่านถนนสายนี้อีก เวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบ ๕ โมงเย็นแล้ว

“รถคันนี้ไปเขตสายไหมครับ เชิญผู้โดยสารที่จะไปสายไหมขึ้นรถได้เลยครับ!”
“รถคันนั้นไปแค่ซอยแอนเน็กครับ ใครที่ไปเชิญครับ!”
“คันนี้ไปส่งแค่ซอย คปอ.ครับ!”
“คันนี้ไปแค่โรงพยาบาลภูมิพลครับ!” 

เสียงของนายทหารคนหนึ่งประกาศผ่านทางเครื่องโทรโขงเป็นระยะๆ ตรงบริเวณหน้าตลาดยิ่งเจริญที่ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธินซึ่งน้ำยังท่วมมาไม่ถึง แต่คุณสังเกตได้ว่าในตอนเช้ามวลน้ำยังไม่รุกคืบมาเร็วถึงเพียงนี้ ตอนนี้น้ำเริ่มเข้าท่วมบริเวณตลาดแล้ว อีกไม่นานศูนย์รับส่งผู้ประสบภัยแห่งนี้คงต้องถอยร่นไปอีกไกลจากที่ตรงนี้ซึ่งอาจไปถึงแยกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขนโน่น หรือไม่ก็เซ็นทรัล ลาดพร้าว หรือห้าแยกลาดพร้าว แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าอย่างไรคุณคงจะไม่ออกมาจากบ้านถ้าไม่จำเป็น นับจากวันนี้เป็นต้นไปเป็นแน่แท้...

“ไม่มีรถไปแยกลำลูกกาหรือครับ?” คุณสอบถามทหารคนที่กำลังประกาศปาวๆ อยู่ภายหลังจากที่รอคอยมาประมาณชั่วโมงกว่าๆ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีรถคันไหนไปแยกลำลูกกา
“แยกลำลูกกาขอให้รอก่อนครับ” ทหารคนนั้นตอบพร้อมกับประกาศปาวๆ ต่อไป

ในที่สุดเวลา ประมาณหนึ่งทุ่มซึ่งใกล้เวลารถของทหารจะหมดแล้ว ทหารคนนั้นก็ประกาศว่า

“ต้องขออภัยด้วยครับสำหรับท่านที่จะไปแยกลำลูกกา เนื่องจากบริเวณนั้นน้ำท่วมสูงมากรถทหารไม่สามารถวิ่งผ่านไปได้ ขอให้ไปลงใกล้ๆ แล้วค่อยหาทางไปต่อเอาเองนะครับ!”

พอได้ยินอย่างนั้นคุณก็ตัดสินใจก้าวขึ้นไปบนรถทหารที่บรรทุกกระสอบทรายอยู่เต็มซึ่งเป็นรถพ่วงที่ไม่มีทั้งหลังคาและผนังทันที ติดตามมาด้วยด้วยชายหญิงอีกจำนวนหนึ่งที่ตกค้างอยู่ซึ่งส่วนใหญ่ไปไม่ถึงแยกลำลูกกา ระหว่างทางมียุงนับร้อยนับพันตัวคอยรบกวนผู้โดยสารอยู่ตลอดทาง สร้างความรำคาญให้ไม่น้อย ยุงมาพร้อมกับน้ำ โดยเฉพาะน้ำเน่าแบบนี้ รถบรรทุกคันนี้วิ่งไปส่งเพียงซอยคปอ.(กรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ)ซึ่งห่างจากแยกลำลูกกาอีกประมาณ ๓ กิโลเมตร และจากแยกลำลูกกาต้องเดินทางเข้าหมู่บ้านอีกประมาณ ๔ กิโลเมตร นับเป็นปัญหาที่น่าหนักใจของคุณในเวลาแบบนี้ เพราะคุณเหลือเพียงสองขาเป็นพาหนะเพื่อจะเอาชนะระยะทางรวมกันกว่า ๗ กิโลเมตร ปัญหาที่หนักกว่านั้นไม่ใช่แค่เพียงระยะทางที่นับว่าไกลพอดู แต่คือกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนหลังที่บรรจุสิ่งของอาหารแห้งต่างๆ ซึ่งมีน้ำหนักกว่าหลายกิโลกรัม ระยะทางที่เหลืออีกหลายกิโล บวกกับสัมภาระที่หนักอีกหลายกิโล นับว่าสาหัสจริงๆ 	อาหารที่กะว่าจะกักตุนเป็นเวลาแรมเดือนเริ่มสร้างปัญหาให้กับคุณ มันเริ่มหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น ตัวคุณเองเล่าก็เริ่มอ่อนล้า ภายหลังจากที่ลงจากรถบรรทุกทรายตรงปากทางเข้าซอยคปอ.ปัญหาที่ไม่เคยคาดคิดอีกประการหนึ่งก็คือ ระดับน้ำที่ท่วมสูงบนถนนเหนือระดับหัวเข่าขึ้นมาซึ่งทำให้การเดินเท้าเป็นไปด้วยความยากลำบาก มีผู้ร่วมชะตากรรมมากับคุณเป็นชายประมาณ ๓-๔ คน และหญิงอีกคนหนึ่ง ทุกคนถอดรองเท้าออกแล้วเดินลุยน้ำไปบนถนนยกเว้นคุณที่ยังคงใส่รองเท้าขณะเดินลุยน้ำ เป้าหมายเบื้องหน้าก็คือแยกลำลูกกาซึ่งห่างไปอีก ๓ กิโลเมตร!

“ถอดรองเท้าออกสิ จะได้เดินเร็วขึ้น” พี่ชายคนหนึ่งร้องบอกด้วยรอยยิ้มหลังจากที่เห็นคุณเริ่มถูกทิ้งให้อยู่รั้งท้ายซึ่งเดินช้าลงเรื่อยๆ และตามคนอื่นๆไม่ทัน
“ไม่เป็นไรครับ พอเดินได้ ถ้าถอดรองเท้า ผมจะเดินไม่ค่อยถนัด!” คุณตอบ คุณเพียงกลัวว่าจะเผลอไปเหยียบเศษของมีคมบนถนนเข้าจะทำให้เรื่องราวในค่ำคืนนี้ยากยิ่งขึ้นไปอีกจึงไม่ได้ถอดรองเท้าออก หากพลาดท่าบาดเจ็บแทนที่จะไปถึงบ้านก็อาจเปลี่ยนจุดหมายเป็นไปโรงพยาบาลหรือไม่ก็วัดแทน ที่สำคัญใครจะพาไป? ยวดยานพาหนะก็ไม่มีสักอย่าง คุณเห็นพี่ชายคนนั้นพยักหน้าด้วยความเข้าใจ พี่ชายคนนี้เป็นคนจากจังหวัดสกลนคร วันนี้ออกมาส่งภรรยากลับบ้านไปอยู่กับญาติที่ภาคอีสานส่วนตัวเองคอยอยู่เฝ้าดูแลบ้านซึ่งอยู่คลองสอง ลำลูกกา ไม่ไกลจากที่คุณอยู่เท่าไรนัก แกบอกว่าหากคุณเข้าทางแยกลำลูกกาจะลำบากมากและต้องเดินอ้อมไกล แกจึงอาสาจะพาคุณลัดเข้าทางวัดสายไหมไปออกคลองสอง ลำลูกกา คุณไม่รู้จักเส้นทางจึงให้แกพาไป อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเดินเพียงลำพังคนเดียว ตลอดทางแกพยายามเดินช้าๆ เพื่อรอคุณเพราะเห็นว่าคุณเดินค่อนข้างช้า แกคงไม่รู้ว่าที่คุณเดินช้าหาใช่เพราะใส่รองเท้าเดินลุยน้ำไม่ แต่เป็นสัมภาระที่อยู่บนหลังต่างหาก! คุณมีความรู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังแบกคนอีกคนหนึ่งอยู่บนหลังขณะเดินลุยน้ำที่มีระดับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเดินไปก็ยิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเดินไปร่างกายก็ยิ่งจมลงเรื่อยๆ ยิ่งเดินไปคล้ายกำลังเดินเข้าสู่ห้วงความตายทุกขณะ ยิ่งเดินต่อไปก็ยิ่งเหนื่อยล้า ราวกับว่ากำลังเดินเข้าสู่ขุมนรกอเวจีก็ปาน!..

“พี่ครับไปไหนครับ ขออาศัยไปด้วยได้หรือเปล่า ผมจะไปแยกลำลูกกา?” พี่ชายชาวสกลฯคนที่มาด้วยกับคุณกวักมือเรียกเรือยนต์ลำหนึ่งที่วิ่งตามหลังมาขณะที่พวกคุณสองคนถูกทิ้งให้อยู่รั้งท้าย ในขณะที่คนอื่นๆได้ไปไกลจนลับหายไปพร้อมกับความมืดยามราตรีแล้ว เรือยนต์ขนาดเล็กที่มีนายท้ายเรือคนหนึ่งและคนส่องไฟนั่งอยู่หัวเรืออีกคนหนึ่งหยุดเครื่องลงพร้อมกับกล่าวว่า

“ผมไปรับคนแค่ตรงนี้เอง ตรงโรงพยาบาลบีแคร์ ไปไม่ถึงแยกลำลูกกาหรอก!”
“เหรอครับ!” พี่ชายจากสกลนครทำหน้าผิดหวังและนิ่งเงียบไป คุณจึงกระซิบบอกแกว่า 	
“ไหนๆ เรือก็หยุดแล้ว เราขออาศัยไปลงก่อนก็ได้ ช่วยร่นระยะทางไปตั้งเยอะนะ!”
พี่ชายจากสกลฯพยักหน้าเห็นด้วย ไม่ทันกล่าวมากความพวกคุณสองคนก็รีบพากันตะกายขึ้นเรือลำนั้นไปอย่างรวดเร็ว 
“พี่มารับใครครับ?” พี่ชายจากสกลนครถามคนขับเรือด้วยความสงสัย
“ช่อง ๕ ประสานงานให้มารับคนป่วยและคนชราที่นี่ครับ ถ้ามีอะไรแจ้งไปที่ทางช่อง ๕ ได้เลยครับ” ชายคนที่นั่งส่องไฟอยู่หัวเรือกล่าว ขณะที่มือหนึ่งถือไฟฉายคอยส่องส่ายไปมาอยู่เบื้องหน้าเรือตลอดเวลา ปากก็ร้องบอกส่งสัญญาณขอทางจากคนที่เดินอยู่บนถนนหรือเรือที่แล่นผ่านมาให้ระมัดระวัง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุตลอดทาง 

ไม่นานเรือยนต์ลำนั้นก็มาถึงจุดหมาย คุณไม่รู้จักสถานที่บริเวณนี้มากนัก จึงไม่รู้ว่าอีกไม่ไกลจากตรงนี้ก็จะถึงแยกลำลูกกาแล้ว หากรู้แต่เพียงว่าการที่ถูก”น้ำท่วมปาก” เป็นอย่างไรก็ไอ้ตอนที่ลงจากเรือลำนั้นนั่นแหละ!  พอเท้าแตะถึงพื้นถนน น้ำก็ท่วมเข้าปากพอดิบพอดี เล่นเอาคุณสำลักน้ำไปเลย พวกคุณเปียกปอนไปทั้งตัว ระดับน้ำสูงมากกว่าตอนเช้าในช่วงขามาเสียอีก ที่สำคัญน้ำกำลังไหลเชี่ยวมาก แทบจะพัดพาพวกคุณสองคนปลิวไปตามน้ำได้เลยทีเดียว เนื่องจากพวกคุณกำลังอยู่ใกล้กับบริเวณที่พนังกั้นน้ำแตก น้ำจากคลองและน้ำหลากจากทุ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้พอดี โชคดีที่พวกคุณคว้าต้นไม้ริมถนนต้นหนึ่งเอาไว้ได้ทันจึงรอดปลอดภัย แต่สภาพก็แสนทุลักทุเลเต็มที จุดนี้นี่เองที่เป็นประตูด่านแรกที่น้ำไหลทะลักเข้าสู่กรุงเทพมหานคร คุณรู้สึกอดหัวร่อไม่ได้ เมื่อมองไปเห็นป้ายสีน้ำเงินริมถนนซึ่งมีน้ำท่วมไปถึงครึ่งเสาแล้วมีข้อความเขียนว่า “ยินดีต้อนรับสู่กรุงเทพมหานคร”

สัมภาระของคุณเริ่มสร้างปัญหาหนักมากขึ้นเพราะจะสะพายเอาไว้บนหลังไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากระดับน้ำสูงขึ้นมาถึงระดับคอของคุณแล้ว อาหารแห้งที่นำมาจะพลอยเสียหายทั้งหมด สูญเสียเวลาและแรงกายไปโดยเปล่าประโยชน์ คุณจำเป็นจะต้องแบกมันไว้บนบ่า ทำให้การเคลื่อนที่ของคุณยิ่งสร้างความยากลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ผิดกับพี่ชายจากสกลฯที่ยังคงเดินตัวปลิวอยู่ในน้ำ ในช่วงวิกฤติแบบนั้นสวรรค์ยังคงมีเมตตา เพราะเชื่อแน่ว่าหากพวกคุณเดินทางไปต่อคงจะต้องจมน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะคุณที่มีสัมภาระหนักอยู่แล้ว

ฉับพลันที่พวกคุณสองคนกำลังเกาะต้นไม้ต้นหนึ่งเอาไว้และไม่รู้ว่าจะพาชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไรอยู่นั้น ก็ปรากฎเรือยนต์ขนาดใหญ่ลำหนึ่งแล่นมาหยุดบนถนนตรงที่พวกคุณยืนอยู่พอดี เรือยนต์กำลังหยุดรับคนที่กำลังลอยคออยู่บริเวณเดียวกันกับพวกคุณ เพียงแต่พวกคุณไม่ทันสังเกตเห็นเพราะมันมืดมาก ได้ยินเพียงเสียงเครื่องยนต์ของเรือเท่านั้น ไฟส่องสว่างตามท้องถนนถูกตัดขาดหมด เพื่อป้องกันไฟฟ้ารั่วซึ่งจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

“ขออาศัยไปด้วยได้หรือเปล่าครับ!” โดยที่ไม่ต้องมีการนัดแนะ พี่ชายจากสกลนครก็ร้องตะโกนขึ้นทันที
“ไปไหนหล่ะ?” เสียงดังมาจากเรือในท่ามกลางความมืดมิด ไม่ทราบเป็นเสียงผู้คนหรือภูตผี
“คลองสอง ลำลูกกาครับ!” พี่ชายตอบกลับไปทันทีทั้งที่ไม่เห็นหน้ากัน
“กี่คนหล่ะ?” เสียงโต้ตอบกลับมาเป็นคำถาม
“สองคนครับ! “ พี่ชายตะโกนขณะที่น้ำกำลังท่วมปากเช่นเดียวกับคุณ
“รีบมาเลย เรากำลังไปคลองสอง ลำลูกกาพอดี” เสียงคนบนเรือดังตอบกลับมาในท้ายที่สุด

อย่างไม่รอช้า พวกคุณสองคนจึงสละต้นไม้ต้นนั้นและลอยคอไปยังบนถนนทันที พวกคุณตะกายขึ้นเรืออย่างทุลักทุเล แต่ก็สามารถระบายลมออกจากปากได้ในที่สุด บนลำเรือมีผู้โดยสารอยู่ประมาณ ๔-๕ คน รวมกับคนเรือด้วยอีก ๓-๔ คนนับได้ประมาณ ๑๐ กว่าชีวิตและยังมีสัมภาระอย่างพวกพัดลม เต้น น้ำดื่ม ฯลฯ มาทราบภายหลังว่าเรือลำนี้เป็นเรือกู้ชีพจากหน่วยงานภาคเอกชนเดินทางมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยแถวนี้ ภายหลังจากที่ปฎิบัติภาระกิจเสร็จสิ้นก็กำลังเดินทางกลับต่างจังหวัดและบังเอิญผ่านทางมาพอดี ทราบว่ามาจากจังหวัดนครราชสีมา เวลาขณะนั้นก็ล่วงเลยมาเกือบ ๔ ทุ่มแล้ว แม้คุณยังเดินทางไปไม่ถึงบ้าน แต่คุณนับว่าผ่านจุดที่น้ำลึกที่สุดมาแล้วนั่นคือบริเวณแยกลำลูกกา หัวใจคุณยังคงตื่นเต้นไม่หายกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา แต่ในใจก็รู้สึกขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าอยู่ตลอดเวลา เรือกู้ชีพจากหน่วยกู้ภัยจากโคราชลำนี้พาผู้โดยสารผ่านแยกลำลูกกาไปได้อย่างง่ายดาย บางคนขอลงตรงแยกลำลูกกาเพื่อไปห้างเซียร์รังสิตที่อยู่เลยไปอีกหน่อย ซึ่งในเวลาอย่างนี้คงไม่พ้นต้องลอยคอไปอย่างแน่นอนเพราะดึกมากแล้ว ไม่มีเรือ ไม่มีรถ ไม่มีคน ไม่มีใครช่วยเหลือ คุณได้แต่อวยพรให้ผู้โดยสารคนนั้นอยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงบ้านแถวเซียร์รังสิตได้สำเร็จ แม่กับลูกสาวอายุประมาณ ๘-๙ ขวบอีกสองคนแวะลงที่ซอยทางเข้าวัดลาดสนุ่น เด็กหญิงทำท่าทางอิดออด เพราะเรือมีภาระกิจต้องเร่งรีบไปต่อ ไม่สามารถแวะเข้าไปส่งภายในซอยได้ จำเป็นจะต้องเดินลุยน้ำเข้าไปในซอยลึก ซึ่งเด็กหญิงบ่นว่าน้ำข้างในซอยยังลึกกว่าปากซอยตรงนี้อีก แต่ก็จำใจต้องเดินลุยน้ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง โชคดีที่พ่อของเธอก็มายืนรอรับอยู่ที่หน้าปากซอยแล้ว

เรือจากหน่วยกู้ภัยดับเครื่องลงตรงบริเวณตีนสะพานข้ามคลองสอง เพื่อนำเรือไปขึ้นรถบรรทุกที่จอดเอาไว้บนสะพาน คุณและพี่ชายจากสกลนคร และผู้โดยสารคนอื่นๆ อีก ๒-๓ คน ช่วยกันยกเรือขึ้นรถเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ช่วยมาส่งพวกคุณ คุณรู้สึกชื่นชมต่อจิตอาสาของบรรดาพวกพี่ๆ ของหน่วยกู้ภัยเหล่านี้ที่บำเพ็ญประโยชน์โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ในห้วงแห่งความเป็นความตายแบบนี้ แม้น้ำใจเพียงเล็กน้อยก็อาจมีคุณค่าเทียมฟ้าเทียมดินได้เลยทีเดียว คุณแยกทางกับพี่ชายที่มาจากสกลนครซึ่งต้องเดินทางไปพร้อมกับรถบรรทุกเรือของหน่วยกู้ภัยจากโคราชเพื่อไปลงป้ายข้างหน้าต่อไป แต่คุณก็มาพบกับพี่ชายแปลกหน้าอีกคนหนึ่งที่ลงตรงปากทางเข้าซอยที่เดียวกันพอดี จากคนที่ไม่เคยรู้จักกันก็กลับพูดจากันอย่างไม่สงวนท่าที จากการสอบถามได้ความว่าบ้านของพี่ชายคนนี้อยู่อีกฟากฝั่งของคลองรังสิตฯ แต่ก็เป็นคลองสองเหมือนกัน แต่เป็นคลองสอง ธัญบุรี นี่เป็นชื่อคลองแล้วตามด้วยชื่ออำเภอ นั่นหมายความว่าพี่ชายคนนี้จะต้องเดินลัดซอยฝ่าสายน้ำที่ท่วมสูงระดับเอวขึ้นไปเป็นระยะทางถึง ๔.๕ กิโลเมตรในค่ำคืนนี้เพื่อไปถึงจุดหมาย ในขณะที่คุณจะต้องเดินเข้าซอยเดียวกันนี้เป็นระยะทางอีก ๑.๕ กิโลเมตรก็จะถึงหมู่บ้านของคุณ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคุณอาจบางทีถอดใจไปนานแล้ว แค่ระยะทางเข้าซอย ๑.๕ กิโลเมตรในสภาพที่อ่อนล้าแบบนี้คุณยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเดินไปได้ถึงหรือเปล่า? แต่พอเห็นพี่ชายแปลกหน้าคนนั้นยังคงยิ้มแย้มเดินลุยน้ำเข้าซอยพร้อมกับคุณ คุณก็อดนึกนับถือในหัวจิตหัวใจของพี่ชายคนนี้ไม่ได้ ที่สำคัญแกก็เป็นคนอีสาน... 

“ลุงกำลังจะไปไหน?” เสียงพี่ชายแปลกหน้าคนที่มาพร้อมกับคุณทักทายชายชราคนหนึ่งที่กำลังเดินลุยน้ำอยู่เบื้องหน้า แกกำลังเดินลากเรือไม้ลำหนึ่งที่สร้างขึ้นเองอยู่กลางถนนซึ่งมีน้ำท่วมระดับเอว
“ไปส่งคนมาว่าแต่จะไปไหนกันหล่ะ ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้?” ชายชราตอบพร้อมกับคำถาม 
“ไปฝั่งโน้น คลองสองธัญญะ” พี่ชายคนแปลกหน้าตอบ
“โอ้โฮ! เดินสุดซอยเลยละซิ ไกลโขอยู่นา ลุงไปแค่ฟ้าครามใกล้ๆนี้เอง” ชายชราทำท่าตกใจ แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็บังเกิดขึ้นอีก เห็นๆ อยู่ว่าระดับน้ำสูงขนาดนี้ไม่น่าจะมีรถอื่นยกเว้นรถของทหารซึ่งหยุดทำการไปแล้วตั้งแต่ ๒ ทุ่ม ที่อาจจะสามารถวิ่งบนถนนที่มีน้ำท่วมสูงแบบนี้ได้ยกเว้นเรือ นั่นก็คือปรากฎว่ามีรถปิ๊กอัพกำลังขับมาอย่างช้าๆ จนตามมาทันพวกคุณพอดีภายหลังจากที่เดินเข้าซอยมาได้สักระยะหนึ่ง
“เดี๋ยวๆ รอก่อนๆ รับสองคนนี้ไปด้วย จะไปถึงไหนกันหรือ?” ชายชราใช้มือทำท่าโบกรถพร้อมกับตะโกนถามรถปิ๊กอัพคันนั้นไป
“ไปแค่ปั๊มบางจากครับ ว่าแต่พวกพี่จะไปถึงไหนกัน?” ชายบนรถสอบถามขณะให้คนขับหยุดรถใกล้ๆ กับพวกคุณสามคน
“ผมไปลงที่ปั๊มก็ได้ครับ” พี่ชายตอบ ปั๊มบางจากอยู่ที่ระยะประมาณ ๒.๕ กิโลเมตรจากปากซอย สำหรับคุณแล้วได้แต่นึกขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจจนพูดอะไรไม่ออก เพราะหมู่บ้านของคุณเป็นเพียงแค่ทางผ่านของรถคันนี้เท่านั้นเพราะอยู่ที่ระยะ ๑.๕ กิโลเมตรเท่านั้นเอง ในขณะเดียวกันก็พลอยดีใจกับพี่ชายคนแปลกหน้าที่ลดระยะทางในการเดินเท้าฝ่ากระแสน้ำที่ยังคงเชี่ยวกรากในยามดึกดื่นแบบนี้ไปได้กว่าครึ่งทางเลยทีเดียว
“แล้วลุงหล่ะไปไหนมา?” ชายบนรถร้องถามชายชราด้วยความสงสัย ที่ยังเห็นว่าดึกดื่นแบบนี้ยังมีคนเดินลุยน้ำอยู่บนถนนอีก ซึ่งเวลาขณะนั้นก็ปาเข้าไปเกือบ ๕ ทุ่มแล้ว
“ไปส่งผู้โดยสารมา! จะไปหมู่บ้านฟ้าครามแค่นี้เอง” ชายชราตอบพร้อมกับยิ้ม
“คงจะได้เงินหลายหล่ะซิท่าลุง?” ชายบนรถกระเซ้าเย้าแหย่ชายชราด้วยท่าทีเป็นมิตร
“เป็นกรรมการหมู่บ้าน ทำงานฟรี ฮา ฮา” ชายชราตอบพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“ถ้าอย่างงั้นเป็นอีก ๘ สมัยน่ะลุง ผมสนับสนุนเต็มที่ มาขึ้นรถ!” ชายบนรถกล่าวพร้อมกับหัวเราะ ขณะหยุดรถรับพวกคุณ ส่วนลุงแกใช้เชือกที่ลากเรือลำนั้นผูกเข้ากับท้ายรถ ตัวแกก็เอามือเกาะที่ท้ายรถลอยน้ำตามรถไป สร้างความขบขันให้กับคนบนรถจนหัวร่อกันท้องคักท้องแข็งไปตามๆ กัน ตลอดรายทางยังมีคนขออาศัยพ่วงเรือกับท้ายรถ บางคนก็เกาะรถ บางคนนั่งอยู่บนเรือแล้วให้รถลากไป สรุปแล้วรถปิ๊กอัพคันนั้น คนบนรถมีประมาณ ๗-๘ คน ที่เกาะอยู่ท้ายรถลอยตามน้ำบ้าง นั่งบนเรือพ่วงกับรถที่ตรงข้างล่างนั่นบ้างอีกประมาณ ๔-๕ คนลอยมาเป็นขบวน ภาพที่คุณเห็นทำให้อดที่จะหัวร่อออกมาไม่ได้ ทำให้คุณลืมเลือนความทุกข์ยากในค่ำคืนนั้นไปเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว ภาพรถลากเรือแบบนี้หาดูที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ กระทั่งนอนฝันคุณยังไม่เคยฝันเห็นมาก่อน!

ภายหลังจากที่บอกลาพี่ชายคนแปลกหน้าก่อนจะลงจากรถแล้ว  คุณก็ไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับพี่ชายคนนั้นอีกเลย ไม่รู้ว่าแกจะโชคดีได้โดยสารรถหรือเรือฟรีไปจนถึงสุดซอยอีกหรือเปล่า? ค่ำคืนที่ปาฎิหาริย์แบบนี้ ภายใต้การจัดการของพระผู้เป็นเจ้าอะไรๆ ก็สามารถบังเกิดขึ้นได้ คุณเดินเข้าบ้านในสภาพไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตกน้ำตัวหนึ่ง ชาวบ้านที่พบเห็นคุณรู้สึกประหลาดใจในสภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัว บางคนเดินเข้ามาสอบถามความเป็นไป แต่คุณก็บอกได้แต่เพียงว่าคุณออกไปข้างนอกมา และเตือนว่าระดับน้ำตรงแยกลำลูกกาท่วมสูงจนมิดหัวแล้วไม่สามารถผ่านไปได้อีก คุณพูดเพียงเท่านั้น แม้ภายในหมู่บ้านของคุณจะระดมคนและเครื่องสูบน้ำจำนวนมากเท่าไหร่แต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงดันอันมหาศาลของน้ำเอาไว้ได้ น้ำได้รั่วซึมผ่านกำแพงของหมู่บ้านที่อยู่ติดกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำภายในหมู่บ้านของคุณท่วมสูงสุดโดยเฉลี่ยประมาณหัวเข่า ระดับน้ำเริ่มปริ่มที่จะท่วมถึงบริเวณชั้นหนึ่งของบ้านพอดี และบางส่วนได้เอ่อท่วมภายในครัวและห้องน้ำชั้นล่างแล้ว คุณเริ่มใช้ขันพลาสติกวิดน้ำออกจากในครัว จนยอมแพ้ในที่สุด แต่โชคก็ยังเข้าข้างคุณเพราะยังไม่ทันที่น้ำจะท่วมชั้นหนึ่งส่วนใหญ่ทั้งหมด น้ำก็ค่อยๆ ลดระดับลงเสียก่อน อาจเป็นเพราะภายในหมู่บ้านได้เพิ่มจำนวนเครื่องสูบน้ำมาใหม่อีก ๓ เครื่อง นับของเก่ารวมด้วยแล้วมีประมาณ ๗-๘ เครื่อง ซึ่งคุณก็ได้ออกไปช่วยจิตอาสาของหมู่บ้านติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่ม ในวันที่ระดับน้ำภายในหมู่บ้านขึ้นถึงจุดสูงสุด และหลายคนเริ่มถอดใจยอมแพ้ไปแล้ว วันนั้นเหลือเพียงคุณและจิตอาสาอีก ๓ คนที่ยังคงไม่ยอมแพ้และช่วยกันติดตั้งเครื่องสูบน้ำใหม่ได้จนสำเร็จ ซึ่งเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนคุณจึงกลับบ้านมานอนพักผ่อน จากวันนั้นเป็นต้นมาคุณก็ไม่กล้าที่จะก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านอีกเลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณเดือนกว่าๆ ที่น้ำลดลงจนแห้งสนิทนั่นแหละคุณจึงได้ออกมาและเห็นร่องรอยของระดับน้ำที่ถนนหน้าหมู่บ้านสูงประมาณ ๑ เมตรเศษๆ มันปรากฎหลักฐานอยู่ตามกำแพง เสาไฟฟ้าและต้นไม้แทบทุกต้น ไม่ต่างอะไรกับเรื่องราวที่ถูกจดจารึกเอาไว้บนหน้าตำราทางประวัติศาสตร์

เมื่อถนนใช้การได้ตามปกติแล้ว คุณได้มีโอกาสผ่านมาแยกลำลูกกาอีกครั้งหนึ่ง และพบเพียงร่องรอยความเสียหายมากมาย ต้นไม้หลายต่อหลายต้นยืนต้นแห้งตาย บ้านเรือนเสียหายอย่างหนักและขยะที่กองอยู่ตลอดรายทางสูงดังภูเขาเลากา ในช่วงเวลาที่น้ำท่วมก็ยังมีข่าวลือมากมายเกิดขึ้น เช่นว่า....สนามกีฬาตรงบริเวณแยกลำลูกกานั้นพบซากปลาและแมวนอนตายเกลื่อนคล้ายถูกเขี้ยวของสัตว์ขนาดใหญ่ขบกัด คาดว่าจะเป็นจระเข้ ข่าวยังบอกว่าจระเข้าที่เลี้ยงเอาไว้ในสนามก๊อล์ฟที่อยู่ด้านหลังสนามกีฬาตรงบริเวณแยกลำลูกกานั้นหลุดออกมาจำนวนมากเนื่องจากน้ำท่วมสูงถึงบ่อเลี้ยงของพวกมัน บางข่าวยังบอกว่าขณะที่ชาวบ้านหมู่บ้านฟ้าครามกำลังพายเรืออยู่บนถนนในหมู่บ้านเผอิญไม้พายได้ไปกระทบถูกกับสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่เข้า ชาวบ้านคนนั้นซึ่งเป็นผู้หญิงวัยกลางคนจึงรีบสละเรือกระโดดขึ้นบนกำแพง และมองเห็นชัดเจนว่าเป็นจระเข้ตัวใหญ่ มันได้มุดน้ำหายไปตรงบริเวณป่ากกหลังหมู่บ้านนั่นเอง ข่าวยังเล่ากันต่อไปอีกว่าเจ้าอาวาสที่วัดแถวนั้นเตือนให้ชาวบ้านระวังจระเข้ โดยอย่าออกจากบ้านในเวลาพลบค่ำซึ่งเป็นเวลาออกหากินของพวกมัน เพราะมีเด็กในหมู่บ้านถูกจระเข้กัดเสียชีวิต เป็นเด็กผู้หญิง ศพยังตั้งบำเพ็ญอยู่ที่ศาลาวัด ซึ่งยังไม่สามารถทำการฌาปนกิจได้ เนื่องจากวัดก็ถูกน้ำท่วมสูงเช่นกัน...ฯลฯ






tiger_crocodile.gif				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน