หลายปีก่อนผมได้มีโอกาสไปศึกษาที่ประเทศอเมริกา เนื่องจากเกรงใจทางบ้านที่ส่งเสียผมมาตลอด จึงใช้เวลาว่างเท่าที่มีทำงานเก็บเงินเพื่อจะได้สนองความต้องการตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งทางบ้านเด็กที่ไปเรียนนอกโดยธรรมชาติจะจับกลุ่ม กลุ่มใครกลุ่มมันขึ้นอยู่กับ way of life หรือ life-style เช่นว่ามีเงินเหลือให้ผลานมากพอๆกัน ก็อยู่กลุ่มเดียวกัน หรือชอบธรรมชาติเหมือกัน ชอบศึกษาห้างสรรพสินค้าเหมือนกัน (กลุ่มนี้พอจบกลับมานึกว่าจะมาเปิดห้าง แต่เห็นมาศึกษาห้างเมืองไทยต่อ คงเป็นการศึกษาต่อเนื่อง ประมาณนั้น) บ้างก็ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน บางกลุ่มก็ลงเรียนวิชาเดียวกัน ก็ช่วยกันอ่านช่วยกันเรียน ส่วนประเภทของผมไม่ค่อยติดเป็นกลุ่มเพราะแยกกันดังชะมากกว่า เราเรียกประเภทนี้ว่า ประเภทเห็นแก่เงินครับ ทำงานไว้ก่อน พอมีเวลาว่างก็ไปแจมกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ตอนนั้น แฟนผมก็ไปด้วยแต่เธอเป็นลูกคนมีตังค์ งานนอกเวลาเรียนจึงไม่จำเป็นนัก เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาให้เธอมากนักหรือเป็นเพราะเธอมีเวลาเหลือมากเกินไป เหมือนนักเรียนนอกคนอื่นๆ ซึ่งก็คือเพื่อนๆผมนั่นเอง เธอก็เลยเปลี่ยนฐานะจากแฟนผมไปเป็นแฟนเพื่อนซะ คือเค้าคงอยู่กลุ่มเดียวกัน จำได้ว่าตอนนั้นแย่ไปเหมือนกัน แต่พอทำงานมากๆเข้า ไม่มีเวลาอยู่ว่างๆ ให้คิดมาก ก็ทำให้พอใช้ชีวิตไปได้กระท่อนกระแท่น ขณะที่เรียนอยู่ที่นั่นได้ เกือบปี ก็ได้มีโอกาสรู้จักน้องคนนึงเข้าพอดีเค้าไปเรียนพร้อมเพื่อนผมคนนึงซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่เค้าเรียนคนละที่กับผมนะ ห่างกันเกือบสองร้อยไมล์ ตอนเห็นน้องเค้าครังแรกก็ปิ้งเลย รู้สึกได้เลยว่า สดชื่น ความหมายของคำว่า น้ำหล่อเลี้ยงชีวิต กระจ่างชัดขึ้นทันที ทั้งๆที่ตัวเองไม่ค่อยมีเวลาอยู่แล้ว ยังสามารถขับรถไปหาน้องเค้าซึ่งเรียนอยู่อีกเมือง ต้องขับรถประมาณ สามชั่วโมง ไปกลับก็ปาเข้าไปหกชั่วโมง หนักๆเข้าบางอาทิตย์ไปเช่าโรงแรมนอนที่นั่นเลย เราก็ฟอร์มประมาณว่าไปหาเพื่อนเรา อ้อลืมไปเพื่อนเราที่ว่าเนี่ยเป็นผู้หญิงด้วย ที่แย่ก็คือเพื่อนเราดันนึกว่าเราจีบ กว่าจะคุยกันรู้เรื่องหนะโลกเกือบเบี้ยวเลย ส่วนน้องเค้าพอรู้ว่าเราชอบก็ไม่ถึงกับปิดกั้นอะไร แต่เธอกลับเล่าอะไรให้ผมฟังอย่างนึง คือทางบ้านเธอเชื่อหมอดูมาก ก่อนมาเรียนต่อเนี่ย แน่นอนต้องดูหมอมาก่อน (จริงๆต้องเรียกว่า ไปให้หมอดู ดู จริงมะ ถ้าไปดูหมอเนี่ย ไปถึงมองหมอแวบนึง แล้วต้องกลับเลย อย่านะ หมอ อย่าหันมา อย่าดูหนู เพราะหนูมาดูหมอ ประมาณนี้นะ) เรื่องก็คือ หมอดูบอกว่า ระหว่างที่เรียน ห้ามมีแฟน คนที่จะมาจีบเนี่ยะน่ากลัวมาก เป็น เสือผู้หญิง (เสือผู้หญิงเนี่ยนะ เป็นเสือประเภทไหนก็ไม่รู้ สงสัยเป็นเสือตัวเมีย ก็ไม่ไช่เสือผู้ชายนี่ เสือสมิงรึปล่าวก็ไม่รู้ เอาหละ เป็นอันว่าใครอย่ามาจีบหล่อยเชียว เอ็งต้องเป็นเสือกระเทยแน่ นอกจากว่าเอ็งจะเป็นทอม) น่ากลัวมาก มีโอกาศถูกฟันแล้วทิ้ง ( ผมว่าหมอดูพูดผิด เพราะผมหาไอ้เสีอฟันแล้วทิ้งอยู่นาน พึ่งมาเจอตอนกลับมาเมืองไทยแล้ว เห็นว่าชื่อหมอวิสุทธิ์อะไรนี่แหละ ที่แกฟันแฟนแกเป็นชิ้นเลย แฟนแกก็อยู่กลุ่มเดียวกันคือกลุ่มหมอ ต่อมาคนที่มาช่วยไขคดีก็เป็นหมอเหมือนกัน หมอคนนี้สงสัยชอบ ร๊อด สต๊วด ไว้ผมประมาณนั้น ไม่รู้ไอ้กลุ่มหมอนี่ยังงัยทะเลาะกันจัง) ด้วยความมั่นใจในตัวเองว่าถูกอบรมมาดีพอ พ่อ แม่ก็เป็นคนแล้วเราจะเป็นเสือได้งัย คนที่มาจีบน้องเค้าก็ออกเยอะคงเป็นคนอื่นแนะ ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ก็ต้องช่วยดูแลสุภาพสตรีอยู่แล้ว ก็คบกันไปเรื่อย จนกลุ่มเธอตัดสินใจย้ายมาเรียนที่เดียวกับผม (บอกแล้วไอ้กลุ่มเดียวกันเนี่ย คิดและทำเป็นสามัคคีเสมอ) เนื่องจากอยู่มานานกว่า ก็จะรู้ว่าจะหาที่พักยังงัย กินนอนยังงัย ซื้อของที่ไหนถูก ก็มีโอกาสใกล้ชิดมากขึ้น สิบเดือนผ่านไปเร็วเหมือนโกหก (ถ้าเป็นโกสี่ หรือโกห้าเนี่ยะ จะช้าหน่อย ใช้กับ สามถึง สี่เดือน) ผมเรียนจบและเราเป็น แฟนกัน ผมกลับมาบ้านด้วยหัวใจถวิลหา ไม่มีสักชั่วโมงที่สติตื่นอยู่โดยไม่คิดถึง ความสุขที่เคยมีกลายเป็นความทรมาน นี่ไม่ได้เว่อร์นะ เป็นงั้นจริงๆ ไอ้เพลงที่ถึงพิจรณาว่าน้ำเน่านั่นหนะ ถึงอารมณ์ดีนักหละ วันไหนดูหนังเศร้านะ ยิ่งไปกันใหญ่ นึกไปถึงครั้งที่อกหักก็ยังไม่เศร้าเท่า หรือเป็นเพราะตอนนั้นเราไม่มีเวลาว่างนัก ก็เลยรีบหางานทำสิเผื่อว่าถ้ายุ่งๆจะหายคิดถึงงัย ก็ได้ทำงานในบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง ดีเลยงานยุ่งดีต้องโทรติดต่อต่างประเทศบ่อยๆ เวลาทำงานเกือบไม่พอ ทำจนค่ำทุกวัน จะทำทันได้งัย ก็วันๆใช้โทรศัพท์บริษัทโทรทางไกลไปคุยกับแฟน วันๆเป็นชั่วโมง พอเช้ามาก็โทรเลย เก้าโมงเรา ก็สามทุ่มทางโน้น พอดีเลย เจ้านายเห็นก็คิดว่าเราขยันสิ คุยโทรศัพท์ยุ่งทั้งวัน เลิกงานเย็น ยังไม่สองเดือนเลย พ้นโปรแล้ว เรื่องมาแย่ลงตรงที่ พอหลังๆโทรไปแล้วเธอไม่ค่อยอยู่บ้าน อ้างว่าไปติวหนังสือกับเพื่อน หลายวันที่ผมโทรไปตอนเที่ยงซึ่งตรงกับเที่ยงคืนที่นั่น (เจ้านายยิ่งชื่นชม ขนาดเที่ยงยังไม่พักเลย) ต่อมายิ่งหนักขึ้นเพราะบางวันเธอไม่กลับบ้านเลย ทีนี้ยิ่งเศร้าหนักเลย คิดไปต่างๆนาๆ(อั่นแน่ คิดอะไรอยู่ครับ ไอ้ต่างๆนาๆของผมเนี่ย น่าสงสัยไช่มั๊ย) ใครจะไม่คิดได้หละ ถ้าใครเคยต้องอยู่หอพักตอนเรียนมหาลัยจะเข้าใจ คือการไม่กลับห้องตอนช่วงสอบเนี่ยเป็นเรื่องธรรมดาเลย เพราะต้องติวกันมาก แล้วตอนกลางคืนหนะไม่ค่อยมีสิ่งที่จะมาทำให้เสียสมาธิ แต่ก็ทั้งรู้นะ ก็คิดมากอยู่ดี เธอก็บอกนะว่าวันไหนจะไปไหน แต่ผมก็ทุกข์ใจอยู่ดี ผมลางานเลย บินไปหาเลย เจ้านายก็อนุญาติสิเพราะเห็นเราขยันมาตลอดกลัวเราเครียดเกินไป คงสังเกตุเห็นว่าพักหลังหน้าตาเศร้าหมองไป พอบินไปหาทุกอย่างก็สดใสขึ้น ทำให้มีกำลังใจกลับมาทำงานต่อไป แล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเมื่อเธอต้องสอบอีกครั้ง ผมเองก็กลัวว่าเธอจะรำคาน ก็เลยไม่พยายามกวนใจเธอ พยายามใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ชวนเพื่อนที่ทำงานเล่นกีฬาตอนเย็นๆ ไปตีเทนนิสบ้าง แบ็ตบ้าง ก็พอทุเลา ช่วงแรกๆกลุ่มก็ข้อนข้างใหญ่ แบบว่า การเล่นกีฬาเนี่ยฟังดูดีนะ เพื่อสุขภาพงัย แต่ก็อย่างที่รู้นะ นิสัยเนี่ยะสำคัญกว่า เพราะถ้าไม่ได้ชอบจริง ไปเล่นได้ไม่กี่ครั้งก็ไม่ไปแล้ว คนที่ไปเล่นกีฬาได้ตลอดมีสองประเภท ประเภทที่หนึ่งคือชอบออกกำลัง ชอบเล่นกีฬา อีกประเภทคือมี something คือมีจุดประสงค์แฝง อย่างเช่น อยากลืมเรื่องทุกข์ใจ(นั่นเป็นเหตุผลของผม) หรือแอบปิ้งคนที่เล่นกีฬาด้วยกัน(นั่นคือเหตุผลของเธอ(อีกคน)) ต่อมาไม่นานกลุ่มก็เล็กลงจนเหลือคนเพียงประเภทเดียว คือพวกมีจุดประสงค์แฝงงัย คือเหลืออยู่สองคน ต่อมาก็ได้รู้ว่าเธอแอบชอบผมมานาน คอยเอาใจไปหมด เอาไปหมดจริงมั๊ย คงไม่หรอก เพียงรู้ว่าเราจะไม่เหงาถ้าไม่รีบกลับบ้าน ก็แค่นั้น ทีนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเราก็เล่าให้แฟนเราฟัง แล้วเธอก็หึง แล้วเธอก็เริ่มมีเรื่องของเธอมาเล่าให้เราฟัง แล้วเราก็ทะเลาะกัน ทีนี้มันยากนะจะง้อกันข้ามทวีปเนี่ย ในที่สุดเราก็เลิกกัน เธอกลายเป็นแฟนของติวเตอร์คนนั้น ส่วนผมเป็น เสือผู้ชาย
18 มกราคม 2547 03:44 น. - comment id 70732
เพิ่งมาอ่านเนี่ย ตลกดีค่ะ แต่อยากให้เขียนเว้นวรรค กะ ย่อหน้า มันนอ่านแลวลายตาพรึ่บค่ะ
18 มกราคม 2547 14:47 น. - comment id 70734
คงจะเล่าข้ามขาดตอนสำคัญๆ ไปเยอะ อิอิ
19 มีนาคม 2547 18:29 น. - comment id 71932
กี่เรื่องกี่เรื่อง นายก็รักษาระดับภาษาของนายได้ดีมาก ๆๆๆๆๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็นนาย แต่ถามจริง ๆเถอะ มีความรักกับเค้าเป็นด้วยหรือค่ะ....ดีใจเสมอที่ได้อ่าน.....