.... สาวน้อยหน้าใส...ในค่ายเมืองแขก ....

ผีเสื้อปีกบางฯ

ในช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม ๒๕๔๓ จาวตาลได้มีโอกาส 
ไปเข้าค่ายสัมมนา ที่เมือง ราจอร์ ประเทศบังคลาเทศ
ในฐานะตัวแทนเยาวชน กลุ่มประสานงานเยาวชนเพื่อเยาวชน
(Youth Co-Ordination Center, Thailand) ภายใต้หัวข้อ
"เยาวชนเพื่อสันติภาพ" การสัมมนาครั้งนี้ประกอบด้วยตัวแทน
จาก ๑๒ ประเทศ คือ ประเทศไทย กัมพูชา เนปาล ญี่ปุ่น 
สวิสเซอร์แลนด์ บังคลาเทศ เยอรมัน เคอกีซสถาน เวียดนาม 
อินเดีย ปากีสถาน และ อออสเตรเลีย โดยมีจุดมุ่งหมาย 
เพื่อให้เยาวชนจากองค์กรและประเทศต่างๆ ได้แลกเปลี่ยน
ทัศนคติต่อกัน ร่วมกันแก้ปัญหา และเป็นกำลังสำคัญ 
ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งให้ผู้หญิงมีโอกาส
แสดงความคิดเห็น ได้เท่าเทียมกับผู้ชาย				
วันแรกในค่ายสัมมนา

อยากกลับบ้านมากๆ เพราะไม่มีเพื่อนนอกจากคนไทยด้วยกัน 
ทั้งไม่สามารถ รับประทานอาหารที่นั่นได้ เพราะล้วนแล้วแต่เป็น
อาหารที่ไม่เคยเห็น และหน้าตาของอาหาร ก็ดูไม่น่ารับประทาน
  
อาหารของบังคลาเทศ ที่ต้องรับประทาน ทุกวัน และทุกมื้อ คือ 
" ดาล " เป็นแกงถั่วเหลือง ไว้สำหรับราดข้าว และมี แกงกล้วย 
แกงมัน รสชาดคล้ายแกงมัสมั่น 
" บะจี๊ "  เป็นผัดมันฝรั่ง และมะละกอ

สำหรับมื้อเช้า ก็จะมีดาลกับโรตี ซึ่งจำไม่ได้ว่า โรตี ในภาษาแบงแกรี 
เรียกว่าอย่างไร แต่บางวัน ก็จะเป็นข้าวผัดถั่วเหลือง และ ที่สำคัญคือ 
ไม่สนิทใจนัก ที่จะทานข้าวด้วยมือ จาวตาล ก็ทาน บะหมี่สำเร็จรูป 
กับเพื่อนร่วมห้อง ชาวไทย ญี่ปุ่น เยอรมัน และสวิสเซอร์แลนด์
ซึ่งเพื่อนๆติดใจมาม่าเมืองไทยมาก ( เพื่อนชาวญี่ปุ่นขอให้ส่งมาม่า
ไปให้ตอนจาวตาลกลับมาเมืองไทย  ปรากฏว่าซื้อมาม่า 100กว่าบาท
ค่าส่ง 500 บาท )				
อาหารบังคลาเทศ


วันที่สอง

จาวตาลเริ่มมีเพื่อนค่ะอิอิอิก็แบบว่าสนิทกะเค้าไปทั่ว สนิทกับทุกคนในค่าย
กล้าที่จะใช้ภาษาอังกฤษ ทุกคนที่นี่เป็นมิตร ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะ
จาวตาล เป็นน้องเล็กของค่าย ก็พี่ๆ มีตั้งแต่เรียน ม.๖ จนถึง เรียนปริญญาโท 
มีจาวตาลคนเดียวที่อยู่แค่ ม.๓ พี่ๆ ก็เลยเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ. 
(อิอิอิ.อิจฉาแล้วละสิ) มาช่วยแนะนำอาหารกันใหญ่ คงกลัวจาวตาล
จะทานไม่ได้มั๊งคะ แต่ผิดคาดค่ะ พอเริ่มรู้จักอาหาร เริ่มชิม ก็เริ่มอร่อย 
บางมื้อเติมข้าว ๔ หนแน่ะ 

(ลืมเล่าไปค่ะพี่ๆ คนไทยที่ไปด้วยกันมีทั้งหมด ๕ คนค่ะ เรียนจบแล้ว ๒ คน 
อยู่ธรรมศาสตร์ปี ๒ หนึ่งคน อีกคนเรียน ม.๖ แล้วก็จาวตาล) 

คืนวันที่ ๒ เราเรียกว่า "คืนบังคลาเทศ" ทุกคนในค่าย จะแต่งชุดพื้นเมือง
เรียกว่า "ซาลาวาค กุ๊ดตา" และ "ส่าหรี" มีการแสดงร่ายรำ การแสดงดนตรี 
และมีอาหารพื้นเมือง อีกมาก ที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน 
(แหะๆ ๆ อาหารอีกแล้ว) การแสดงคืนนี้ เป็นการแสดงที่สวยงาม 
และประทับใจทุกๆ คนมาก				
หม่ำๆๆๆๆๆๆๆๆ.....ด้วยมือ


วันที่สาม และ วันที่สี่

ขอเล่าแบบรวบเป็น ๒ วันเลยนะคะอิอิอิ...ไม่ใช่ขี้เกียจ
แต่เป็นการลงมือทำงาน แบบจริงจัง (ทำหน้าเครียดแล้วนะเนี่ย)
มีการแบ่งกลุ่มทำงาน ตามความสนใจ โดยแบ่งเป็น ๖ กลุ่ม

๑. การศึกษา
๒. สิ่งแวดล้อม
๓. ตลาดเสรี
๔. ชนกลุ่มน้อย
๕. แรงงานเด็ก
๖. เด็กในเมือง

กลุ่มของจาวตาลประกอบด้วย เคอกีซสถาน เยอรมัน และไทย 
รับผิดชอบเรื่องเด็กในเมือง ทุกประเทศที่รับผิดชอบเรื่องนี้ 
จะพบปัญหาที่คล้ายคลึงกันคือ พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ให้ความรัก 
ความอบอุ่น แก่ลูกไม่เพียงพอ ทำให้เด็กไม่มีที่ปรึกษา ซึ่งอาจทำให้ 
เด็กตัดสินใจผิดพลาด เด็กอาจไปคบเพื่อนไม่ดี มั่วสุม ใช้ยาเสพย์ติด 
หรือ เลยไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ จนเป็นสาเหตุของปัญหาโรคเอดส์ 
ปัญหาการทำแท้ง ปัญหาของเด็กกำพร้า ปัญหาเด็กเร่ร่อน 
ซึ่งทางกลุ่มก็ได้สรุปวิธีการป้องกันปัญหา และการแก้ไขปัญหา
โดยจัดเป็นโครงการ ๓ โครงการ คือ

    - โครงการกิจกรรมสังคม เป็นใครงการสร้างกิจกรรมย่อยๆ ในสังคม
เช่น การปลูกต้นไม้ การแข่งขันกีฬา เป็นต้น เพื่อเด็กๆ จะได้ใช้เวลาว่าง
ให้เกิดประโยชน์ จะได้ไม่ไปมั่วสุม หรือ ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด

    - โครงการจัดอบรม เพื่อให้ความรู้แก่ พ่อ แม่ เด็กๆ โดยจิตแพทย์ 
อาจารย์ที่สอนจิตวิทยา นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ นักเรียนจาก รร. ต่างๆ
อาสาสมัครจากมูลนิธิ และองค์กรต่างๆ ซึ่งได้ผ่านการอบรมการเป็นวิทยากรมาแล้ว 

    - โครงการพี่ชายพี่สาว เป็นโครงการที่จะมอบหมายให้อาสาสมัคร 
ที่อยากเป็นพี่ ไปช่วยดูแลน้องที่พ่อแม่ไม่มีเวลา หรือต้องการคนปรึกษา 
เพื่อที่น้องจะได้ไม่หลงไปในทางที่ผิด และมีพี่เป็นแบบอย่างที่ดี

แต่ก่อนที่จะเริ่มโครงการทั้งหมด จะต้องมีการกำหนดพื้นที่เป้าหมาย 
เก็บรวบรวมข้อมูล จากพื้นที่เป้าหมาย ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง 
เด็กๆ มีความต้องการอะไร เสียก่อน  และงานที่จะต้องทำต่อ
หลังจากกลับมาเมืองไทยคือ นำโครงการต่างๆมาปฏิบัติจริง
ให้เป็นรูปธรรม โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิทรัพยากรเอเชีย

ระหว่างที่อยู่ในค่ายสัมมนา มีพายุเข้า ไฟดับตลอด ๓ วัน 
ไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปา มีแต่น้ำบาดาล ที่ชาวค่ายทั้งหลาย 
ได้ใช้ดื่มกัน (แบบว่า เหม็นสนิม มากๆ ๆ ๆ ๆ ๆ )				
เตรียมงาน.....ก่อนนำเสนอ 


วันที่ห้า และ วันที่หก

๒ วันนี้เป็นวันที่ชาวค่าย (ทั้งหมด ๔๐ กว่าคน) รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก 
ที่ได้รับเชิญ ไปร่วมรับประทานอาหาร กับท่านเจ้าเมือง 
ต้องนั่งรถไปประมาณ ๓ ชั่วโมง เพื่อไปรับประทานอาหาร 
ระหว่างทางเราก็จะเห็นสภาพบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของเมืองราจอร์ 
ซึ่งเป็นเมืองชนบท ค่อนข้างเงียบ รถแทบจะไม่มี มีเพียงสามล้อถีบ
ที่เรียกว่า " แพ " เท่านั้น ซึ่งจะแตกต่างกับ เมืองดาร์กา ที่เป็นเมืองหลวงมาก 

เมืองดาร์กา เป็นเมืองที่แออัด ผู้คนค่อนข้างไร้ระเบียบ เช่น 
การใช้ถนน แทบไม่มีคนปฏิบัติตามกฎจราจรเลย ไม่มีการดูไฟจราจร 
ใครนึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา ทำให้รถติดกันมาก 
และที่เป็นที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ประชาชนที่นี่มีความแตกต่างกัน
ทางฐานะมากคนรวยก็จะรวยมาก และคนส่วนใหญ่มีฐานะยากจน 
บังคลาเทศมีขอทานเยอะมากๆ เวลาเดินไปไหนจะมีขอทานเดินตาม 
เป็นสิบๆ คน เพื่อนชาวบังคลาเทศบอกว่า พวกที่มาขอเงินคิดว่า 
เราเป็นนักท่องเที่ยว แต่งตัวต่างจากคนที่นั่น คงจะมีเงินมาก 

การแต่งตัว ในบังคลาเทศ คนบังคลาเทศ จะไม่แต่งตัว แบบตะวันตกเลย 
และเคร่งศาสนามาก (เป็นมุสลิม) ทุกคนจะใส่ส่าหรี หรือไม่ก็ 
ซาลาวาค กุ๊ดตา (เป็นเสื้อยาว กางเกงขายาว และมีผ้าพาด)
จาวตาล ยังซื้อกลับมาใส่ ที่เมืองไทยเลยนะคะ ใส่สบาย เพราะเป็นผ้าป่าน 
ปักมือ สวยมากๆ ๆ ๆ ๆ ราคาก็ถูก ที่จาวตาลซื้อก็ชุดละ ๓๐๐ กว่าบาทเอง 
(ได้ทั้ง เสื้อ กางเกง ผ้าพาด แค่ผ้าพาดก็ยาวเกือบ ๒ เมตร แล้วค่ะ
แถมยังมีลายปักอีกด้วย ปักด้วยมือทั้งหมดเลย)

เวลาที่พวกเราไปเดินซื้อของ หรือไปไหนๆ ก็จะมีคนมารุมล้อม 
(ไม่ใช่เฉพาะขอทานนะคะ) เป็นร้อยๆ แบบว่าเห็นเราแต่งตัวแปลกไป 
อิอิอิอิ.แหมๆ ๆ เขินอ่ะ ยิ่งกว่าดาราซะอีก 

ในวันที่ ๖ พวกเราชาวค่าย คณะของท่านเจ้าเมือง และ นักศึกษาในมหาวิทยาลัย
ได้ร่วมกันเดินขบวนรณรงค์เรื่องสันติภาพ ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวบ้านมาก				
จาวตาลกะพี่ๆในค่าย


วันที่เจ็ด

ในที่สัมมนาได้มีการนำเสนอปัญหาของประเทศต่างๆ ซึ่งจาวตาลได้เป็น
คนนำเสนอปัญหาในจังหวัดเชียงใหม่ ที่พวกเรา 
(YCC - กลุ่มประสานงานเยาวชนเพื่อเยาวชน) ได้ไปลงพื้นที่มา
เมื่อไม่นานนี้เอง ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีโสเภณีเด็ก การใช้แรงงานเด็ก 
และแรงงานข้ามชาติมาก จนเกือบจะเรียกได้ว่า 
มากที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ โสเภณีเด็กที่พบส่วนใหญ่ 
มักจะใช้และขายยาเสพติดควบคู่ไปด้วย และเคยพบว่ามีเด็ก
ที่อายุต่ำกว่า ๑๓ ปี อยู่ด้วย มีมูลนิธิพัฒนาเอกชนได้จัดตั้งโรงเรียน
ที่ให้การศึกษาฟรี คือ โรงเรียนม่อนแสงดาว ที่สอนให้เด็กได้รับรู้ปัญหาต่างๆ 
และจะได้กลับไปเล่าให้คนในหมู่บ้านฟัง แต่วิธีนี้ก็ช่วยได้บ้าง เพียงเล็กน้อย 
เพราะคนที่นั่นคิดว่ามันเป็นทางเลือก ที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวที่ง่ายที่สุด

หลังจากนั้น ก็ได้มีการปรึกษากันเพื่อจัดตั้ง ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อเยาวชน 
ที่ประเทศเนปาล และบังคลาเทศ

ในคืนวันที่ ๗ พวกเราชาวค่ายได้ร่วมกันจัดงานนานาชาติขึ้น 
มีการแสดงประจำชาติของ ๑๒ ประเทศ และ มีการทำอาหารนานาชาติ
พวกเราคนไทยก็ได้แต่งชุดไทยซึ่งทุกคนในค่ายยอมรับว่า
เป็นชุดประจำชาติที่สวยที่สุด  เป็นปลื้มมากกกกกก 
พวกเราคนไทยจัดแสดง รำเซิ้ง และ รำวง พร้อมทั้งชวนเพื่อนๆชาวค่าย
ขึ้นมารำวงเป็นที่สนุกสนาน นอกจากนี้ที่ปลื้มมากๆ อย่างที่ ๒ คือ 
อาหารไทยที่พวกเราทำได้สร้างความประทับใจให้เพื่อนชาวค่ายมาก.อิอิอิ
"กล้วยบวดชี" กล้วย ๕ หวี หมดลงในชั่วเวลาพริบตาเดียว 
เป็นอาหารที่ไม่ต้องลงทุนซื้อหา กล้วยจากในค่าย มะพร้าวขอจากชาวบ้าน 
และน้ำตาลจากโรงครัว แต่ยังไม่หมดนะคะ.... 
ความประทับใจที่สุดที่คนไทยทำในค่ายคือ ในพิธีปิดค่าย 
เราแจกเทียนไขให้ทุกคน คนละ ๑ แท่ง ปิดไฟ แล้วคุณนาซี (ผู้จัดค่าย) 
เป็นคนจุดไฟเป็นดวงแรก และค่อยๆ ต่อไฟ ไปทีละดวง 
ในระหว่างนี้เราคนไทยก็จะร้องเพลง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ
การเปรียบเทียบตัวเองเป็นดอกไม้สีขาว ที่สร้างสันติภาพ 
และความสวยงามของโลกให้แก่โลกนี้ 

เมื่อเทียนของทุกคนสว่างขึ้น พวกเราแต่ละคนก็จะพูด 
แสดงความรู้สึกของตนเอง ที่มีต่อค่าย เชื่อมั๊ยคะว่า 
ตอนนั้นซึ้งมากเลย ขนลุกไปหมด ขนาดตอนนี้เล่าไปขนยังลุกเลยนะคะ 
(แหมๆ ๆ ๆ จาวตาลว่าแล้ว เรื่องซึ้งๆ ละมุนมะไม โรแมนติกต้องยกให้คนไทย)
คืนนั้นทุกคนในค่ายบอกว่า ยกให้เป็น Thai Night

ทุกคนในค่ายมีความรู้สึกเหมือนกันหมด ทุกคนรัก ผูกพันกัน 
ผูกพันกับค่าย ไม่อยากกลับบ้าน				
จาวตาลกะน้องชาวบังคลาเทศ
                         น้องคนนี้เค้าให้จาวตาลอุ้มคนเดียวนะคะ
                                ไม่ยอมให้คนอื่นอุ้ม


วันที่แปด และ วันที่เก้า

วันที่ ๘ เป็นวันที่พวกเราทุกคน กลับมาที่ดาร์กา แต่ก็เป็นวันที่พวกเรา 
เงียบกว่าทุกวัน บ้างก็กอดกัน ร้องไห้ เป็นภาพที่เศร้า อย่างบอกไม่ถูก 

ที่ดาร์กา เราก็ได้ไปซื้อของ โดยที่ต้องมีคนคอยคุม .เอ๊ยยยย ตามไปดูแล
ซึ่งก็ซื้ออะไรไม่ได้เลย เพราะคนที่ไปด้วย จะบอกว่า แพงเกินไป 
สำหรับเด็กอย่างจาวตาล ไปเจอชุด ซาลาวาด กุ๊ดตา สวยมากกกกกก 
ปักดิ้นสีทอง ก็ประมาณ ๕๐๐ กว่าบาท เค้าก็ดึงไป จากมือจาวตาลเลยนะคะ 
บอกว่าแพงไป เฮ้ออออออ แต่ที่นี่ไปไหนต้องมีคนตามไปดูแลค่ะ 
แล้วเค้าก็จะกัน ไม่ให้กลุ่มคนมาแตะตัวเรา 

วันสุดท้ายที่ต้องกลับเมืองไทย พวกเราอยู่ด้วยกันจนวินาทีสุดท้าย 
จาวตาลกอดกับเพื่อนเนปาล และปากีสถาน ร้องไห้กันที่ หน้าสนามบิน 

๙ วันที่มีค่าของจาวตาลก็จบแค่นี้แหละค่ะ จาวตาลไม่เสียใจเลยนะคะ 
ที่ต้องขาดเรียนไปบ้าง แลกกับประสบการณ์ที่ได้รับ และเพื่อนนานาชาติ 
มันคุ้มค่ามากๆ จาวตาลได้ใช้ภาษาอังกฤษที่เรียนมาตั้งนาน 
ได้รู้จักเพื่อน ได้หัดทำงานอย่างมีระเบียบ ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ได้เห็นโลกกว้าง มันมีค่าจริงๆ ค่ะ.				
comments powered by Disqus
  • n@t

    11 กรกฎาคม 2545 23:35 น. - comment id 65783

    Such a impressive memory! 
    Excellent, dear. ^____^
  • โคลอน

    11 กรกฎาคม 2545 23:45 น. - comment id 65785

    ว้าว...เก่งจริงนะตัวแค่เนี้ย (o^___^o)
  • ธนรัฐ สวัสดิชัย

    13 กรกฎาคม 2545 02:49 น. - comment id 65808

    เก่งจังเลยน้องจาว..... พี่ชื่นชมจ้า....
  • เจมิไนน์

    14 กรกฎาคม 2545 01:32 น. - comment id 65816

    ^-^ เก่งจิงนะ ตัวแค่เนี๊ยะ
  • นัน

    19 มีนาคม 2551 10:14 น. - comment id 99623

    หนูเห็นด้ยวค่ะ37.gif29.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน