เรื่องจริงยิ่งกว่าฝัน

Parinya

       วันนี้ที่โรงเรียนของฉันจัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในวันเกิดของโรงเรียน ซึ่งที่จริง
คือวันที่เราอยากทำบุญร่วมกับบุคลากรและเด็ก ๆในโรงเรียนนั่นเอง เรามักหาโอกาส
ทำบุญเลี้ยงพระบ่อย ๆ เพื่อมิให้ลืมบรรยากาศการทำบุญแบบไทย ๆ และให้นักเรียน
คุ้นเคยกับพิธีกรรมทางศาสนาจริง ๆ ตั้งแต่การจัดเตรียมพิธี กิจกรรมในระหว่างที่พิธีกรรม
ดำเนินไปและแน่นอนที่พิธีต้องจบด้วยการทำน้ำพระพุทธมนต์และการประพรมน้ำมนต์
ให้ทุกคนรู้สึกถึงความชุ่มฉ่ำทั้งตัวและหัวใจจากการได้ทำบุญ หลังจากพระสงฆ์กลับไป
แล้ว ครูกลุ่มหนึ่งก็เข้าไปห้อมล้อมดูว่าน้ำตาเทียนที่หยดลงในขันต์น้ำมนต์ส่วนที่แบ่งไว้
นั้นลอยเป็นตัวเลขใด ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ
    ฉันคิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะฉันเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูแแบบใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
ตั้งแต่จำความได้การมองท้องฟ้า มองเมฆ ของฉัน ก็เพื่อจะดูว่า ฝนจะตกหรือไม่  ลมมาจาก
ทิศไหน จะมีพายุหรือเปล่า ไม่เคยได้ยินใครคุยกันว่าดูเมฆคล้ายเลขอะไร และไม่เคยเห็น
คนที่อยู่แวดล้อมฉันซื้อหวยหรือสลากกินแบ่งเลย จนกระทั่งฉันเรียนจบมาทำงานใน
จังหวัดหนึ่งทางภาคอิสาน จึงได้ยินและชินกับภาพที่ฉันเอ่ยถึง และยังได้ยินการทำนาย
ฝันเป็นตัวเลขแทบทุกวัน  แต่คงไม่ใช่เฉพาะจังหวัดที่ฉันอยู่หรอก ตามข่าวจากหนังสือ
พิมพ์ความเชื่อลักษณะนี้มีอยู่ทั่วไป
        ครั้งหนึ่งจำได้ว่าเป็นตอนเที่ยงของวันที่ 15 เดือนตุลาคม มีรถตู้มาจอดที่หน้าบ้านของ
ฉัน ชื่อข้างรถเป็นวิทยาลัยพละศึกษาแห่งหนึ่ง มีคนในรถพอประมาณ แล้วคนที่เปิด
ประตูรถลงมาก็คือเพื่อนฉันเอง เธอทำงานอยู่ที่วิทยาลัยพละศึกษาแห่งนั้น
         " แดงน้อย  ไปเที่ยวคำชะโนดกันเถอะ " เธอชวน
         " ไปทำไม " ฉันถาม
         " วันนี้วันที่ 15 นะ เพื่อน ๆ เขาอยากไปกัน " ฉันได้ยินคำตอบนั้นก็เข้าใจทันที
จึงเพียงแต่เดินขึ้นรถไปกับเพื่อน
        ฉันเข้าใจได้ทันทีว่าคณะนี้ไป "หาหวย"  ที่เพื่อนมาชวนฉันไปด้วยเพราะเธอสนิท
สนมกับฉันและรู้ว่าฉันชอบการนั่งรถไปเที่ยวกับเธอจะเป็นที่ไหนก็ได้   แต่สถานที่ ที่
รถกำลังจะพาเราไป ทำให้ฉันต้องย้อนคิด  จึงเป็นเรื่องสนทนาระหว่าง
ฉันกับเพื่อนในระหว่างนั่งรถ
      ป่าคำชะโนด หรือ เมืองชะโนด หรือ วังนาคินทร์คำชะโนด ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบล
 คือ ตำบลวังทอง, ตำบลบ้านม่วง และตำบลบ้านจันทร์ ใน อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี
 เป็นป่าที่มีลักษณะเหมือนเกาะขึ้นอยู่กลางทุ่งนา เต็มไปด้วยต้นชะโนด ซึ่งเป็นพืชจำพวก
ปาล์ม ความยาวประมาณ 200 เมตร ป่าคำชะโนดเป็นสถานที่ ๆ ปรากฏในตำนานพื้นบ้าน
 เป็นสถานที่ ๆ เชื่อว่า เป็นที่สิงสถิตของพญานาคและสิ่งลี้ลับต่าง ๆ บ่อยครั้งที่ชาวบ้านใน
ละแวกนั้นจะพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญพระเวท รวมถึงหญิงสาวที่มายืม
เครื่องมือทอผ้าอยู่เป็นประจำ และเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง
 รวมถึงที่อำเภอบ้านดุง แต่น้ำก็ไม่ท่วมบริเวณคำชะโนด เมื่อระดับน้ำลดลง คำชะโนดก็ยัง
คงอยู่เช่นเดิม
    ตามตำนานกล่าวไว้ว่า มีพญานาคอยู่สองตนได้ปกครองเมืองหนองกระแส โดยครึ่งหนึ่ง
เป็นของ สุทโธนาค (พญาศรีสุทโธ) ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค ทั้งสองปกครอง
เมืองอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่มีข้อตกลงกันอยู่ว่า ถ้าเมื่อฝ่ายใดออกไปล่าสัตว์หาอาหาร
 อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ไป เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งกัน และเมื่อฝ่ายที่ออก
ไปล่าสัตว์หาอาหารมาได้นั้น ให้นำมาแบ่งกันอย่างละครึ่ง
         เมื่อถึงคราวสุวรรณนาคได้ออกไปล่าสัตว์หาอาหารได้เนื้อช้างมา จึงนำเนื้อช้างที่ได้แบ่ง
ให้สุทโธนาค พร้อมทั้งนำขนของช้างไปยืนยันว่าเป็นเนื้อช้างจริง อีกครั้งที่สุวรรณนาค
ออกไปล่าสัตว์หาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้นำเนื้อเม่น และขนของเม่น
ไปมอบให้แก่สุทโธนาคเหมือนเช่นเคย แต่สุทโธนาคกลับแสดงความไม่พอใจ เพราะเมื่อดู
จากขนของเม่นที่มีขนาดใหญ่กว่าขนของช้าง ปริมาณเนื้อที่ได้ก็ควรมีมากกว่าเนื้อของช้าง
 แต่ปริมาณเนื้อนั้นกลับมีน้อยกว่ามากนัก จึงคิดว่าสุวรรณนาคไม่มีความซื่อสัตย์ ฝ่ายสุวรรณ
นาคพยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงเกิดสงครามระหว่างสุทโธนาค และสุวรรณนาค
         พระอินทร์ได้ทราบเรื่อง จึงหาวิธีการที่จะทำให้พญานาคทั้งสองนั้นหยุดทำสงครามกัน
โดยให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำขึ้นคนละสาย ถ้าใครสร้างได้ถึงทะเลก่อนจะให้ปลาบึกขึ้น
อยู่ในแม่น้ำนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของ
หนองกระแส และด้วยความที่สุทโธนาคมีนิสัยใจร้อน เมื่อพบเจอภูเขากั้นทางแม่น้ำก็จะทำ
การหลบหลีก โค้งไปโค้งมา จึงเกิดเป็น แม่น้ำโขง (โค้ง) ส่วนทางฝ่ายสุวรรณนาคนั้น ได้ทำการ
สร้างแม่น้ำขึ้นทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคมีความละเอียด และใจเย็น แม่น้ำที่สร้าง
ขึ้นจึงมีความตรงกว่าแม่น้ำทุกสาย ได้แก่ แม่น้ำน่าน
       สุทโธนาคเป็นผู้ที่สร้างแม่น้ำได้เสร็จก่อน จึงมีปลาบึกขึ้นอยู่ในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียว
 และเมื่อเป็นเช่นนั้น สุทโธนาคก็ได้ขอทางขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ไว้อีก
 3 แห่งหนึ่งในนั้นก็คือ คำชะโนด ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ให้สุทโธนาค พร้อมบริวาร
สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ (พญาศรีสุทโธ) และตั้งบ้านเมืองปกครองอยู่ที่คำชะโนดได้เมื่อข้าง
ขึ้น 15 วัน  อีก 15 วันข้างแรม ให้กลายเป็นนาค อาศัยอยู่เมืองบาดาล (พญานาคราชศรีสุทโธ)
      “เกาะคำชะโนดนี้เป็นเกาะที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ  โดยการสะสมของซากพืชซากไม้ที่ทับถม
กันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีในแอ่งแห่งนี้  จากเศษผง ซากพืชซากไม้จนกลายเป็นดินในที่สุด 
ปัจจุบันมีความหนาอยู่ที่1-3  เมตร  รากของต้นชะโนดที่แผ่ออกไปในแนวนอนทำหน้าที่เกาะ
เกี่ยวกันช่วยพยุงเกาะแห่งนี้ให้ลอยน้ำได้”
   เมื่อไปถึงพวกเราทั้งหมดก็ลงจากรถ เดินไปบนทางไม้แคบ ๆ ฉันคิดไปตลอดทางว่า การมา
อย่างนี้่ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่สำหรับฉันได้ประโยชน์แน่นอนเพราะจุดประสงค์ของฉันไม่
เหมือนคนอื่น ฉันได้ดูต้นชะโนดของจริงที่เคยอ่านว่ามีอายุกว่าสองพันปี ขณะเข้าไปใกล้ก็รับ
รู้ถึงความเย็นของอากาศบริเวณนั้น ฉันไปก้มมองน้ำใสแจ๋วในบ่อ ขณะที่คนอื่น ๆ เขาไปทำตาม
กรรมวิธีของแต่ละคน  ฉันยอมรับว่าตัวเองรู้สึกคล้ายดูหมิ่นการกระทำเหล่านั้นว่าพวกเขาช่าง
งมงาย จึงแยกตัวออกมา ยืนอยู่ใกล้ต้นชะโนดต้นหนึ่ง เห็นแป้งสีขาวที่คงมีชาวบ้านมานำ
มาทาไว้ตรงใกล้ ๆ โคนต้น  ฉันก้มลงมองพร้อมกับคิดว่า
     "จะดูซิว่าเขาทาแป้งที่ต้นไม้แล้วเป็นยังไง แป้งเขามีไว้ทาหน้านะ "
       สิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเห็น ปรากฏเป็นรอยเส้นสีน้ำตาลอยู่บนพื้นแป้งสีขาว เรียงกัน
จากบนลงล่าง เป็นตัวเลขสามตัวชัดเจน ฉันอ่าน สองสามครั้งตัวเลขนั้นก็ยังอยู่  ฉันจึงเดินไป
เรียกเพื่อนฉันมาดูอีกคน เพราะคิดว่าฉันอาจตาฝาด เมื่อเพื่อนมาอ่านก็ยังเห็นตัวเลขเหมือนกัน **
กับฉัน ฉันจึงเชื่อแล้วว่าวีธีการที่ฉันเคยคิดว่าไม่มีวันเป็นตัวเลขขึ้นมาได้ เกิดขึ้นได้จริง แต่ต้อง
เป็นจังหวะที่ตนจะมีโชคด้วยจึงจะเห็นได้ และคิดว่าเจ้าของแป้งที่ทาไว้คงไม่ได้เห็นเหมือน
ฉันหรอก อย่างไรก็ดีการเห็นนี้ก็เป็นความลับระหว่างฉันกับเพื่อนเท่านั้น เพราะเราเห็นตรง
กันว่าเราไม่ควรบอกคนอื่น แม้จะเห็นตัวเลขก็ไม่มีหลักประกันใดว่าพรุ่งนี้ลอตเตอรี่จะออก
เลขท้ายด้วยเลขที่ฉันเห็น ฉันไม่อยากเป็นนักต้มตุ๋น
         เที่ยงวันรุ่งขึ้นคือวันที่หวยออก  ฉันออกจากบ้านไปหาเพื่อนคนเดิมพร้อมกับเงินหนึ่ง
ร้อยบาทสำหรับซื้อหวยใต้ดิน แต่ต้องให้เพื่อนเป็นคนพาไปซื้อเพราะฉันไม่เคยซื้อเลย
ไม่รู้ว่าเขาขายกันที่ไหน  เราพากันไป สำหรับฉันแล้ว หนึ่งร้อยบาทมันมากสำหรับการเสีย
เงินทิ้งแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะถูก แต่เมื่อได้เห็นตัวเลขก็อยากจะลองดูว่า คำชะโนด ให้แม่น
หริอเปล่า  ขณะกำลังจะให้คนขายเขียนโพยให้ ไม่รู้เพื่อนฉันคิดยังไง
        "อย่าซื้อเลย  ไม่ถูกหรอก "
       ฉันเป็นคนตามใจเพื่อนอยู่แล้ว ไม่ซื้อก็ไม่ ซื้อ  ก็พากันกลับบ้าน   พอราวห้าโมงเย็นก็
ได้ยินข้างบ้านคุยกันเรื่องหวยออกแล้ว  ฉันถามว่าออกเลขอะไร เขาบอกมาคือตัวเลขที่ฉัน
ไม่ได้ซื้อนั่นเอง แสดงว่า คำชะโนด แม่น แต่ฉันยังไม่มีโชค หรือเพียงแต่อยากบอกฉันว่า
ก่อนดูถูกดูหมิ่นใคร คิดให้ดีเสียก่อน   แต่อย่างไรก็ดี เมื่อฉันจะมีโชคบางทีก็ยั้งไม่อยู่
เมื่อปรากฏว่าอีกหนึ่งเดือนต่อมา ฉันถูกรางวัลใบกำกับภาษี ครั้งที่ 66 วันที่  16 ธันวาคม 
2548  (ตรวจสอบได้จากกูเกิล)    ชดเชยการไม่ซื้อหวยในเดือนก่อนนั้น  ซึ่งเป็นรางวัล
ที่มีมูลค่ามากกว่าถูกหวยถึงหนึ่งเท่า    ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งคำชะโนด
ที่ทำให้รู้ว่าบางอย่างที่คิดว่าไม่มีจริง      นั้นเป็นสิ่งที่มีจริง 
**  ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ จังหวะที่ฉันเห็นเส้นเปลือกไม้โผล่เป็นตัวเลขบนพื้นแป้ง
สีขาว ต้องเป็นจังหวะที่ลงตัวพอดี ของ ปริมาณแป้งที่ทาไว้  ปริมาณแป้งที่หลุดร่อน แรงลม
มุมการมอง  องศาที่ก้มมอง  แสง      เวลาของการมอง  โชค ทุกอย่างต้องลงตัวพอดี ซึ่ง
ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่าย ๆ  และฉันก็ไม่เคยไปที่นั่นอีกเลย เพราะไม่เชื่อว่าจังหวะที่จะลงตัว
พอดีอย่างนั้นจะเกิดขึ้นอีก
comments powered by Disqus
  Parinya

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน