จุดปลายสุดของคำถามที่เกือบจะว่างเปล่า...

พีรเดช นวลสาย

เพื่อนผมคนหนึ่งชอบถามบ่อยๆ ว่า 'รู้ไหม เราเกิดมาเพื่ออะไร?'
          ผมไม่อยากเรียกมันว่าคำถามเท่าไหร่นักหรอกเพราะมันไม่มีคำตอบ หมายถึงผมไม่คิดว่ามันมีคำตอบสำหรับข้อสงสัยนี้ของเขา และผมเองก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญว่าเราจะเกิดมาเพื่ออะไร เพราะความจริงกว่านั้นคือเราได้เกิดมาแล้ว ดำรงอยู่บนความมีชีวิตและความสงสัย เราเฝ้าตั้งคำถามมากมายกับสิ่งต่างๆ รายรอบตัว  กระนั้นก็ยังมีอีกหลายต่อหลายคำถามเช่นกันที่ไม่เคยได้รับคำตอบ แต่เราก็ยังดำรงอยู่ได้มันจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นนักหรอกว่าเราจะต้องรู้หรือเข้าใจอะไรๆ ไปเสียทั้งหมด ผมหมายรวมถึงข้อสงสัยที่ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรด้วย
	          "นายไม่เข้าใจคำถามน่ะสิ" เพื่อนผมว่า "หรือไม่นายก็มัวแต่หลงระเริงกับการมีชีวิตอยู่จนไม่ได้นึกเอะใจเลยสักนิด"
	           "เอะใจ?" ผมขมวดคิ้ว
          	"ใช่! เอะใจ ยอมรับเถอะว่าที่ผ่านมายี่สิบเจ็ดปีนายไม่เคยนึกเอะใจเลยเพราะมัวแต่หลงระเริงกับเวลาที่ได้ใช้จ่ายไปวันแล้ววันเล่า ยี่สิบเจ็ดปี   นายคิดว่ามันเป็นเพียงเวลาแค่น้อยนิด เมื่อเทียบกับเวลาที่เหลือที่ยังเดินทางมาไม่ถึง ความคิดแบบนั้นล่ะทำให้นายเลินเล่อจนลืมฉุกคิดว่าแท้จริงแล้ว    นายเกิดมาเพื่ออะไร?"
           	"สำคัญด้วยหรือที่เราจะต้องรู้ ทำไมเราไม่ปล่อยให้ชีวิตเราเป็นไปตามครรลองที่มันควรจะเป็น หรือเป็นอะไรก็ตามที่เราอยากจะเป็น" ผมพูดไปตามที่คิด
	           "ที่นายพูดน่ะ ทั้งใช่และก็ไม่ใช่" เขาบอกเสียงทุ้มต่ำและรีบขยายความต่อเมื่อเห็นสีหน้าผมงุนงงยิ่งกว่าเดิม "หมายถึงว่านายเข้าใจถูกแล้วที่คิดว่า   เราควรปล่อยให้ชีวิตเราเป็นไปตามครรลองที่มันควรจะเป็น  แต่การปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามครรลองย่อมไม่ใช่ความหมายเดียวกับการใช้ชีวิตอย่างประมาทเลินเล่อแน่นอน เมื่อนายจะปล่อยชีวิตไปตามครรลองนายก็ควรจะทำความเข้าใจกับครรลองนั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรจะรู้จักสักเสี้ยวกระผีกของมันบ้างก็ยังดี ไม่เช่นนั้นแล้วนายจะเป็นแค่คนที่บังเอิญเกิดมา สูดหายใจรับเอาอากาศเข้าออกไปวันๆ ปราศจากคุณค่าและไม่มีวันเข้าใจถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่"
	          ถึงตอนนี้ผมได้แต่นิ่งงัน ฟังเขาว่าต่อ
	          "พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็นการจัดที่ทางสำหรับตัวเราเอง มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรู้ว่าเราควรจะยืนตรงไหนในโลกที่แออัดไปด้วยผู้คน ความเปลี่ยนแปลง และการแก่งแย่งทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด" 
	           ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าบทสนทนาของเราจบลงตรงไหน เราแยกกันในคืนนั้นหลังจากต่างคนต่างเมามายได้ที่ ผมเรียกแท็กซี่กลับแมนชั่นเพราะทานต่อน้ำหนักหัวอันหนักอึ้งไม่ไหวอีกต่อไป ส่วนเขาอาจจะไปหามุมสงบเงียบที่ไหนสักแห่งนั่งจิบเบียร์ต่อสักขวดสองขวดก่อนกลับบ้าน ทุกครั้งที่ดื่มด้วยกันเขาจะคอแข็งกว่าผมเสมอ
          	หลังจากนั้นผมกับเขาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยเป็นเดือนๆ เราไม่ชอบคุยกันทางโทรศัพท์นอกจากจะใช้นัดหมายเพื่อพบปะ มันเป็นการสนทนาที่ฉาบฉวยเกินไป เราจะเชื่อใจคู่สนทนาที่ไม่เห็นหน้าค่าตาได้สักแค่ไหนกัน  แต่แล้วในภาวะที่ผมวางใจว่าชีวิตกำลังเดินไปบนเส้นระนาบอันเรียบรื่น  เช้าวันหนึ่งผมก็ได้รับข่าวร้ายทางโทรศัพท์
	          เขาตายแล้ว!     เมื่อคืนนี้เอง ขณะยืนรอแท็กซี่หน้าร้านเหล้าที่ไหนสักแห่ง รถยนต์คันหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาชนร่างโซเซของเขาอย่างจังจนกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร ผมจับใจความได้เท่านั้น ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกกดหัวลงในของเหลวข้นหนืดสีดำ ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวจนบอดสนิทตามด้วยเสียงอื้ออึงของของเหลวประหลาดนั่นไหลทะลักอัดเข้ามาในรูหู จากนั้นทุกอย่างก็เบาหวิว..วูบหายไป
	          ผมไปฟังสวดทุกวัน แม้เสร็จงานศพแล้วก็ยังแวะเวียนไปคุยกับแม่ของเขา เธอจะน้ำตาคลอทุกครั้งที่เห็นหน้าผม แม่ผมเองก็คงไม่ต่างจากนี้หากเปลี่ยนจากเขามาเป็นผมแทน  ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอแม้จะอธิบายให้ใครฟังไม่ได้แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้ผมเชื่ออย่างนั้น ระยะหลังผมจึงไปที่บ้านนั้นเท่าที่จำเป็น กระทั่งไม่ย่างกรายไปอีกเลยเป็นเวลากว่าปีมาแล้ว กระนั้นคำถามของเขาก็ไม่เคยจางหายไปจากโสตสำนึกของผม
          	'เราเกิดมาเพื่ออะไรกัน?'
	          สองปีให้หลังผมพบรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมไม่อาจบอกได้เต็มปากว่าเธอเป็นคนสะสวย ผมบอกได้แค่ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ผมรัก ความพิเศษ
ในตัวเธอก็คือความไม่พิเศษใดๆ และถ้าเธอไม่เป็นอย่างที่เธอเป็นอยู่ผมก็ไม่แน่ใจอีกเช่นกันว่าผมจะรักเธอหรือเปล่า เราสองคนวางแผนจะใช้ชีวิต
ถัดจากนี้ร่วมกัน มีกันและกันในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันร้ายกาจของกระแสสังคมบริโภคนิยม 
          	ขวบปีแรกเราไปกันได้ดีจนยากจะเชื่อว่ามันจะจบลงแค่ปีถัดมา ความแตกต่างหลายๆ อย่างเริ่มปรากฎชัดขึ้นระหว่างเรา กระทั่งมากพอจะแยก
คนสองคนออกจากกันอย่างเด็ดขาด ผมไม่นึกโทษเธอหรือใครทั้งนั้นมันเป็นการลาจากที่เกิดจากความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย  การดึงดันไม่ได้ช่วย
รักษาความรู้สึกของใครเลย 
	          ผมได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง และพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในตัวผมที่เคยถูกละเลยไปนานแสนนานกำลังเรียกร้องที่จะได้รับความ
สนใจ นอกจากนี้ในแต่ละนาทีของการหายใจเข้าออกก็เกิดคำถามต่างๆ นับแสนนับล้าน บางคำถามต้องการคำตอบอย่างจริงจัง บางคำถามก็เพียง
แค่เกิดขึ้นเพื่อจะแสดงตนว่าเป็นคำถามเท่านั้นไม่สำคัญว่าจะต้องมีหรือไม่มีคำตอบ  
	แม้จะเลือกอยู่กับตัวเองอย่างสงบแต่มันกลับเป็นเวลาที่รู้สึกสับสนมากที่สุดในชีวิต ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใส่ใจเลยสักนิดว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
เพราะในทุกวันของผมเกิดขึ้นและดำเนินไปตามสูตรสำเร็จของมัน วนเวียนซ้ำซากอยู่กับการเป็นมนุษย์เงินเดือนวันแล้ววันเล่า หมดวันนี้ก็นอนหลับ
พักผ่อนเพื่อจะตื่นขึ้นมาเป็นอย่างเดิมอีกในวันรุ่งขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ผมจึงไม่เคยวิตกว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงแค่รอให้มันมาถึงและผ่านไป แทบไม่มีอะไร
มีความหมายเลยสักนิดแม้แต่การมีชีวิตอยู่ของผมเอง จนเธอเดินเข้ามารับเอาความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของผมไปกอดกุมไว้ ผมถึงรู้สึกว่าชีวิตกำลัง
ได้รับการทะนุถนอม อาการป่วยเรื้อรังยาวนานกำลังได้รับการบำบัดอย่างถูกวิธีโดยจิตแพทย์ฝีมือดี
	          ผมใส่ใจต่อรายละเอียดต่างๆ ในชีวิตมากขึ้น ถามตัวเองบ่อยครั้งว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและมองการมาถึงของวันพรุ่งนี้อย่างมีความหมาย เวลานั้น
ผมเชื่อมั่นว่าเดินมาถูกทางแล้ว ที่เหลือก็แค่เก็บเกี่ยวรายละเอียดตามรายทางให้ได้มากที่สุด ไม่เร่งร้อนดั้นด้นไปยังจุดหมายปลายทางในเวลาสั้นๆ
เพราะเมื่อไรก็ตามที่ไปยืนอยู่บนจุดนั้น ผมไม่อยากไปมือเปล่า
	แต่ชีวิตไม่เคยยืนนิ่งบนความแน่นอน ในเช้าวันที่น่าวางใจที่สุดเธอคนนั้นกลับโยนความรู้สึกทั้งหมดคืนมาให้ และเลือกเดินจากไปเงียบๆ ปราศจาก
ถ้อยคำร่ำลาใดๆ  ผมอธิบายไม่ได้ว่ารู้สึกเจ็บปวดอย่างไร รู้แต่เพียงชีวิตกลับคืนเข้าสู่ภาวะว่างเปล่าอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะกิน
เวลายาวนานเท่าใด ความจริงผมไม่คิดว่าในท่ามกลางความว่างเปล่านั้นจะมีเงื่อนของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ การดำรงอยู่และดำเนินไปของมัน
ย่อมไม่แตกต่างอะไรกับการไม่ได้ดำรงอยู่ ไม่มีจุดเริ่มต้นและปราศจากจุดสิ้นสุด
	ผมเปลี่ยนไปจากเดิมจนตัวเองรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผมพูดคุยกับคนอื่นน้อยลง เชื่อใจต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง แน่นอนว่าชีวิตผมก็
เดินทางช้าลงด้วย แต่แม้อะไรหลายอย่างจะเปลี่ยนไปผมกลับพบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ยังดำรงอยู่ในสถานะเดิมที่มันเคยเป็นนั่นคือคำถามของเพื่อนผมคนนั้น
และก็เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกอีกเหมือนกันที่ในเวลานี้ผมต้องการค้นหาความหมายของมันอย่างจริงจัง
	          ผมเกิดมาเพื่ออะไรกัน เพื่อจะเป็นอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้หรือเพื่อจะเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ยังเดินทางมาไม่ถึง แล้วถ้าอย่างนั้นช่วงชีวิตที่ผ่านไปก่อนหน้านี้คืออะไรกัน เป็นแค่เรื่องคั่นเวลาหรือนั่นคือวิถีชีวิตแท้จริงของผม พ้นจากนี้ไปมันจะไม่เดินทางอีกต่อไปแล้วมันจะหยุดนิ่งล่องลอยไร้น้ำหนัก
          ในท่ามกลางภาวะว่างเปล่าอันไร้จุดสิ้นสุดอย่างนั้นหรือ ผมเฝ้าตั้งคำถามทั้งที่ไม่เคยมั่นใจว่าจะได้รับคำตอบ 
          	"นายไม่เข้าใจคำถาม" เขาพูดประโยคเดิมที่เคยพูดกับผมเมื่อนานมาแล้ว ผมเพ่งมองอย่างพินิจ ใช่เขาจริงๆ ทั้งใบหน้า รูปร่าง และแม้กระทั่งน้ำเสียงทุ้มต่ำไม่เหมือนใคร เขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันสีขาวถัดจากผมไปไม่กี่ก้าว ผมมองเห็นตัวเขาได้ชัดเจนแต่ไม่แน่ใจว่าสถานที่นั้นคือที่ไหนมันทั้งแปลกแยกและไม่คุ้นเคย ที่สำคัญคือผมมองไม่เห็นตัวเอง รู้สึกแค่เพียงว่ากำลังยืนอยู่ตรงนั้นเผชิญหน้าอยู่กับเขาเพียงลำพังในความมืดสลัวและท่ามกลางเวลา ที่หยุดนิ่ง
	          "นายจะไม่มีวันได้คำตอบที่ต้องการหรอก ถ้าไม่ทำความเข้าใจต่อคำถามของตัวเองเสียตั้งแต่แรก" เขาพูดต่อ "เหมือนนายเดินไปบนถนนสายหนึ่งอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย นายจะไม่มีวันรู้ความหมายของการเดินนั้นเลยถ้าไม่ทำความรู้จักกับถนนที่ตัวเองกำลังเดินให้ดีพอเสียก่อน ผลก็คือต้องเสีย   เวลาหลงอยู่ในนั้นเนิ่นนานบนความสูญเปล่าและวังวนของคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ"
	          "พูดอย่างกับนายมีคำตอบสำหรับตัวเองแล้ว.." ผมเพิ่งพูดออกมาได้เป็นครั้งแรก
	          "มีสิ ฉันมีคำตอบสำหรับตัวเองแล้ว เหลือแต่นายเท่านั้น"
	          พูดได้เท่านั้น ตัวเขาก็จมหายไปในหมอกควันสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นมาราวมีรอยแยกบนพื้นดินตรงเท้าทั้งสองข้างของเขา ผมคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแหลมๆ เสียดเข้ามาในรูหู ความจริงเกือบจะพูดได้ว่ามันดังอยู่ในหัวผมนี่เอง เริ่มจากแว่วเบาแล้วกลายเป็นดังสนั่นหวั่นไหวจนต้องลืมตาโพลงขึ้น
	           ฝันไป! ใช่ผมฝันไป แต่ก็นับว่าเป็นความฝันที่แปลกประหลาดเอาการ เพราะตั้งแต่เพื่อนคนนั้นตายไปไม่เคยมีสักครั้งเดียวเลยที่ผมจะฝันถึงเขาและมันยังชัดเจนจนแทบรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจของเขาเลยด้วยซ้ำ เหมือนตัวผมถูกเวลาดูดย้อนกลับไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขาในผับเล็กๆ คืนที่เราสองคนถกปัญหากัน ซึ่งเป็นคืนเดียวกับที่เขาถามคำถามนั้นกับผมแบบเค้นเอาคำตอบจริงจัง แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ผมก็ยังไม่มีคำตอบนั้น
	
	          หลายปีต่อมา ผมพาตัวเองไปยืนยังจุดใหม่ ความจริงก็แค่ลาออกจากงานประจำที่ทำมายาวนานติดต่อกันถึงเจ็ดปี รายได้ผมเพิ่มขึ้นทุกปีก็จริง   แต่ความเป็นตัวของตัวเองค่อยๆ ถูกดูดกลืนหายไปทีละน้อยๆ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ดูดกลืนไปนั้นคืออะไรและเกิดขึ้นเมื่อไหร่บ้าง รู้สึกเพียงว่าทนอยู่กับมันต่อไปอีกไม่ไหวแล้วและก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในเช้าที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ตอนแรกยอมรับว่ารู้สึกคว้างคิดอะไรไม่ออก ความกลัวก็ส่วนหนึ่ง   มันคอยสะกิดถามผมว่าจะเอายังไงต่อ ผมตวาดกลับไปว่าเฉยเถอะคนตัดสินใจคือฉันไม่ใช่แก ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ถึงเวลาแกก็จะรู้เอง    แต่ตอนนี้ฉันขอหยุดเดินก่อน ขอหย่อนกายลงพักกับพงหญ้านุ่มๆ ปล่อยตัวเองหลับไหลยาวนาน ปราศจากความวิตกกังวลใดๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง   ความฝัน เพื่อละทิ้งโลกทั้งโลกเอาไว้เบื้องหลัง
          	สัปดาห์ที่สองของการว่างงาน ผมตื่นขึ้นมาในเย็นวันหนึ่ง อากาศอันแจ่มใสดึงดูดให้ผุดลุกจากเตียงนอนเดินตรงไปยังระเบียงข้างนอก ยืนทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลเท่าที่เส้นขอบฟ้าพึงเปิดเผยให้ แสงสีส้มแดงของดวงอาทิตย์ชราแต่งแต้มท้องฟ้าให้ดูสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกฉาบด้วยด้วยลำแสงส้มแดงนั้นเต็มไปด้วยความงามอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกกับมันมาก่อน แม้แต่ตึกร้างเก่าแก่ หรือกองขยะที่อยู่ข้างกันก็ไม่ชวน
ขยะแขยงอย่างเคยเป็น ผมสูดลมหายใจยาวลึกอย่างซาบซึ้ง ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกแผ่ซ่านไปทุกอณูขุมขน    บางที..
          	บางทีคนเราอาจจะเกิดมาและมีชีวิตอยู่เพื่อจะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้ เสี้ยววินาทีที่รู้สึกซาบซึ้งกับบางสิ่งบางอย่าง สีสันสดใสของท้องฟ้า  บทกวีหรือประโยคกินใจสั้นๆ ในหนังสือเล่มโปรด เสียงหัวเราะกังวานของคนพิเศษบางคน หรืออาจจะอะไรก็ตามที่เราพร้อมจะรู้สึกกับมัน และบางที
          การที่เราดำรงชีวิตมาอย่างยาวนานก็อาจจะเป็นเพียงบททดสอบให้เราได้ตระหนักถึงคุณค่าของการรอคอยเท่านั้น
          	"เราเกิดมาเพื่ออะไร?"
          	ผมไม่ได้บอกกับตัวเองว่าได้พบคำตอบสำหรับคำถามนั้นแล้ว มันอาจจะใช่หรือไม่ใช่เลยก็ได้ แต่ความจริงก็คือผมไม่รู้สึกกังวลกับคำตอบของมัน
อีกต่อไป				
comments powered by Disqus
  • พุดพัดชา

    20 ตุลาคม 2549 23:44 น. - comment id 93081

    บางทีคนเราอาจจะเกิดมาและมีชีวิตอยู่เพื่อจะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้ เสี้ยววินาทีที่รู้สึกซาบซึ้งกับบางสิ่งบางอย่าง สีสันสดใสของท้องฟ้า  บทกวีหรือประโยคกินใจสั้นๆ ในหนังสือเล่มโปรด เสียงหัวเราะกังวานของคนพิเศษบางคน หรืออาจจะอะไรก็ตามที่เราพร้อมจะรู้สึกกับมัน และบางที
              การที่เราดำรงชีวิตมาอย่างยาวนานก็อาจจะเป็นเพียงบททดสอบให้เราได้ตระหนักถึงคุณค่าของการรอคอยเท่านั้น
    ..........................
    
    พุดพัดชา
    ชื่นชมค่ะบทุกตัวอักษร
    จะตามอ่านและเป็นกำลังใจให้ค่ะ
    
    พุด   พุดพัดชา
    สาวบ้านนา อีกนามปากกาค่ะ
    
    ดีใจจะยินดีต้อนรับค่ะ
    36.gif
  • พุดพัดชา

    21 ตุลาคม 2549 00:00 น. - comment id 93084

    1.gif
    เกิดนักอยากจะเขียน
    ก่อนเป็นนักเขียนค่ะ
    หวังเช่นนั้น
    
    พุดจะตั้งนามปากกาให้นะ
    พรระพี...ค่ะ
    แปลว่าแสงสว่างอันเป็นนิรันดร์
    
    จะเรียกเช่นนี้คนเดียวค่ะอิอิ36.gif36.gif
  • พรระพี

    21 ตุลาคม 2549 12:34 น. - comment id 93090

    ขอบคุณคับ
  • ผู้หญิงสีรุ้ง

    24 ตุลาคม 2549 12:38 น. - comment id 93141

    มีคนบอกว่า "รู้เท่านี้ก็เพียงพอ" ใบไม้ในกำมือเดียว ของพระพุทธเจ้า น่ะ 
    อย่าหาเหตุแห่งการเกิด พราะนั่นเป็นเหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งความสับสน ไม่เกิดประโยชน์ แต่จงหาเหตุแห่งการอยู่ อยู่อย่างเป็นคนเต็มคน เท่านี้ก็ตอบคำถามตัวเองได้แล้วว่า เราเกิดมาทำไม
  • โคลอน

    21 พฤศจิกายน 2549 16:27 น. - comment id 93823

    การมีชีวิตอยู่ใช่จะทำแค่ หายใจเข้า-ออก เท่านั้น อันนี้ถ้าใครที่คิดได้แล้วขอบอกว่า ถึงไม่หลุดพ้นก็เหมือนกับหลุดพ้นแล้วนั่นแหละ เมื่อก่อนเราก็เคยถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่าเกิดมาทำไม(อันนี้ต้องไปถาม พ่อกับ แม่ เหอๆ) พอเวลาผ่านไปก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ว่าเราเกิดมาเพื่อใคร...แล้วจะทำอะไร...การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น กับการมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองคิดให้ดีต่างกันนิดเดียวเอง...11.gif.....32.gif...การมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง ความต้องการมันไม่มีที่สิ้นสุด แต่การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นความต้องการของตัวเองมันจะลดน้อยลง...55.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน