เด็กชายเขา

ใบคา

ลำธารแห่งนี้ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ห้อมล้อมทั้งสองฝั่ง ฝั่งทางทิศเหนือเป็นป่ายางพาราอันรกทึบ สาเหตุที่ชาวบ้านเรียกป่า เพราะว่ามันไม่มีสภาพส่วนไหนเหมือนสวนเลย เนื่องจากขาดคนดูแลเจ้าของสวนไม่มาแวะเวียนแรมปี แต่ก็ไม่มีใครกล้าบุกรุกเอาเป็นของตัวเอง ต่างรอคอยเวลาให้มันรกทึบกว่านี้เสียก่อน อีกทั้งเวลายังไม่มากนัก หากได้เวลาเหมาะเจาะพวกเขาจะแย่งกันมาถากถางเพื่อยึดเป็นกรรมสิทธิตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าที่ดินไม่มีเจ้าของคอยดูแล คนที่เข้ามาเผ้าถางจึงมีสิทธิครอบครอง เพราะผืนดินนั้นยังไม่มี นศ.3 ถ้าเปรียบเหมือนคนก็คงเหมือนคนบ้าที่ไม่อาบน้ำเนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ป่าฝั่งนั้นจึงดูน่ากลัว แต่กระนั้นยังพอมีทางเดินเป็นช่องเล็กๆ สำหรับนายพรานล่าสัตว์เล็กๆ จำพวกตะกวด เหี้ย ตลอดจนกระรอกและนก
       ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นสวนจับฉ่ายเพราะเจ้าของปลูกไม้ยืนต้นไว้มากมายทั้งเงาะ ทุเรียน มังคุด ฯลฯ ทั้งหมดมีประปรายใกล้ลำธาร โดยเฉพาะเงาะเจ้าของปลูกเยอะกว่าชนิดอื่น จึงทำให้ลำธารสายนี้ดูร่มครึ้ม เพราะเงาะที่ปลูกนั้นอายุก็มากต้นจึงสูงใหญ่ เนื่องจากชาวบ้านชายเขา นิยมปลูกเพื่อกินมากกว่าจะจำหน่าย จึงไม่สนตกแต่งมากนัก หากยืนกลางลำธารก็จะมองเห็นฉากที่ล้อมรอบลำธารนี้อย่างชัดเจนเหมือนภาพวาดสีน้ำมันครอบคลุมที่แห่งนี้จนหมดสิ้น
       น้ำในลำธารใสสามารถมองเห็น ก้อนหินกลมๆ สีเหลืองขุ่นได้ชัดเจน บางก้อนก็เล็กมีสีแดงสีดำและลวดลายที่สวยงาม หินในลำธารชายเขาเช่นนี้ค่อนข้างออกไปในลักณะมนและเนียน ไม่มีตะไคร่เกาะเพราะน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา ปลาที่อาศัยอยู่ในลำธารแห่งนี้ล้วนเป็นชนิดที่ปราดเปรียว และแข็งแรง
       ลำธารแห่งนี้ยังคงทำหน้าที่เป็นทางผ่านของน้ำจากภูเขา และยังคงเป็นแหล่งอาหารให้สัตว์น้ำหลายชนิด มีแต่เสียงนกและเสียงน้ำไหลเท่านั้นที่แว่วเหนือลำธารแห่งนี้ จวบจนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลา 4 โมงเย็นนั่นแหล่ะความจำเจอย่างร่มรื่น จะถูกแต่งแต้มด้วยความซนของ ต้น และดำ เด็กวัย 7 ขวบทันที 
       วันนี้ก็เหมือนทุกๆ วันพวกเขามาพร้อมตะกร้าใส่หัวหอมเล็กๆ ของแม่ ของต้นนั้นสีเขียว ส่วนของดำเป็นสีแดงสดใส ขณะนี้พวกเขาในร่างกายที่เปรือยเปล่า ส่วนเสื้อผ้านั้นถูกแขวนไว้บนกิ่งไม้บนบก กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ริมลำธารส่วนที่ตื้นที่สุด ก็คือส่วนที่ใช้เป็นทางข้ามระหว่างป่ายางและสวนของต้นนั่นเอง ริมลำธารที่พวกเขายืนนั้นระดับอยู่ที่ตาตุ่มเด็กน้อย ส่วนกลางลำธารนั้นอยู่ในระดับน่อง ความกว้างของลำธารนั้นประมาณ 8 เมตร ส่วนเหนือลำธารขึ้นไปทางต้นน้ำจากจุดนี้จะค่อยๆ ลึกลงเรื่อยๆ ลักษณะเป็นแบบตกท้องช้างระดับความลึกนั้นประมาณความสูงของเด็ก 7 ขวบ ส่วนผู้ใหญ่นั้นสบายๆ เพราะระดับท้องเท่านั้น นอกจากตะกร้าแล้วทั้งสองคนยังพกขวดน้ำอัดลมขนาด 1.25 ลิตรมาด้วยคนละอัน ขวดนั้นถูกตัดปลายออกให้เป็นรูปทรงกระบอกแล้วใส่น้ำลงครึ่งขวด ขณะนี้มันถูกปักลงไปในโคลนตรงขอบลำธารเรียบร้อยแล้ว 
       หลังจากที่ก้มๆ เงยๆ อยู่สักพักดำก็ลงนั่งยองๆ ซึ่งต้นก็ทำลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน ในระยะที่ห่างกันไม่กี่ก้าว ดำจับตระกร้าสีแดงด้วยมือขวาอย่างมั่นคง ค่อยๆ จุ่มมันลงไปในลำธารช้าๆ แล้วคาเอาไว้อย่างนั้น มือซ้ายโดยเฉพาะนิ้วชี้และนิ้วโป้ง จับก้อนหินก้อนหนึ่งที่ดำเห็นกุ้งข้าวสาร ตัวสีขาวขนาดนิ้วก้อยหนีเข้าไป นิ้วมือที่เหลืออีก 3 นิ้วของมือซ้ายคอยป้องเอาไว้ไม่ให้กุ้งมันหนีออกมาทางนั้น ดำหมายจะให้มันดีดตัวออกไปในทิศทางที่เขาใช้ตะกร้าดักเอาไว้ ดำทำด้วยท่าทางระมัดระวังเนื้อตัวเกร็งไปทั้งตัว หากทำรุนแรงเกินไปกุ้งตัวนั้นอาจหนีออกจากก้อนหินก่อนที่เขาจะช้อนขึ้นมาทัน ตอนนี้ดำเกร็งแทบจะไม่หายใจ เขาค่อยกดมือขวาลงเรื่อยๆ ส่วนมือซ้ายก็ยกหินขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่หนวดยาวใสๆ ของกุ้งผ่านเข้าเส้นประสาทรับรู้ของดำ เหมือนมันรู้ตัวว่าภัยจะมาถึง มันรีบดีดตัวออกไปทันที โดยธรรมชาติของกุ้งมันจะดีดตัวเองไปข้างหลัง โดยให้เกิดฝุ่นอยู่เบื้องหน้ามัน เพื่อหลอกศัตรูให้เข้าใจว่ามันได้หนีไปข้างหน้าแล้ว แม้ว่ามันจะฉลาด แต่มันลืมไปว่ายังไงก็ไม่มีทางเหนือกว่ามนุษย์อย่างแน่นอน แม้มนุษย์คนนั้นจะมีอายุเพียง 7 ขวบก็ตาม อีกอย่างในหัวของคนนั้นมีสมอง ไม่ได้มีแค่ขี้เหมือนของกุ้ง ทันทีที่ก้อนหินที่มันใช้เป็นเครื่องซ่อนตัวถูกยกขึ้น และดวงตาของมันเห็นมือของดำ มันรีบดีดตัวไปข้างหลังทันที พร้อมกันนั้นดำก็ใช้ตะกร้าสีแดงช้อนทั้งกุ้งทั้งหินขึ้นมาทันที กุ้งขาวตัวเท่านิ้วชี้ดิ้นพร่าบนนั้น ดำลุกขึ้นยืนเอามือซ้ายกุมกุ้งเอาไว้ แล้วรีบวิ่งไปหย่อนไว้ในขวดที่เตรียมไว้ทันที 
       ต้นเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังดำ ไหนดูบ้างสิกุ้งอะไรวะ กูได้กุ้งกุลาดำตัวหนึ่งไข่เต็มเลย ต้นหมายถึงกุ้งสีดำโดยเรียกชื่อเลียนเสียงจากทีวีที่เคยดู 
       ได้กุ้งข้าวสารตัวใหญ่ ดำตอบพร้อมฉากออกข้างเพื่อให้ต้นได้ดูเต็มตา
        โห! ใหญ่ๆ ต้นก้มมองอย่างตื่นเต้น เพราะกุ้งชนิดที่ว่องไวกว่าชนิดไหน นานๆ ทีจะจับได้ และที่สำคัญตัวมันใหญ่เอาการในสายตาเด็กทีเดียว
        นี่ใหญ่ไหม ต้นชูกุ้งตัวดำที่ไข่เต็มท้องให้ดำดู ตัวมันเล็กกว่ากุ้งข้าวสารของดำนิดเดียว ดำทำตาโตครางอือๆ อยู่ในคอแสดงให้ต้นรู้ว่าดำตื่นเต้นด้วย
 
       เอาไปขังไว้สิเดี๋ยวหลุด ดำเตือน
        ไม่เป็นไรหรอก มันหนักท้องไปไหนไม่ไหวหรอก แล้วต้นก็เดินหัวเราะเดินไปหย่อนกุ้งตัวนั้นในขวดน้ำของเขาที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
        ทั้งคู่จับกุ้งและเวียนมาหย่อนลงในขวดอย่างนั้นอย่างเพลิดเพลิน เป็นความสุขที่พวกเขาหาได้ทุกเย็นหลังเลิกเรียน เสียงน้ำและเสียงนกร้องช่วยทำให้จิตใจของเด็กน้อยร่างเริงเป็นทวีคูณ
        ในขณะที่ต้นกำลังขมักเขม้นกับการหากุ้งเคราะห์ร้ายอยู่นั้น ก็ต้องตกใจเพราะดำร้องเรียกให้เข้ามาช่วยกันจับปล่าไหล
        ไหนๆ ต้นถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากที่วิ่งฝ่าน้ำมาเสียงดัง ตูมๆ เพราะไม่เคยเห็นปลาไหนในลำธารแห่งนี้เลย 
       จุ๊ๆ ดำส่งสัญญาณให้เงียบ อย่าดังสิ อยู่ใต้ก้อนหินนี่แหล่ะ ตัวยังไม่ใหญ่น่าจะเป็นลูกมันตัวเท่าแม่โป้งได้ ดำชูนิ้วมือให้ต้นดู 
       ต้นไปยืนคร่อมก้อนหินก้อนนั้นเอาไว้ เพราะต้องใช้แรงยกทั้งสองมือ เขาออกแรงยกเพื่อให้ดำเป็นฝ่ายจับปลาไหลตัวนั้น
        เฮ้ย! งู ดำร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นภาพปลาไหลตัวนั้นเต็มตา ด้วยความตกใจดำพงะก้นจ้ำเบ้าลงในน้ำกระแทกหินเสียงดัง แผละ 
       ต้นรีบปล่อยมือทันที พร้อมกันนั้นเขาก็กระโดดพล็อยไปไกลก้อนหินก้อนนั้นพอสมควร 
       ทั้งคู่หัวเราะให้แก่กัน อย่างสนุกสนาน ส่วนงูน้ำตัวนั้นเลื้อยหนีไปแล้ว เด็กไม่กลัวงูน้ำนักเพราะมันไม่เคยทำร้ายใครถ้าไม่จวนตัวจริงๆ 
       ไหนมึงว่าปลาไหล ต้นถามดำที่ยังคงนั่งแช่น้ำอยู่อย่างเดิม
        ก็กูเห็นหางยาวๆ มันๆ ก็นึกว่าใช่ นึกแล้วเชียวว่าปลาไหลมาอยู่ได้ยังไงวะ ในที่น้ำไหลอย่างนี้ ดำยิ้มให้ต้นมือขวานั้นเกาหัวยิ้กๆ 
       ต้นเห็นอย่างนั้นรีบวิ่งเข้าไปหมายจะโดดถีบดำ ดำไหวตัวทันวิ่งลงน้ำในระดับที่ลึกกว่าทันที ทั้งคู่ลงไปฟัดเหวี่ยงกันในน้ำอย่างสนุกสนาน
        เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ออกมาจากใจอันบริสุทธิ์ของพวกเขา เป็นอย่างนี้ทุกวัน ลำธารหลังสวนแห่งนี้เป็นแหล่งบรรเทิงชนิดเดียวที่พวกเขามี มันเป็นทั้งห้างสรรพสินค้าต่างกันอย่างเดียวที่ต้องใช้ความชำนาญเก็บเกี่ยวสินค้ามาโดยไม่ต้องใช้เงิน พวกเขาเล่นอย่างนี้ไม่รู้เบื่อ เด็กน้อยมีวิธีเล่นหลายรูปแบบ เบื่อการเล่นในน้ำก็ขึ้นมาเอาหินสีต่างๆ ทุบให้ละเอียดแต่งหน้าทาปากอวดกัน แล้วแต่จินตนาการของใครจะไปทางไหน แล้วก็วิ่งลงลำธารอีก สลับกันอย่างนี้จนล้า แล้วจึงจัดการกุ้งในขวดน้ำอัดลม ก่อไฟด้วยไม้ขีดไฟที่พกติดตัวมา การก่อไฟนั้นไม่ยาก แม้จะ 7 ขวบแต่มันเป็นเหมือนความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ไม่มีใครมาห้ามการละเล่นเหล่านี้ ขออย่างเดียวอย่าให้เสื้อผ้าเปียกเป็นพอ
 ต้นและดำวิ่งไล่กันกลับบ้าน หากวันใดไม่รีบเพราะใกล้ค่ำเต็มที พวกเขาก็จะไม่ลืมเอาขวดน้ำกลับด้วย แต่วันนี้จวนค่ำมากแล้ว พวกเขาวิ่งไล่กันกลับบ้านโดยทิ้งขวดน้ำนั้นเอาไว้ เพราะยังไงๆ พรุ่งนี้ต้องกลับมาใหม่ 
       ความสุขของเด็กน้อยสองคนหาได้จากธรรมชาติ พวกเขาไม่เคยเบื่อมัน แต่ในอีกไม่ช้าใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะพึงพอใจในความเป็นอยู่อย่างนี้ ใครจะยืนยันได้ว่าลำธารที่เป็นเพื่อนเล่นแห่งนี้จะไม่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง ตราบใดที่ความเจริญยังไม่ชักชวนพวกเขาเป็นเพื่อนก็ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน แต่สัญญาณบางอย่างก็บ่งบอกแล้วว่าอีกไม่นานข้างหน้าคำตอบจะมาถึง
 ร่างของเด็กทั้งสองหายไปแล้ว ความรกครึ้มที่ปกคลุมลำธารซึ่งทำให้ธารสายนี้ร่มรื่นในตอนกลางวันนั้น กลับทำให้มืดลงอย่างน่ากลัวเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าลงเรื่อยๆ ขวดน้ำอัดลมยังวางอยู่ที่เดิม ความมืดกำลังปกคลุมมัน
........................................................................................................................				
comments powered by Disqus
  • ก้าวที่...กล้า

    8 กุมภาพันธ์ 2550 09:29 น. - comment id 94913

    ธรรมชาติของเด็ก ๆ น่ารักจัง   1.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน