เพราะเราต่างก้าวเข้ามา

ใบคา

ทุกๆ เย็นก่อนเข้างานในตำแหน่งเด็กยกกระเป๋า หรือ Bell boy ของโรงแรมระดับสี่ดาวย่านธุรกิจอย่างสุขุมวิท พันธ์มักจะหาเวลาว่างมานั่งทอดใจไปกับรางรถไฟของสถานีบางซื่อเป็นประจำ เพราะนั่นคือ 1 ในกิจวัตรประจำวันก่อนเริ่มงาน ซึ่งมีอยู่เพียง 2 อย่าง อย่างหลังเพิ่งเพิ่มเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตได้เพียง 5 เดือนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่ามันเป็นแรงบันดาลใจในทุกๆ ด้านเลยก็ว่าได้ ความสุขในการได้ส่งยิ้มให้ ทักทาย และโอภาปราศรัย กับ นุช พนักงานรุ่นพี่ที่เข้ามาใหม่
	
ทางเส้นขนานของรางรถไฟชุมทางบางซื่อทอดยาวไปสู่สายใต้ เป็นเส้นทางที่พันธ์จากลา เป็นเส้นทางที่สร้าง และเกือบทำลายพันธ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ด้วยพื้นฐานพลังใจที่พ่อได้สั่งสอนเขา มันเป็นกำแพงที่กางกั้นกองทัพความโศกเศร้าจากการจากไปของพ่ออย่างไม่หวนคืนได้เป็นอย่างดี 
ด้วยเหตุนี้การได้มานั่งมองดูรางรถไฟก็เปรียบเหมือนการระลึกถึงพระคุณพ่อที่อุตส่าห์เลี้ยงมา แม้จะไม่ตลอดรอดฝั่งก็ตาม มันเป็นแรงใจที่จะเผชิญหน้ากับความกดดันที่พร้อมจะเกิดจากร้อยพ่อพันแม่ซึ่งคอยท่าเขาอยู่เบื้องหน้าทุกรูปแบบ 
	ด้วยความเป็นคนค่อนข้างเปิดเผยของนุช จึงทำให้พันธ์หลงเสน่ห์ได้ง่าย แม้จะได้แค่ส่งยิ้มให้ เวลาเดินผ่านหน้าแคชเชียร์ จะได้คุยกันบ้างก็เฉพาะเวลาเดินสวนทางหรือพักนิดหน่อยเท่านั้น แต่นั่นก็มากพอแล้วที่ทำให้พันธ์ขอเบอร์โทรฯ และเวลาว่างต่อสายคุยกับนุชเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเป็นประจำทุกวัน
	คนสองคนแม้จะไม่ได้สนิทสนมกันด้วยการพบปะสังสรรค์ เห็นหน้าค่าตา และนัดออกเดทหรือเที่ยวกันตามประสาคนเริ่มจีบกันใหม่ๆ เพราะความสนิทของพันธ์กับนุชดำเนินไปด้วยการพูดคุยกันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างโทรศัพท์มือถือ มันย่อมถ่ายทอดความเป็นตัวตนของกันและกันออกมาได้ดีกว่าการพบปะซึ่งๆ หน้า หน้ากากใดๆ ที่ต้องพยายามสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาสวมใส่ในขณะที่สนทนาระหว่างกันยามหน้าต่อตาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ เปรียบเสมือนการเปลือยกายเข้าหากัน ย่อมทำให้รู้เรือนร่างของอีกฝ่ายได้อย่างละเอียด 
ด้วยเหตุนี้นุชเปิดเผยกับพันธ์ทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องบนเตียงกับคนรักเก่า กับปัจจุบันเรื่องที่ว่ายามวางสายของพันธ์แล้วสายต่อไปจะเป็นใคร ก่อนหน้ารับสายพันธ์นั่นใครเป็นคนหว่านคำหวานให้ และสายประปรายคือใครบ้าง ถ้อยคำเหล่านั้นแทนที่จะทำให้เขาก่อเกิดความรังเกียจ แต่กลับทำให้พันธ์นึกรักนุชขึ้นมากเป็นทวีคูณ แม้นุชจะบอกกับเขาเพียงแค่ว่า ขอคบเป็นพี่น้องดีกว่า ก็ตาม
	เพราะนอกจากนุชจะเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาแล้ว เธอยังมีความทะยานอยาก อยากเป็น คุณหญิงนุช เธอจะไม่ยอมหยุดไขว่คว้าแม้จะเสียตัวสักกี่ครั้งก็ตาม ถ้าตราบใดยังไม่มีคนรักเป็น นายร้อยห้อยกระบี่ หรือข้าราชการเชิดหน้าชูตา 
	ดูนั่นสิเธอ นักเรียนนายร้อยเท่ห์จังเลย ถ้าได้เดินควงแขนก็ดีสิเน๊าะ นุชมักจะเอ่ยกับเพื่อนเป็นทำนองชวนฝันทุกครั้งที่เจอนักเรียนนายร้อยเดินผ่านตา
	และพันธ์ก็รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ทุกคำ จากปากนุชนั่นเอง
	จริงๆ แล้วตอนนี้ก็มียุทธ์ที่เป็นทหารเรือ เขาโทรฯ มาจีบนุชเหมือนกัน นุชคุยกับพันธ์ในกลางดึกคืนหนึ่งผ่านโทรศัพท์มือถือ
	แล้วรู้จักกันได้ไงเหรอ พันธ์ถามอย่างไม่รู้สึกรู้สา แต่ออกมาจากความอยากรู้จริงๆ
	อ๋อ เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีนะ จริงๆ แล้วนุชก็ไม่ได้รู้จักกับเขาหรอกพอดีว่าเพื่อนของนุชเก็บรูปนุชไว้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วบังเอิญยุทธ์เห็น เพื่อนจึงติดต่อให้
	พันธ์เงียบไป
	แต่นุชก็ไม่อะไรกับเขาหรอกนะ แค่คบๆ กันไปเท่านั้นแหล่ะ
	คบกันมานานแล้วเหรอ
	ก็หลายเดือนเหมือนกันนะ แต่เราก็ไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันเลย ก็แหม! เขาอยู่ตั้งสัตหีบนี่ เออ! เขาจบนายร้อยแล้วด้วยนะ ไกลกันออกอย่างนั้น อีกอย่างนุชก็ไม่ค่อยว่างด้วย พันธ์ก็รู้ทำงานโรงแรมอย่างเราหาเวลาว่างได้ยากเต็มที
	คุยทางโทรศัพท์นี่นะ ไม่เรียกว่าคบหรอกมั้ง พันธ์แย้ง
	ไม่นะ เราคุยกันตลอดเลย เมื่อกี้ก็โทรฯ มา แต่นุชคุยกับพันธ์อยู่เลยไม่ได้รับ จริงๆ แล้วก็เคยไปเที่ยวด้วยกันครั้งหนึ่งแล้วล่ะ แต่ก็ไม่อยากไปอีก
	อะไรเหรอ พันธ์ถามด้วยความอยากรู้ว่าตรงกับที่ตัวเองเดาหรือเปล่า
	ก็ยุทธ์นะสิพยายามปล้ำนุช เธอหยุดไปนิดหนึ่ง แต่นุชขอไว้ เขาเป็นสุภาพบุรุษดีนะ
	แล้วระหว่างเราล่ะ จะขยับเป็นแฟนได้ไหม พันธ์ร้องขอสิทธ์
	ก็คุยกัน คบกันเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องอย่างนี้ก็ดีแล้วนี่พันธ์ นุชย้ำคำเดิมที่เคยบอกพันธ์ครั้งแรกๆ 
	แต่นุชแก่กว่าผมแค่ปีเดียวเองนะ และผมก็ไม่มีใครด้วย พันธ์เรียกร้องความเห็นใจ
	นุชเงียบ
	เป็นแบบนี้ดีกว่านะ อีกอย่างนุชก็ยังไม่อยากมีแฟนตัวดำด้วยสิ
	ดำแต่ดำหวานนะ ฮ่าฮ่าฮ่า พันธ์แก้เขิน งั้นแค่นี้ก่อนนะนุช มันดึกแล้ว นอนหลับฝันดีนะ บาย
	อย่างไรถึงเรียกว่าฝันดีล่ะ นุชเย้า
	ก็ฝันเห็นผมไง นอกจากนั้นอย่าไปฝันนะ เพราะนั่นเรียกว่าฝันร้าย
	สวัสดีจ้ะ หลับฝันดีเช่นกันค่ะ
	แล้วพันธ์ก็ตาค้างเพราะนอนไม่หลับคิดถึงนุช ส่วนนุชยังไม่ได้นอนเพราะต้องรับสายอีกหลายคน
	ความเป็นคนเปิดเผยของนุชนั้นนอกจากจะทำให้ชายหลายคนโดยเฉพาะพันธ์หลงใหลได้ปลื้มแล้ว ในทางกลับกันยังสร้างความหมั่นไส้ในหมู่เพื่อนฝูงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย เริ่มจากเหตุการณ์ที่เธอพลาดท่าเสียตัวให้กับแฟนคนแรก และนับเป็นครั้งแรกสำหรับนุช รุ่งขึ้นเธอจะต่อสายไปหาเพื่อนที่สนิทที่สุดแล้วเล่าเรื่องราวความเป็นมาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การเล้าประโลม และเยื่อพรมจารีย์ที่กลายสภาพเป็นหยดเลือดสีแดง ตบท้ายด้วยการปรึกษาหาคำแนะนำ และย้ำแล้วย้ำอีกว่า อย่าบอกใครนะ นุชอาย
	ไม่กี่อึดใจเดียวเพื่อนรายที่ 1, 2, 3 ก็โทร. ถามกัน เพื่อหาความจริงว่า นุชพูดจริงหรือเล่นอย่างไร (เพราะเธอต่อสายไปปรึกษากับเพื่อนทุกคนไล่ระดับความสำคัญลงไป แล้วตบท้ายด้วยประโยคจบเดียวกัน) 
	เพื่อนๆ เลยลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า นุช มันอวด! แต่ใครจะรู้ว่าที่เธอทำลงไปก็เพื่อระบายความในใจเท่านั้นเอง
*********
	พันธ์ปล่อยให้น้ำแร่จากแม่ริมอึกสุดท้ายไหลรินลงคออย่างช้าๆ แล้วถอนหายใจอย่างแผ่วเบา บรรยากาศยามเย็นของเมืองหลวงช่วยเสริมให้รอบกายเขาค่อยๆ ขยับอย่างเนิบนาบ รถบนถนนตรงสี่แยกข้างสถานีรถไฟบางซื่อแห่งนี้ก็เคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า มองเผินๆ มันแทบจะไม่เขยื้อนเลยด้วยซ้ำ จิตใจของผู้คนในเก๋งคันงาม ปิกอัพคันโก้หรือสปอร์ตคันหรู คงล้ำหน้าไปไกลหลายสิบลี้ มีแต่เพียงพันธ์เท่านั้นที่ทั้งจิตใจและร่างกายสัมพันธ์กัน คือ เฉื่อยชา
	2 เดือนแล้วที่กิจวัตรประจำวันก่อนเข้างานของเขาขาดหายไปหนึ่งอย่าง รอยยิ้มหวานจากนุชหน้าแคชเชียร์ของโรงแรมหายไปด้วยข้อหาว่าเธอทำงานผิดพลาดอยู่เป็นประจำ ไม่มีการปรับปรุงตัว แต่นุชบอกเขาว่า นุชโดนกลั่นแกล้ง เพราะไม่ถูกกับพี่ที่ทำงานอยู่ก่อน ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดผลลัพธ์ก็ออกมาแล้วนั่นคือไม่มีนุช 
การสนทนาทางสายก็เริ่มขาดหายลดน้อยลงไป จากทุกวันเหลือสัปดาห์ละครั้งโดยปริยาย ยามเย็นของการนั่งปล่อยใจไปกับรางรถไฟจึงเคลื่อนคล้อยอย่างเชื่องช้า และต้องการความเนิ่นนาน ตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งให้กับตัวเองได้เท่ากับการจ่อมจมอยู่กับรางรถไฟอีกแล้ว เส้นทางเหล็กขนานเส้นที่สร้างและเกือบทำลายชีวิตของพันธ์
	วันนั้นเป็นวันทำงานปกติของพ่อในตำแหน่งนายด่านสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก พ่อจะเดินตรวจตราความเรียบร้อยรอบๆ เสมอ เพราะเหตุการณ์ขณะนั้นไม่สู้ดี พ่อมักบอกว่า
	เราต้องช่วยๆ กัน
	วันนั้นเขาคงไม่ต้องเสียพ่อไป ถ้าพ่อไม่เจอเพื่อนเก่าซึ่งเป็นนายหน้ารับเหมาก่อสร้างกำลังยกของบางอย่างขึ้นกระบะรถปิกอัพที่จอดรอรับอยู่บริเวณที่จอดรถของสถานี พ่อเดินเข้าไปทักตามประสาของเพื่อนที่ไม่เจอกันนาน ไม่ทันที่จะถามสารทุกข์สุกดิบได้เต็มคำ เพราะทันทีที่พ่อเดินเข้าไปใกล้เพื่อน ระเบิดแสวงเครื่องจากมอเตอร์ไซค์ข้างๆ ทำงานตามหน้าที่ของมันทันที 
ยมทูตวิ่งปราดออกมาตามแรงดันของระเบิด กระชากร่างของพ่อออกเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยโอกาสให้พ่อได้รู้ตัว แม้กระทั่งเสียงร้องก็ไม่ยอมให้เล็ดลอดออกมา แรงระเบิดแยกร่างพ่อและเพื่อนพ่อของเขาออกเป็นชิ้นๆ มอเตอร์ไซค์ที่จอดข้างๆ กระเด็นไปคนละทิศละทาง ร่างพ่อของพันธ์ไหม้ดำ แขนขาด ขาขาด เนื้อหลุดเป็นจุดๆ เสียงระเบิดดังไปไกลกินระยะทางเกือบกิโลเมตร 
เสียงของมันเปรียบเสมือนเสียงคำรามของปีศาจร้าย ปีศาจแห่งความขัดแย้ง มันแผดเสียง ตูม! เป็นระยะทางไกล มันกระทืบเท้าเสียงดัง ถึบ! แผ่นดินรอบข้างสนั่นสะเทือนด้วยแรงโกรธกริ้วจองล้างจองผลาญของปีศาจ ผู้คนที่อยู่ในรัศมีเอื้อมมือแห่งมัจจุราชตนนี้น้อยนักที่จะมีชีวิตรอดออกมาได้
แม่เศร้าโศกอยู่แรมปี เขาเองก็ไม่ต่างกัน ไม่เป็นอันเรียน มุ่งแต่จะแก้แค้น ไม่ยอมกลับไปเรียนรามฯ ตามเดิม แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปคำพ่อเคยสอนก็ผุดขึ้นมา 
คนเราต้องทำหน้าที่ของตนให้ถึงที่สุดลูก อยู่ไหนมันก็ตายเหมือนกัน แต่ทำหน้าที่ในที่ที่คนอื่นไม่อยากทำก็เท่ากับช่วยเหลือคนอื่นแล้วล่ะ อีกอย่างพ่อก็เต็มใจและมีความสุขกับที่นี่ อย่าลืมว่าไม่มีที่นี่ลูกก็ไม่มีข้าวกินนะ พ่อบอกพันธ์หลังจากที่เขาแนะนำให้พ่อย้ายออกนอกพื้นที่เพราะกลัวเหตุร้ายจะเกิดขึ้น
เมื่อขาดเสาหลักไปครอบครัวก็ย่ำแย่ แม้พ่อจะรับราชการและได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ใช่ว่าจะได้ทันทีที่ยื่นมือขอ มันใช้ขั้นตอนดำเนินงานอย่างเอื่อยเฉื่อยจนล้าที่จะคอย และถึงได้มาก็ใช่ว่าชดเชยสภาพจิตใจที่เสียไปได้หมด มิหนำซ้ำยังจะช่วยย้ำเตือนให้หวนนึกถึงเรื่องราวความเลวร้ายเก่าๆ ที่เกิดขึ้นกับพ่อและครอบครัว เมื่อการติดต่อขอรับเงินถูกบอกปัดครั้งแล้งครั้งเล่า นานไปเข้าก็หายไปกับสายลมไม่มีใครพูดถึงมันอีกเลย แต่เขายังรู้สึกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
พันธ์รับรู้เรื่องราวด้วยเสียงจากโทรศัพท์ที่สั่นเครือจากผู้เป็นแม่ แม้แม่ยังไม่เอ่ยถ้อยคำใดๆ ออกมา เขาก็พอเดาออกว่า สารที่จะได้ในการกดรับโทรศัพท์จากแม่ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องดี
พ่อเสียแล้ว แม่กลั้นใจพูดได้แค่นี้ แล้วก้อนสะอื้นก็ติดคอ 
อะไรนะ เขาเค้นคำ แต่กลับได้คำตอบเป็นเสียงโฮออกมา
พันธ์ต้องตัดสายแม่ทิ้งแล้วโทรฯ กลับไปหาเพื่อนบ้านของพ่อ เพื่อจะให้ได้สารที่ถูกต้อง
พ่อเอ็งตายแล้ว โดนระเบิดหน้าสถานีเมื่อเช้านี้เอง คำตอบที่เขาได้รับแทบทำให้เป็นลม
หลังพ่อตาย พันธ์ตัดสินใจหางานทำด้วยความเก่งทางภาษาที่เขาสามารถพ่นออกมาได้มากกว่าภาษาพ่อภาษาแม่ คือ อังกฤษ และญี่ปุ่น เขาสมัครทำงานที่โรงแรม แห่งเดียวกันกับที่ทำอยู่ ณ ขณะปัจจุบันนี้ แต่ด้วยวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ต้องใช้เวลาอีก 2 ปีถึงจะใช้งานได้ เขาจึงได้รับหน้าที่ Bell Boy หรือเด็กยกกระเป๋า เพราะความสามารถทางภาษา แม้จะได้หน้าที่เล็กๆ ที่ช่วยสร้างความประทับใจให้แขกที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ถึงเป็นเพียงตำแหน่งน้อยๆ แต่รายได้ใช่ด้อยตาม ต่างเป็นที่อิจฉาของเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งอื่น บางครั้งก็ไม่เว้นแม้กระทั่งตำแหน่งเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อนาทรร้อนใจเกี่ยวกับค่าครองชีพนัก ปล่อยให้แม่หาเลี้ยงตัวเองด้วยการขายขนมหน้าสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก ไปพลางๆ เขาเรียนจบเมื่อไหร่จะกลับมาเลี้ยงแม่เต็มรูปแบบ
แม่ต้องระวังตัวด้วยนะ อย่าประมาท เขามักพูดแบบนี้เสมอหลังหมดธุระจากการโทรฯ หาแม่
***********
	ผ่านไป 2 เดือน หลังจากหันหลังให้กับโรงแรม นุชได้รับเงินเดือนล่วงหน้า 2 เดือนเพื่อเป็นทุนเตะฝุ่นและหางานใหม่ เงินที่ได้รับมาใกล้หมดลงแล้วแต่นุชยังไม่มีงานทำ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานุชหางานแทบไม่เว้นวัน มีบ้างที่เพื่อนชวนไปเที่ยวพักผ่อน และเธอก็เต็มใจไปเพื่อผ่อนคลายจากความเครียดของการเดินตรากตรำหางานเลี้ยงชีพ
	ปัญหาทางบ้านรุมเร้านุชอย่างหนัก การไม่มีงานทำก็นับเป็นหนึ่งในปัญหารุมล้อมนั้นเช่นกัน พ่อบอกนุชว่าเพราะช่วงนี้ดวงของเธอไม่ดี ต้องแก้เคล็ดด้วยการเปลี่ยนชื่อ และต้องเดินทางกลับต่างจังหวัดเพื่อให้หมอดูที่เป็นพระซึ่งเป็นรูปที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้นุชจึงไม่ค่อยมีเวลาติดต่อพูดคุยกับกิ๊กหน้าไหนเลย จะมีบ้างก็นานๆ ครั้ง เพราะบ้านต่างจังหวัดของเธอนั้นอยู่กลางสวนยาง จ.ตรัง เครือข่ายของอดีตตราส้มยังเข้าไม่ถึง
	ระหว่างที่ว่างงานอยู่นั้นเพื่อนๆ จากมหาลัยฯ มักชวนนุชออกไปสังสรรค์อยู่เสมอ แต่เธอก็ปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่า ตอนนี้ไม่ค่อยมีเงิน ไม่อยากไปไหนขอโทษด้วยนะ
	กินหมูกระทะแค่นี้เอง จะสักเท่าไหร่เชียว นานๆ เจอกันที ไม่ได้ว่างพร้อมกันบ่อยๆ นะเธอ เพื่อนพยายามชักจูงให้นุชออกมาเจอกันให้ได้ เพราะเธอปฏิเสธมาแล้วหลายครั้ง
	ไม่มีเงินจริงๆ เธอบอกเหตุผล และเสนอแนวทางว่า เลี้ยงไหมล่ะ
	ตกลง เพื่อนรับคำ 
	เพื่อนเลี้ยงนุชตามคำที่รับปากไว้แต่อดไม่ได้ที่จะกระแนะกร
ะแหน
	อย่ากินเยอะนะนุช เดี๋ยวอ้วน
	อ่ะ พอแล้วๆ เงินไม่ออกเขาให้กินแค่นี้
	นุชไม่พอใจ และพาลทำให้ไม่อยากติดต่อกับใคร ถ้าไม่จำเป็น เธอคิดว่าเหตุใดต้องบอกว่าจะเลี้ยงด้วยในเมื่อไม่เต็มใจจะทำ ในเมื่อออกมาแล้วทำไมต้องกระแหนะกระแหนกันด้วย
	อดีตและความทรงจำล้วนเป็นเรื่องราวที่เกิดและผ่านเราไปแล้วทั้งสิ้น แต่ทั้งสองมีความแตกต่างกันตรงที่ว่าอดีตคือเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะดีหรือเลว ทุกข์หรือสุก สิ่งเหล่านั้นคืออดีต แต่ความทรงจำ คนเรามักเก็บเอาไว้เฉพาะเรื่องความดีๆ ความรู้สึกดีๆ โดยที่กักขังความรู้สึกร้ายๆ เอาไว้ในห้วงเหวของอดีต คราใดที่เจ้าความรู้สึกร้ายๆ นี้ตะเกียกตะกายออกมาจากหลุมดำนั้นได้ก็จะทำให้เราเศร้าชั่วคราว ทีนี้ก็เป็นหน้าที่เจ้าของจิตใจว่าจะทำอย่างไรกับมันดี
เวลาอยู่คนเดียวและเรื่องราวคืนนั้นหวนขึ้นมาในภาพความทรงจำเธอจะบ่นออกมาเบาๆ ว่า กูไม่เคยขอใครกินโว้ย และมันก็ช่วยทำให้เธอสบายใจขึ้น
หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้วทุกอย่างดีขึ้น นุชได้งานทำในไม่กี่สัปดาห์ ตำแหน่งเสมียนของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง 
ถัดจากนั้น 3 วัน เธอถูกพ่อเรียกตัวให้กลับไปทำธุระกรรมเกี่ยวกับที่ดินของแม่ เพราะพ่อกับแม่ทะเลาะกันถึงขั้นแยกทางเดิน แยกบ้านอยู่ แต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ผืนดินซึ่งเป็นสวนยางพารา 40 ไร่ มีชื่อแม่ของนุชเป็นเจ้าของ พ่อกลัวว่าสามีใหม่ของแม่จะใช้เล่ห์กลกอบโกยไปหมดจนไม่เหลือไว้ให้ลูก นุชจึงถูกเรียกตัวกลับ เพื่อเรียกร้องสิทธ์ที่ควรจะได้จากแม่มาเป็นของตัวเองก่อนที่จะไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ เพราะแม่ค่อนข้างจะหลงสามีใหม่พอสมควร อีกทั้งติดการพนันด้วย สาเหตุหลังนี้นี่เองที่ทำให้พ่อและแม่ของนุชต้องเลิกรากัน
เป็นปัญหาที่หนักเอาการเพราะเท่าที่ฟังคำบอกเล่าจากพ่อแล้ว นุชพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าแม่จะไม่ยอมยกที่ผืนนั้นให้ใคร แม้แต่นุชก็ตาม เรื่องนี้มันหนักเกินกว่านุชจะรับไว้ได้ เธอโทรฯ ปรึกษาเพื่อนทุกคนที่รู้จักแต่ความช่วยเหลือก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เธอได้รับแค่คำปลอบใจ
เหรอนุช แย่จัง ไหนๆ ก็ลองกลับไปคุยกันดูนะ แม่เขาคงเข้าใจแหล่ะ
แม้กระทั่งกิ๊กอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนายทหารเรือ หนุ่มวิศวกร หนุ่มหล่อขาวหน้าตี๋ ต่างให้คำปลอบไม่ต่างจากเพื่อนก่อนหน้านี้
เนื่องจากพันธ์ยังคงเป็นนักศึกษาอยู่ นุชจึงตัดสินใจต่อสายหาเป็นเบอร์สุดท้าย 
***********
พันธ์เหรอ นุชเองนะ นุชโทรฯ หาพันธ์ ในตอนเย็นซึ่งคาดว่าเขายังคงไม่เข้างานกะดึก อันเป็นกะประจำของเขา
จ้ะๆ เขารับเสียงสั่น สั่นแบบตื่นเต้นปนดีใจ
นุชมีปัญหา ปรึกษาหน่อยสิ
อะไรเหรอ ใจเขาตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวนุชจะปรึกษาหัวใจ ซึ่งคนที่จะพูดถึงไม่ใช่พันธ์
คือที่บ้านนุชมีปัญหา พ่อกับแม่เลิกกัน แล้วแม่ก็มีผู้ชายคนใหม่ ทีนี้พ่อกลัวแม่จะยกสวนยาง 40 ไร่ให้แฟนใหม่ไปหมด เพราะแม่หลงเขามาก พ่อกลัวว่านุชจะไม่ได้อะไรเลย อีกอย่างที่ดินสวนนั้นก็เป็นชื่อแม่ นุชต้องกลับบ้านคืนนี้เลย นุชไม่รู้จะปรึกษาใครแล้ว พันธ์ว่านุชควรทำอย่างไรดีล่ะ
เดี๋ยวผมกลับไปด้วย อย่าลืมสิว่าผมเรียนรัฐศาสตร์ รามฯ นะ ถึงยังไม่จบก็เหอะ แต่ก็รู้เรื่องแหล่ะ ใครไม่ยอมผมจะพานุชไปฟ้องมันเอง เขาอาสา
เอ่อ... นุชพูดไม่ออกว่าจะให้พันธ์กลับในฐานะอะไรดี
แต่นุชต้องรับผมเป็นแฟนก่อนนะ แล้วเราก็ต้องกลับกันในฐานะแฟนด้วย ผมจะได้โทรฯ ไปลางานเลย กี่วันค่อยว่ากันทีหลัง เขาเสนอ
เฮ้อ! นุชถอนหายใจ คุยกับพันธ์นี่เหนื่อยใจจัง 
แน่ล่ะ คุยกับผมต้องใช้ใจพูดนี่ ย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา พันธ์ได้โอกาสยิงลูกโดดเม็ดโต
ตกลงจ้ะ
****************************จบ****************************				
comments powered by Disqus
  • ก้าวที่...กล้า

    18 กุมภาพันธ์ 2551 14:04 น. - comment id 99056

    ความเข้าใจ กำลังใจ อยู่รอบ ๆ ตัวเรา เนาะ 
    
    ดีจังที่ได้อ่าน  ยืมไปใช้ได้ไหมนะ  65.gif
  • เพียงพลิ้ว

    18 กุมภาพันธ์ 2551 14:15 น. - comment id 99057

    
    
    ใช้ใจคุยกันนี่มันเหนื่อยที่สุดเลยนะคะ
    รู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง ^_^
    
    
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน