นิราศบางกอก 2

ทิพย์โนราห์ พันดาว

รถไฟไปแล้ว......เหลือข้าพเจ้ากำลังยืนเล็งว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทำตามความคิดสิ ข้าพเจ้าตกลงกับตัวเอง หนึ่งข้าพเจ้าต้องไปดูงานศิลปที่โรงแรมฟอร์จูนตรงแยกรัชดา สอง...แล้วก็ไปดูที่หอศิลปอีกหนึ่งที่ เมื่อตกลงกับตัวเองสำเร็จ เท้า
ก็เดิน เดินไปขึ้นรถแท๊กซี่ เพราะว่าไปไม่ถูก..ฮ่าๆๆ โชว์เฟอร์แท๊กซี่ก็ใจดี พาไปจนถูก เสียค่าบริการไปหนึ่งร้อยบาทถ้วน เป็นอันว่าถึงโรงแรมฟอร์จูน แต่
เมื่อขึ้นไปดูงานแล้วก็ให้รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เพราะรูปที่นำมาแสดงน้อยเกินไป
 และแพงมาก จึงไม่ค่อยสะใจเท่าไร ข้าพเจ้ารีบลงมาจากชั้นสิบสองเพราะรู้สึก
ว่าหรูเกินไปเห็นแล้วขนลุกยังไงก็ไม่รู้ กลัวเชื้อคนรวยจะติดตัวข้าพเจ้าเลยต้องรีบไปให้ไกลๆ ไว้ก่อน...ข้าพเจ้าขึ้นรถไปสนามหลวง คราวนี้ไปถูก แต่ก็แอบถามคนแถวนั้นเหมือนกัน เพราะข้าพเจ้าถือคติว่า ทางอยู่ที่ปาก เมื่อถึงสนามหลวง รถเล่นเลยไปจอดหน้า ม ศิลปากร ข้าพเจ้าลงก่อนเพราะกลัวจะเลย......
ฉับพลันสายตาก็เหลือบแลไปเจอร้านข้าวแกง ความหิวแล่นปรี่ขึ้นมาถึงหัวใจ
ดวงน้อยของข้าพเจ้า เพราะมันเป็นเวลาบ่ายโมงตรงไม่บิดเบี้ยวไปทางไหนเลย
มันจึงจำเป็นที่จะต้องหิว จะหวังพึ่งข้ามต้มเมื่อเช้านั้น มันก็ละลายหายไปซะแล้ว
ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไม่รอช้า ตรงดิ่งไปยังร้านข้าวแกงที่ว่านั่นทันที สั่งข้าวราดแกงแพนงหมูหนึ่งจาน ตามด้วยไข่ดาวอีกหนึ่งใบ แล้วก็ลงมือจัดการกับเจ้าข้าว
แกงอย่างไม่ปราณีปราศัยกันเลยทีเดียว เพราะความหิวจนจะเป็นลมนั่นเอง....
......เมื่อน้ำหยดสุดท้ายจากแก้วอลูมิเนียมใบเขื่องไหลลงสู่ปากข้าพเจ้าเป็นอันว่า
เสร็จภารกิจในการกินเสร็จเรียบร้อย และรอดตายไปได้อีกหนึ่งมื้อ ข้าพเจ้าจ่ายตังค์ให้ป้าเจ้าของร้านเรียบร้อยแล้วก็เดินผละจากมาโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีกเลย.........
...จุดมุ่งหมายของข้าพเจ้าคือเสพงานศิลปในหอศิลป ข้าพเจ้าไม่รอช้าก้าวยาวๆเข้าไปใน ม  ศิลปากรอย่างรวดเร็ว ในนั้นมีเด็กสาวหนุ่มนั่งคุยกันอยู่เป็นกลุ่มๆ บ้างก็วาดรูป บ้างก็อ่านหนังสือ ข้าพเจ้าถามน้องในนั้นว่าเขามีงานในหอศิลปหรือ
 น้องพวกนั้นบอกว่า "เอ ไม่มีนี่คะ พี่ลองเดินเลาะสวนแก้วไปสิคะ หนูก็ไม่แน่ใจ"ข้าพเจ้ารับคำ พลางนึกในใจว่า ขนาดเธอยังไม่รู้ แล้วฉันจะรู้ดีไหมเนี่ย แต่
ข้าพเจ้าก็เดินเลาะตามทางเดิน ข้างสวนแก้ว ตามน้องคนนั้นบอก น่าแปลก
บรรยากาศใน ม ศิลปากร ค่อนข้างร้อนอบอ้าว แต่ในสวนแก้วที่ข้าพเจ้าเดินผ่านมานั้นกลับร่มรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าพเจ้านึกอยากจะนั่งพักอยู่เหมือนกัน แต่คิดอยู่ว่ากลัวจะไม่ทันรถไฟ ในตอนขากลับ เดี๋ยวไม่ได้ดูงานศิลปกันพอดี ข้าพเจ้าเดินเรื่อยมาจนถึงหอศิลป พระเจ้าช่วย หอศิลปปิดสงบเรียบร้อย มีแต่เด็กสาว ๆ นั่งคุยกันอยู่หน้าหอ สองสามคน ข้าพเจ้าถามเธอ ๆ เหล่านี้นได้คำตอบ
ว่าหอศิลปไม่มีงาน จบกัน ฝันสลายแน่คราวนี้ ก่อนที่ความฝันจะสิ้นดับ ฉับพลันตาก็เหลือบไปเห็นบอรด์ปิดประกาศข้างหอศิลป มีใจความว่า งานแสดงภาพเขียนศิลปกรรมร่วมสมัย ของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หอศิลปถนนเจ้าฟ้า
โอ้ แม่เจ้าอยากจะร้องกรี๊ด ออกมาให้สุดเสียง แต่ไม่ทำ พอดีกับมีสาวน้อยนางหนึ่งเดินเข้ามา ข้าพเจ้าถามเธอได้ความว่า งานนี้แสดงอยู่ที่หอศิลปถนนเจ้าฟ้าโน่น "แล้วมันอยู่ตรงไหนคะ "ข้าพเจ้าถามกลับไปเธอก็บอกว่าให้เดินออกไป
ข้างหน้า ม ศิลปากร แล้วจะเจอเอง โอ เค แม่คุณ เดินก็เดิน  และข้าพเจ้าก็เดินออกมาจากม ศิลปากร แต่ไม่วายแอบสอดส่องสายตามองหาหนุ่มๆ หน้าเข้ม ๆ ผมยาว ๆ  แต่ก็ไม่เจอเลย อาจจะมีบ้างแต่ก็แทบจะเป็นรุ่นลูก ใครจะไปมอง เดี๋ยวเจอข้อหาพรากผู้เยาว์ แต่ที่สำคัญเขาไม่มองเรา ทำไมนะเด็กๆ พวกนี้ถึงได้ไม่ชอบดูของสวยๆ งามๆกันบ้างหรือไงนะ น่าหมั่นไส้ซะจริงเชียว..........
ไว้ค่อยต่อภาค 3 กันนะคะ ง่วงนอนแล้วค่ะ				
comments powered by Disqus
  • ก่องกิก

    11 กันยายน 2550 16:42 น. - comment id 97546

    คนที่เธอคุยในเอ็มน่ะกิ๊กพี่มั้ง....
    36.gif
    แวะมาให้กำลังใจครับ
     ระวังจะโดนอำอีกนะ
    สงสัยอะไรติดต่อสายตรงด่วน
    11.gif36.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน