" วา ไปหาก๋งไหมลูก ? "
เสียงถามจากเตี่ยดังขึ้นจากด้านหลัง
ทำให้ฉันต้องหันไปมองที่มาของเสียงนั้น
ฉันกระโดดแผล๊วจากชิงช้่ายางรถยนต์ซึ่งเป็นชิงช้าจากฝีมือของเตี่ยเอง
เพื่อนๆของฉันรุ่่นราวคราวเดียวกัน หันมามองแล้วก็เล่นกันต่อไป
" เตี่ย ไปสายไหนคะ สายบนหรือสายล่าง ? "
ฉันถามเตี่ยพลางก็เดินกึ่งวิ่งมาหาเตี่ย
" สายเสมอมั้งลูก " เตี่ยพูดพลางก็อมยิ้มแบบขำๆที่ทำให้ฉันงงได้ อิอิ
" แหมๆ เตี่ยล่ะก็..." ฉันมองค้อนปะหลับปะเหลือกแต่พองาม หุหุ
เตี่ยหัวเราะ พลางเอามือขยี้ผมเบาๆด้วยความหมั่นไส้(มั้ง)
ก็เป็นที่รู้กันทั้งหมู่บ้านว่า ถนนสายล่างมักจะหมายถึงถนนริมทางรถไฟ
ใครจะเดินทางรถไฟ ก็ต้องเดินเลียบริมทางกันอย่างทุลักทุเลพอสมควรเวลาที่รถไฟวิ่งผ่าน
ส่วนถนนสายบนหมายถึงถนนลาดยางมะตอยอย่างดี
เป็นถนนทางรถยนต์วิ่งผ่านสะดวกสบาย
ที่ฉันถามเตี่ยว่า ไปทางสายบนหรือสายล่าง ก็หมายถึงว่า..
ถ้าเตี่ยไปทางถนนสายบน เตี่ยก็จะปั่นจักรยานไป
โดยที่ฉันนั่งซ้อนท้าย มีบางครั้งที่ฉันให้เตี่ยเร่งแซงกับรถยนต์
เตี่ยก็บอกว่า งั้นมาปั่นเองเลยดีไหม 5555
วันนั้นเตี่ยบอกว่า เปลี่ยนบรรยากาศบ้างดีไหม ไปทางสายล่าง
เพราะ ไม่ได้ชมบรรยากาศริมทางรถไฟนานพอดู
ฉันแอบทำหน้าเบี้ยวปากเบ้เล็กน้อย อิอิ แต่ก็เอาน่ะ
ก็ยังดีกว่า นั่งเล่นขายข้าวแกงกับเพื่อนๆผู้หญิง
นั่นไม่ใช่การละเล่นที่ฉันชอบนักหรอก
ครั้นฉันจะชวนพวกคุณเธอเหล่านั้นมาเล่นโลดโผนอย่างเด็กผู้ชาย
ก็มีแต่พวกเธอส่ายหน้าหนีกันทุกคน
ณ.ริมทางรถไฟเช้าวันนั้นแดดไม่จ้ามากนัก แต่เตี่ยก็คงกลัวฉันร้อน โดนแดด
กลัวฉันไม่สบาย เลยเอาผ้าขาวม้ามาโพกหัวให้ ทำเป็นพม่าไปได้ อิอิ
แต่ฉันก็ชอบนะ เท่ดี 5555
ระหว่างนั้น สองพ่อลูก ก็คือฉันกับเตี่ย
ก็เดินเลียบริมทางรถไฟไปเรื่อยๆ ตอนนั้นสวนหมาก สวนพลู
สวนมะพร้าวยังอุดมสมบูรณ์ด้วยวิธีการธรรมชาติไม่ต้องอาศัยปู๋ยเหมือนสมัยนี้
สวนต่างๆข้างริมทางรถไฟยังให้ร่มเงา มีความร่มรื่น
ให้ความสดชื่น เหมาะแก่การสูดอากาศยามเช้า
สองพ่อลูกต่างพากันเดินไปเรื่อยๆระยะทาง 1.5 กิโล จากบ้านฉันไปบ้านก๋ง
ทำให้เด็กๆอย่างฉันตอนนั้นเรื่มเบื่อ เหนื่อย
แต่ก็ยังดีที่มีสิ่งให้เรียนรู้มากมายจากริมทางรถไฟ
สาย ตาก็มองโน่นมองนี่ไปตลอดทาง
ปากก็ซักถามไม่ได้หยุด แต่เตี่ยไม่เบื่อเลย(มั้ง)กับการตอบคำถามของฉัน
" เตี่ย อีกไกลไหมเนี่ยะ กว่าจะถึงบ้านก๋งน่ะ " ฉันชักจะเรื่มล้า เหนื่อย
" ไม่ไกลหรอกลูก อีกนิดเดียว " เตี่ยยังคงพูดปลอบใจฉันเรื่อยไป
ฉันรู้ ถึงแม้เตี่ยจะบอกระยะทางเป็นความยาวว่า กี่กิโลก่อนจะถึงบ้านก๋ง
ยังไงฉันก็ไม่รู้หรอก ว่า ระยะทาง(ตั้ง)1.5 กิโลนั้น
ไกลหรือใกล้แค่ไหนสำหรับเด็กๆอย่างฉัน
" เตี่ย ถ้าเราเดินไปเรื่อยๆ จะไปถึงไหนเหรอเตี่ย ? "
อีกหนึ่งคำถามสำหรับเด็กที่อยากรู้อยากเห็นอย่างฉัน
" แล้วหนูจะไปไหนละ ? " เตี่ยถามอย่างอยากรู้คำถามของฉัน
" หนูเห็นอะไรนั่นไหม เห็นจุดสิ้นสุดของรางรถไฟไหมล่ะลูก ?
เตี่ยตั้งคำถามย้อนคืนมาให้ฉันได้ขบคิด
" เห็นซิคะเตี่ย นั่นไง ใต้ต้นไม้ใหญ่ๆนั่นไง
จุดตรงนั้นน่ะ หนูเห็นรางรถไฟแคบเข้าหากันด้วยแหละ
รางรถไฟชิดกันจริงๆด้วยนะคะเตี่ย "
ฉันตอบ พลางชี้มือไปยังต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาข้างหน้านั่น
คำตอบของฉัน ทำให้เตี่ยอมยิ้ม ไม่พูดอะไรต่อไป นอกจากคำว่า ...
" อืม เหรอ หนูเห็นด้วยสายตาหนูแบบนั้นเหรอ
เดี๋ยวเราไปให้ถึงนะว่า จุดสิ้นสุดของรางรถไฟน่ะ สิ้นสุดตรงนั้นจริงๆหรือเปล่า "
....................................................
" อ้าว.....ไหนล่ะเตี่ย รางรถไฟที่หนูเห็นน่ะ
หนูเห็นว่า จุดสิ้นท้าย ปลายรางคือต้นไม้ใหญ่ต้นนี้นี่นา
แล้วหายไปไหนล่ะคะ ปลายรางรถไฟหายไปไหน ? "
ฉันได้แต่ทำสีหน้างุนงง อย่างอยากรู้อยากเห็น สงสัยเต็มที
เมื่อสงสัย คำถามก็พร่างพรูจากปาก
" เตี่ยๆ ปลายรางรถไฟ หายไปไหน ทำไมหายไปแล้ว ? "
ฉันถามพลางเกาะกุมด้วยสองมือของฉันเขย่ามือเตี่ยด้วยความอยากรุ้
ทั้งๆที่สายตาฉันเห็นแบบนั้นจริงๆนี่นา
" รางรถไฟน่ะ ไม่มีวันสิ้นสุดหรอกลูก
มองดูด้วยสายตา คาดคะเนว่า อยู่ตรงนั้น สิ้นสุดตรงนี้
แต่ไม่มีใครค้นพบคำว่า จุดสิ้นสุดของเส้นขนานเลยสักที "
ฉัน เริ่ม งง กับสิ่งที่เตี่ยพูดให้ฟัง แต่พอจะรู้ว่า ..
เหมือนชีวิตคนเราบางคน อาจเดินด้วยกันไปบนเส้นทางเดียวกัน
แต่ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน เพราะไม่เจอสุดสิ้นสุดของเส้นขนาน
ฉันได้แต่พยักหน้า อย่างจนใจในคำพูดของเตี่ย
จนกระทั่งเตี่ยต้องบอกว่า เอาเหอะ ไว้โตกว่านี้อีกหน่อย
คงจะเข้าใจคำว่า เส้นขนาน ต้องเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเรื่อยๆ
อย่าหยุดนิ่ง
" แม้เราต้องก้าวเดินไปบนเส้นขนาน แต่เราจำเป็นที่ต้องเดินไปไม่ใช่เหรอ ...."
ฉันทวนคำเบาๆ " เส้นขนานๆ "
เจ้าเส้นขนาน ทำไมเจ้าถึงไม่มีจุดสิ้นสุดสักทีนะ
.............................................
" ปู๊น...ปู๊น...ปู๊น..." เสียงหวูดรถไฟดังแว่วลากเสียงยาวมาแต่ไกล
ทำให้ฉันกับเตี่ยต้องหลบลงข้างทางซึ่งเป็นป่าหญ้าริมทาง
ทันใดนั้นฉันกวาดสายตาไปเห็นเจ้าดอกไม้ริมทางช่อหนึ่ง
ซึ่งออกดอกสวยทีเดียว
" เตี่ยๆ ดอกอะไรน่ะเตี่ย สวยจัง ? " ฉันทำสีหน้าตื่นเต้่ต้นหมือนเห็นสิ่งแปลกใหม่
" อ่อ .. เป็นดอกหญ้าริมทางน่ะลูก ชื่อว่า ดอกขี้ไก่ "
เตี่ยบอก พลางไปหักกิ่งดอกหญ้านั้นมาให้ฉันส่งให้ฉันหอบไว้ในมือ
" ดอกก็ออกสวย ทำไมชื่อเจ้าดอกขี้ไก่ไปได้เนอะ "
ลักษณะดอกหญ้าริมทางนั้นเป็นสีชมพูจางๆ สีเหลืองแซมด้วยส้มๆ น่ารักทีเดียว
เป็นดอกเล็กๆในกิ่งเดียวมีหลากหลายสี ใบสีเขียวๆ แต่ระคายมือ
กิ่งมีลักษณะที่เปราะหักง่าย ไม่ต้านทานแรงลมสักเท่าไหร่นัก
และเมื่อฉันสูดดมความหอม กลับได้แต่ความว่างเปล่า
" โห ดอกก็ออกจะซ๊วย สวย แต่ไม่หอมเลยล่ะเตี่ย แหวะ .."
ฉันสูดดม แล้วก็ทำหน้าเบ้
" อืม..นั่นแหละลูก ดอกไม้เปรียบเหมือนคนแหละ สมัยนี้ เขามองที่ความสวยงามภายนอกร่างกายกันก่อน เด็ดดอมดมหวังความหอม
แต่เมื่อสวยแต่รูป จูบไม่หอม เขาก็ทิ้งขว้างไปอย่างไร้ค่า
ในขณะที่ใครบางคน เขามองดอกไม้ที่ไม่สวย ขี้เหร่
แต่มีคุณประโยชน์มากมาย มีความหอมคงทน
เหมือนคนที่หน้าตาไม่สวย แต่เขาทำความดีงามที่น่ายกย่อง
หนูว่า อย่างไหนน่าจะดีกว่าล่ะ หือ ? "
เป็นครั้งที่สองที่ฉันได้จำยอมกับคำพูดของเตี่ย
รถไฟมาถึงที่พวกเราสองพ่อลูกยืนกันนั้น
ความเร็วและแรงของรถไฟ ทำให้ฉันแทบทรงกายไม่อยู่
ต้องเกาะเตี่ยเอาไว้แน่นเป็นหลักให้กับตัวเอง
พลางคิดในใจหากฉันไม่มีเตี่ยไว้เป็นหลักให้แบบนี้ตลอดไป
ฉันจะทำอย่างไร ชีวิตบนริมทางรถไฟช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร
ฉันได้แต่แค่ครุ่นคิด.......
เสียงล้อรถไฟบดแน่นกับรางคู่นั้น ช่างเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ
แต่ก็ทำให้ฉันอมยิ้มได้เมื่อนึกถึงบทสนทนาของฉันและคำล้อของเพื่อนๆ
" รถยนต์ล้่อยาง รถรางล้อเหล็ก รถไฟนั้นเป็นของเจ๊ก ล้อทำด้วยเหล็ก ฉึ่กฉั่กๆ "
ฉันมักท่องคำพูดประโยคนี้บ่อยๆยามต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
แต่เจ้าเพื่อนตัวดี ชอบล้อฉัน เพราะเห็นว่า คนในหมู่บ้านนั้นมีเพียงครอบครัวฉัน
ที่เป็นคนจีน เขาก็จะเปลี่ยนคำพูด กลายเป็นว่า..
" รถไฟไม่ใช่ของเจ๊ก โดนตีด้วยเหล็ก ชักแหง่่ก ชักแหง่ก "
สิ้นเสียงคำว่า ชักแหง่ก ชักแหง่ก ฉันก็วิ่งไล่ทุบเจ้าเพื่อนตัวดีเสมอๆ
ก็เขาบังอาจมาหาว่า รถไฟไม่ใช่ของเจ็กทำไมละ
มาหาว่า โดนตีด้วยเหล็กนอนชักแหง่กๆอีกแน่ะ เฮ้อ....
" เตี่ย นั่นสายอะไรล่ะ มีเสาสูงๆด้วยล่ะ สายก็ห้อยระโยงระยางเชียว "
คำถามอยากรู้มีอีกแล้วซิ
" อ่อ .. เขาเรียกว่า สายโทรเลขไง เป็นการส่งข่าว สื่อสารกันทางโทรเลข
สำหรับคนที่ห่างไกลบ้านและก็ต้องการส่งข่าวด่วนให้ญาติได้รับรู้ "
เตี่ยตอบอย่างผู้รู้เรื่องราวทุกอย่าง สมแล้วที่เป็นฮีโร่ของฉัน
" อ่ะๆๆ อย่านะลูก จะทำอะไรน่ะ ? "
เตี่ยร้องห้าม เมื่อเห็นฉันก้มลงหยิบก้อนหินริมทางรถไฟขนาดพอเหมาะ
มากำไว้ในมือ เตรียมตัวขว้างไปสุดแรง
" ทำไมล่ะเตี่ย เพื่อนหนูยังท้าพนันกันบ่อยไป
ใครขว้างโดนสายนั่นน่ะ ถือว่า เก่ง แม่นยำนะ
ฉันยังไม่ยอมจำนนต่อคำพูดของเตี่ย พลางพยักเพยิดให้เตี่ยดูสายโทรเลขข้างทางนั่น
" หนูคิดซิ หากเขากำลังส่งข่าว พวกเขากำลังทำงาน แล้วข้อมูลผิดพลาด
เพราะโดนหินขว้างแล้ว ความเสียหายจะเกิดขึ้นไหม ? "
คราวนี้เอง เป็นครั้งที่ฉันต้องยอมจำนนต่อคำพูดของเตี่ย
เปล่านะ ฉันแค่อยากเอาอย่างเพื่อนๆ
แค่เพื่อทดลองความแม่นยำของฝีมือตัวเองแค่ันั้น แค่นั้นเองจริงๆ
" ทำหรั๋ยนุ้ย.....ทำหรั๋ยลุง ? "
เสียงทักทายสำเนียงปักษ์ใต้โดยแท้จากลุงคนหนึ่งดังจากรถต๊อกๆ
รถต๊อกๆเป็นรถของทางการรถไฟ เมื่อก่อนที่ฉันเห็นนั้น
ทำจากแผ่นไม้กระดาน ความกว้างพอดีกับรางรถไฟ ความยาวก็แล้วแต่สะดวก(มั้ง)
ส่วนล้อก็เป็นล้อสำหรับวิ่งบนรางรถไฟได้ ไม่มีหลังคาคุ้มกันแดดฝน
ไม่มีเครื่องจักรกลบังคับการทำงานของรถแบบนี้
มีเพียงไม้ค้ำถ่อให้รถได้เคลื่อนตัว ไม่มีหลังคาอะไรทั้งนั้น
บนรถต๊อกๆก็จะมีประมาณสัก 4-5 คน แล้วแต่การทำงานของพวกเขา
" เตี่ย ใครน่ะ รู้จักเตี่ยด้วยเหรอ เขาทักทายหนูด้วย "
ฉันแปลกใจที่พวกเขาเหล่านั้นร้องทักทายฉันกับเตี่ยเหมือนรู้จักกัน
" อ่อ เป็นคนที่ทำงานการทางรถไฟน่ะลูก เขามาตรวจตราดูแล ซ่อมแซมทางรถไฟ
ดูว่าส่วนไหนเสียหายมากน้อยแค่ไหน เขาก็ส่งคนมาช๋อม
พวกเขาดูแม้กระทั่งว่า ก้อนหินของทางรถไฟนั้นจะถูกขโมยไปบ้างไหม
ดูว่า ไม้หมอนรองรางรถไฟส่วนไหนชำรุด เขาก็นำมาเปลี่ยนให้ ..."
เตี่ยของฉันมีความรู้อีกแล้ว พ่อฮีโร่ตัวดีของฉัน อิอิ
...........................................................
สุดท้ายแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้รู้หรอกว่า ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลฯ
ที่เตี่ยพาฉันเดินน่ะ ไกลหรือใกล้แค่ไหน
รู้เพียงแต่ว่า ฉันได้อะไรหลายๆอย่างในเช้าวันนั้น
รู้่รู้ว่า เส้นขนานที่ฉันกะด้วยสายตาว่า เดี๋ยวคงได้พบกัน
แต่แล้วก็ไม่มีวันมาพบบรรจบกันได้เลย
เหมือนชีวิตคนเรา ที่เดินไปด้วยกัน จับมือจูงเดินไปด้วยกันบนรางรถไฟรางคู่นั้น
ต่างก็ต้องคอยประคองซึ่งกันและกันไม่ให้ชีวิตของเราหรือเขาเหล่านั้น
ล่มกลางทางเสียก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง
แม้ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีโอกาสที่จะได้เจอกัน
ระยะเวลาในการเดินทางของสายชีวิตนั้น ต่างต้องพยายามมองคนรอบข้างด้วย
ไม่ใช่ว่า เราเดินดุ่มๆไปคนเดียว โดยที่
ไม่รุ้ว่า เมื่อไหร่คนเคียงข้างของเราก้าวพลาดบ้างหรือไม่
หรือว่า อาจเป็นเราเองที่อาจก้าวพลาดบนเส้นทางสายนั้น
ก็จะได้ช่วยฉุดมือกัน ดึงรั้งกันให้กลับมาในเส้นทางเดิม
แต่ก็เป็นน่ายินดีไม่ใช่เหรอ ที่อย่างน้อยเราสองคนได้ก้าวเดินไปด้วยกัน
ได้จับมือเดินไปในเส้นทางสายเดียวกัน แค่นี้ก็สุขใจพอแล้ว .
......................................................
< T H E E N D >
( ฉ า ง น้ อ ย ท ะ เ ล ไ ร้ ค ลื่ น )
1
ดอกไม้ริมทาง " ดอกขี้ไก่ " หรือ " ดอกผกามาศ " นั่นเอง..
7 ธันวาคม 2551 21:02 น. - comment id 102809
มาดูพ่อลูกเดินนับไม้หมอน สองคนพ่อลูก 1.5 กิโล น่าจะได้ สัก 3-4 ร้อยไม้หมอนมั้ง ถ้าไม่แน่ใจ ปายเดินนับใหม่อีกที คราวนี้เอาลุงปายแทนนะ
อ่านแล้วอิจฉาสองพ่อลูกจัง

7 ธันวาคม 2551 21:05 น. - comment id 102810
อ้าว..พี่แบมไม่ทันมอง น้องสาวเราก็ลงเหมือนกัน เด๋วขอที่ 2 ต่อพี่ไร้ฯ เด๋วกลับมาใหม่

7 ธันวาคม 2551 21:21 น. - comment id 102811
ขอบคุณฉางน้อยที่นำเรื่องราวดีๆ พร้อมให้แง่คิดหลายๆอย่างกับอีกหลายๆคน ชีวิตคนเรา หาจุดที่สิ้นสุดไม่.. การเดินทางไม่มีที่สิ้นสุด .. ต่างกันแต่ เส้นทางไหน ใครจะเลือกเดิน ต่างกันที่ประสบการณ์ ขอบคุณ คุณเตี่ยของน้อง ที่มอบแง่คิดดีๆด้วยค่ะ หลับฝันดีค่ะน้องรัก อืม...วันนี้ได้อ่านอะไรที่มีความหมาย พี่แบมฝันดีแน่นอนค่ะ

7 ธันวาคม 2551 21:59 น. - comment id 102813
1.....สวัสดีค่ะพี่ไร้อันดับฯ
ขอบคุณที่มาเจิมเม้นท์ประธานคนแรก
555555
พูดถึงไม้หมอนรถไฟ ทำให้นึกถึงเตี่ย
ฉางน้อย..... เตี่ยๆ ทำไมรถไฟต้องมีไม้หมอนล่ะเตี่ย
เตี่ย....... อ้าว ลูกนอน แล้วมีหมอนหนุนหัวไหมล่ะ
นั้นละ รถไฟก็ต้องมีไม้หมอนเหมือนกัน แทนหมอนนุ่มๆ 5555
(แหมๆ ทำไปได้ เตี่ยฉ๊านนนน) 5555

7 ธันวาคม 2551 22:01 น. - comment id 102814
2.....สวัสดีค่ะพี่แบม วันหลังต้องหัดวิ่งใหม่แล้วล่ะค่ะ วิ่งไม่ทันพี่ไร้อันดับสักทีน๊า พี่เค้าน่ะ ระดับนักวิ่งกวด 4 คูณ 100 เมตรแน่ะ อิอิ

7 ธันวาคม 2551 22:04 น. - comment id 102815
3.....พี่แบมคะ เรื่องราวความผูกพันระหว่างเตี่ยกับฉางน้อยมีเยอะแยะมากมายค่ะ สิ่งที่ฉางน้อยนำมาให้พี่อ่านนั้น ยังน้อยไปคะ ส่วนมากฉางน้อยเก็บในลิ้นชักแห่งความทรงจำที่ดีๆสำหรับตัวฉางน้อยเองค่ะพี่ ฉางน้อยเขียนแค่บันทึกเป็นเรื่องราว แค่อยากเล่า อยากบอกแค่นั้นเองคะ ไม่มีอะไรมากมายหรอกคะ ขอบคุณพี่ย่าแบมมากนะคะ ที่มาอ่านเรื่องราวของฉางน้อย เขียนแบบไร้สาระน่ะคะ .........ขอบคุณสำหรับไมตรีจิต ขอบคุณมิตรทุกท่านนะเจ้าค๊า.....

7 ธันวาคม 2551 23:21 น. - comment id 102816
ริมทางรถไฟ เดินไปถึงไหนก็ดี นรกสวรรค์มากมี ชีวิตคนดิ้นรนอีกนาน....

7 ธันวาคม 2551 23:27 น. - comment id 102817
เยี่ยมทีเดียว น้องฉางน้อย จะบอกว่า ความรู้สึก ความคิด ความเข้าใจของคนสองคนมีมากกรณีจริงๆที่เดินบนเส้นขนาน แต่มีบางสิ่งที่แน่นอนเคินบนเส้นทางเดียวกันของสิ่งที่เราเรียกว่า ชีวิต คือ......หมายถึงการเกิดและการดับ เกือบทุกคนพอใจการเกิด และลืมคิดถึงอีกสิ่งตรงข้ามกัน ที่ว่าน้องฉางน้อยเก็บความทรงจำที่ดีไว้ในกล่องลิ้นชัก พี่จะขอเตือนให้หมั่นชักลิ้นชักบ่อยๆ มิเช่นนั้นอาจจะชักลิ้นชักไม่ออกเพราะรางลิ้นชักดันขึ้นสนิมเสียก่อน อิอิ

7 ธันวาคม 2551 23:45 น. - comment id 102818
7.....สวัสดีค่ะ คุณลุงจุด ของใครหว่า ? อะแฮ่ม.... .....สองข้างทางรถไฟ ก้อนดินหินใหญ่มากมาย ดอกไม้สวยสดหลากหลาย ขี้ควายมากมายก่ายกอง................55555 โทษทีค่ะ กลอนพาไปนะเจ้าคะ อิอิ รักษาสุขภาพนะคะ.....

8 ธันวาคม 2551 01:05 น. - comment id 102819
8.....สวัสดีค่ะพี่วิทย์ พี่วิทย์เคยไหมล่ะคะ ที่เดินบนรางรถไฟคนละข้างกับเพื่อนหรือใครสักคน หากเราเดินคนเดียว ก็ทรงตัวไม่ค่อยตรงใช่ไหมคะ เราต้องช่วยกันประคองจับมือกันกับเพื่อนที่เดินบนรางอีกฝั่งหนึ่งใช่ไหมคะ นั่นแหละคะ ฉางน้อยก็แค่คิด นำเอาประสบการณ์ที่เจอกับตัวเองมาเขียน เพราะสมัยเด็กๆฉางน้อยเคยเดินเล่นบ่อยคะ เดินเล่นบนรางรถไฟแล้วชวนเพื่อนมาแข่งกันเดินบนราง ใครเดินโดยไม่หล่นเลย ชนะไป แต่แล้วไม่มีใครไปถึงจุดหมายปลายทางที่ว่านั่นสักคน มีแต่ต้องจับมือประคองไป ช่วยกันพยุงตัวเดินบนรางรถไฟให้รอดพ้นไปได้ ...... ปล. ลิ้นชักความทรงจำยังมีเรื่องราวมากมายค่ะพี่ ตอนนี้ฉางน้อยเริ่มเคาะสนิมแล้วล่ะค่ะ .... ขอบคุณที่เข้ามาทักทายและให้กำลังใจกันนะคะพี่วิทย์ .....

8 ธันวาคม 2551 03:55 น. - comment id 102821
ว่าแล้วฉางน้อยอย่าคิดเอาไม้หมอนรถไฟไปทำฟืนที่บ้านนะ เด๋วเจ้าทุกข์มาตาม อิอิ ฝนมานั่งอ่านนิทานของฉางน้อยสนุกมากเลยค่ะให้ข้อคิดดีด้วยค่ะ.... งิงิ มีดอกไม้อีกชนิดหน่งที่ค่อนข้างสวยสะดุดตา คือดอกไมยราฟ ฝนชอบดึงเล่นบ่อยๆๆตอนเล็กๆๆถึงแม้หนามมันจะตำมือ แต่ ก็สนุกที่จะได้เด็ดมันออกจากต้น โดยพนันกันว่าใครไม่โดนหนามไมยราฟตำคนนั้นเก่งกว่า.....อิอิ ในที่สุดทุกๆๆครั้งที่ถอนดึงฝนโดนหนามตำทุกที

8 ธันวาคม 2551 08:19 น. - comment id 102822
น้องฉางน้อง แล้วเดี๋ยวนี้ไม่กลับไปเยี่ยมรางรถไฟบ้างเหรอครับ เตี่ยท่านน่ารักมากนะครับ

8 ธันวาคม 2551 08:57 น. - comment id 102823
11.....สวัสดีค่ะคุณฝนเองจ้า....... ฉางน้อยก็แค่เขียนเล่นๆ เล่าประสบการณ์ตอนเด็กๆน่ะค่ะ เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเด็กนะคะ แต่เป็นเด็ก ( เหลือ ) น้อย ค่ะ 555555
.... คุณฝนสบายดีไหมคะ ขอบคุณที่มาทักทายกันคะ

8 ธันวาคม 2551 09:00 น. - comment id 102824
12.....สวัสดีค่ะพี่คนบนเกาะ ปีใหม่นี้ไงคะ กลับไปเยี่ยมเพื่อนเก่า รางรถไฟสุดลูกหูลูกตา ว่างๆจะกลับไปเดินนับไม้หมอนรถไฟดีกว่า อิอิ ......พี่สบายดีไหมคะ ขอบคุณที่แวะทักทายค่ะพี่ เตี่ยของฉางน้อยใจดีพอสมควรคะ ไม่ดุ มีเหตุผลเสมอ พวกเราลูกๆไม่เคยกลัว แต่แค่มองตาก็ จ๊ากกกก ตัวใครตัวมัน 555555

8 ธันวาคม 2551 14:13 น. - comment id 102831
ฉางน้อย...เขียนเรื่องนี้แล้วนึกเห็นภาพ..ฉางน้อย คงจะเรียนเก่งวิชาเลข..เพราะเตี่ยพาเดินนับไม้หมอนตั้งแต่เด็ก ..อิอิ.. สำหรับพี่ นั้นเห็นรางรถไฟทุกวัน... เพราะต้องขับรถผ่านถนนพาดรางรถไฟ..และจุดนั้นเป็นถนนสายเล็ก ๆไม่มีเครื่องกั้น..มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย ๆ ..เวลาขับรถผ่านที่ไร ก็หันมองซ้าย - ขวา ดูว่ามีรถไฟผ่านมาหรือไม่ ..จนแข็ดคอทุกที... เป็นเรื่องสั้นที่น่าประทับใจครับ... ..

8 ธันวาคม 2551 15:12 น. - comment id 102832
15.....สวัสดีค่ะพี่ลิลิต .......จริงๆแล้วฉางน้อยไม่เคยนับได้สำเร็จสักที ว่า รางรถไฟสายนั้นระยะทาง 1.5 กิโลนั้น มีไม้หมอนทั้งหมดกี่อัน ...55555 เดินพลาง เล่นรพลาง คุยพลาง สุดท้าย ก็ลืมจนได้คะ อิอิ.... เอ.... สงสัยบ้านพี่ลิลิต อยู่ใกล้บ้านก๋งของฉางน้อยเป็นแน่ 5555 ขอบคุณที่มาทักทายค่ะพี่......

9 ธันวาคม 2551 22:06 น. - comment id 102840
เย้ๆ ยัยตาตี่เขียนเก่งจังเลย ไปด้วยดิ เดินนับหมอนลางรถไฟ ส่วนยัยตาโต เดินนับกองขี้ควาย กั๊ก กั๊ก กั๊ก

9 ธันวาคม 2551 22:50 น. - comment id 102842
ชอบตรง ทางขนานนี่แหละ.. เส้นทางที่ไม่เคยบรรจบกัน.. แม้เส้นทางเดิน ของใครบางคน ไม่อาจบรรจบกับใครบางคน ...แต่ ใครบางคน กับ อีกใครบางคนสามารถเดินไปพร้อมๆ กันได้.. เขียนได้ดีฉางน้อย..

10 ธันวาคม 2551 08:49 น. - comment id 102845
17.....แหมๆ ยัยตาโตก้อ มาทำตาโตๆสมชื่อเลยนะหล่อน อิอิ เป็นไงมั่งจ๊ะ สบายดีป่าว ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ หนาวไหมที่โน่นน่ะ คิดถึงเสมอแหละ แต่ใครบางคนเขาไม่คิดถึงาตึ่แล้ว เศร้าจัง ...

10 ธันวาคม 2551 08:53 น. - comment id 102846
18.....สวัสดียามอากาศหนาวๆเย็นๆค่ะพี่กิ่งโศก หายไปเลยน๊า ฉางน้อยคิดว่าพี่ลืมกันซะอีก อิอิ รอว่า เมื่อไหร่น๊า พี่กิ่งโศกจะมาอ่าน ยังคิด เอ.. จะมาป่าวน๊า 55555 (พุดจริงๆนะคะ) ขอบคุณด้วยมากมายที่ยังคิดถึงกัน ขอบคุณที่แวะทักทายค่ะพี่..... ...... ใช่แล้วค่ะพี่กิ่งโศก แม้ทางเดินของใครบางคนหรืออีกหลายๆคนอาจไม่ได้เดินร่วมทางกัน แต่สองคนต่างก็มีจุดหมายปลายทางเดียวกันนี่คะ ในระหว่างที่เดินด้วยกันนั้น เราสองคนเดินพร้อมๆกัน อาจจับมือไปด้วยกัน หรือว่า เดินสวนทางกัน ก็แล้วแต่เนอะ ยิ่งพุดยิ่ง งง ...55555

10 ธันวาคม 2551 14:35 น. - comment id 102851
ไปเดินเล่นเลียบริมทางรถไฟ พร้อมๆเตี่ย กะฉางน้อย สนุกจัง ฉางน้อยมัวแต่มองหาจุดสิ้นสุด เลยสะดุด หัวทิ่ม อิอิ ล้อเล่ง แอบอิจฉาอยู่นี่ล่ะ ได้เดินจูงมือเตี่ยด้วย มีความสุขจังน๊า

10 ธันวาคม 2551 14:55 น. - comment id 102852
21.....สวัสดีค่ะพี่แจ้น เดินนับหมอนที่รางรถไฟด้วยค่ะพี่แจ้น นับไป นับมา เอ.. เท่าไหร่แล้วหว่า 5555ลืมๆไปเลย อิอิ ขอบคุณที่มาทักทายค่ะพี่แจ้น หายไปนานเลยน๊า พี่สาวเรา กิ๊วๆๆ

11 ธันวาคม 2551 07:37 น. - comment id 102863
อ่านแล้วเพลิดเพลิน ได้ความรู้ อย่างน่ารักมากเลย สไตล์ฉางน้อย เลยน้อ ไม่สงสัยเลยว่าทำไม ดูท่าทางฉางน้อยมีความสุขในชีวิตมากมาย มีเตี่ยเป็นฮีโร่นี่เอง ครอบครัวดีคือคำตอบน้อ

11 ธันวาคม 2551 09:31 น. - comment id 102865
23.....สวัสดีค่ะคุณป้ากันนาเทวี(หรือเปล่าคะ) ขอบคุณมากๆที่เข้ามาอ่านและทักทายเรื่องราวของฉางน้อยคะ เป็นความทรงจำที่ดีๆในสมัยเด็กๆน่ะคะ ฉางน้อยก็มีทั้งทุกข์ทั้งสุขนะคะ ไม่ใช่ว่ามีแต่สุขอย่างเดียว แหมๆ ถ้าคนเรามีแต่ความสุขก็ดีซิคะ ยอมรับคะว่า เตี่ยเป็นผู้นำครอบครัวที่น่ารัก รักมากๆๆเลย อิอิ ขอบคุณนะคะป้ากันนา....

17 ธันวาคม 2551 02:39 น. - comment id 102905
อ่านเเล้วรู้สึกดีจังเลยคะ นานๆ จะเเวะเข้ามาสักครั้ง พูดถึงทางรถไฟ มีอดีตฝังใจเป็นบทเรียน ขับรถข้ามทางรถไฟไม่มีเเผงกั้น เเล้วหญ้าก็รกไปหมด หวิดก้นรถไปนิดเดียว นึกถึงทีไรก็หวาดเสียว ตอนนี้กลายเป็นโรคหวาดผวา กับทางรถไฟไปเลยคะ

20 ธันวาคม 2551 18:54 น. - comment id 102954
25.....สวัสดีคะคุณรอยทาง ขอโทษด้วยนะคะที่เพิ่งมาตอบ พอดียุ่งๆนิดหน่อยคะ เป็นบุญแล้วล่ะคะ ที่รถไฟไม่เฉี่ยวก้นอันงามของคุณรอยทาง อิอิ ล้อเล่นนะคะ ความเร็วและแรงของรถไฟน่ากลัวมากนะคะ หากว่าใครได้ยืนใกล้ๆแทบทรงตัวไม่อยู่เลยจริงๆนะคะ ขอบคุณนะคะที่เข้ามาทักทาย พูดคุยกันคะ

12 กุมภาพันธ์ 2555 00:16 น. - comment id 128461
ดอกขี้ไก่หรือดอกผกากรอง...ไม่ใช่ผกามาศ... ต้นผกามาศ ดูเผินๆคล้ายกันกับต้นเข็มทั้งดอกและใบ แต่สูงใหญ่กว่าออกดอกเป็นช่อสีขาว มีกลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ
