25 มิถุนายน 2549 21:00 น.

อินเลิฟ

แดดเช้า

25par058.jpgเมื่อไหร่จะถึงคิวพี่ม้าลายเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของแดดเช้าสักที
พี่ม้าลาย ถามฉันทุกวัน และทุกครั้งที่อ่านเรื่องสั้นของฉันจบลง
พี่ม้าลายอยากเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของแดดเช้าจริงเหรอ
จริงน่ะสิ 
ก็ยังคิดไม่ออกน่ะสิ จะให้พี่ม้าลายแสดงบทบาทไหนดี
จะรอนะ  พี่ม้าลายรอคิวเป็นพระเอกอยู่นะ


แล้วฉันก็มานั่งนึกๆ ดู 
พี่ม้าลายจะมาเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของฉันได้อย่างไรบ้างละเนี่ย 


เพิ่งมาปิ๊งไอเดียเมื่อคืนนี้ 
เอาเรื่องที่ฉันคุยกับพี่ม้าลายมาเขียนดีกว่า


เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า 
ระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉันจะขยันเขียนกลอนเป็นซีรี่ส์อินเลิฟ อย่างที่หลายๆ คนได้อ่านกัน
ในระยะแรกๆ ที่ฉันเขียนกลอน ก็จะมีน้องสาวคนหนึ่งพยายามมาซักว่า พี่แดดเช้าอินเลิฟใคร

เรื่องอะไรจะบอก 
เธอก็เกิดอาการเครียดมาก 
เครี้ยด เครียด 

เครียดจนไม่ง้อเลย  
ไม่รู้ก็ได้ แล้วอย่ามาอึดอัดก็แล้วกัน



แล้วสักพัก  พี่ม้าลายก็ออนไลน์เอ็มเอสเอ็น
กระต่าย  น้องสาวสุดเครียดที่พี่แดดเช้าไม่ยอมปริปากบอกสักคำว่า อินเลิฟใคร ก็เข้ามาทักบอกว่า
พี่ๆ บอกพี่ม้าลายไปเถอะว่า อินเลิฟพี่ม้าลาย เขาถามว่า อินเลิฟเขาหรือเปล่า
เหรอ  ก๊าก
ฉันรู้สึกขำขำที่สุดเลย  ขำจนน้ำตาเล็ด
ก็เลยไปทักพี่ม้าลายไปว่า
พี่ม้าลาย  สงสัยเหรอว่า หนูอินเลิฟใคร
ก็ใช่น่ะสิ  ใครจะไม่สงสัยบ้าง  คนอ่านกลอนแดดเช้าต่างก็คิดว่า แดดเช้าอินเลิฟเขากันทั้งนั้น
แหม  แค่อารมณ์กลอน
ไม่จริงหรอก  แดดเช้าไม่เคยมีอารมณ์อ่อนหวานได้ขนาดนี้
อ่อนหวานยังไง
ก็ดูน้ำเสียงในกลอนสิ  เทียบกับเมื่อสองเดือนก่อน แตกต่างไปตั้งเยอะ
แหม  พี่ม้าลายก็ หนูฝึกเขียน ก็ต้องมีพัฒนาการมั่งสิ
แต่ถ้าคนไม่มีอารมณ์นั้น ก็จะไม่เข้าถึงอารมณ์นั้นหรอก จะเขียนไม่ได้อย่างนี้
พี่ม้าลายคิดว่า แดดเช้าอินเลิฟจริงๆ  ใช่หรือเปล่า?
ใช่สิ 


สรุปว่า  ฉันพยายามแล้วนะ 
พยายามเก็บอารมณ์อินเลิฟ
แต่ทำไม้  ทำไม ถึงมีคนจับได้ว่า ฉันอินเลิฟจริงๆ

ตกลงอินเลิฟพี่ม้าลายเหรอ   นั่น  ยังไม่เลิก
ก๊าก  หนูอินเลิฟพี่ม้าลายไม่ลงอะ
ทำไมล่ะ
ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ชอบคุยกับพี่ม้าลายนะ เถียงกันทุกวัน สนุกดี
แล้วอินเลิฟใครล่ะ
ไม่บอก


คุยไปคุยมา  พี่ม้าลายก็รู้เข้าจนได้ 
ฉันละเบื่อเลย  ไม่ค่อยอยากให้คนมารู้เลยความลับในใจเนี่ย
ถ้ามีคนรู้แล้วจะจบยาก ก็คงอินเลิฟต่อไปอีกยาวนาน
แผลในใจไม่หายง่ายหรอก ยิ่งถูกขุดคุ้ยด้วยแล้ว


จากนั้นมา  พี่ม้าลายก็ตามเก็บข้อมูลอ่านกลอนและเรื่องสั้นของฉันทุกเรื่อง
แล้วก็มาพูดอะไรต่อมิอะไรให้ฉันฟัง 
บางทีฟังแล้วก็ใจฝ่อ  จะแห้วไหมเนี่ย?


ทำไมเขาถึงไม่โทร.หาแดดเช้าล่ะ กลัวว่า เบอร์โชว์ที่มือถือแล้วใครจับได้หรือเปล่า
นั่นสิ  เขาคงยังไม่คุ้นเคยละมัง
แล้วไม่คิดจะไปเที่ยวจังหวัดเขาบ้างเหรอ
ถ้าจะไป แล้วจะดีเหรอ
น่าจะไปนะ  ไปทัวร์สักหน่อย
ไว้เก็บตังค์ก่อนดิ  ว่าแต่เขาจะยอมให้เราไปเหรอ
เขาคงมีลูกมีเมียแล้วมั้ง
ฉันใจฝ่อนิดๆ 

แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย  
ก็แค่อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ฉันไม่ได้อยากจะไขว่คว้าเขาเอามาเป็นอะไรนักหรอก
"ความรักน่ะ .. ห้ามกันได้ที่ไหน ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะบังคับได้ที่ไหน"
"ใช่ค่ะ .. พี่ม้าลาย เมื่อก่อนคิดว่า ถ้าจะรักใคร เราเข้มแข็งเราก็จะไม่รักก็ได้ แต่พอมาเป็นเอง เข้าใจเลย พยายามที่จะไม่รัก ไม่คิด แต่ก็ทำไม่ได้ ก็ต้องคอยดูแลตัวเอง ควบคุมอารมณ์ตัวเอง"
"พี่ม้าลายถึงว่าไงว่า อย่างหนังเรื่องไททานิคน่ะ ไม่มีใครผิดหรอก ในเรื่องของความรักในชีวิตจริงๆ ก็เหมือนกัน ถึงแม้เขาจะมีครอบครัวแล้ว ถ้าความรักเกิดขึ้น อะไรๆ ก็เป็นไปได้"
"ไม่หรอก ... พี่ม้าลาย ความรักเกิดขึ้นก็ส่วนของความรัก สำคัญที่ว่า เราจะทำอย่างไรต่างหาก"
"เขาคงมีลูกมีเมียแล้วแหละ ... แต่ถ้าเขามารักเรา ก็ไม่มีใครผิด"
"แต่เราจะไม่ยอมทำผิด"


"ถ้าเกิดเขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว ... แดดเช้าจะทำยังไง"
ก็เรื่องของเขาสินะ  ตอนนี้จัดการกับอารมณ์ตัวเองก่อน
ไม่บอกรักเขาไปเลยล่ะ ขนาดนี้แล้ว
ไม่หรอก ความรักอยู่ในใจ
ไม่บอกให้เขารู้ล่ะ
บอกทำไมล่ะ บอกเพื่อเรียกร้องให้เขารักตอบเหรอ ทุกวันนี้อะไรๆ ก็ดีอยู่แล้ว
ไม่ต้องให้เขารักตอบหรอก  ให้เขารู้ก็พอ
เขาไม่วิ่งหนีเหรอ  เป็นหนู ถ้าอยู่ดีๆ มีคนมาบอกรัก มาขอแต่งงาน โดยที่ยังไม่คุ้นเคยกันเลย หนูคงตกใจเผ่นหนี
เขาคงหายไปเลยแหละ ฮา
นั่นนะสิ 
"แดดเช้าคิดถึงเขามากๆ เขามา ... ก็บอกเขาไปสิว่า คิดถึงเขา"
"แหงะ ... ไม่กล้าบอกหรอก"
"พี่ม้าลายก็เคยนะ เคยบอกคิดถึงคนๆ หนึ่งเหมือนกัน"
"แล้วเป็นยังไงล่ะ"
"ก็บอกเขาไปแล้ว เขาก็ออฟไลน์หนีไปเลย หายไปสองวัน แล้วต่อมาเขาก็มารอเลย ทีนี้เราก็คุยกันนานขึ้น"
"เหรอ ... แต่ทำยากนะ สำหรับแดดเช้าน่ะ"
"ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แค่เราอยากบอกให้เขารู้"
"ค่ะ ... เฮ้อ ยากจัง"



แล้วฉันก็มีกลอนอินเลิฟรายวัน 
เพราะเจ้าตัวความคิดถึงนี่แหละ กำเริบออกฤทธิ์ได้ทุกวันๆ
พอโพสกลอนเสร็จสักพัก  พี่ม้าลายก็โผล่มาออนไลน์อีกแล้ว
ฉันเป็นฝ่ายทักไปทุกที

พี่ม้าลาย  อ่านกลอนหรือยัง
อ่านแล้ว  เศร้าจริงๆ นะเนี่ย ใช่ไหม
อืมดิ  เมื่อคืนเขาไม่ออนไลน์ เลยไม่รู้จะทำยังไง จะร่ำร้องร่ำไรก็กระไรอยู่ จะเที่ยวร้องแรกแหกกระเชอ ก็ไม่งามอีก จะประกาศปาวๆ ว่า ฉันรักเธอนะ ก็ไม่ดี ก็เลยเขียนกลอนซะเลย ดีกว่าไม่เขียน
นี่  นอนวันละกี่ชั่วโมง ออนไลน์วันละ 20 ชั่วโมงเลยเหรอ
ไม่ได้เป็นขนาดนั้น  พี่ม้าลาย
ก็มาทีไรก็เห็นทุกที คุยกับเขาวันละ 19 ชั่วโมงเหรอ
ไม่เลย เขาไม่ได้ออนไลน์ทั้งวันนี่นา



บางวัน  เขาหายไป
พี่ม้าลายก็ไม่เจอเขา
เขามีนัดกับใครหรือเปล่า  ไม่เห็นออนไลน์เลย
เขาคงเข้าเน็ตไม่ได้มั้ง งานเขายุ่ง
เขาคงหนีแล้วแหละ  เขาหนีเราแน่ๆ พี่ม้าลายว่านะ เขากำลังหนี
เหรอ  ไม่หรอก เขาคงไม่หนีหรอก หนูไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาหนีนี่นา
ทำไมไม่บอกรักเขาไปซะเลยล่ะ อาการขนาดนี้แล้ว
ไม่อะ  บอกไม่ได้
บอกๆ ไปเถอะ พี่ม้าลายยังเคยบอกรักคนกลางกระทู้เลย แล้วก็เขียนกลอนซะหวาน เขาก็ยังไม่เห็นเป็นอะไร ไม่เห็นมาหวานกันนอกจอสักหน่อย
ก็นั่นเป็นพี่ม้าลาย  แต่หนูทำไม่ได้  ใจฉันเฮิร์ทสุดขีด แต่พี่ม้าลายไม่รู้หรอก
พี่ม้าลายยังชอบเลยนะ ถ้ามีคนมาบอกรัก
เหรอ 
มีคนมาชอบ ดีกว่ามีคนมาเกลียด
อืม 
เนี่ย  ถ้าหนูไม่อินเลิฟนะ หนูจะบอกรักพี่ม้าลาย
จริงอะ 
ไม่จริงหรอก อิอิ


เฮ้อ  แล้วฉันก็ทำใจลำบากเสียจริง 
อึดอัดมากๆ จะพูดออกไปก็ไม่ได้  จะบอกใครก็ไม่ได้
นี่ตกลงยังไม่บอกรักเขาอีกเหรอ
ไม่มีจังหวะบอกเลย  พี่ม้าลาย
จังหวะมีตั้งเยอะแยะ แต่เราไม่บอกเอง
เฮ้อ .. จะบอกยังไงล่ะ เขาจะฟังเหรอ
ใครไม่ชอบมั่ง มีคนมาบอกรัก
แหงะ  บอกรก อะดิ มีความรักน่ะ รกหัวใจเสียจริง
นั่นแหละ ไปบอกเขาเลยว่า รกนะคะ บอกว่า รกนะคะ
พี่ม้าลายนี่ช่างยุเหลือเกิน 


วันต่อมา  ฉันก็ยังคงเขียนกลอนหวานๆ ตามอารมณ์ของฉันตามปกติของคนที่ไม่หายอินเลิฟสักที
พี่ม้าลายก็เข้ามาอีกละ 
บอกรักเขาไปแล้วเหรอ ถามจริง
เปล่า ไม่ได้บอกรักใครเลย
แต่กลอนหวานมากเลยนะ  คิดว่าบอกรักแล้ว
ก็ยังไม่บอก ใครจะกล้าล่ะ บอกไปแล้วอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม ไม่อยากให้อะไรเปลี่ยนแปลง
ไม่เห็นจะเปลี่ยนเลย ก็แค่บอกให้เขารู้ บางทีอาจจะดีก็ได้
พี่ม้าลายก็พูดได้นิ  แต่หนูทำไม่ได้หรอก
"ก็ระวังนะ ไม่รีบบอกรักเขา เขาอาจจะจากไป เพราะเขาคิดว่า เราไม่รักเขา เหมือนเรื่อง กอนวิธเดอะวิน น่ะ สุดท้ายพระเอกก็ต้องจากนางเอกไปทั้งที่รักนางเอก เพราะนางเอกไม่ยอมบอกรักพระเอก"
"เฮ้อ ... ช่างมันเถอะ บอกไม่ได้จริงๆ ถ้าเขาจะไป เขาไม่รักเรา เราก็รั้งเขาไว้ไม่ได้หรอก เหมือนเพลง ร้อยเหตุผล ไง ... พี่ม้าลาย  ถ้าเขารักเรา เขาก็ต้องอยู่กับเรา ถ้าใจเขาไม่อยู่ รั้งเขาไว้ ยังไงก็ไม่มีความสุขทั้งสองฝ่าย"
ยังปากแข็งเหมือนเดิม


ไม่มีใครรู้หรอกนะว่า  
ภายในใจของฉันน่ะเป็นบาดแผลลึกขนาดไหน
ฉันจะทำอะไรไปมากกว่าอารมณ์ตัวเองไม่ได้ 
เพราะหากทำลงไป ปัญหาต่างๆ ก็จะเข้ามา
สู้ทนเจ็บอยู่คนเดียวไม่ดีกว่าเหรอ 

ถ้าหากฉันทำอะไรลงไปแบบไม่เหมาะสม ไม่มีความระมัดระวัง
ฉันก็ต้องคิดมาก กังวล และสูญเสียสัมพันธภาพ 
จะเป็นความเจ็บปวดยิ่งกว่าการที่ฉันมาจมกับอารมณ์เหงาๆ อ่อนไหว ในใจของตัวเองเพียงลำพังเสียอีก


ฉันก็เพียรคิดจะสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับใครๆ
ฉันไม่อยากให้ใครต้องเจ็บหรือคาดหวังกับสิ่งที่ฉันบอกไป
หากว่า ความรัก จะเป็นเงื่อนไขของความสัมพันธ์ 
ฉันเก็บไว้ในใจคนเดียวดีกว่า 


หลายคนต่างก็มีคำถามมาซะเรื่อยเลยว่า ใครเป็น พี่ชายคนดี ของฉัน
แน่นอน  ไม่ใช่พี่ม้าลายหรอกนะ อย่าเข้าใจผิด 

พี่ม้าลายยังอยากให้คนมาบอกรักเลย
ทำไมล่ะ
ก็รู้สึกดี  ใครๆ ก็อยากให้คนชื่นชม อยากให้คนสนใจ ยิ่งบอกรักกลางกระทู้  ป่าวประกาศไปเลยน่ะ ยิ่งดีใหญ่เลยนะ เด่นดี เขาต้องชอบแน่
จริงเหรอ
จริงสิ
ไม่หรอก ไม่ทำหรอก
ปากแข็งซะจริงเลย บอกไปก็สิ้นเรื่อง
พี่ม้าลายอยากให้บอกรักเขาเหรอ
ใช่น่ะสิ  เมื่อไหร่จะบอกรักกันสักที รออยู่เนี่ย
เฮ้อ  พี่ม้าลายไม่เข้าใจหรอก ถ้าเขายังเป็นแบบทุกวันนี้ หนูก็คงบอกรักเขาไม่ได้หรอก เขาเองยังไม่เห็นจะสนใจ ใส่ใจ หนูจะมั่นใจได้ยังไงว่า บอกรักเขาไปแล้วจะดีขึ้นมา มีแต่หนูฝ่ายเดียวที่รู้สึกอะไรไปคนเดียว คิดอะไรไปคนเดียว เขาเองก็ยังไม่เห็นจะเป็นไร  ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ก็คงไม่บอกหรอก  หนูรักคนที่เขาไม่รักหนูไม่ได้หรอก
จะเป็นอะไรไปล่ะ ก็บอกๆ เดี๋ยวก็จบไป ประกาศเปิดตัวซะเลยสิ

ฉันทำแบบพี่ม้าลายแนะนำไม่ได้หรอก  ไม่บ้าระห่ำขนาดนั้น


แดดเช้าเปลี่ยนไปจริงๆ
เปลี่ยนไปอย่างไรล่ะ?
โหดน้อยลงนะ อ่อนหวานมากขึ้น
แดดเช้าอะเหรอ อ่อนหวานมากขึ้น เหมือนเดิมต่างหาก แต่อาจจะใช้ภาษาชำนาญขึ้นมั้ง เขียนทุกวันเลยนี่นา ฝึกๆ เขียน
ก็ต้องออกมาจากข้างในแหละ
ไม่หรอก  แค่จินตนาการก็ได้ พี่ม้าลายคิดเองว่า แดดเช้าอินเลิฟ
ไม่รู้สิ .. พี่ม้าลายว่า แดดเช้าเขียนกลอนเปลี่ยนไปจริงๆ กลอนอ่อนพลิ้วลงตั้งเยอะ
พี่ม้าลายเชื่อเหรอว่า อินเลิฟจริงๆ อาจจะคิดเอาใครมาเป็นแรงบันดาลใจก็ได้นะ แบบว่า คุยกันแล้วถูกใจ ก็เลยชอบแล้วก็เลยฝัน แล้วก็เอามาเขียนเป็นกลอน ได้กลอนออกมาอ่านเยอะแยะ
นั่น  แรงบันดาลใจออนไลน์แล้ว พี่ม้าลายไม่เป็น ก ข ค หรอกนะ เชิญคุยกันเถอะ
คุยกับพี่ม้าลายด้วยก็ได้นี่นา  ไม่เห็นจะเป็น ก ข ค อะไรเลย
พี่ม้าลายจะไปทำงานละ
โธ่ .. กำลังปรึกษาเรื่องเรื่องสั้นสักหน่อย
แล้วเมื่อไหร่จะให้พี่ม้าลายเป็นพระเอกสักทีล่ะ
ก็นึกไม่ออกอะ พี่ม้าลายไม่มี จุดขายเลย ไม่เด่นเลย
แหม  พี่ม้าลายก็ตามอ่านแล้วก็คิดว่า เรื่องสั้นเรื่องไหนให้พี่ม้าลายเป็นพระเอกบ้าง  พอมาถามทีไร ก็ไม่ใช่ทุกที
ก็ นึกไม่ออกน่ะสิ  เอายังไงดี
งั้นจะรอแล้วกัน  รอคิวเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของแดดเช้า


นี่แหละ  พระเอกเรื่องสั้นเรื่องนี้ของฉัน
เขารบเร้าทุกวันเลยว่า จะขอเป็นพระเอก
ในที่สุดก็เอาเขามาเป็นพระเอกจนได้


และในวันนี้  พระเอกเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็มายุยงอีกละ
ไม่เห็น พี่ชายคนดี ของแดดเช้าออนไลน์หลายวันเลยนะ
นั่นสิ  ติดต่อไม่ได้ สงสัยฝนตกหนักมั้ง
เขามีนัดกับใครหรือเปล่า
มีนัดกับใคร ไม่เห็นเกี่ยวกับเราเลย ฉันเริ่มงอนๆ 

พี่ม้าลาย  หนูเฮิร์ทนะ
เป็นไร 
ชอบพูดเรื่องอะไรไม่รู้ ทำให้ระแวง ทำให้คิดมาก
ก็เชื่อพี่ม้าลายทำไมล่ะ
ก็อดเชื่อไม่ได้อะ ก็นั่งฟังทุกวันๆ
โอ๋ๆๆๆ คิดทางบวกไว้สิ
ก็พี่ม้าลายแหละ พูดแต่ในทางลบๆ หนูก็อดคิดไม่ได้หรอก  . รู้สึกเฮิร์ท
เป็นยังไงล่ะ
ก็รู้สึกเหมือน เสี้ยนหนามตำใจ พี่ม้าลายอ่านกลอน รักฤๅไร้รวงรัง หรือยังล่ะ
อ่านแล้ว
เศร้าไหม  เหมือนอกหักเลยเหรอ
ก็ทำตัวเอง ไม่ยอมบอกรักไปซะ อยากได้อะไรก็ต้องสอยเอา
ก็ลังเลอยู่ว่า จะอยากได้ดีไหม
พี่ม้าลายก็เลยหัวเราะขำฉัน 
ไม่สอยเอาลงมาดู จะรู้ได้ยังไงว่า ของดีหรือไม่ดี
ไม่เอาอะ  ไม่แน่ใจ ไม่อยากทำร้ายใคร
ถ้าของไม่ดีก็ทิ้งไปซะ
ก็หนูเป็นคนดีหนูทำร้ายใครแบบนั้นไม่ได้หรอก
บางทีสอยลงมาแล้วเขาอาจจะไม่เอาเราก็ได้นะ
นั่นสิ  งั้นอยู่แบบเดิมดีกว่า
อ้าว 
ก็ชีวิตแบบเดิมๆ สบายดีอยู่แล้วนี่นา  แค่เฮิร์ทได้ทุกวันเป็นปกติเท่านั้นเอง
ทำไมเฮิร์ทละ
ก็อารมณ์เป็นแบบนี้น่ะ ยิ่งฟังพี่ม้าลายพูดนั่นพูดนี่ ยิ่งเฮิร์ทเลย
ที่จริง มีจินตนาการในทางที่ดีก็ดีอยู่นะ
หนูก็มีจินตนาการในทางที่ดี แต่พี่ม้าลายน่ะสิ  พูดอะไรก็ไม่รู้
ก็อย่าเชื่อพี่ม้าลายสิ 
อดฟังไม่ได้อะดิ  เฮิร์ท เนี่ย
แต่เวลาไม่เฮิร์ทก็แต่งกลอนหวานๆ ได้เยอะนี่นา
อารมณ์เป็นๆ หายๆ น่ะ  ก็แค่คุยกับใครบางคนแล้วถูกใจ พอไม่ได้คุยกันแล้วรู้สึกโหวงๆ เหงาๆ แปลกๆ เท่านั้นแหละ ดีเหมือนกัน  ให้เขาห่างหายไปสักพักหนึ่ง เผื่อแผลในใจจะหาย หายอินเลิฟสักที เมื่อก่อนไม่เคยเป็น ถ้าเป็นแล้วกลับสู่สภาพเก่า ก็คงเคยชินเองมั้ง
"ความรักย่อมอดทนนานและกระทำคุณให้ เชื่อในส่วนดีของเขาเสมอ อดทนเสมอ"
"พี่ม้าลายน่ะ ชอบคิดในรายละเอียดให้ระแวงกัน บางทีอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ก็แค่อารมณ์น่ะ"
"พี่ม้าลายชอบแกล้งเด็กไง งั้นก็คิดในส่วนดีๆ คิดถึงก็มีความสุขสิ ..."
"บางทีที่เขาหายไป ติดต่อไม่ได้ เขาอาจจะป่วยก็ได้นะ ช่วงนี้ฝนตกหนัก"
"ก็พระเอกอาจจะนัดนางเอก แล้วมาไม่ได้ นางเอกก็เสียใจ แต่ความจริงพระเอกขับรถไปเจออุบัติเหตุ แล้วไปอยู่ที่ ร.พ."
"ไม่ต้องถึง ร.พ. หรอก แค่ป่วยเป็นไข้ไม่สบาย นอนพักผ่อนก็พอ ... เขาคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น"

"เฮ้อ ... ไม่ได้คุยกันเลย เฮิร์ทนะเนี่ย ไม่รู้ว่า เขาจะเป็นยังไงบ้าง"
ก็เห็นแดดเช้าคุยกับคนตั้งเยอะแยะ 
ความรู้สึกไม่เหมือนกันหรอก  พี่ม้าลาย
แล้วกับพี่ม้าลายล่ะ
ก็เฉยๆ  แต่ชอบคุยกับพี่ม้าลาย เพียงแต่ไม่ประทับใจน่ะ คุยได้เรื่อยๆ เจอก็คุย ไม่เจอก็ไม่เป็นไร ไม่คิดถึง ไม่รู้สึกเหงา แต่กับพี่ชายคนดีของหนูอะ  ถูกใจไง รู้สึกดีมากๆ เหมือนได้แชร์ความรู้สึกกัน กับพี่ม้าลายแค่แชร์ความคิด ไม่เหมือนกันจริงๆ
เหรอ  ทำไมไม่บอกรักเขาไปเลยล่ะ บอกยังไงก็ได้
ก็เคยพูดๆ เหมือนกันนะว่า ชอบคุยกับเขามากๆ เลย คุยกับเขาแล้วสบายใจ
คำพูดนี้คุ้นๆ แฮะ  รู้สึกว่า ก็อบไปพูดกับหลายคนเลยนี่ ก็เคยบอกพี่ม้าลายแบบนี้เหมือนกัน
แหงะ  ก็จริงนี่นา แดดเช้าคุยเยอะๆ กับคนไม่กี่คนเอง ก็เขาคนนั้นด้วยแหละ ก็บอกไปแบบนั้น
ไม่เอาคำพูดที่ก็อบไปพูดกับหลายๆ คนแบบนี้สิ  พูดอะไรที่เป็นพิเศษหน่อย
แง  ทำไม่ได้อะ พี่ม้าลาย
ปากแข็งเหมือนเดิม


นี่แหละ  พระเอกเรื่องนี้คอยอยู่เบื้องหลังอารมณ์อินเลิฟของฉัน
แล้วยุให้ฉันบอกรัก พี่ชายคนดี ได้ทุกวี่ทุกวัน

รอแต่ว่า 
เมื่อไหร่ฉันจะหายปากแข็งสักที

เมื่อถึงวันนั้น 
พี่ม้าลายก็คงไม่มายุยงให้ฉันบอกรัก พี่ชายคนดี
และ พี่ชายคนดี คงเลิกมาถามเรื่อยๆ ว่า ฉันอินเลิฟใคร
คงจะเลิกถามสักทีว่า ใครทำให้ฉันแต่งกลอนเพ้อเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้

แต่ 
คงอีกนาน 
นี่ก็เดือนหนึ่งเต็มๆ แล้ว ยังไม่มีทีท่าว่า เรื่องราวความรักของฉันจะจบลง
อารมณ์อินเลิฟของฉันก็ไม่มีท่าทีว่าจะสร่างคลาย


นับวัน 
ยิ่งรู้สึกหยั่งลึกลงไปกัดกินก้อนเนื้อหัวใจเพียงเดียวดาย
ความเหงากัดกร่อนอารมณ์จนขมขื่น
รอแต่ว่า  สักวันคงจะสร่างคลาย


เป็นกฎสำหรับฉันที่ฝังอยู่ในใจว่า ฉันจะไม่เอ่ยปากบอกรักใครก่อน
หากคนนั้นเขายังไม่รักฉัน ฉันก็จะรักเขาไม่ได้
แม้ในใจจะรักเขาหรือว่ามีอาการหวั่นไหวได้ขนาดไหนก็ตาม


นี่คือ  อาการคิดถึงขั้นโคม่าของฉัน
ที่คงต้องหาเวลาเยียวยาให้กลับคืนสู่สภาพปกติ 
และดำรงตนอยู่อย่างเข้มแข็งเพียงลำพังได้
โดยที่ไม่ต้องทุกข์ทรมานใจ


รอคอยแค่ใครคนนั้น  เขาจะรักฉันอย่างแท้จริง
แล้วเอ่ยปากบอกฉันด้วยตัวเขาเอง
โดยที่ฉันไม่ต้องเอ่ยปากบอกรักใคร 


หากไม่มีวันนั้น 
คำว่า รัก ก็ยังไม่มีวันหลุดออกจากปากฉันเป็นอันขาด
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม 
 
27kao801.jpgเมื่อไหร่จะถึงคิวพี่ม้าลายเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของแดดเช้าสักที
เขียนให้พี่ม้าลายเป็นพระเอกแล้วนะ  พอใจหรือยัง?				
24 มิถุนายน 2549 09:05 น.

Puppy Love

แดดเช้า

29aig870.jpgทำไมเธอไม่มีแฟนสักทีล่ะ?
เป็นคำถามที่ใครๆ มักจะถามฉันซะเรื่อย  และคำตอบที่ได้รับก็คือการถามย้อนกลับไปว่า
แล้วเขามีแฟนเอาไว้ทำอะไรล่ะ?

หลายคนจะได้อึ้งกับคำถามย้อนกลับไปของฉัน
แต่หลายคนก็งงๆ จนกระทั่งฉันตอบคำถามเขาลงไปให้ชัดๆ ว่า
ก็รู้สึกว่า ไม่มีความจำเป็นต้องมีแฟน ก็เลยไม่มี
เป็นอันจบข้อสงสัยของคนหลายๆ คน

หรือถ้าผู้ใหญ่มาถามฉันเรื่องการสร้างครอบครัว กับการมีลูกเล็กๆ น่ารักไว้เลี้ยงสักคนสองคน ก็จะได้คำตอบคล้ายๆ กับทำนองนี้



เด็กๆ ก็น่ารักดีนะ  แต่ฉันก็รู้สึกว่า เลี้ยงเด็กให้โตขึ้นอย่างแข็งแรงทั้งทางด้านร่างกาย และเข้มแข็งทางด้านจิตใจน่ะ เป็นเรื่องที่ยากมากๆ กว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนสมบูรณ์ ต้องใช้พลังใจมหาศาลเลยทีเดียว

และที่สำคัญก็คือ  
แค่คนๆ เดียวไม่สามารถจะทำให้มีเด็กออกมาได้หรอก ต้องช่วยกันทำ จริงไหม? 



ไม่มีคนรัก ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก 
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความรัก


ความรักเกิดขึ้นกับฉันได้เสมอๆ  
เอาเป็นว่า ไม่เรียกว่าความรักก็ได้ เรียกว่า ความรู้สึกดีดี



เริ่มตั้งแต่อนุบาลเลย 
ฉันยังเคยปิ๊งเพื่อนอนุบาลด้วยกันบ่อยๆ
มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่เวลานอนกลางวัน จะต้องลุกขึ้นมาหอมแก้มเพื่อนผู้หญิงก่อนทุกที ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ

เพื่อนผู้หญิงคนไหนที่นอนอยู่อีกด้านของนักเรียนชาย (เขาแบ่งเป็นสองฝั่ง หัวชนกัน) เพื่อนคนนี้ก็จะลุกขึ้นมาหอมแก้มหนึ่งฟอด ถึงจะยอมนอน

เพื่อนบางคนถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว ...

ฉันเองไม่เคยได้นอนฝั่งตรงข้ามกับเพื่อนคนนี้หรอก ก็เลยไม่ถูกหอมแก้มกับเขาสักที 
เพื่อนคนนี้ไม่มีใครบอกว่า หล่อ แต่เขาจมูกโด่งชะมัด ... 

ไม่มีคนชมว่า หล่อ แต่ฉันก็เห็นว่า หล่อ นะ ... บางทีฉันก็แอบไปฝันถึงเขาด้วยแหละ แต่แค่สองสามคืนเท่านั้นแหละ 

อารมณ์เคลิ้มๆ แบบเด็กๆ ฝันๆ เพ้อๆ ไปว่า ฉันเป็นเจ้าหญิงในหนังจักรๆ วงศ์ๆ แล้วเขาเป็นเจ้าชาย แหม ... จินตนาการบรรเจิดตั้งแต่เด็กเลย



ผ่านช่วงเวลาอนุบาลมา ... 
ผ่านมาชนิดที่ว่า ความรู้สึกกับเพื่อนชายคนนั้นหายไปเฉยๆ 
ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ต่อมาฉันเรียนอยู่ ป.3 แต่ก็ไปปิ๊งพี่ ป. 4 คนหนึ่ง
ใครๆ ก็ไม่สนใจพี่คนนี้หรอก ไม่เห็นมีใครบอกว่า หล่อ สักคน
แต่ฉันกลับชอบแฮะ  
ดี  ไม่มีคู่แข่ง



พี่เขาชื่อพี่ธเนศ ฉันชอบเขาที่เขาเป็นผู้ชายร่างบางๆ เล็กๆ ผิวขาวๆ 
ฉันว่าเขาหล่อนะ  สงสัยจะเป็นสเปคของฉันละมั้ง

ในที่สุด 
เพื่อนก็เลยแซวกัน 
แหม  แซวทีไร เขินทุกที
แต่ฉันไม่เคยได้คุยกับพี่ธเนศเลยสักคำ
นอกจากแอบมองเวลาที่จะได้เห็นเขา และก็จะคอยดูเขาว่า เขาอยู่ที่ไหนแล้ว

ไม่เคยได้คุยกันจริงๆ แล้วพี่เขาก็รู้ด้วยว่า ฉันชอบเขา 
แต่ต่างคนต่างก็ไม่รู้จักกัน


มองตากันไปมองตากันมา  แต่ฉันมักเป็นคนหลบสายตา
จนเป็นพิรุธจนได้สิน่า

นี่แหละ  ความรักของฉัน 
ไม่เข้าใจว่า ทำไมช่างยากเย็นอย่างนี้


พี่ธเนศเรียนจบ ป.6 ไปแล้ว  
ก็ไม่เคยเจอกันอีก จนมีเหตุบังเอิญได้เจอกันเมื่อหลายปีถัดมาในสมัยที่ฉันเรียนมัธยม
เขาจำฉันได้ แต่เราก็ได้แต่มองตากัน (อีกแล้ว)

ก็รู้กันอยู่แค่ในใจ  



นี่คือความรักของฉัน ยังมีความรักกรณีแบบนี้อีกหลายเคส 
ที่ได้แต่มองหน้าเขา ชอบเขา 
พอเห็นเขาผ่านมา ฉันก็ออกมามองตาม 
แต่ไม่เคยได้คบหาพูดคุยกัน 

จนเขารู้นั่นแหละ 
แต่ฉันก็ยังเป็นแบบเดิม ไม่ยอมคุยกับคนที่ฉันปิ๊งเลย
จนคนที่ฉันปิ๊งไปควงสาวตั้งหลายคนต่อหน้าต่อตาไปแล้ว ก็ยังปิ๊งอย่างเจ็บๆ คนเดียวอย่างนั้นแหละ
ยังไงกันนี่เนาะ 




มาเล่าเรื่องความรักแบบเป็นเรื่องเป็นราวบ้างดีกว่า 
จะว่าเป็นความรักก็ไม่ถูกทีเดียวนัก เอาเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า ความรู้สึกดีดี แล้วกัน

สมัยเรียนมหาวิทยาลัย  ฉันได้รู้จักรุ่นพี่จิตรกรรมคนหนึ่ง
เขาน่ารักมากๆ เอาเป็นว่า ฉันชอบเขา แต่ไม่ได้รักเขาก็แล้วกัน
ชอบความน่ารักของเขา


เขาเป็นชายหนุ่มร่างบาง ผิวคล้ำ สูงประมาณ 165 ซม. ใส่แว่นตา แล้วก็เอาแต่ยิ้ม
พูดน้อยมากๆ พูดออกมาเป็นคำๆ พูดไปยิ้มไป 
รอยยิ้มของเขาเย็นๆ ใจเย็น  
คำพูดของเขาซื่อๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเขาสื่อสารทางภาษาไม่เก่งนัก

พี่เจ อายุมากกว่าฉัน 2 ปี 
เขาเป็นคนนิ่งๆ เรียบร้อย ฉันประทับใจเขามากๆ ให้ตายเถอะ 
แต่ไม่ถึงขนาดคลั่งหนักหรอก เพียงแต่ถ้าเจอหน้าก็ต้องเข้าไปเจ๊าะแจ๊ะด้วย



วันหนึ่งพี่เจนั่งอยู่หน้าสโมสรนักศึกษา ฉันก็เดินไปนั่งข้างๆ แล้วถามพี่เจว่า
พี่เจ  ทำอะไร
นั่งคิดอยู่  เขาก็นั่งนิ่งแล้วก็ยิ้มตามแบบฉบับของเขา ยิ้มแบบหวานเย็นๆ นั่นแหละ
คิดอะไรเหรอ ฉันก็ไปถามเขา
คิดว่า  พรุ่งนี้จะทำอะไรดี 
ฉันรู้สึกขำขำคำพูดของพี่เจจังเลย  
แหม คนอะไรน่ารักจัง  คิดว่า  พรุ่งนี้จะทำอะไรดี



พี่เจจะติวศิลปะให้น้องๆ ในวันเสาร์ช่วงบ่าย ฉันก็เลยไปนั่งเล่นกับพี่เจด้วย ไปดูพี่เจสอนน้องๆ
พี่เจแนะนำเรื่องการวาดรูปให้กับฉัน บอกว่า ต้องฝึกมือก่อน โดยการวาดวงกลมๆ วาดให้กลมๆ ให้ได้ 


แล้วฉันก็กลับมานั่งวาดกลมๆ ที่บ้านทุกวันเลย ไม่เคยกลมดิ๊กได้เหมือนที่พี่เจวาด



พี่เจชวนให้ฉันมานั่งดูเขาติวให้น้องๆ ทุกบ่ายวันเสาร์  
ฉันก็มานั่งเล่นบ่อยๆ เท่าที่มีเวลาว่างๆ เขาเป็นคนที่พูดไม่เก่ง เพราะไม่มีคำในสมองมากมายเท่าไรนัก เวลาเขาพยายามอธิบายน้องๆ เขาก็จะคิดช้าแล้วพูดช้า บางทีด้วยความรู้สึกอยากให้น้องๆ ทำได้ เขาก็ยัดเยียดและอัดความรู้ของเขาใส่ไปเยอะ เขาเคยมาบ่นกับฉันเรื่องนี้เหมือนกันว่า บางทีก็รู้สึกอยากให้เขาทำได้ เลยพยายามยัดเยียดเกินไป


เวลาเขานึกคำพูดจะอธิบายไม่ออก  ฉันก็จะเป็นล่ามแปลความคิดในใจของเขาออกมาสื่อให้น้องๆ ฟัง บอกว่าพี่เจเขาหมายถึงอะไร พี่เจก็จะบอกว่า
นั่นแหละ  แบบนั้นแหละ แต่เราคิดคำพูดไม่ออก 


เขาดีใจที่ฉันช่วยเขาแปลความคิดในใจออกมาสื่อสารได้ เขาจะได้ถ่ายทอดความรู้ได้ 
วิธีการสอนของเขาจึงเป็นการทำให้ดูมากกว่าพูดให้ฟัง  น้องๆ ก็ต้องทำตามเขา แล้วจะเรียนรู้การสร้างงานศิลปะได้ด้วยตัวเอง


เขาเคยเล่าให้ฉันฟังว่า เขาจะเรียนต่อปริญญาโท เขาจะเป็นอาจารย์สอนศิลปะ 
เขาเป็นนักศึกษาคณะจิตรกรรมที่ดูเรียบร้อยมาก มีระบบมาก ไม่เหมือนนักศึกษาจิตรกรรมหลายๆ คนที่มีความรุนแรงทางอารมณ์และทำอะไรตามใจเสรี แต่พี่เจดูเหมือนจะมีระบบในตัวเอง



เขายิ้มได้ตลอดเวลา  
ฉันมักจะพบเขาในห้องสมุดเสมอ เขาจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ แต่ปากเขายังเป็นรอยยิ้มอยู่เลย
คนอะไร  น่ารักชะมัด




วันดีคืนดี 
ฟ้าลั่น  เป็นเพื่อนร่วมคณะกับฉัน เขาเป็นกะเทย
เขาก็มาหาฉัน แล้วชี้หน้าบอกว่า
นี่เธอๆ อย่ามายุ่งกับพี่เจได้ไหม? พี่เจของฉัน
ฉันก็ยิ้มๆ  แหม เวลาตุ๊ดหวงของนี่น่ารักเหมือนกันนะ
อย่าให้ฉันเห็นนะยะ เขาค้อนฉันควับหนึ่ง

มีอะไรสนุกๆ ให้เล่นอีกแล้ว 



วันหนึ่ง  ฉันเห็นเพื่อนตุ๊ดของฉันเดินผ่านตรงหน้า
ฉันก็นั่งอยู่ข้างๆ พี่เจ  แล้วก็ชวนพี่เจคุย
เพื่อนตุ๊ดของฉันก็มองฉันค้อนตาเขียวควับ
ร่ำๆ จะเดินมาตบ

ฉันก็ทำเป็นไม่หวั่น 
ชวนพี่เจเดินไปเดินเล่นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กันในตอนเย็นๆ ที่ตะวันกำลังตกดิน
พี่เจก็ใจง่าย  ยอมไปกับฉันด้วยล่ะ

ป่านนี้หัวใจเพื่อนตุ๊ดของฉันคงร้อนเร่าเต้นโหยงๆ แล้วละมัง 



วันรุ่งขึ้น 
ที่ห้องวารสาร ฉันไปหาหนังสือพิมพ์อ่านสักหน่อย
พี่เจนั่งอยู่กับฟ้าลั่น 
ทันทีที่ฟ้าลั่นเห็นหน้าฉัน  เขารีบเขยิบเข้าไปนั่งชิดพี่เจอีกสักนิด
พี่เจยังคงนั่งยิ้มแล้วนิ่งอ่านหนังสือเฉยอยู่อย่างนั้นแหละ

ฟ้าลั่น  เหลือบตามามองฉันแว่บหนึ่ง
เหมือนๆ กับบอกว่า พี่เจเนี่ย ของฉันนะ ไม่ใช่ของเธอ

ฉันแอบอมยิ้มขำขำ 
แหม  เพื่อนตุ๊ดของฉันนี่น่ารักจังเลย



พักหลังๆ จึงเห็นฟ้าลั่นเดินควงกับพี่เจบ่อยขึ้นๆ 
ทุกครั้งที่เห็นหน้าฉัน เขาก็ทำตาเขียวใส่ทุกที
ทำนองว่า อย่ามายุ่งกับพี่เจของฉันนะ .


แหม  ก็มันมีอะไรๆ สนุกๆ เล่นอย่างนี้แหละ
จะให้เลิกยุ่งกับพี่เจได้ยังไงล่ะ ฟ้าลั่นเอ๋ย 


วันหนึ่งฉันก็สร้างวีรกรรมอีกชิ้นหนึ่ง 
ฟ้าลั่นเดินมากับพี่เจ  สวนทางกับฉัน
ฉันก็แกล้งถามพี่เจ ทำเสมือนไม่เห็นหน้าฟ้าลั่น
พี่เจ  ไปไหน
พี่เจก็เอาแต่ยิ้ม  มีแต่ฟ้าลั่นนั่นแหละที่ทำตาเขียว มือไม้สั่นทำท่าจะเงื้อตบฉัน 
แต่ฉันเดินหลีกผ่านมาซะก่อนแล้ว

แหม  สนุกเสียจริงเลยนะเนี่ย 



งานนี้  ฉันกลายเป็นนางร้ายไปซะแล้วหรือนี่
ที่จริงตั้งใจจะเขียนเรื่องให้ตัวเองเป็นนางเอกซะหน่อย
แต่  แม้นางเอกจะแสนร้าย แต่ก็น่ารักใช่ไหมคะ?




เรื่องราวความรักแบบ poppy love ยังมีอีก 
หนุ่มอารมณ์ศิลปินนี่ มีอะไรน่าจดจำเยอะแยะ



นอกจากพี่เจแล้ว ยังมีพี่จ้ำปี่ อีกคนหนึ่ง 
พี่จ้ำปี่ เป็นชายหนุ่มผิวขาว สูงประมาณ 171 ซม. อารมณ์ดี 
เหมือนคนไม่มีแก่นสารอะไรเลย เขาไม่เคยเล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟัง


แต่ 
เขาจะโทร. มาคุยกับฉันเรื่อยๆ เขาจะพูดเรื่องขำขำเป็นมุกตลกให้ฉันสบายใจ
ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ปัญหานั้นกลายเป็นเรื่องหัวเราะไปซะแล้ว


บางทีเขาก็ชอบพูดเรื่องสัปดน บางเรื่องฉันรับไม่ได้ บอกไปว่า พี่จ้ำปี่ลามก
พี่เขาก็ตอบกลับมาว่า
ไม่ใช่เพราะเรื่องลามกเหรอ ที่ทำให้เธอเกิดเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้น่ะ


ในวันเกิดของพี่จ้ำปี่ ฉันโทร.ไปหาเขาแต่เช้า ได้ยินเสียงเขางัวเงียมารับโทรศัพท์ ฉันก็เปิดเพลงบรรเลง "ด้วยรักและผูกพัน" โดยเอาสายฟังเซาด์อะเบ้าด์ใส่ลงไปที่โทรศัพท์ เขานิ่งอึ้งฟังเพลงเงียบงัน เหมือนมีเสียงจากหัวใจสื่อมาบอกกับฉันว่า "ฟังด้วยกันเลยนะ" 

จนกระทั่งเพลงบรรเลงจบลง เขาก็ถามว่า "ใครน่ะ" ฉันก็วางสายลง
แล้วเขาก็ไม่รู้ว่า เป็นฉันที่เอาเพลงไปให้เขาฟังทางโทรศัพท์ 
แต่ฉันสุขใจลึกๆ อย่างบอกไม่ถูกเชียวเลยแหละ

ตื่นเต้นชะมัดเลย ... ให้ของขวัญวันเกิดหนุ่มคนนี้น่ะ 


พี่จ้ำปี่เป็นคนน่ารักอีกคนหนึ่งของฉันไปแล้ว 
ฉันแอบเรียกเขา(ในใจ) ว่า  พี่ยอดมนุษย์ของฉัน


แม้ในไดอารี่ของฉัน  ฉันก็ยังเรียกเขาว่า พี่ยอดมนุษย์
วันไหน ที่โทร.หาพี่จ้ำปี่แล้วพี่จ้ำปี่ไม่อยู่  ฉันจะเหงาเป็นพิเศษ

ในไดอารี่ก็จะเขียนระบายไว้ว่า 
วันนี้  โทร.หาพี่ยอดมนุษย์ ไม่รู้ว่าพี่เขาไปไหน เหงาชะมัดเลย ฉันคุยกับเขาแล้วรู้สึกสบายใจที่สุดเลยนะ



บางคืนเขาก็โทร.มา เหมือนมากล่อมนอนเลย เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฉันฟังเพลินๆ เหมือนเล่านิทาน แต่เรื่องของเขาเป็นมุมมองใหม่ที่ใครๆ ไม่มองกัน

หลายต่อหลายเรื่อง .. ตามอารมณ์ศิลปินของเขา

แต่เวลาเขาบอกว่า เขาจะแวะมาเยี่ยมฉัน 
เขาก็ปล่อยให้ฉันรอ แล้วก็ไม่เห็นร่องรอยของเขาเลย


วันหนึ่ง  เขารับโปรเจ็กต์งานใหญ่มา
เขาชวนให้ฉันไปช่วยที่บ้านเขา ฉันไปทาสีฉากโรงละคร 
เขาอยู่กับแม่และก็พี่สาว พ่อของเขาเป็นนายทหาร

ฉันได้ยินมาว่า เพราะพ่อเข้มงวดมาก เลยทำให้ลูกชายกลายเป็นคนไม่ชอบกฎระเบียบ ใช้ชีวิตแบบศิลปิน อยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่มีจุดหมายอะไรชัดเจนนัก

ชีวิตของเขาก็มีความสุขดี  แต่ว่า เหมือนไม่มีหลักฐานอะไรในอนาคตที่แจ่มชัดเท่าไหร่นัก



แม่เขาเป็นครู  พี่สาวเขาเป็นครู
แม่เขาต้องใช้เครื่องช่วยฟังในการฟังเสียง แม่เขาใจดีมากๆ 
ครอบครัวเขาเป็นคนเพชรบูรณ์ 



ตอนที่ฉันไปเล่นที่บ้านเขา  
พี่สาวของเขากำลังท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที เขาเคยเล่าให้ฟังว่า ต้องกินน้ำมะพร้าวล้างหัวเด็ก

ฉันได้รู้จักกับเพื่อนของเขา 
อีกไม่นาน  เพื่อนของเขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาอกหัก สาวไม่รักไปแต่งงานกับคนอื่น คนที่มีบ้านมีรถ พี่จ้ำปี่ไม่มีอะไรเลย มีแต่หัวใจและรอยยิ้มไป ตอนนี้ก็เลยต้องกินน้ำยอดข้าวต่างข้าว 

แต่พี่จ้ำปี่ไม่เคยเล่าเรื่องสาวคนนี้ให้ฟังหรอก  อาจจะเป็นมุกตลกของเพื่อนเขาก็ได้ 




เอาเป็นว่า  แค่คิดถึงพี่จ้ำปี่แล้วก็สบายใจ มีความสุขดี
นอนหลับฝันดี ถ้านอนไม่หลับก็โทร.หาพี่จ้ำปี่ คุยๆ ไป เดี๋ยวเขาก็คุยเพลินจนฉันสบายใจก็หลับได้
บางคืนเขาก็โทร.หาฉัน แล้วพูดโน่นพูดนี่ 
คุยอยู่ดีๆ เขาก็เงียบไปเฉยๆ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงกรน
เรียกยังไงก็ไม่ตื่น .



พี่จ้ำปี่น่ารักจังเลยนะเนี่ย 
นี่ก็เป็นเรื่องอินเลิฟของฉันอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อนานมาแล้ว
แล้วเขาก็ย้ายบ้านไปไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยติดต่อกันได้อีกเลย



เขาก็หลุดไปจากวงจรชีวิตฉัน  
หลุดไปตามกระแสเวลา
เหมือนที่พี่ธเนศ กับ พี่เจ ที่ก็หายไปจากฉันตามกาลเวลา



พวกเขาเข้ามาแต่งแต้มความรู้สึกในใจได้เสมอ 
ในยามที่เหงาๆ ทำให้หัวใจของฉันมีสีสันขึ้นมา
และมีเรื่องราวหลายอย่างที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรๆ จากพวกเขา



อาจจะไม่ใช่ ความรัก
แต่ความรู้สึกดีๆ แง่มุมงามๆ ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอย่างนี้ เป็นสิ่งที่น่าทรงจำ .. มิใช่หรือ?


และควรค่าแก่การมาแบ่งปันประสบการณ์กัน ถ่ายทอดให้รับรู้และซึมซับความดีงามของสิ่งเหล่านี้ 


ความบริสุทธิ์ของความรู้สึกเป็นสิ่งที่เหมือน ช็อกโกแลต ที่เติมลงไปในนมจืดๆ ให้คุณค่าและชูรสชาติให้กลมกล่อมมากขึ้น

ดีกว่าดื่มนมจืดๆ นะ  ว่าไหม?



กับคำถามเดิมๆ ที่ใครๆ เป็นห่วงกัน
ทำไมไม่มีครอบครัวสักทีนะ
ทำไมต้องมีด้วยล่ะ
แล้วเคยมีความรักไหม
ความรัก  ใครจะไม่เคยมี 
ความรักเป็นสิ่งดีเหลือเกิน  เป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์

ถ้าความรักนั้นไม่มีความคาดหวัง
ไม่มีการควบคุม ไม่มีการครอบงำ
ไม่มีการครอบครอง และไม่มีอารมณ์ที่หม่นมัวดำมืด
หากความรักนั้นเป็นสีใสๆ สดชื่น และสร้างสรรค์สิ่งดีงาม


ขอให้  ความรัก และ ความรู้สึกดีดี อยู่ในหัวใจคนทุกคน
ขอให้  ความรัก ที่รุ่มร้อนผ่อนคลายเบาบางลงเป็นความเย็นสดชื่นในใจ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจมากมายอันจะเอื้อประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ และทำให้เราพบความสุข


มิใช่  ความอยากได้ใคร่ดี หรือ ความสนองความต้องการทางอารมณ์ปรารถนาใดๆ ที่จะก่อให้เกิดปัญหานานาประการ ซับซ้อนจนยากจะคลายปม

แต่  ขอให้ความรัก ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างภายในจิตใจ ให้ผ่อนเบาลง และนำพาไปถึงจุดหมายสูงสุดของชีวิต


ขอพรแห่งความรัก ปกปักคุ้มครองทุกคน  ที่ใช้ หัวใจ ในการซึมซับความรักที่มีอยู่จริงในโลกใบนี้


ขอความรักยังคงอยู่กับโลก  อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องและสร้างสันติ ป้องกันสงครามและภัยพิบัติใดๆ ด้วยเทอญ


ขอให้รักษาความรักเอาไว้ 				
22 มิถุนายน 2549 09:24 น.

ร้อยเหตุผล

แดดเช้า

21sxa356.jpgความรัก ไม่มีเหตุผล
ฉันได้ยินประโยคนี้จนรู้สึกชินชา

น่า  มันก็น่าจะมีเหตุผลในตัวเองมั่งแหละ
ถึงแม้ความรักจะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกก็เถอะ 
ฉันอาจจะไม่เคยรักใครจริงๆ ก็ได้  ฉันจึงได้คิดแบบนี้



เพราะที่ผ่านมา เหตุผลมากมายในการเลือกสรรคนรักจนกระทั่งไม่ได้ตกลงปลงใจกับใครเลยสักคน
แม้จะรู้สึกดีมากมายเพียงใดก็ตาม 



กับคนบางคน  คนที่ฉันก็ตัดสินใจเดินจากเขามา ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ฉันทำใจแล้วเดินออกมาจากการเอาใจใส่ดูแลใครสักคนมาเฉยๆ

เหมือนๆ กับเป็น กฎแห่งกรรม ในเรื่องของความรักที่ทำให้ฉันต้องผิดหวังในความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะล่าสุดนี่เอง

หนูทอ 
วันหนึ่ง  พี่เป้ถือโอกาสคุยกับฉันเพื่อความชัดเจนอะไรบางอย่างระหว่างเรา
ว่าไงเหรอคะ พี่เป้
หนูทอ  มีคนบอกหนูทอหรือยัง เรื่องเกี่ยวกับพี่
บอกอะไรหรือคะ
ทำไมพี่ถึงต้องหักอกหนูทอ
ฉันแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน  ทำเหมือนไม่สนใจ
หนูทอน่ะนะ เคยถูกหักอก  พี่เป้ก็ทำเป็นพูดไป
เขินน่ะสิ  ตกลงอยากรู้ไหมว่า ทำไม

ฉันเงียบไปสักพัก แล้วชวนพี่เป้คุยเรื่องอื่นๆ 
นี่ๆ ตกลงไม่อยากรู้จริงเหรอ หรือรู้แล้วว่า ทำไม
พี่เป้เป็นเกย์เหรอ
อุ๊ย  รู้ได้ไง
ฉันสะเทือนใจนิดๆ ที่รู้ความจริงเรื่องนี้  
แต่ก็พยายามปลอบตัวเองต่อไปอีกว่า เขาหยอกเล่นละมัง
แล้วพี่เป้เป็นเกย์แบบไหนล่ะ แบบรุกหรือรับ ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถามต่อไปอีก
แบบรุกน่ะสิ 
แล้วฉันก็คุยเรื่องเกย์กับพี่เป้ ควบคุมอารมณ์สะเทือนหวั่นไหวในอกไว้ พยายามมั่นคงในใจที่สุด



นี่แหละ  เหตุหนึ่งที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน
แล้ววันรุ่งขึ้น  ฉันก็ค่อยๆ กลับมาสู่สภาพเดิม
เพราะยังรู้สึกดีๆ ในความดีงามของพี่เป้อยู่โดยที่ไม่เคยจางจากใจเลย


พี่เป้  
เป็นชายหนุ่มที่ฉันรู้สึกดีๆ และเขาเป็นพี่ชายที่น่ารัก
ทุกครั้งที่ฉันมีปัญหาเรื่องงาน ฉันจะคุยกับพี่เป้ 
พี่เป้จะให้คำแนะนำที่ดี ไม่เอาใจใคร ไม่เคยพูดหวานๆ 
พี่เป้มีเหตุผลเสมอ



พี่เป้ เป็นวิศวกรอยู่ที่บริษัทใหญ่ๆ แห่งหนึ่งของประเทศไทย  ฉันเคยไปเล่นในที่ทำงานของเขา เห็นเขาทำอะไรงุ่นๆ อยู่กับแผงวงจรไฟฟ้า บางทีเขาก็สอนฉันเรื่องวงจรไฟฟ้า ที่ฉันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไรนัก

ไม่ว่าพี่เป้จะเป็นอย่างไร  ฉันก็ยังรู้สึกดีๆ กับพี่เป้เสมอ


ทำให้ฉันเข้าใจคนอื่นๆ ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน 
แต่ฉันไม่เคยรู้สึกดีๆ เท่ากับที่รู้สึกกับพี่เป้เลย



เปรม กับ ศักดิ์ หนุ่มใต้สองคน ที่เคยเข้ามาคบหากับฉันในช่วงหนึ่ง
ทั้งสองมีลักษณะคล้ายกันคือ มีความเป็นศิลปินอยู่ในตัวเอง

เปรม จะชอบถ่ายภาพและวาดรูป เขาเรียนคณะมัณฑนศิลป์ ทั้งที่ใจจริงเขาอยากจะเรียนจิตรกรรม
เขาบอกว่า มัณฑนศิลป์ เป็นศิลปะพาณิชย์ สำหรับการเลี้ยงชีพ 

เขาไปฝึกถ่ายรูป แล้วเขามักจะหาเหตุที่จะชวนฉันออกไปเป็นเพื่อนเขาบ่อยๆ เหตุผลที่ชวนไปมีสารพัดเหตุ ซึ่งเขาไม่เคยชวนฉันอย่างตรงไปตรงมาสักที

ครั้งหนึ่ง 
เขาเคยแนะนำให้รู้จักเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ แอ้ม แล้วชวนฉันออกไปงานสัมมนาเกี่ยวกับศิลปะกับแอ้ม และเมื่อถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่ปรากฏเงาแอ้มให้เห็นเลย 
ฉันถามหาว่า ไม่รอแอ้มก่อนหรือ  
เขาตอบว่า แอ้มเขาไม่มาหรอก

ฉันก็ต้องไปไหนมาไหนกับเขาสองต่อสองหลายครั้งหลายหน ด้วยวิธีการไม่ตรงไปตรงมาของเขาอย่างนี้แหละนะ 


ชายหนุ่มคนนี้มีโลกส่วนตัวของตัวเองมากเกินไปจนฉันแทบจะรับไม่ไหว 
ในทุกๆ วันเวลาสองถึงสามทุ่ม ฉันจะต้องได้รับโทรศัพท์จากเขา เพื่อฟังเขาเล่าเรื่องต่างๆ ที่เพ้อฝัน เหมือนไม่ได้พูดให้ฉันฟัง

เรื่องที่บ้านเขา ทุ่งนา ใบไม้ปลิว รายละเอียดของบรรยากาศ เวลาเขาเล่าถึงสิ่งเหล่านี้เขาจะจมลงไปในโลกของเขา เหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่งที่ไม่มีฉันอยู่ด้วยเลย

ฉันพยายามดึงเขากลับมาคุยกับฉัน เขากลับบอกว่า เขากำลังฝัน เขาเป็นศิลปิน 

แล้วอย่างนี้หรือ  คนที่ฉันจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาได้น่ะ ฉันไม่เคยมีความสุขกับเขาแม้เพียงนิด แม้เขาจะหลงใหลฉันเพียงใดก็ตาม 


ทุกๆ ครั้งที่เขาเจอหน้าฉัน 
เขาจะหลุดคำเพ้อออกมาจากปาก เบาๆ ว่า ทอทิพย์ สวยจัง



เขาช่างเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อเสียจริง  
ถึงขนาดที่ว่า เขาชวนฉันไปถ่ายรูป ขอให้ฉันเป็นนางแบบ แล้วเขาบอกว่า จะวาดรูปฉันให้เป็นของขวัญ

แล้วเขาก็โทรศัพท์มารายงานทุกวันเลยว่า วาดรูปฉันไปถึงไหนแล้ว 


เป็นความเหลืออดสำหรับฉันที่ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามายุ่งย่ามในชีวิตได้ขนาดนี้ ฉันจึงตัดรอนเขาด้วยการพูดออกมาว่า 
เบื่อคุณจัง .. โทร.มารายงานทุกวันเลยว่า วาดภาพถึงไหนแล้ว คุณไม่ต้องเอาภาพมาให้ฉันก็ได้นะ ถ้าวาดเสร็จไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ หน้าห้องน้ำก็ได้ 

ดูเหมือนเขาจะอึ้งไปสักพักหนึ่ง  คงจะเสียใจ
แต่ดีกว่าที่จะทำให้เขามีอาการเพ้อขนาดหนักเพียงนี้ 



เรื่องยังไม่จบง่ายๆ  
ฉันยังสร้างวีรกรรมให้เขาไปพบกับศักดิ์ เพื่อนชายอีกคนที่เข้ามาสนิทสนมกับฉัน
ทันทีที่เขาได้รู้จักกับศักดิ์ เปรมก็รีบพูดโอ้อวดอะไรหลายอย่าง
เขาเตรียมหนังสือที่ฉันให้เขาอ่าน เอาไปคุยกับศักดิ์ด้วยว่า ทอทิพย์ให้หนังสือเขามาอ่าน
และคุยเรื่องที่เขาถ่ายภาพฉันเพื่อที่จะวาดภาพฉันนำมาเป็นของขวัญ

ศักดิ์ นิ่งฟังอย่างนิ่งๆ  ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเลย
แต่เขามาพูดกับฉันภายหลังว่า 
ท่าทางหมอนี่เขาจะหลงคุณมากนะ ทอทิพย์


หลังจากนั้น  
ศักดิ์ก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป เขาค่อยๆ เหินห่างจากฉัน
ไม่ค่อยติดต่อกับฉันบ่อยๆ เหมือนเดิม


ฉันได้ยินมาว่า  เขากำลังเก็บตัวเพื่อค้นพบอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง


ศักดิ์ เป็นคนอารมณ์ศิลปินชอบมีพฤติกรรมแปลกๆ เพื่อทำให้ฉันสนใจ เช่น เดินเท้าเปล่าจากราชดำเนินมาหาฉันที่มหาวิทยาลัย โดยไม่สนใจสายตาใครๆ ที่พากันมองเขาทุกครั้งที่เขาเดินไปไหนมาไหนกับฉัน

ฉันจึงพลอยตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ ไปด้วย 


ศักดิ์เริ่มห่างจากฉันไปทุกวันๆ พร้อมๆ กับเปรมที่ปรับพฤติกรรมการโทรศัพท์ใหม่ จากเคยโทร.มาทุกวัน เป็นสามวันครั้ง อาทิตย์ละครั้ง และเดือนละครั้ง


ครั้งสุดท้าย 
เปรมโทร.มาบอกฉันว่า 
ทอทิพย์ ถ้าเธอจะรับปริญญา เธอบอกเราได้นะ เราจะไปถ่ายรูปให้เธอ
ฉันก็ได้แค่รับฟัง
เธอจดเบอร์โทร.ที่บ้านเราไว้ด้วยสิ  มีอะไรให้ช่วยเหลือก็โทร.หาเรา
ฉันก็จดหมายเลขโทรศัพท์ของเขาเอาไว้

มีอะไรโทร.มาได้นะ  เขาย้ำ 



นี่คือครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับเขา และเขาก็หายไป
เขาหายไปไม่เห็นร่องรอย  แม้แต่ที่มหาวิทยาลัย
ฉันมักจะไปพบเขาที่ห้องสมุดบ่อยๆ แต่หลังจากวันนั้น ฉันไม่เห็นเขาอีกเลย

วันหนึ่ง  
ฉันได้คุยกับรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับเปรม รุ่นพี่คนนั้นได้พูดเปรยขึ้นมาว่า 
เปรมมันบ้า 
ทำไมเหรอ  ไม่เห็นเขามานานแล้ว
เรียนหนังสือดีๆ ก็ไปดรอปซะ อีกตัวเดียวเอง วิทยานิพนธ์เหลืออีกนิดเดียว ทนเรียนไปหน่อยก็จะจบปีนี้แล้ว
เขาดรอปทำไมเหรอพี่
ดรอปแล้วไปอยู่บ้านที่ปัตตานี เขาบอกว่า จะรับปริญญาพร้อมทอทิพย์
ฉันรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก  ฉันเป็นสาเหตุให้เขาต้องทิ้งการเรียนไปขนาดนี้เลยหรือ


แต่  
ฉันก็สบายใจเป็นอย่างมากที่ชีวิตของฉันไม่มีเปรมเข้ามาพัวพันอีกต่อไป
เหมือนๆ กับศักดิ์ ที่ไปจากฉันโดยที่ไม่บอกลาสักคำ

เพื่อนศักดิ์บอกว่า ศักดิ์ไม่เรียนหนังสือแล้ว กลับไปกรีดยางที่บ้าน บ้านศักดิ์อยู่นครศรีธรรมราช
ศักดิ์อยากใช้ชีวิตตามวิถีที่เขาเลือกเอง 
ชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือ แต่เรียนรู้จากชีวิตจริงๆ



และ 
ฉันยังจำได้กับปรัชญาชีวิตแปลกๆ ของศักดิ์ ที่เขามักจะชอบเพลงเพื่อชีวิตเป็นชีวิตจิตใจ และมักจะแต่งกลอนเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตที่เขาศรัทธา

บทกลอนของเขาที่ให้ฉันอ่าน เขาเขียนด้วยลายมือตัวเอง
แล้วฝากคนส่งต่อมาถึงฉัน 

และฉันก็ไม่ได้อ่านบทกลอนเหล่านั้นอีกนาน  
ไม่มีบทกลอนเขียนลายมือจากศักดิ์อีก


ศักดิ์ใช้กระดาษรีไซเคิล เขียนจดหมายทุกฉบับถึงฉัน 
เขาไม่สนใจในเรื่องรูปแบบที่สวยงามเลยสักนิดเดียว
เขาดำรงความเป็นตัวของเขาเองโดยไม่ใส่ใจสายตาใครๆ


เช่นเดียวกับการที่เขาตัดสินใจไม่เรียนหนังสือนี่แหละ 
แต่เขาก็ไปจากชีวิตฉันที่เคยคุ้นเคยกัน 
ไปอย่างไม่เอ่ยคำร่ำลา  แม้สักคำ
ไม่มีสถานที่ใดที่จะติดต่อเขาได้อีก



ฉันรู้สึกเป็นปกติธรรมดาและเฉยสนิท ไม่ค่อยอาลัยอาวรณ์ 
เขาจะมา หรือ จะไป ก็มิใช่เรื่องพิเศษอะไรเลย


นี่คือ 
เรื่องราวของความรักที่คนสองคนเขารักฉัน 
และจริงแล้วเขาคงไม่ได้อยากจะจากฉันไปสักเท่าไหร่นัก
เพียงแต่ฉันมีเหตุผลมากมายเกินไป  มากไปจริงๆ
จนสัมพันธภาพต้องจบสิ้นลงอย่างเย็นชา



จบสิ้นความรักจากใครๆ ไปในช่วงเวลาหนึ่ง 
แต่ดูเหมือนกาลเวลาจะไม่ยอมให้ฉันห่างจากความรักเลย


ฉันพบกับพี่เป้ 
พี่เป้เป็นคนดี  เป็นคนดีที่สุดสำหรับฉัน 
พี่เป้มีระบบในชีวิต เพราะเขาอยู่กับแม่ของเขา
แม่ของเขาที่คอยดูแลลูกชาย ราวกับว่า ลูกชายยังเป็นเด็กน้อยอยู่

เขารักแม่ 
เพราะพ่อเขาแยกทางไปตั้งแต่เขายังเด็กๆ
จึงทำให้เขาตามใจแม่ทุกอย่าง

คนที่ดูแลแม่ตัวเองได้ขนาดนี้ เป็นคนน่ารัก
เพราะเขาจะไม่ทำอะไรที่ผิดเลย 
เขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง

เขาเป็นคนสะอาด  เป็นคนจิตใจสะอาด
และเป็นคนเก่ง โดยไม่แสดงโอ้อวดอะไรเลย



เขาไม่เรียนต่อปริญญาโท เพราะเขาให้เหตุผลกับฉันว่า
คนที่มีความรู้มากๆ ไม่ได้รู้อะไรลึกซึ้ง เพราะรู้จากตำรา สู้คนที่ไม่ต้องเรียนเยอะแต่พยายามศึกษาค้นคว้าไม่ได้หรอกนะ จะเข้าใจแก่นลึกกว่าทฤษฎีอีก ตอนนี้ผมกำลังจะทดลองทำอะไรหลายอย่าง ยิ่งทดลองทำ ยิ่งได้เรียนรู้จากสิ่งนั้นๆ

ฉันฟังแล้วรู้สึกดี 


อีกไม่นาน 
ไผ่ เด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าฉันก็เข้ามาในชีวิต
เขาเดินมาบอกรักฉัน 
แล้วพยายามเรียกร้องอะไรหลายอย่าง โดยใช้ความรักเป็นเครื่องมือ

เขาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง นับแต่วันแรกที่เขาเดินมาหาฉัน
เขาจะต้องได้ในสิ่งที่เขาต้องการ แม้กระทั่ง ความรัก


เขาอ้างว่า ฉันรักฉัน 
แล้วบังคับให้ฉันบอกรักเขา

โทร. มาบีบเอาคำพูดคำว่า รัก จากปากฉันเป็นชั่วโมง
แต่ฉันไม่ได้บอกสักคำ
เขาหมายเอาอาการที่ฉันไม่พูด เป็นคำตอบ 


ในระยะแรกๆ เขาก็ยังดีกับฉันอยู่ 
แต่นิสัยชอบเอาให้ได้ดังใจก็ยังเป็น ฉันอึดอัดอยู่บ้าง
ก็ต้องทำใจยอมรับ

ต่อมาก็เริ่มหนักขึ้นๆ 
ทุกครั้งที่ขัดใจเขา เขาจะไม่พอใจ
แล้วก็อ้างว่า เพราะรักฉันจึงทำอย่างนี้

ฉันอดไม่ได้ 
ก็บอกไปว่า คุณจะไปไหนก็ไป  ฉันไม่ได้รักคุณเลย
เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาร้องไห้ร่ำไรมากมาย

เขาคร่ำครวญว่า วันหนึ่งเธอจะรู้ว่า ถ้าเธอรักใครสักคน เธอจะเป็นอย่างไร
ฉันเห็นบทบาทการแสดงของเขาแล้วฉันอดสงสารไม่ได้
แต่ก็ทำใจแข็ง เอ่ยปากบอกว่า คุณไปซะเถอะ  ฉันไม่ได้รักคุณเลยจริงๆ 
ฉันถูกคุณบังคับตลอดมา 

เขาร้องไห้ แล้วบอกว่า 
เธอจะรู้เองว่า ไม่มีใครรักเธอเท่าเราอีกแล้ว

เป็นคำพูดที่ทำให้จิตใจฉันอ่อนไหว  
แต่ไหนๆ ก็ไล่แล้ว ก็ควรทำให้จริง

เขาเดินจากฉันไปด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กร้องไห้
เป็นภาพที่น่าเห็นใจมาก  
สักพัก ฉันเริ่มมาใคร่ครวญ ฉันรู้สึกว่า ฉันควรตามเขากลับมา
เพราะฉันเป็นห่วงเขา เขาตกงาน เขาจะอยู่อย่างไร
และฉันมีความเชื่อว่า เขาจะดีได้ เขาจะปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้


คืนนั้นอากาศหนาว 
ฉันเดินตามหาเขาทั้งคืน
แต่ก็ไม่พบร่องรอยเลย 



และในที่สุด 
เขาก็กลับมา กลับมาพร้อมกับเงื่อนไขคำว่า รัก อีกแล้ว
เขาสำคัญว่า ฉันรักเขา ฉันจึงตามเขากลับมา

เขาเริ่มหนักข้อมากขึ้นทุกวันๆ
เขาเรียกร้องให้ฉันซื้อของให้เขา เลี้ยงข้าวเขา และมาขอเงินจากฉันมากขึ้นๆ
ฉันต้องตามใจเขา  เพราะความรู้สึกผูกพันกับคำว่า รัก ที่เขาให้ฉัน


จนที่สุดแล้ว 
คำว่า รัก ของเขา เป็นแค่เครื่องมือและคำพูดเพื่อที่จะได้มาซึ่งความรัก
เป็นข้อต่อรองสำหรับการที่จะรีดไถเอาความรักจากฉัน

ทุกๆ ครั้งที่ขัดใจเขา เขาจะเดินหนีฉันไป
ทำให้ฉันรู้สึกผิดมากๆ 
แล้วเมื่อฉันตามเขากลับมา เขาก็จะพูดอะไรมากมายที่ยาวมาก
เหมือนโทษว่าฉันเป็นคนผิด
ฉันจะเป็นผู้รองรับความผิดทุกอย่างที่เกิดขึ้น 
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับเขาหรือฉัน แม้กระทั่งกับ เรา



ไผ่  เป็นคนเผด็จการอย่างที่สุด
เขายอมรับในความเป็นตัวฉันไม่ได้ที่เป็นผู้หญิงไม่ค่อยแต่งตัวอะไรนัก
เสื้อผ้าก็ใส่เท่าที่จะใส่ได้
รองเท้าก็มีเท่าที่จะสวมได้ และไม่ใช่ของหรูหราอะไรเลย

เขาบังคับให้ฉันแต่งตัว 
บังคับให้ฉันไปซื้อรองเท้าใหม่ 
ตามใจเขา โดยที่เขาเป็นคนเลือกให้


เป็นเช่นนี้มานานนักแล้ว 
เขาบังคับฉันไม่ให้เข้าไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนของเขา
กลุ่มที่นั่งกินเหล้า หรือพูดคุยกันที่หน้าร้านขายของชำ

ถึงเวลา 
เขาก็จะโทร.มาเช็คว่า ฉันอยู่ที่ไหน
กลับขึ้นไปพักที่หอพักหรือยัง
อย่าออกมานะ อยู่ในห้องนั่นแหละ

ถ้ายังไม่กลับจากที่ทำงาน เขาก็จะโทร.มาเช็คอีกว่า อยู่ที่ไหน
อย่ากลับเกินเวลานี้ๆ นะ


ชีวิตของฉันถูกขังกรงตลอดเวลา 
โดยข้ออ้างที่เขาสั่งว่า เพราะห่วง เพราะรัก
เขาไม่ใช่คนรักใครง่ายๆ หรอก  เขาบอกเช่นนี้

แต่ฉันคิดว่า เขารักใครไม่เป็นมากกว่า 


ในที่สุด 
ฉันจึงตัด (สิน) ใจในเช้าวันที่เขากำลังตกงาน แล้วจะไปสมัครงานที่ใหม่
เขาโทร.มา แรกๆ ฉันดีใจ คิดว่า เขาคงโทร.มาทักทายในยามเช้า
แต่กลายเป็นว่า เป็นคำขู่ให้โอนเงินให้เขาหนึ่งพันบาท
ฉันกลั้นหายใจแล้วพูดเข้าไปในสายว่า
ไม่มี ไม่ให้ ไม่โอน แล้ววางสายเขาทิ้ง
เขายังโทร.มาอีก ฉันก็ปิดเครื่อง



เป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาดที่สุด
โดยที่ฉันรู้สึกเจ็บปวด 
เจ็บปวดกับความรักจอมปลอมของชายคนหนึ่ง
ที่เขาใช้ความเป็นเด็กกว่า และความรักมากดขี่ฉันตลอดเวลา


ในที่สุด 
ฉันก็ไม่มีใคร  ณ ช่วงเวลานี้
พี่เป้  เขายังคงเป็นคนดีเสมอ
คุยกับเขาแล้วยังสบายใจ

กับคำพูดบางคำที่เขาเคยพูดให้ฉันได้ยินว่า
รักใคร อย่ารักด้วยกิเลสตัณหา ให้รักด้วยหัวใจ 
จะทำให้รักนั้นอยู่ได้นาน  นาน

รักใคร อย่ารักด้วยความอยาก
อย่ารักด้วยความปรารถนาให้เขาเป็นดังที่ต้องการ
รักเพื่อการเรียนรู้  

รักเท่าที่เขาจะเป็นได้ 
และแม้จะไม่ได้เป็นไปดังใจทุกประการ
แต่รักนั้น ก็ยังคงอยู่ในใจ

พี่เป้ ไม่ได้จากไปไหน 
ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
เพียงแต่  เขาไม่ได้รักฉัน 
ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ เขารักผู้หญิงไม่ได้
ความรักของเขาไม่มีให้กับผู้หญิง


แต่เขาก็ยังเป็นคนดีในตัวเอง 
เป็นคนจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ 


แม้ทุกวันนี้ 
จะไม่มีพี่เป้อยู่ในใจเลย
เว้นแต่กรณีได้พบกัน ความรู้สึกดีๆ ก็ยังคงอยู่เสมอ
แต่  ความดีงามของพี่เป้ ยังอยู่ในใจ
คำแนะนำของพี่เป้  ยังมั่นคงอยู่ในใจ

รักใคร อย่ารักด้วยกิเลสตัณหา  ให้รักด้วยหัวใจ
จะทำให้รักนั้นอยู่ได้นาน นาน

21lgd408.jpgความรัก มีเหตุผลในตัวเอง เหตุผลของความรักนั้น ก็คือ ความรัก				
12 มิถุนายน 2549 17:43 น.

ลึกสุดใจ

แดดเช้า

ฉันยังเก็บการ์ดใบสีน้ำเงิน รูปดาว ใบนั้นเอาไว้ 
กระทั่ง 10 กว่าปีล่วงมาแล้ว 
ในคืนวันเงียบงัน การ์ดใบสวย (ในความรู้สึกของฉัน) ก็ถูกเปิดคลี่ออกมาดูอีกครั้ง


ข้อความในการ์ดใบนั้น อวยพรในวันคล้ายวันเกิดของฉันรวบยอดกับวันปีใหม่ เพราะฉันเกิดหลังจากวันปีใหม่เพียงไม่กี่วัน



เจ้าของการ์ดเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง  
ซึ่งไม่รู้ว่า บัดนี้เขาไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว

แต่เมื่อไม่นานมานี้ โดยบังเอิญที่ฉันเดินสวนทางกับเขา ใจร่ำๆ จะเรียกขานชื่อ และทักทาย แต่ปากก็ยังแข็ง จึงต้องเดินผ่านเลยไป โดยที่เขาไม่เห็นฉัน แล้วฉันอีกนั่นแหละที่เดินย้อนรอยกลับมาเพื่อค้นหาเขา  แต่ก็ไม่เจอเสียแล้ว


วันเก่าๆ ที่ร้านไอศกรีมแห่งหนึ่ง 
เขาเคยพาฉันไปทานไอศกรีมที่ร้านนี้ แล้วเราก็แย่งลูกเชอรี่สีแดงกัน

เขามอบหนังสือให้ฉันเล่มใหญ่ล้ำค่าหนึ่งเล่ม นั่นคือ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ



การ์ดใบสีน้ำเงิน รูปดวงดาว เป็นการ์ดกระดาษธรรมดา ที่เขียนข้อความด้วยลายมือไร้ระเบียบ 
สุขสันต์วันเกิด นะ รุ่ง
คนเราทุกคนย่อมมีฝัน 
ขอให้รุ่งพบกับความฝันที่วิเศษสุด และทำฝันนั้นให้เป็นจริงให้ได้นะ

จาก เอี้ยง

แล้วปิดท้ายด้วยข้อความ ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง
เพราะ เขาเป็นคริสเตียน


เอี้ยง  เป็นชายหนุ่มสูงประมาณ 180 เซนติเมตร รูปร่างดี ผิวสองสี ผมหยักศก 
นิสัยสุภาพอ่อนโยน และฉลาด

หนุ่มราศีตุลย์ คนนี้ เขาเป็นคนเรียบร้อยพอสมควร เขาใฝ่ฝันจะเรียนวิศวะ แล้วเขาก็ได้เรียนจบจนได้  เขาเคยได้เป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนวิศวะ แล้วต่อมาก็กลับมาช่วยกิจการที่บ้าน เนื่องจากพ่อของเขาเสียชีวิต



ความสัมพันธ์ระหว่างฉันและเขาน่ะหรือ 
เขาเป็นแค่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ฉันรู้สึกดีๆ ในวันแรกตั้งแต่ได้เห็นหน้าเขา แล้วฉันก็ได้คุยกับเขาเพียงผ่านๆ เป็นครั้งคราว และหลายครั้งที่ฉันกัดฟันโทร.ไปคุยกับเขา

ที่เรียกว่า กัดฟัน ก็เพราะว่า ฉันไม่กล้าที่จะโทร. คุยกับเขาเลย ไม่รู้ว่า เป็นเพราะอะไร
แต่ว่า ในใจมันร่ำร้องอยากคุยกับเขาเหลือเกิน

พอได้คุย  ใช่ว่าจะอิ่ม 
เพราะฉันก็พูดไม่ออกเหมือนกันว่า จะคุยอะไรกันดี



จนกระทั่งเวลาผ่านไป  ฉันไม่ได้พบกับเขาในช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ด้วยความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ฉันก็หมุนโทรศัพท์ไปหาเขาอีกครั้ง

เอี้ยงเหรอ  นี่รุ่งเองนะ
ดูเหมือนเขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อไปว่า
รุ่งเหรอ  จำได้ๆ
แล้วหลังจากนั้น ฉันก็ติดต่อเขาบ่อยครั้งขึ้น แต่ฉันก็หาเรื่องราวคุยอะไรกับเขาไม่ได้เลย

ฉันเข้าใจว่า เขาเองก็อึดอัดสับสนไม่แพ้กัน



จนกระทั่งวันหนึ่ง 
เขานำกีตาร์คลาสสิกมาดีดเป็นเพลงๆ หนึ่ง แล้วถามฉันว่า รู้ไหมว่า นี่คือเพลงอะไร
นิยามรัก ไงล่ะรุ่ง
แล้วเขาก็นัดฉันออกมาหาอะไรทานกันในมื้อกลางวัน ฉันเองก็วางตัวกับเขาไม่ถูกเหมือนกัน




ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ยังไม่เคยคบหาใครในฐานะอื่นๆ เลย และกับเอี้ยงก็เป็นเพื่อนชายคนแรกในชีวิต 

ฉันอยู่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดที่มีระเบียบกฎเกณฑ์ มีวินัยที่เคร่งครัดพอสมควร และโรงเรียนนี้ก็สอนให้ฉันอยู่ในกรอบความคิดหลายอย่างที่ฉันมิอาจจะฝ่ากรอบนี้ออกไปได้

แม้จะพยายามฝืนเพียงใด   ก็ยากที่จะทำให้ปรับตัวได้



เอี้ยงคงคุยกับเพื่อนสนิทของฉันทำนองว่า ฉันค่อนข้างจะคิดมากและอ่อนไหวเหลือเกิน เลยทำให้สัมพันธภาพดำเนินต่อไปได้ยาก



ในที่สุดก็ถึงทางตัน  ด้วยที่ว่า ฉันลังเล โลเลไปโลเลมา 
กลัวเหลือเกินที่จะรักใคร ไม่มั่นใจในตัวเอง
และไม่มั่นใจในตัวเขา

คิดซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนอยู่นั่นแล้ว 



เอี้ยง  คงเข้าใจความรู้สึกของฉันดี  ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่หลงชื่นชอบชายหนุ่มคนหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผลใดๆ และไม่มีความเหมาะสมอะไรเลย

แต่ทุกๆ วันเกิดของเอี้ยง เป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน ฉันมักจะมีของขวัญให้เขา และเพื่อนสนิทของฉันจะเป็นคนจัดการนัดหมายให้ได้พบกัน

แต่ฉันไม่รู้เลยว่า ระยะเวลาผ่านไป 10 ปีที่มีเขาอยู่ในหัวใจนั้น  เขามีใครอีกคนอยู่ในหัวใจ




ปีหนึ่งที่ฉันซื้อนกในกรอบพลาสติกให้เขา  เขาบอกว่า นกสวย ดูเหมือนกับว่าเขาจะถูกใจของขวัญชิ้นนี้มากที่สุด
ฉันรู้ไม่ทันรหัสความรู้สึกของเขา กับความรู้สึกว่า นกสวย นั้นคืออะไร



จนกระทั่ง  วันเวลาผ่านไป 
มีใครอีกสักคนเข้ามาในชีวิตของฉัน 
และดูเหมือนเขาจะรักฉันมาก
มากพอที่จะทุ่มเทช่วยเหลือฉันในทุกๆ เรื่อง 
แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่ฉันกำลังตกงาน

แม้ว่าเขาจะอยู่ไกลแสนไกลถึงอีกฟากฟ้าหนึ่ง คือ สหรัฐอเมริกา 
แต่เขาก็ยังส่งเงินมาเกื้อหนุนฉันสม่ำเสมอ

ส่งให้ฉันไปเรียนวิชาฮาร์ดแวร์ ซื้อพริ้นท์เตอร์ สแกนเนอร์ และอัพเกรดคอมพิวเตอร์ให้ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ติดต่อกับเขาทางอินเตอร์เน็ตได้
เขาชอบให้ฉันเขียนบันทึกประจำวันเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เขาฟัง

เขามักโทร. ทางไกลข้ามทวีป เพื่อคุยกับฉันในทุกๆ วันก่อนเขาจะเข้านอน
เขาชอบเขียนบทกวี และชอบศึกษาค้นคว้าเรื่องราวต่างๆ และสนับสนุนให้ฉันใฝ่รู้ ใฝ่คิด ช่วยกันคิดค้นวิชาการต่างๆ ร่วมกับเขา

เขาสอนฉันทำโฮมเพจ แนะนำเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หลายๆ โปรแกรม 
เขากระตุ้นให้ฉันเขียนหนังสือ  และบอกว่า อยากได้ของขวัญจากฉันเป็นหนังสือที่ฉันเขียนให้เขาสักเล่ม เมื่อเขากลับจากอเมริกามาเมืองไทยแล้ว



เขามีความหวังกับฉันที่จะสร้างครอบครัวด้วยกัน และอยากจะมีลูกกับฉัน เขาวางแผนอนาคตร่วมกับฉันผ่านการออนไลน์ 

คนที่ดีๆ กับฉันเช่นนี้  
เขาก็ยังไม่ใช่คนที่ฉันจะรักจริงๆ
เพียงแต่ทำตามหน้าที่ที่ตกลงกันไว้ว่า เราจะคบหากันในฐานะคนรัก

เป็นความรักที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล  

ถ้าถามว่า อารมณ์ของฉันละมุนพอในระหว่างรักกับคนๆ นี้หรือไม่ 
คำตอบก็คือ ใจฉันแข็งกร้านเกินไป


และบางที  
ฉันก็หลงคิดว่า เขาเป็นคนที่รักฉัน 
ฉันก็เรียกร้องต่างๆ นานา 
เพราะเชื่อว่า อย่างไรเสีย เขาก็ต้องยอมฉัน เพราะเขารักฉัน

ฉันจึงกลายเป็นคนดื้อรั้น เอาแต่ใจ และแสนงอน เพราะว่า เขายืนยันคำว่ารักทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 3 หนแทบจะเป็นบทท่องจำ



แต่ เอี้ยง  ยังอยู่ในใจเสมอ แม้ว่าจะมีใครเข้ามาในชีวิตได้ถึงขนาดนี้


ในบางคืน  ฉันกลับพบว่า ตัวเองหลับฝันอย่างมีความสุข 
และในภาพความฝัน มีเอี้ยงอยู่ในนั้นด้วย สวยงาม อ่อนโยน และอบอุ่น


และแล้ว 
ถึงเวลาที่คนที่บอกว่ารักฉัน จะกลับจากอเมริกา
เขาเหินห่างจากเขาจนรู้สึกน่าฉงนใจ 

เหมือนไม่มีกันและกันอีก 
มีแต่เสียงความเงียบภายในหัวใจ กับท่าทีที่แสดงความห่วงใยตามหน้าที่ที่ควรจะเป็น ตามคำสัญญาที่ให้กันไว้

เสียงแว่วๆ มาเตือนฉันเป็นระยะๆ จากคนใกล้ชิดเขาว่า
สิ่งที่เป็นจริง ไม่ได้เป็นอย่างที่รุ่งคิด

สิ่งนี้  เป็นลางบอกอะไรหรือ?
ฉันมิอาจจะรู้ได้ เพราะฉันยังมั่นคงและมั่นใจในคำสัญญายืนยันของเขาอยู่เสมอ 
ฉันหลงมั่นใจในความรักที่เขามีให้กับฉัน 


เพราะที่ผ่านมา  
เขาดีกับฉันตลอดมา 
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับฉันในยามที่ฉันกำลังลำบาก

มีแต่ฉันเท่านั้นแหละ  ที่น้อยเกินไปนักที่จะตอบแทนสิ่งดีดีคืนให้กับเขา


ช่วงนั้น เป็นช่วงที่ฉันได้งานใหม่ เป็นงานที่ค่อนข้างมั่นคง และมีผู้หลักผู้ใหญ่เป็นเจ้านายที่เมตตาเกื้อกูลฉันได้เป็นอย่างดี


เขากลับมาถึงเมืองไทยแล้ว  
แต่ไม่บอกฉันสักคำ

จนกระทั่ง  ฉันมารู้เองทีหลังว่า เขากลับมาอยู่คอนโดกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนใต้เหมือนๆ กับเขา 


เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า 
บ้านของเขาเกิดปัญหามากมาย แม่เขามีปัญหาเรื่องที่ทำกินที่กำลังถูกโกง เขาเกิดสภาวะเครียดหนัก คนที่อยู่ห่างไกลอย่างฉันและนิสัยงอแง เอาแต่ใจ ไม่สามารถช่วยให้เขาสบายใจขึ้นได้

แต่เธอคนนี้ คอยอยู่เคียงข้างเขา  
เขาต้องการสิ่งใด เธอจัดการให้เขาได้เป็นที่เรียบร้อย
ใจเย็น และไม่เรียกร้องอะไร ซึ่งต่างจากฉันโดยสิ้นเชิง

เธอคนนั้น รักเขา  
แต่ฉันไม่ได้รักเขาอย่างแท้จริง


เขาบอกลาฉัน โดยอ้างกับฉันว่า 
เราไม่ใช่คู่กัน  ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอคนนั้นไปไกลและลึกซึ้งมากแล้ว แต่ฉันมีที่พึ่งอยู่แล้ว มีเจ้านายเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร 

รุ่งเป็นคนดี แต่ว่า เราไม่ใช่คู่กัน


คำพูดที่บอกเลิกกันง่ายๆ ของเขาแค่นี้  
ทำให้ฉันปล่อยโฮออกมา
ฟูมฟายด้วยความไม่เข้าใจ 
เหมือนกระบวนการชีวิตที่คิดไว้ร่วมกับเขาพังทลายหมด


ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา 
ฉันกับเขาคิดโครงการอะไรร่วมกันไว้มากมาย 
ในแต่ละวัน ชีวิตของฉันก็มีเขาอยู่ในชีวิตไม่เคยห่างเหินกันเลย  
แล้วนับจากเวลานี้ไป  
อีกนานเท่าไรกันที่จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ที่ผ่านมา 
ถึงแม้เราจะยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน และไม่ได้พบกันในทุกๆ วัน แต่เราก็สื่อสารกันไม่เคยห่าง
เราแลกเปลี่ยนความรู้สึกและความฝันกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

แล้วจากนี้ไป 
ในช่วงวันเวลาเหงา  ฉันจะเล่าอะไรให้ใครฟัง 
แล้วฉันจะคุยกับใคร ฉันจะเขียนบันทึกให้ใครอ่านทุกวันๆ เหมือนเดิม

บันทึกฉบับที่ 87 เป็นฉบับสุดท้ายที่ฉันเขียนส่งให้เขา 


ฉันถามเขาว่า  สิ่งของที่ให้รุ่งทั้งหมด จะเอาคืนไหม
เขาตอบว่า  ถือว่า ให้ด้วยใจแล้วกัน เอาไว้ใช้ประโยชน์เถอะ

แรกๆ ฉันเห็นของของเขาแล้วอดคิดไม่ได้  
เราจะเปิดกิจการร่วมกัน เมื่อเขากลับมาเมืองไทยแล้ว
เขาบอกว่า เขาจะเก็บเงินเปิดบริษัทร่วมกับฉัน  
แต่มาถึงวันนี้ เครื่องมือเครื่องใช้ทั้งหลาย กลับเป็นของส่วนตัว ไม่ใช่กิจการที่คิดไว้ร่วมกันอีกต่อไป

ความฝันต่างๆ ถูกล้มทลายไปหมด 


เพียงแต่ว่า 
ที่ผ่านมา ฉันไม่มีอะไรต้องเสีย  ไม่ต้องเสียอะไรแม้เพียงนิด
แม้จะต้องเสียเขาไปสักคน

แต่ทว่า ณ เวลานั้น  
ฉันเสียใจ และ เสียดายเวลาที่ผ่านมา 
เท่านั้นเอง 



ฉันอาจจะรู้สึกบอบช้ำในหัวใจเหลือเกิน 
รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับหลายสิ่งหลายอย่าง
และมักแอบไปนอนพักสายตาที่ชายหาดเป็นประจำ 
พักสายตาเพื่อให้คลื่นลมชะล้างแผลในใจให้แห้งสนิท



แล้วฉันก็พบกับเพื่อนสนิทของฉันอีกครั้ง 
พร้อมกับนำข่าวเกี่ยวกับ เอี้ยง 
มาทับถมความรู้สึกเหมือนคลื่นลมทะเลที่ซัดแรงคลื่นเข้ากระทบฝั่งอย่างแรงอีกระลอกหนึ่ง

รุ่ง .. เอี้ยงเขาเป็นแฟนกับนกแล้วนะ
อืม เป็นแฟนกันได้ยังไงล่ะ ฉันถามเพื่อนของฉันด้วยความรู้สึกอ่อนล้า 
เอี้ยง เขาแอบรักนกมา 10 ปี แล้วก็อกหัก เพราะนกไปคบกับหน่อง เพื่อนเอี้ยง แล้วมีปัญหากัน ก็เลิกกัน นกปรึกษาปัญหากับเอี้ยง ปรึกษาปัญหาหัวใจกันไปมา ก็เลยเป็นแฟนกัน
อืม ..
เป็นข้อมูลใหม่ที่ฉันได้รับรู้


แต่ความรู้สึกที่มีกับเอี้ยง ยังไม่เปลี่ยนไป
แปลกที่ความรู้สึกที่มีต่ออีกคน เย็นชาลงจนเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นกับหัวใจเราเลย แม้แต่นิดเดียว

ถ้าได้พบกันอีก ก็รู้สึกเฉยสนิท เหมือนเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่งที่เคยรู้จักกัน ไม่ได้พิเศษอะไรมากขึ้นเลย
แต่กับเอี้ยง  กลับตื่นเต้นดีใจที่ได้รับรู้เรื่องราวของเขาอีกครั้งหนึ่ง



แม้เวลาผ่านมาถึงเวลานี้ 
ฉันก็ยังไม่ได้ติดต่อกับเอี้ยงอีกเลย 
ทว่า  การ์ดใบธรรมดาใบนั้นที่เอี้ยงเคยให้ฉัน 
ฉันก็ยังคงรู้สึกว่า สวยอยู่เสมอ
และยังได้กลิ่นอารมณ์ของผู้ชายสุภาพ เรียบร้อย ร่าเริง และฉลาดคนนี้อยู่ไม่เคยจางจากใจ


แม้ว่า 
เราสองคนจะแตกต่างกันในทุกๆ เรื่อง
ฉัน  ผู้หญิงร่างเล็ก เล็กมากๆ
แต่  เอี้ยง เป็นชายร่างสูงโปร่ง  สูงกว่าฉันมาก

เอี้ยง ชอบบ้านกระจก บ้านหลังใหญ่ๆ  ชอบเครื่องประดับคริสตัล โดยเฉพาะคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเล
ฉัน ชอบบ้านที่ไม่ใหญ่โตเท่าไรนัก และเครื่องประดับต่างๆ ไม่ได้เป็นที่สนใจเท่าไรนักด้วย 
เอี้ยงเคยเดินเที่ยวกับฉัน แล้วเปรยถามว่า แปลกจัง .. ทำไมรุ่งไม่สนใจเครื่องประดับเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ เลย
ฉันก็ตอบไม่ถูก ตอบได้แต่เพียงว่า ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร 

ผู้หญิงตัวเล็กๆ ร่าเริง และไร้จริตมารยา คนหนึ่ง 
ที่หลงชื่นชอบชายหนุ่มคนหนึ่งมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนาน
แต่ก็มิอาจจะทำอะไรได้ นอกจากเป็นอารมณ์ที่อยู่เพียงภายใน
และลึกอยู่ภายในนั้นเนิ่นนานพอที่จะคิดถึงเขา  เพื่อที่จะได้เข้าใจตัวเอง

และเก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้ในใจ  จนลึกสุดใจ



เอี้ยงบอกว่า  เอี้ยงรู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่า รุ่งรักเอี้ยง
แล้วย้อนถามว่า รุ่งจะเลือกใคร ระหว่างคนที่รุ่งรัก กับ คนที่รักรุ่ง
ถ้ารุ่งอยู่ในสภาวะนั้น 


รุ่งตอบไม่ถูกละนะ  เอี้ยง 
วันรุ่งขึ้น  ผู้หญิงปากแข็งคนหนึ่งก็เอ่ยปากบอกเอี้ยงไปว่า 
รุ่งจะเลือกคนที่รักรุ่ง กล้ำกลืนพูดไป น้ำตาก็พลันตกใน

หวังแต่ว่า  เอี้ยงจะเป็นคนที่รักรุ่ง
เอี้ยงบอกว่า  ถ้าอย่างนั้น เอี้ยงคงยังไม่เจอคนที่รักเอี้ยงจริงๆ 
เอ้อ .. รุ่งนั่นไง รุ่งรักเอี้ยง
แต่ก็พูดไม่ออก  ทำไมหนอ ความรักถึงสับสนเช่นนี้ไปได้

เอี้ยงคงไม่รู้หรอกว่า เอี้ยงคือรักครั้งแรก ที่รุ่งยังปรับตัวไม่เป็นกับความรักที่เกิดขึ้น
สิ่งที่ทำได้ทุกวันนี้ก็คือ เก็บเอี้ยงไว้ในใจ
เป็นบทเรียนของความผิดพลาด 

หากรักใครสักคน 
เราควรซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง
มิใช่  การปกปิดตัวตนจนความรักต้องพังทลายลง



หลังจากอกหักพร้อมๆ กันในครั้งเดียวกับคนสองคน 
ในหัวใจอาจจะมีใครเข้ามาอีก  
แต่เพียงสายลมพัดผ่าน
มิเคยเนิ่นนานเท่าไรนัก


หรืออาจจะมีคนพึงพอใจในตัวฉัน ที่จะเข้ามาคบหาด้วย
แต่ฉันก็มิอาจจะรักเขาได้อย่างเต็มใจนัก

ก็ด้วยความรู้สึกนั้นกร้านชาเหลือเกิน 
ประกอบกับคุณสมบัติของคนผู้นั้นหลายๆ ประการที่ทำให้ฉันรักไม่ลง

ฉันตัดรอนหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ไปหลายต่อหลายคน 
บางคนเสียใจขนาดหนัก  
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ทำใจของเขาได้ด้วยดี (หวังว่า คงเป็นเช่นนั้น)


แต่  ลึกสุดใจ ก็ยังคงเป็น เอี้ยง
แม้ว่า  ไม่รู้ว่า ป่านนี้เขาจะอยู่อย่างไร ชีวิตเขาจะเป็นเช่นไร ก็ตาม

และแม้ว่า ไม่มีเขาเคียงกาย  
และไม่มีวันจะมีได้


ถึงแม้ว่า มีบางคนที่คล้ายคลึงกับเอี้ยงหลายๆ ประการที่ทำให้ฉันรู้สึกดีด้วย
สุดท้ายแล้วก็ทดแทนกันไม่ได้เลยสักนิดเดียว
นอกจาก รู้สึกดีกับคนๆ นั้นว่า เป็นเสมือนพี่ชายที่น่ารัก 
แต่เขาก็ยังไม่ใช่เอี้ยงอยู่ดี ...
แล้วก็ผ่านไปตามกาลเวลา



เอี้ยง  
ภาพฝันที่อยู่ในใจ งดงามเสมอมา
งดงามเกินจะสัมผัสได้ 

และคงอยู่ในใจเช่นนั้น  
กับการ์ดสีน้ำเงินรูปดาว 
กระดาษธรรมดาที่สวยงามมากในความรู้สึก

เอี้ยงเคยอวยพรในการ์ดให้รุ่งได้พบความฝันอันวิเศษสุด
และขอให้ทำฝันให้เป็นจริงให้ได้ 
ซึ่ง "ฝันวิเศษสุด" นั้น อาจจะเคยได้พบเจอแล้ว
แต่คงทำให้เป็นจริงได้ยากเต็มที 

หวังเพียงแต่ว่า 
รุ่งจะได้พบกับ "ความฝันที่วิเศษสุด" อีกครั้งในชีวิตหนึ่ง
และมีโอกาสที่จะทำฝันนั้นให้เป็นจริงให้ได้ตามคำอวยพรของเอี้ยง

และก็ยังมีความหวังอีกว่า 
จะมีวันนั้นในสักครั้งหนึ่ง  
เท่านั้นคงพอ



เก็บเธอเอาไว้ ข้างในจนลึก  สุดใจ
ได้คิดถึงเธออีกคราว 
เมื่อวันที่เหงาจับใจ 
ไม่มีใคร ฉันยังมีเธอ.				
9 มิถุนายน 2549 09:25 น.

บทสนทนาคืนฟ้าไม่ไร้ดาว

แดดเช้า

คืนนี้เป็นอีกคืนที่เราเดินเล่นกันที่นี่ - - ใต้ฟ้าหลากดวงดาว  เขาเดินเคียงข้างฉันอย่างใช้ความคิดเหมือนเดิม ในขณะที่ฉันเดินอย่างสบายอารมณ์ ทะเลยังซัดคลื่นซบชายหาดอย่างเอาเป็นเอาตาย สายลมก็ยังหนุนคลื่นอยู่อย่างที่เป็นมา เคยเป็นมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น


กับชายหนุ่มช่างคิดที่เดินเคียงกันมา เขามักสุขุมอยู่เสมอเมื่ออยู่กับธรรมชาติ ฉันเข้าใจเอาเองว่า เขากำลังหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวแห่งความคิดคำนึง โลกของเขาไม่ต่างจากฉันนักหรอกเพียงแต่ต่างมุมมองเท่านั้น และเราก็ยังคงมองโลกไปในทิศทางเดียวกันอยู่เสมอ นี่แหละ .. จึงเป็นจุดร่วมจะเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเรา เราเดินมาหยุดอยู่ตรงโขดหินและนั่งลงที่นี่ อย่างเงียบๆ  เงียบนาน นิ่ง และ นาน

ดาวยังคงเกลื่อนฟ้า ดวงจันทร์ยังคงสาดแสง เสียงคลื่นยังคงคร่ำครวญ เวลายังคงดำเนินไป

ไม่อาจเดาความรู้สึกได้ว่าเขากำลังแหงนหน้าหาดาวหรือสำรวจดวงดาวกันแน่ แต่ดูเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างบนฟากฟ้า


คนเราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล คุณดูดวงดาวนั่นสิ มีมากมายเหลือเกินนะ ผมรู้สึกเคว้งคว้างทุกทีที่มองดูดาว รู้สึกตัวเองเป็นเศษอณูเพียงเสี้ยวเดียวของธรรมชาติ

แต่ฉันกลับรู้สึกอบอุ่นนะ เมื่อมองดวงดาวเหล่านี้  ฉันแย้งขึ้น เรามักมีมุมมองที่แตกต่างกันแม้ในเรื่องเดียวกันเสมอ และบ่อยครั้ง

ทำไมล่ะ เขาละสายตาจากฟากฟ้าแล้วหันมามองหน้าฉัน สายตาเป็นประกายสาดแววสุขุมเหมือนจ้องลงไปในดวงตาเพื่อค้นหาคำตอบบางสิ่งบางอย่าง

เวลาฉันเหงา ฉันก็รู้สึกว่ายังมีดาวเป็นเพื่อน เหมือนมีดวงตาบางดวงจากฟากฟ้าคอยมองอยู่ เวลาท้อแท้ ดวงดาวเหล่านี้แหละที่เป็นเพื่อนเหมือนคอยดูใจว่าฉันจะฝ่าฟันปัญหาได้หรือจะยอมแพ้มัน

คุณนี่ช่างคิดช่างฝันเกินจริงอยู่เรื่อยเลยนะ
ฉันรู้จักตัวเองดีต่างหากล่ะ ฉันเป็นคนขี้เหงาและช่างท้อ บางครั้งฉันก็หลอกตัวเองไม่ได้หรอกว่าต้องการอะไร และหากสิ่งนั้นตัวเองไม่มีหรือมีน้อยเกินไป ฉันก็เติมเต็มตัวเองจากธรรมชาตินี่เอง

แต่ผมกลับเข้าใจความเป็นจริงไปในอีกมุมมองหนึ่งนะว่า คนเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นเพียงเสี้ยวอณูเล็กๆ ของจักรวาล แล้วสักวันก็จะสลายตัวเองและสูญหายไปเป็นสสารอะไรก็ไม่รู้ การที่คนเราพยายามสร้างอะไรขึ้นมาให้ผิดธรรมชาตินี่น่ะ ทำให้เราเคว้งและไม่เข้าใจตัวเอง คิดว่าเราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้า หลงยึดติดในสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ โลกก็วุ่นวายและแตกสลายไปในที่สุด

พอโลกแตกสลาย ชิ้นส่วนอณูเล็กๆ ของจักรวาลชิ้นหนึ่งก็หายไป ...
ไม่หายไปไหนหรอกคุณ  รวมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลเหมือนเดิมนั่นแหละ


คุณมองอะไรเหมือนไร้หัวใจจังเลยนะ มองเรื่องการแตกดับอะไรก็ไม่รู้ ไม่ค่อยจะสดใสเลย
หรือที่คุณเกิดมาเป็นตัวเป็นตนนี่จะไม่มีวันตายและไม่มีวันสลายเป็นส่วนหนึ่งของเม็ดดินเพื่อร่วมสร้างความสมบูรณ์ให้กับสรรพสิ่งอื่นๆ คุณจะอยู่ยงคงกระพันค้ำฟ้านั่นหรือ ถ้ามีมนุษย์อย่างคุณทั้งโลกคงไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหรอกกระมัง เพราะไม่มีการทำลาย

แต่ถ้าคนคิดอย่างคุณมากๆ เข้า ชีวิตก็คงเคว้งคว้าง มองค่าตัวเองเป็นเพียงก้อนดินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งที่จะแตกดับไปเมื่อไหร่ก็ได้ รอคอยเพียงจังหวะของวิถีธรรมชาติที่จะสร้างหรือทำลายตัวตน โดยไม่คิดจะสร้างสรรค์และวัฒนะอะไรเลย



เขาทำหน้าครุ่นคิด เงียบ นิ่ง และ นาน ก่อนจะหันหน้ามาสบตากับฉันอีกครั้ง สายตาครั้งนี้ส่อแววความพึงพอใจ ฉันเพิ่งเห็นเขายิ้มเป็นครั้งแรกในช่วงคืนดาวสว่างคืนนี้



แววตาของคุณเหมือนดวงดาวนะ บางทีก็ทำให้ผมเคว้งคว้างเหมือนกำลังวิ่งตามหาอะไรบางอย่างอยู่บนฟากฟ้าไกล เหมือนหาอะไรก็ไม่รู้ที่คว้ามาไม่ได้สักที บางครั้งก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนมีเพื่อน เหมือนมีอะไรบางอย่างที่กำลังดูใจอยู่ว่าผมจะแก้ไขปัญหาในชีวิตได้ด้วยความเข้มแข็งหรือไม่

ไม่รู้สิ  ฉันไม่เคยได้สบตาตัวเองสักครั้ง แม้จะสบตาตัวเองเข้าไปในกระจกเงาก็เหมือนดวงตานั้นถูกสร้างขึ้นโดยตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมชาติสักที กับรูปถ่ายบางทีก็เหมือนกับแววตานี้ไม่ได้มองตัวเอง ฉันก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าสิ่งที่คุณพูดอยู่นี่มันจริงสักแค่ไหน



เขาลอบอมยิ้ม ฉันเสไปมองคลื่นที่กระทบกับแสงเรืองเพียงเบาจากดวงจันทร์ รู้สึกอบอุ่นหรือเหน็บหนาวก็บอกไม่ถูก แหงนหน้ามองดวงดาวอีกครั้ง ไม่ได้อบอุ่นเหมือนอย่างที่คิด - - เพิ่งรู้ว่า ในบางครั้งความรู้สึกกับความคิดไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

ลมทะเลพัดมากระทบกาย - - หนาว ฉันกอดอกตัวสั่นสะท้าน หากร่างใหญ่ของชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้างเขยิบเข้ามาใกล้อีกสักนิดเพียงเสี้ยวของความรู้สึก ฉันอาจจะฝันไปว่าอบอุ่น หรืออาจจะรู้สึกว่าเหน็บหนาวขึ้นมาอีกก็ได้ บางทีดวงดาวก็เคว้งคว้างจริงๆ อย่างที่เขาว่า

หนาวไหม .. ตัวสั่นเชียว เขาหันมามองด้วยความรู้สึกห่วงใย น้ำเสียงแสดงความเอื้ออาทร
คุณจะซบบ่าผมก็ได้นะ ผมไม่คิดอะไรหรอก เขาพูดเหมือนทีเล่นทีจริง ฉันหลบสายตาเสไปมองท้องฟ้า

กลับกันดีกว่ากระมังคะ รู้สึกว่าจะค่อนคืนแล้ว ลมทะเลพัดมาเหนียวตัวออก แล้ววันไหนอย่าลืมเอาแผนที่ดาวมาดูดาวกันดีกว่าค่ะ ดาวที่นี่ออกจะแจ่มชัดและสวยงาม เรามาอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับข้อมูลที่มองได้บ้างดีกว่า หลายคืนแล้วที่เราเดินดูดาวแล้วคุยในลักษณะของการแสดงความคิดฝัน

อีกไม่กี่วันเราก็ต้องจากกันแล้ว ผมไม่นึกว่าการมาครั้งนี้จะมาพบดวงดาวสุกใสดวงนี้ ผมคิดเพียงแต่ว่า ผมจะหนีปัญหามาพักผ่อนเท่านั้นเองจริงๆ

คุณมีปัญหาหนักหน่วงมากถึงขนาดจะต้องหนีมาอยู่ที่นี่หรือคะ
คงไม่หนักเท่าไหร่ละมังครับ ปัญหาของคนหนุ่มธรรมดานี่เอง 

แล้วเขาก็เงียบลงไปอีก นิ่ง และ นาน นานจนเหมือนเวลาจะหยุดหมุน คลื่นยังคงซัดสาดอยู่ตรงหน้า ลมหายใจก็ยังคงเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ...




ฉันก็ไม่รู้จุดประสงค์การมาที่นี่ของคุณหรอกนะคะ  และนั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ เพียงแต่ฉันรู้สึกว่าคุณเป็นมิตรและมีบุคลิกที่เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะวางใจได้ ไม่ใช่เพียงแต่ความรู้สึกเท่านั้น จากการเรียนรู้แนวความคิดของคุณด้วย และท่าทางคุณยังไม่เคยเจออะไรหนักๆ

คุณฉลาดในการอ่านคน ชีวิตผมค่อนข้างจะราบเรียบ ผมก็เลยเป็นคนอ่อนไหวกับสิ่งรอบข้างอย่างที่คุณเข้าใจนี่แหละ เขาเงียบลงไปอีก การเงียบครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาขรึมและอ่านยาก



คุณมีคนรักไหม  ขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัวของคุณ 
มีค่ะ เมื่อนานมาแล้ว ฉันสลดลง ไม่นึกว่าภาพทะเลตรงหน้าจะเป็นภาพความหลังขึ้นมาจนได้ เพราะทะเลนี่แหละที่ทำให้ฉันพบกับความรัก และทะเลอีกเช่นกันที่ทำให้ความรักพรากไป

ผมขอโทษ  บางทีอาจจะสะกิดแผลอะไรบางอย่างของคุณ ทะเล .. เป็นตัวแทนของความรักได้ไหม เพราะผมมีความหลังกับทะเล


ฉันพินิจใบหน้าของเขา นิ่ง และ นาน ประสบการณ์บางอย่างที่คล้ายกันที่เองที่ทำให้เรามองอะไรไปในทางเดียวกันแม้จะต่างมุมมองบ้างก็ตาม

มีอะไรหรือครับ เหมือนคุณกำลังมีคำถามหรือค้นหาคำตอบอะไรบางอย่างอยู่
เปล่าค่ะ ช่างเถอะ  ฟ้าใกล้สางแล้ว เรากลับกันดีกว่า  แม้เราคงต้องจากกันในอีกไม่กี่วัน ปล่อยความรู้สึกดีๆ ไว้กับทะเลที่นี่นะคะ วงจรเวลาคงพาให้เราได้พบกันอีก ถ้าเป็นความประสงค์ของจังหวะชีวิต



ฉันยิ้มให้เขาด้วยมิตรภาพ ก่อนจะพาร่างตัวเองลุกจากโขดหินแล้วเดินจาก เขายังนั่งอยู่ที่เดิมตรงนั้นนิ่งและนาน ฉันเดินทอดน่องมาเรื่อยๆ กับริมหาด ลมยังคงลูบไล้เส้นผมเล่นตลอดระยะของรอยเดิน น้ำยังคงซบหาด เหมือนจะอิงกันและกัน นานเท่านาน ...



เหมือนมีเงาใครอยู่เคียงข้าง ฉันยังคงเดินเดียวดาย เดินเลียบชายหาดไปอย่างไม่มีจุดหมาย เดินอย่างคนปล่อยความรู้สึกทิ้งไว้กับทะเลและค่ำคืนที่ไม่ไร้ดาว กับหัวใจที่ทิ้งไว้กับบางบทสนทนาในคืนฟ้าไม่ไร้ดาว.


รุจินันท์ ประจงพิมพ์
ต้นคืน ๑๔ กันยายน ๒๕๔๑				
Calendar
Lovers  2 คน เลิฟแดดเช้า
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแดดเช้า
Lovings  แดดเช้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแดดเช้า
Lovings  แดดเช้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแดดเช้า