28 มกราคม 2551 20:18 น.

ที่เห็นและเป็นอยู่

ใบคา

ในวันที่อากาศแจ่มใส เรานั่งดื่มน้ำอำพันกันตั้งแต่เข็มสั้นและยาวของนาฬิกาชี้ตรงเลขสิบสองพอดี เราไม่ได้สังสรรค์กันด้วยความหลงใหลในบรรยากาศของการร่ำสุราอย่างที่พญามังกรแห่งบรรณพิภพของจีนกล่าวไว้ แต่ที่เราตั้งวงเร็วกว่าใครเพื่อนนั้น เพราะหลงใหลได้ปลื้มกับรสชาติความบันเทิงจากผลสนองของน้ำในขวดสีน้ำตาลนั่นเอง
     หลังเมาได้ที่ ต่างนัดแนะกันไปร้านคาราโอเกะ ร้องเพลงให้เสียงแหบแห้งไปข้างหนึ่ง แต่ต้องคอยอีก 3 ชม. กว่าร้านจะเปิดทำการ นั่นก็หมายความว่าเรามีเวลาเพิ่มดีกรีความเมาอีกนิดหน่อย
     จำเพาะเจาะจงต้องร้านนี้เท่านั้น สาเหตุไม่ใช่อื่นใด เป็นเพราะว่าน้องๆ คิดค่านั่งคุยไม่แพง 80 บาทต่อชั่วโมง ทำให้ต่อมกิเลสทำงานได้ไม่ยากเย็น จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างของเพื่อนรุ่นน้องที่เคยประสบมาบอกว่าราคานี้สุดคุ้มถึงขั้น คม-ชัด-ลึก เลยทีเดียว
     บรรยากาศหน้าร้านเหมือนกับร้านคาราโอเกะโทรมๆ ริมถนนทั่วไป มีน้องนางสวยบ้างไม่สวยบ้างมานั่งคอยเรียกแขก ภายในก็ยิ่งทำให้เข้าใจว่าเหตุใดราคาย่อมเยาสบายกระเป๋าถึงเพียงนั้น เรายืนมองซ้ายแลขวาท่ามกลางสายตาของพนักงานนับสิบคู่ 
     ไม่อาย 
     เพราะหน้าชาด้วยฤทธิ์สุราหมดแล้ว
     เอาห้องวีครับ วิชัยเพื่อนผมเอ่ยปากกับบริกรหลังจากสังเกตการณ์แล้ว เออ! เดี๋ยวก่อน ค่าห้องเท่าไหร่
     ชั่วโมงละร้อยครับ ให้น้องๆ ไปนั่งเป็นเพื่อนไหมครับ
     เอาน้องคนนั้นให้มานั่งคุยกับเพื่อนพี่ด้วย วิชัยชี้นิ้วไปหยุดตรงหน้าสาวน้อยร่างเล็กในชุดสีแดง ซอยผมสั้นกรอกน้ำตาลปิดบังใบหน้า ขาวเนียนของเธอ
     ผมถึงกับอึ้งในการรุกของเพื่อนเกลอ แต่ก็ถูกใจตัวสาวน้อยจึงเงียบไว้ ไม่กล้าขัดกลัววิชัยจะเปลี่ยนคนให้
     แล้วพี่ล่ะครับ
     เลือกมาให้หน่อย เอาสวยๆ นะ
     เดี๋ยวผมเรียกน้องๆ ไปให้พี่เลือกในห้องดีกว่า
     ร้านคาราโอเกะเป็นตึก 5 ชั้น แต่กลับมีห้อง V.I.P เพียงห้องเดียว แถมในห้องยังมีเบาะนอนเล็กๆ พร้อมหมอนอีก 1 คู่ วางไว้เผื่อใครเมานั่งร้องเพลงต่อไม่ไหวหรือไรกัน? ผมถามตัวเอง
     น้องชุดแดงมาแล้วกับขวดสปายรสส้ม 1 ขวด นั่งข้างผม
     ภาพมิวสิควิดีโอเพลง ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ ก็เริ่มทำงาน แต่เรายังไม่พร้อมที่จะร้องเพลง 
     วิชัยยังไม่มีคนนั่งข้าง
     บริกรหนุ่มคนเดิม เดินขึ้นมาพร้อมสาวๆ อีกเป็นขบวน แต่เพื่อนผมใจร้อนเลือกสาวร่างอวบที่ก้าวขึ้นมาคนแรกทันที เธอไว้ผมสั้น นุ่งกระโปรงยีสต์สั้นนิดเดียว เธอชื่อ จอย
     ส่วนชุดแดงข้างผมนั้นนามเธอคือ พลอย
     มีอะไรขาดเหลือบอกได้นะครับ แล้วเขาก็เดินหายไป ไม่ขึ้นมาอีกเลย
     ชั่วโมงล่ะ 80 บาท ทำอะไรได้บ้าง ผมไม่ได้ถาม
     ผมเลือกที่จะถาม
     เบาะสองอันนั้นเอาไว้ทำอะไร
     เอาไว้ให้คนเมานอนนะสิ แบบเมาแล้วนั่งต่อไม่ไหวไง พลอยตอบ แต่ผมไม่เชื่ออย่างนั้น โซฟาตัวที่รองรับก้นของเราทั้ง 4 อยู่นี้ ยาวพอที่จะให้คนหมดสภาพยืดกาย
     ผมยิ้มรับ
     80 บาทต่อชั่วโมงทำอะไรได้บ้างผมไม่ถาม
     ผมขับขานบทเพลง นางงามตู้กระจก,โยโกฮาม่า และไถ่เธอคืนมา
     พลอย และจอย เลือกเพลงของสาวปาน และร้องอย่างได้อารมณ์
     เพื่อนตัวดีของผม เราคอเดียวกัน เพื่อชีวิต
     จบเพลง วิชัยหันไปพิสูจน์ความ คม-ชัด-ลึก ของจอยอยู่อย่างตั้งใจ
ผมโอบเอวพลอย เธอซบไหล่ พยายามไม่มองหน้าผมตรงๆ เวลาคุย ซึ่งเธอก็คุยน้อยอยู่แล้ว และผมก็ไม่ค่อยชอบชวนใครคุยด้วย ไม่ใช่อะไร ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรต่างหาก มือได้สนุกกับเรือนร่างเธอก็พอแล้ว ถ้าไม่น่ารักผมคงขาดทุนน่าดู
     วิชัยเห็น
     อ้าวอย่างนี้ก็ขึ้นชั้นบนเลยสิเกลอ
     อ๊อฟ ได้เหรอ ผมถามขึ้นโดยอัตโนมัติ เบาะสีแดงคู่นั้นเข้ามาวนเวียนในหัวทันที
     วิชัยยิ้มแบบมีนัย แล้วความลับทุกอย่างก็ถูกเปิดเผย เขารู้อยู่แล้วว่าสถานที่แห่งนี้นอกจากพอใจเรียกน้องๆ มานั่งคุย นั่งร้องเพลง หากพอใจในขั้นที่สูงขึ้นไป หรือในแบบที่วิชัยบัญญัติศัพท์ว่าต้องการ นาบ ก็สามารถเรียกขึ้นไปชั้นบนได้ ความสงสัยที่ว่าเหตุใดห้องวีจึงมีเพียงห้องเดียวทั้งๆ ที่อาคารเป็นตึกถึง 5 ชั้น ชั้นที่เหลือแฝงเร้นด้วยห้อง V.I.P กว่านี่เอง
     แล้วมึงล่ะ ผมไม่เชื่อว่าวิชัยจะนั่งตะโกนใส่ไมค์อย่างเดียว
     เขาไม่ตอบแต่ยักคิ้วให้แล้วมองไปที่เบาะสีแดงริมห้องคู่นั้น มึงคิดว่ามีไว้นั่งเล่นไพ่ตองหรือไง
     ผมยิ้มตอบ
     1,300 บาท ค่าตัวน้องพลอย แพงเหลือหลาย เธอจำแนกออกมาให้ผมฟังว่า 300 คือค่าห้อง 200 คือค่าต่างๆ นอกเหนือทั่วไป แต่ผมเข้าใจว่า ภาษี พ่อเล้า 500 คือส่วนของทางร้าน ที่เหลือเธอได้รับ ด้วยเหตุนี้ผมจึงเสีย 
ทิป อีก 100 บาท เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ 
     ใจจริงผมไม่มีความตั้งใจมาหาความสุขทางกามารมณ์เลยแม้แต่น้อย วิสัยผมรักการดื่มมากกว่าเรื่องอย่างนี้ แต่ด้วยทานแรงยุของวิชัยเพื่อนเกลอไม่ไหว บวกกับอำนาจสุรา ผมจึงตกลงขึ้นห้องกับพลอยในราคาข้างต้น
     เธอหายไปพร้อมกับเงินหลายนาทีพอดู
     เธอมาแล้วแต่ยังคงไม่มองหน้าผมตรงๆ ผมเข้าใจว่าเธอคงอาย ผมโบกมือให้วิชัย เขาส่งยิ้มคืนมา
     ห้องวีที่เรานั่งเป็นชั้นลอยต่อจากชั้นล่าง ผมขึ้นชั้นถัดไปเป็นคล้ายๆ ห้องนั่งเล่นแสงสีแดงสลัวๆ มีผ้าเช็ดตัววางอยู่ในตู้ พลอยหยิบมันมาสองผืน และเดินนำผมไปอีก 2 ชั้น แล้วเราทั้งคู่ก็มาเปลือยกายอยู่ในห้องแสงสีแดงเล็กและแคบ แต่ไม่อับ
     แม้ในแสงสลัวสีแดง เมื่อไร้อาภรพลอยก็ยังดูขาวเนียน ใบหน้าที่ไม่ค่อยมองผมตรงๆ เลย เมื่อครั้งอยู่ในห้องคาราโอเกะ ครั้งนี้ก็ได้ยลโฉมเต็มๆ ใบหน้ากลมเล็ก มีฟันกระต่ายนิดๆ เธอพูดอย่างเป็นกันเองไม่เคอะเขิน พลอยถามถึงหน้าอกว่าของเธอใหญ่ไหม ซึ่งมันดูค่อนข้างเล็กซึ่งดูแล้วช่างไม่สัมพันธ์กับอายุ 19 ที่เธออ้างกับผม โดยเฉพาะเครื่องเพศของเธอมันช่างห่างไกลกับเลข 19 หลายปี
     ผมเดาว่าเธอน่าจะ 17 ด้วยซ้ำไป ซึ่งนั่นหมายความว่าหาก ณ ปัจจุบันทันด่วนนี้เกิดมีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองแวะเวียนมาทักทาย ผมคงแย่ แต่มันคงเป็นแค่ความวิตกจริตเท่านั้น เรื่องอย่างนี้มันเป็นได้ยากยิ่งกว่างมเหรียญบาทในท่อน้ำครำเสียอีก
     ก็เต็มมือดีนะ 
     ก่อนเกมจะเริ่มเราคุยกันพักใหญ่ ส่วนมือนั้นซนไม่หยุดสักที เธอคุยสนุกมากต่างจากในห้องวีแทบเป็นคนล่ะคน อาจจะเป็นเพราะในห้องนั้นเธอต้องการให้ผมเพลิดเพลินกับบทเพลงจึงไม่อยากขัดใจก็เป็นได้ แต่ลึกๆ แล้วผมชอบแบบห้องที่ต้องจ่ายค่าเข้า 1,300 นี้มากกว่า
     ผมร่ายรำกลยุทธ์เพลงรักจนหมดกระบวนท่า แล้วแนบร่างบนกายเปลือยเปล่าของเธอ บรรจงหอมแก้มเพื่อดูดซับความงามของเธอ
     ดอกไม้ที่ไม่โตอีกต่อไป
     ไปนั่งร้องเพลงกันต่อนะพลอย พี่เรียกเธอต่อ ผมขอให้เธอไปนั่งร้องเพลง กันต่อหลังเสร็จกิจ เพราะหน้าที่นั่งดื่มของเธอจะหมดไปทันทีที่ขึ้นห้อง
เกลอผมนั่งแหกปากอยู่หน้าจอพร้อมใบหน้าอิ่มเอมอยู่แล้ว
     พลอยกลับเข้ามาพร้อมสปายน์รสส้มเหมือนก่อนหน้า ทั้งชุด ใบหน้า และท่าทีก็เหมือนเดิม อุปนิสัยของเธอในชุดสีแดงกับเปลือยเปล่า ช่างดูแตกต่างกันเหลือเกิน
     ผมโอบกอดเธอ ล่วงเกินเธอหนักขึ้น เพราะคิดว่าข้างบนนั้นเราสัมผัสกันมากกว่านี้หลายเท่า
     พลอยเฉย เธอเลือกเพลงร้อง หนนี้เธอไม่ปล่อยโอกาสให้ผม วินัย และเพื่อนของเธอได้จับไมค์เหมือนก่อน เหมือนเธอกำลังอยากระบายอะไรบางอย่าง หรือเธอมีอะไรสะเทือนใจหรือเปล่า เพราะครึ่งหลังเธอรับโทรศัพท์บ่อยขึ้น หรือผมทำให้เธอไม่เสร็จสมอารมณ์หมาย แต่อาชีพนี้ไม่น่ายึดติดกับสิ่งนี้นี่ หรือผมคิดผิดไป เธออาจจะต้องการความรักจากใครสักคนก็ได้ แม้จะเพียงเสี้ยววินาที เมื่อมาคิดดูการสมใจในกามารมณ์ก็นับเป็นความรักในรูปแบบหนึ่งได้เหมือนกัน อาชีพเช่นนี้มันช่างเหงาใจเหลือเกิน
     เด็ก ต.จ.ว. ของโปงลางสะออน เป็นเพลงแรกที่เธอใช้สื่อถึงความรู้สึก บอกเล่าเรื่องราวการสู้ชีวิตจากเด็กต่างจังหวัดหางานทำในเมืองใหญ่ เพื่อส่งเงินเลี้ยงพ่อแม่ที่อยู่แนวหลัง เธออาจไม่ได้งานที่ไร้คนรังเกียจเหมือนในเพลง แต่ได้งานแบบที่เธอทำอยู่นี้ ผมสังเกตเห็นน้ำคลอเบ้าตาเธอ เสียงเธอเริ่มสั่น แล้วเธอก็ลุกออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่จบเพลง
     ผมไม่เข้าใจ
ใครหน้าไหนก็รู้ว่าปัญหาความยากจนของบ้านเราเมืองเราไม่มีตกยุคตกสมัย เมื่อร้อยปีเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นอย่างนี้ สำหรับทางออกของสาวน้อยบ้านนาเส้นทางก็ไม่มีกลีบกุหลาบให้เดินเสมอไป เปรียบดั่งพลอยที่ผมเพิ่งใช้เรือนกายเธอหาความสุข ครั้งก่อนอาจเป็นที่หวงห่วงของเธอ เธออาจหวงไว้ให้ใครที่รักเธออย่างมั่นคง และแม่คงห่วงเธออยู่ตลอดเวลา 
ขณะนี้หนทางเดียวที่เด็กต่างจังหวัดจะตอบแทนคุณบิดามารดาได้ คือที่นาผืนน้อยซึ่งติดตัวเธอมาเท่านั้น
     คิดอย่างนี้ผมก็สะเทือนใจ เริ่มจะหายเมาในทันควัน
     เธอกลับมาอีกหน คราวนี้เสียงพลอยเป็นปกติ เธอไม่ร้องเพลงคำนึงถึงบ้านอีก แต่กลับคำนึงถึงคนรักเมโลดีและภาพในจอทีวีของเพลง เจ็บซ้ำซ้ำ, ทนไหวแต่ไม่ทน, หลอกกันไส, คำขอร้องของผู้หญิง และตาดำดำ ต่างทยอยมารับใช้เธออย่างต่อเนื่อง
     ผมยิ่งไม่เข้า
     อาการเมาที่เริ่มจะหายกลับกำเริบอีก ผมคิดว่าผมควรเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาบ้าง
     เพลง ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ มาอีกครั้ง ผมหยุด นั่งมองมิวสิควิดีโอเพลงนี้อย่างตั้งใจเพราะได้ยินเพลงมานานแล้วแต่ไม่เคยเห็นภาพมิวสิคฯ 
     ผมชอบเพลงที่เนื้อหาโดนใจ และชอบที่จะมองเนื้อหาที่เขาสื่ออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วย เมื่อครั้งแรกที่เพลงนี้ขึ้นมาตอนเข้ามาในห้องใหม่ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจดู หนนี้จึงหยุดดูหน่อย เพราะในหัวมันช่างว่างเหลือเกิน 
     ว่างด้วยความไม่เข้าใจ
     พลอยหันมามองผมเต็มๆ เหมือนผมของเธอจะยาว ฟันกระต่ายคู่โตเวลาเอ่ยปากเหมือนจะเล็กลง เอ! แต่เหมือนไม่มีเลยต่างหาก
     ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ผมคงมึนหนัก เพลงจบผมลุกขึ้นทันที เป้าหมายล้างหน้า เพื่อส่างเมา แล้วจะลองชวนคุยเรื่องคับข้องใจของพลอยดูหน่อย เผื่อจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง อย่างน้อยมีคนรับฟังปัญหาคงรู้สึกดีขึ้นบ้าง
     ผมออกจากห้อง เพลงที่พลอยเลือกยังไม่หมดคิว และเธอก็ร้องต่อ เพลงอะไรผมไม่ทราบเพราะออกมาพอดี
     อ้าวพลอย ผมตกใจเมื่อเห็นพลอยยืนอยู่ข้างแคชเชียร์ข้างล่าง


*********************************************				
13 ธันวาคม 2550 10:19 น.

ปักษ์ใต้บ้านเรา

ใบคา

หมายเหตุ ผมแอบขโมยบทความมาจากนิตยสาร ไฮคลาส มาครับ จะว่าขโมยก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะมันเป็นบทความของผมเอง ถ้าชอบกันจะแอบเอามาลงให้อีกครับ 

	จดหมายฉบับนี้เดินทางจากสุดแดนด้ามขวานไทย เพื่อหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของนิตยสารไฮคลาส เล่าบรรยากาศ และการดำเนินชีวิตให้รับทราบ ถึงแม้จะไม่ได้ข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาอย่างยากลำบาก (เพราะมากับระบบขนส่งที่ทันสมัยของไปรษณีย์เขา) แต่ได้ข้ามคราบน้ำตา และสันติภาพ สันติภาพสีขาวที่ร่วงโรยจากฟากฟ้าพร้อมลายเซ็นและคำปลอบโยน อ่านแล้วก็ซาบซึ้งน้ำใจคนไทย แต่จะดีมากหากมันสร้างภูมิต้านทานโรคไข้โป้ง และโรคขาดลมหายใจกะทันหันได้

	ผมกลั่นกรองเรื่องราวที่ตาเห็น หูได้ยิน เป็นอักษรยัดเยียดลงแผ่นกระดาษสีขาว แล้วขอร้องให้บุรุษไปรษณีย์ส่งมาให้ ด้วยซอง และแสตมป์ 3 บาทหนึ่งดวง เพราะเกรงว่าระยะทางสุดรางรถไฟ สุไหงโก-ลก ถึงกรุงเทพฯ กินระยะทางถึง 1,600 กม. เสียงที่ผ่านเคเบิล สัญญาณโทรศัพท์ จะหล่นหายกลางทาง เหมือนรายการทีวี และหนังสือพิมพ์ เมื่อถึงจุดหมายก็เหลือแต่จำนวนศพที่ถูกฆ่า และการล่าคนร้าย

	ผมแต่งแต้มฉากหลังของจดหมายฉบับนี้ ด้วยบรรยากาศของ เท็กซัสยุคคาวบอยครองเมือง ผสมอิรักยุคปัจจุบัน เพียงคุณขับรถแล่นผ่านเข้าเขตพื้นที่ 3 จังหวัดคุณจะพบป้อมทหารเล็กๆ กั้นด้วยลวดหนาม โผล่ปลายกระบอก HK พอสังเกตเห็น และสายตาที่เพ่งมองอย่างไม่ลดละภายใต้หมวกเหล็กสีเขียวลายพราง ทหาร 2- 3 นายจะเข้ามาทักทาย ไม่มากไปกว่าถามว่า จะไปไหน มาจากไหน หากคุณน่าสงสัยก็จะเพิ่มการตรวจค้นเข้าไปด้วยเล็กน้อย แต่ถ้าคุณโชคดีก็จะเจอระเบิดแสวงเครื่องในย่านตลาดกำลังทำหน้าที่ตัวเองตามกำหนด หรือการดวนปืนของเหล่าผู้กล้าที่ขัดกันทางผลประโยชน์ ให้บรรยากาศไม่ต่างกับจอทีวีที่เสนอข่าวความร้อนระอุในอิรักจนแยกไม่ออก

	ผมเห็นมันยิงกันกลางวันแสกๆ หน้าบ้านเลย ผู้ช่วยช่าง อบต. ซึ่งรับหน้าที่ขับรถให้เจ้าอาวาสบังเอิญแล่นไปปะพอดีเล่าอย่างภูมิใจ

	แล้วคุณทำไงล่ะ? คนใดคนหนึ่งถามขึ้น

	หรือคุณจะจอดรถลงไปช่วย? เขาตอบ

	ปูพื้นฉากแรกไปแล้ว ผมวาดฉากที่สองแฝงลงไปทันที ลองนึกภาพหนังคาวบอย นักเลงนั่งสาดเหล้ารสแรงลงลำคอ แล้วเกิดเขม่นกันขึ้นมา ต่อไปก็คือการดวนปืนกันท่ามกลางฝูงชนและจบด้วยความตายของใครคนใดคนหนึ่ง ต่อภาคสองด้วยการล้างแค้นของทายาท ภาค 3 4 5 6 การล้างแค้นของหลาน โหลน เหลน  ในสภาพเมืองที่เต็มไปด้วยอันตราย ยากนักที่จะไว้วางใจใครสักคนอาวุธปืนนับเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ถึงแม้ว่าศพที่พบตามหน้าหนังสือพิมพ์เป็นผู้ที่มีปืนเป็นเครื่องมือป้องกันตัวเกือบทั้งสิ้น ฉากดวนปืนนอกจอเกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งในและนอกวงเหล้า และโยนความรับผิดชอบนี้ให้ผู้ก่อการร้าย จบคดี

บนถนนท่ามกลางป่าทึบ และสวนยางพารา ไม่ว่าข้าราชการ ซี 8 หรือตาสีตาสา มีสิทธิตายเท่าเทียมกัน จนต้องมีการอบรมวิธีการขับรถอย่างไรให้ปลอดภัยต่อตะกั่ว หนึ่งอย่าให้ใครตามทัน สองควรไปสองคนขึ้นไป สามหากมีคนขับรถประกบกรณีขับจักรยานยนต์ให้ล้มรถทันทีเพื่อหนีวิถีกระสุน และเชิงประกาศว่าข้ามีอาวุธพร้อมสู้นะ อย่านะ!  สุดท้ายอย่ารับโทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก เพราะหากรับ รถที่ขับก็จะชะลอ และไม่ทันระวัง ตะกั่วร้อนๆ ก็จะเข้ามาทักทายได้

คนไทยไม่ว่าอยู่ที่ไหนความครื้นเครงไม่เคยจางหายถึงแม้ว่าก๊งวงเหล้าหน้าบ้านจะถูกยมทูต อาการ์ นำตัวไปอยู่ปรโลกหลายต่อหลายวง ก็ไม่อาจทิ้งนิสัยเช่นนี้ได้ จากวงหน้าบ้านก็เลื่อนเป็นหลังบ้าน หรือในบ้าน บรรยากาศไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็ปลอดภัยต่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

ดึกๆ อย่างนี้ยังจะเที่ยวอีกไม่เคยกลัวเลยนะเอ็ง เสียงแม่เอ็ดลูกชายที่กำลังสตาร์ทรถออกจากบ้านไปแหล่งบันเทิงในตัวเมือง

โธ่! แม่ช่วงนี้แหล่ะ ปลอดภัย มันไม่เห็นหน้าไม่รู้ว่าใครเป็นใครมันไม่ยิงให้เปลืองลูกหรอก

ถึงเหตุการณ์จะเลวร้ายเพียงใดความสนุกก็ต้องอยู่คู่คนไทยเสมอ สถานบันเทิง คาราโอเกะ ไม่เคยขาดลูกค้า เพียงแค่ลดไปบ้างเท่านั้น แต่นั่นก็ยังพอเลี้ยงดูปากท้อง สาวๆ หน้าร้าน และเจ้าของ กับลูกเมียได้เป็นอย่างดี คนเมาย่านบ้านผมไม่เคยถูกยิงตาย และไม่เคยกลัวถูกผู้ร้ายฆ่า เขากลัวอย่างเดียวคือทหาร และตำรวจค้น

ขี้เมาตัวดำยืนเอนหน้าตำรวจที่ตั้งป้อมพร้อมรับฟังคำสั่งให้ร้องเพลงชาติไทย เพราะหน้าตาดันละม้ายคล้ายคลึงชาวพม่า

นี่ตี 1 ไม่ใช่เวลาร้องเพลงชาติ ผมไม่ร้อง! เขายืดอกตอบอย่างเข้มแข็งในความมึน 

ตำรวจปล่อยเพราะมั่นใจว่าไม่ใช่ต่างด้าว

ผมเคยบวชท่ามกลางสิ่งแวดล้อมไม่สู้ดี แต่ยังดันทุรังแห่นาคเป็นระยะทางไกลกว่า 1 กิโลเมตร ทั้งนี้เพราะทานแรงต้องการของญาติผู้เมา และขารำวงไม่ไหว โดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ หรือทำเรื่องยื่น รถตำรวจนำหน้า และคุมหลัง มาถึงพร้อมกัน ท่ามกลางความมึนงงของผมเอง นึกว่าจะมาตรวจอะไร ที่ไหนได้มานำขบวน โก้ไหมละครับ! คนธรรมดาอย่างผมจะมีสักกี่ครั้งที่มีรถตำรวจนำขบวน หากสนใจความโก้เก๋ อย่างนี้เชิญได้ ที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ครับ

ท่ามกลางบรรยากาศบ้านป่าเคยมีหริ่ง เรไร ร้องกล่อมนอน กลับกลายเป็นเสียงระเบิด และเกรี้ยวกราดของกระสุนปืน หลายคนถามคิดจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นบ้างไหม ผมตอบอย่างสำนึกรักบ้านเกิดว่า ไม่! ที่นี่บ้านผม ผมไม่ย้าย

จริงสิ ยางพารากิโลกรัมละ 80 บาท จะย้ายทำไม เขาย้อน

ผมพยักหน้ารับ ขี้เกียจตอบ ความจริงต่อให้ยางพารากิโลกรัมละ 250 บาทก็ไม่อาจทำให้รวยขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีสวนยางฯ ถึง 100 ไร่ขึ้นไป เพราะอะไรนั่นหรือ เพราะว่าที่นี่ฝนตกมากกว่าแดดออกนะสิครับ แต่นั่นก็ยังดีมันทำให้มีแรงทรัพย์ต่อวันมากขึ้น มีอาหารดีๆ บำรุงตัวไว้ระวังยมทูตต่อไปอีกหนึ่งวัน


.......................................................				
22 พฤศจิกายน 2550 06:30 น.

ห้อง 15

ใบคา

วันหนึ่ง โทนี่ ออกมาทำหน้าเศร้าด้วยความว้าเหว่ ณ ชายคาระเบียงห้อง 15 อยากจะซื้อเบียร์ตัวใหญ่มากระดกให้คลายโศก แต่ทำไม่ได้ เพราะเป็นแค่จิ้งจกลายเทาเท่านั้น ไม่ใช่มนุษย์

	โทนี่อาศัยในห้อง 15 มาหลายชั่วอายุคน มันหมายความว่าหลายช่วงคนเช่าซึ่งนานบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ปัจจัยต่างๆ แต่เท่าที่เห็นยังไม่มีใครอยู่เกิน 2 ปี โทนี่เคยบอกเล่าเรื่องราวลักษณะนี้ให้จิ้งจกรุ่นหลานฟังเสมอ 

	โทนี่เป็นจิ้งจกตัวใหญ่ (และอายุมากกว่าจิ้งจกธรรมดา) แต่ปราดเปรียว ด้วยเหตุนี้มันจึงรอดชีวิตจากหนังยางอยู่เสมอ และส่งผลให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของห้องเช่าอย่างละเอียด เดิมทีมันไม่มีชื่อ และเกือบจะไม่ได้ใช้ชื่อนี้ด้วยซ้ำ เพราะชื่อของมันมี 2 ตัวเลือกให้เลือก คือ เทากับโทนี่ คนตั้งชื่อเป็นเพื่อนของเจ้าของห้องชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นชุดเดียวที่เช่านานที่สุด 2 ปี และเป็นชุดที่โทนี่มีความผูกพันอย่างมาก หลังจากที่เถียงกันอยู่นานโทนี่ก็กลายเป็นตัวเรียกขาน ด้วยเหตุผลที่ว่าอย่างน้อยห้อง15 แห่งนี้ก็มีหนึ่งสิ่งล่ะที่เมื่อเอ่ยชื่อฝรั่งแล้วนึกถึงหรือเห็นสัตว์ ไม่ใช่เทวดาเหมือนข้างนอก

	บ่อยครั้งที่ผู้เช่าซึ่งมีสมาชิก 3 คน ปองร้ายต่อมัน แต่ก็จนปัญญา เพราะไม่อาจสู้ความไวของโทนี่ได้ จนพวกเขาไม่คิดเอาชีวิตของมันอีกแล้ว ทุกครั้งที่กินข้าวเสร็จเม็ดข้าว 3  4 เม็ดจะถูกวางไว้ริมเสาห้องเสมอ หลังๆ ก็มีน้ำเมามาด้วย ก็หลังจากที่พวกเขาสังเกตุเห็นว่ามันแอบลงมาเลียตอนที่เจ้าของห้องเมามายไม่ได้สตินั่นแหล่ะ 

	นึกถึงคืนวันอันแสนสุขแล้วอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว โทนี่อยากเล่าเรื่องนี้ให้เหลนๆ ฟัง แต่ถูกจิ้งจกวัยกระเตาะด่าว่าเหลวไหล ครั้นจะลงไปบอกกล่าวกับเจ้าของห้องกลุ่มใหม่ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง แถมยังกรีดร้องโวยวาย แล้วยังจะฆ่ากันอีก แต่มันก็รู้นะว่าถึงยังไงก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก คงเป็นเพราะความคิดถึงกระมังทำให้มันเป็นได้ถึงเพียงนั้น แค่อยากบอกว่าเมื่อวันวานห้องนี้มีสีสันมากแค่ไหนเท่านั้นเอง

	มันยังคงจำได้ขึ้นใจกับคติพจน์ของห้อง 15 ที่เจ้าของห้องชุดนั้นช่วยกันร่าง เราชาวห้อง 15 ให้เป็นอะไรก็เป็นได้ ขออย่างเดียวคืออย่าให้เป็นคนเลว 

	พวกเขากินเหล้ากันอย่างไม่คิดถึงวันรุ่งขึ้น ไม่สนแม้เงินในกระเป๋า ถึงจะกินกันเพียงเดือนละ 2 ครั้งเท่านั้นก็ตาม คือ วันคู่และวันคี่ แรกๆ โทนี่ก็ไม่ชอบหรอก เพราะทั้งเสียงดังทั้งรำคาญ จนกระทั่งได้ลิ้มรสเบียร์ตัวใหญ่นั่นแหล่ะถึงได้รู้ว่าสวรรค์มีจริง 

	แสงแดดอ่อนๆ ของเย็นวันนี้โทนี่อยากจะบอกใครสักคนที่สนใจจะฟังว่า... 

	เดิมทีห้อง 15 อยู่ด้วยความเงียบ จนกระทั่ง จ้อย ซึ่งรอนแรมจากเมืองไกล จ.ปัตตานี ชายแดนด้ามขวาน เพราะความหัวไวของจ้อย เขาสามารถสอบเข้า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (อันเป็นที่ใฝ่ฝันของเหล่าเทคนิคทั่วประเทศ) ได้ ขณะที่เพื่อนในกลุ่มยังเคว้งกลางอากาศ ค่าครองชีพในเมืองหลวงแพงกว่าชนบทหลายร้อยเท่า อันนี้เป็นที่ทราบกันดี จึงมีความจำเป็นอย่างสูงที่เขาต้องหาเพื่อนร่วมแชร์ค่าเช่าห้อง แม้จะไม่รู้จักกันก็ตาม
 
	จนมาพบ จ๋า ซึ่งประสบปัญหาเดียวกับจ้อย คือ ตัวคนเดียวโด่เด่ ไม่ต้องสงสัย ทั้งคู่ตัดสินใจอยู่ด้วยกันทันที เพราะจ๋าคนหาดใหญ่ จ้อยคนปัตตานี ข้นตายดวยกั๋น

	หนึ่งเดือนก่อนสถาบันเปิด เหน่ง ผู้ผิดหวังกับระบบการสอนของวิทยาลัยเทคนิคยะลา และปราถนามาเข้าเรียนนิเทศศาสตร์ เพราะคิดว่าชีวิตคือการเดินทาง แต่ด้วยปัญญาอันน้อยนิด ไม่หาญกล้าไปแข่งขันเอ็น
ทรานซ์กับใคร เขาจึงตัดสินใจสอบคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์สถาบันราชภัฏสวนดุสิต (เมื่อปี พ.ศ.2545 สถาบันราชภัฏยังไม่เป็นมหาวิทยาลัย) ปรากฏว่าสอบได้ เหน่งจึงเป็นเรือพ่วงของจ้อยโดยทันพลัน เหตุผลคือ เพื่อนกัน

	เรือพ่วงของจ้อยจากวิทยาลัยเทคนิคยะลายังไม่หมดแค่เหน่ง บิว ผู้ไม่ผ่านรอบคัดเลือกของการเป็นนักศึกษาในรั้ว สจพ. หวังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเมืองหลวง เอาไว้ต่อกรสังเวียนหน้าของการเข้า พระนครเหนือให้ได้ สอบติด สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลนนทบุรี หรือ เทคโนนนท์ฯ ของเหล่าเฟืองลูกวิษณุกรรมทั้งหลาย

	เหตุผลเดียวกับเหน่ง บิวได้เข้ามาเป็นสมาชิกห้อง15
	ด้วยกฏห้องเช่า ห้ามอยู่เกิน 3 คน จ๋าตระหนักถึงข้อนี้ดี และได้นำสัญญามาให้ดู เลือดเทคนิคทั้ง 3 อ่านจบทุกข้อ แต่ไม่เห็นข้อที่ว่าห้ามอยู่เกิน 3 คน จ๋าจึงจำยอม เพราะเป็นประชาธิปไตยพอ เสียงข้างมากย่อมบริสุทธิเสมอแม้จะไม่ถูกก็ตาม

	เลือดเทคนิคยะลาเข้มข้นจนเลือดปักษ์ใต้ไม่อาจจะเข้ารวมได้ จะว่าไปแล้ว เหน่งก็กำเนิดเกิดจาก จ.นราธิวาส ส่วนบิวนั้นก็ จ.ยะลา แม้คนใต้จะรักกัน แต่เลือดคงตกตะกอนไปเข้มเอาก้นขวด

	แผนการกำจัดจ๋าจึงดำเนินขึ้นอย่างเงียบๆ เริ่มจากการตั้งวงรินกินเหล้า ถ้าไม่เช้าไม่เลิก จ๋าทนไม่ไหวเริ่มหงุดหงิด (เพราะจ๋าบริโภคแต่พอควร) แต่ 3 เทคนิคยะลามีความสุข ผ่านไปนับเดือน ไม้เด็ดก็เกิดขึ้น ธรรมดาชาวห้องเช่าต้องร่วมกินข้าวเย็นด้วยกัน (ตอนกลางวันตัวใครตัวมันแล้วแต่ภาระกิจ) ในกับข้าวสำรับนั้นไม่มีส่วนของจ๋าอยู่เลย กับข้าวสำหรับ 3 คน จานใส่ข้าวสำหรับ 3 คน ในหม้อข้าวไม่มีแม้กระทั่งเศษข้าว จ๋าไม่อาจทนเป็นแกะดำได้อีกต่อไป ตัดสินใจย้ายออกใน 7 วันข้างหน้า และแล้วกฏข้อที่ห้ามอยู่เกิน 3 คน ก็ถูกมองเห็นอีกครั้ง

	เมื่อห้อง15 ถูกปกครองด้วย 3 สหาย ความครื้นเครงย่อมเกิดขึ้น ก็หลังจากนี้ไม่นานนี่แหล่ะที่คติพจน์มีขึ้น 

	ด้วยการดื่มน้ำเมาทุกชนิดที่พอจะซื้อหาได้เริ่มเป็นกิจประจำ เหน่งที่เงินน้อยอยู่แล้วต้องออกหางานพิเศษทำ จะได้เงินมาจุนเจือโรคตับแข็ง เวลาของห้อง15 จึงเปลี่ยนไป เข้านอน 6 โมงเย็น ตื่นตอนเที่ยงคืนเพื่อมาตั้งวง เพราะเหน่งเลิกงานเวลานั้นพอดี

	มาตอนนี้ถ้าใครสนใจใคร่จะถามโทนี่ว่าแล้วเวลานอนของเหน่งอยู่ที่ไหน มันก็จะอธิบายว่า จ้อยและ
บิวเรียนเช้ากลับมาตอนเย็นนอนไปแล้วย่อมโต้รุ่งได้ สำหรับเหน่งส่วนใหญ่จะเรียนบ่าย หรือถ้าเรียนเช้าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะห้องเรียนนั้นหลับได้สบายๆ เทคโนโลยีก้าวไกล การเรียนการสอนด้วยระบบคอนเฟอเรนท์สิ่งเหล่านี้จึงไม่มีปัญหา

	นี่แหล่ะคือเรื่องราวที่โทนี่อยากเล่าให้ใครๆ ฟัง มันมีความคิดว่าถ้าใครสักคนหรือตัวยอมฟังมัน มันจะเล่าแค่ถึงตอนที่กฏห้องเช่าห้ามอยู่เกิน 3 คนแต่มีสมาชิก 4 คน แล้วก็หยุดไปเฉยๆ ปล่อยให้พวกที่ฟังมันตั้งคำถามว่าเจ้าของห้องเช่าที่แท้จริงไม่มาใล่ออกไปหรือไง? แต่ไม่มีเลย ความหวังที่จะกั๊กไม่เหลือแม้เศษเสี้ยว จนมันอดคิดไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่ง ขณะที่บิวกับจ้อยกำลังนอนตอนเย็นอยู่นั้น ห้องเช่าข้างบน มาถึงตอนนี้มันจะเล่าว่าห้องเช่าของตึกนี้มีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้นละ 3 ห้อง เมื่อคูณสามสี่สิบสอง ทุกคน/ตัวต้องงง แล้วห้อง15 มาได้อย่างไร มันก็จะหัวเราะร่า แล้วอธิบายว่า ก็เจ้าของต้องการให้ดูเหมือนมีห้องเยอะน่ะสิว่ะ และมันจะบอกต่อไปว่า ที่คุณคำนวนน่ะถูกแล้ว นับว่าคุณมีไหวพริบพอตัว แต่ผมจะบอกให้ว่าชั้น 1 ตึกนี้ไม่มีห้องเช่า เพราะฉะนั้นต้องคำนวนสูตรว่าสามคูณสามเท่ากับเก้าถึงจะถูก แล้วจะไม่ให้เป็นการนับเลขห้องให้ดูเยอะของเจ้าของห้องได้อย่างไร แล้วมันก็จะยิ้มอย่างจิ้งจกมีภูมิ 

	เมื่อความฝันพังทลายโทนี่ก็ต้องมาเกาะเพดานระเบียงห้องถึงวันเก่าๆ ต่อไปว่า เมื่อหนที่จ้อยกับ

บิวนอนพักผ่อนเอาแรงรอโต้รุ่งกับเหน่งนั้น ห้องข้างบนซึ่งเป็นชั้น 4 เคาะน้ำแข็งลงพื้นโดยตรง จึงทำให้เสียงดังลงมาถึงห้องข้างล่าง แล้วยังจะเมาพูดจาเสียงดัง เป็นว่าจ้อยและบิวไม่สามารถข่มตาหลับขับตานอนได้ แต่ไม่เป็นไร เหน่งกลับมาเรื่องเหล่านี้ก็เข้าสู่โสตประสาท เหน่งเริ่มประกาศศึกด้วยการเอาน้ำแข็งเคาะบนเพดานห้อง ด้วยการต่อโต๊ะอย่างยากลำบาก แล้วเริ่มบรรเลงเพลงสุรา คลอเคล้าด้วยเสียงขับขานของธงชัย และ อ.ไข่ คธาวุธ สมัยที่ยังไม่แยกวง ศึกแรกจบลงด้วยเสียงไก่ขัน ชั้นบนคงยังไม่รู้สึกเพราะความเมาเมื่อหัวค่ำ

	อีก 3 วันถัดมา พวกเขานัดเพื่อนร่วมรุ่นจากวิทยาลัยเทคนิคยะลา ที่กระจัดกระจายทั่วเมืองกรุง มาสังสรรค์เฮฮา วันนี้เหน่งลงทุนไม่ไปทำงาน เพลงของสหายสุราบรรเลงตั้งแต่หัวค่ำยันตี 2 เสียงโทรศัพท์เตือนของเจ้าของห้องเช่าก็ดัง กริ้งๆๆ ติดๆ กัน เป็นที่รู้กันดี เพราะว่าถ้าสายภายในจะดังลักษณะนั้น แต่ถ้าเป็นเสียงข้างนอกจะดัง กริ้ง...กริ้ง...กริ้ง... เหน่งบอกให้ทุกคนเงียบเสียง คอยให้โทรศัพท์ดังไปสักพัก แล้วเขาก็ยกหูขึ้นมาพูด สวัสดีครับ ด้วยเสียงงัวเงีย

	หนูๆ ห้องหนูหรือเปล่าที่เอะอะโวยวายน่ะ เสียงจากสาย

	อ๋อ! ไม่ทราบนะครับ เนี่ยผมก็นอนไม่ค่อยหลับเลย เสียงดังมากๆ

	เหรอจ้ะ ขอโทษด้วยนะที่รบกวน

	ดังต่อ เหน่งบอกเพื่อนๆ

	โทนี่รู้สึกรักพวกเขามากพอๆ กับน้ำสีเหลืองจากขวดนั้นเลย หลังจากที่พวกเขาย้ายออกไปแล้ว ไม่ใช่เพราะถูกไล่ออกหรอกนะ แต่เป็นเพราะเพื่อนๆ ไม่ค่อยมาสังสรรค์นั่นเอง โทนี่ก็กลายเป็นจิ้กจกปัจเจกทันที

	หลังจากวันนั้นเพื่อนหลายคนก็แวะเวียนมาหาทุกวันศุกร์ ปาร์ตี้ใหญ่ก็จะเริ่มทุกวันสุดสัปดาห์นี้เหมือนกัน พวกเขาจะนัดเพื่อนมาประจำ แต่หลังจากที่โทนี่สังเกตุดูแล้ว เบื้องหน้าอาจจะเป็นการนัดดื่มกินตามประสาวัยรุ่น แต่จุดประสงค์หลักก็คือต้องการให้เพื่อนระบายความทุกข์ที่อัดอั้นตันใจ ความเมาเป็นการทำลายปราการด่านสำคัญของการถือตัว นี่แหล่ะประโยชน์ของน้ำเมา

	โทนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่นึกถึงบทเพลงเพื่อชีวิตประชาชน ไม่ใช่เพื่อชีวิตนักร้องอย่างที่คนเช่าห้องกลุ่มใหม่เปิด โดยเฉพาะมาลีฮวนน่าขวัญใจของพวกเขาและเป็นวงโปรดของมันโดยปริยาย

	เหน่งเมาแล้วชอบถกปัญญาธรรม ครั้งหนึ่งเขาเอ่ยขึ้นว่านรกสวรรค์ การชดใช้กรรมมีจริงไหม เพื่อนๆ มองหน้ากันแบบเอือมๆ เหน่งต่อทันทีว่า อย่างกูนับถือพุทธกูก็ต้องขึ้นสวรรค์หรือลงนรกแบบพุทธๆ แต่ถ้าไปนับถืออิสลามหรือคริสต์กูก็ต้องขึ้นสวรรค์ของพวกนั้นสิวะ เขาหยุดยกแก้วเหล้ากระดกแล้วพูดต่อ ถ้ากูไม่นับถืออะไรเลยกูก็ไม่มีบาปน่ะสิ

	โทนี่ทบทวนถึงตอนนี้แล้วเริ่มรวนเร สงสัยเมื่อชาติก่อนมันคงเป็นมนุษย์ขี้เมาคนหนึ่ง (เพราะขนาดเป็นจิ้งจกยังชอบสุราเมรัย) แต่ดันไปนับถือลัทธิอะไรเข้าสักอย่างที่บัญญัติว่า สาวกคนไหนดื่มของมึนเมาต้องเกิดมาเป็นจิ้งจกในชาติหน้า แต่ถ้าอย่างนั้นจิ้งจกคงล้นโลกแน่เลย

	เสียงครางอย่างมีความสุข เหมือนคนกินพริกดังมาจากห้อง15 อีกแล้ว โทนี่ตื่นจากอดีต วกหัวคลานหน้าตั้งไปยังต้นเสียง จิ้งจกสีดำที่แอบดูพฤติกรรมของมันอย่างใกล้ชิด 2 ตัว มองหน้าแล้วส่งยิ้มให้กัน

	ห้อง15 ภาคสองคงจะออกมาเร็วๆ นี้ว่ะ ตัวแรกเปรย

	มันคงเลิกหลงไหลรสเบียร์แล้วไปชอบน้ำอย่างอื่นแทนแน่ ตัวที่สองเสริม

************************************************************************************				
27 กันยายน 2550 09:32 น.

กุหลาบหลุดขั้ว

ใบคา

ดอกไม้ในแจกันเริ่มเฉา ช่อดอกโค้งพับอย่างโรยราเหมือนคนแบกทุกข์หมดอาลัยในสิ่งแวดล้อม นั่งกอดเข่าในความมืดของมุมห้องที่อับแสง แม้สีหน้าจะหมองคล้ำ ดวงตาไร้ประกายแต่ปราศจากซึ่งน้ำตานอง 

จากกุหลาบสีแดงเริ่มแซมด้วยสีดำเป็นจ้ำๆ สีที่มาเยือนเริ่มเคาะประตูทักทายตั้งแต่ที่ผมพรากความงามของมันออกมาจากโคน แล้วปักลงแจกันแก้วบนโต๊ะในห้องแห่งนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าความงามและกลิ่นหอมจะลดหายไป ในทางกลับกันผมรู้สึกว่ามันทวีความหอมและสีสันมากขึ้นแต่ก่อนเสียอีก คงเป็นเพราะห้องแคบๆ ซึ่งใช้เป็นที่กักขังกลิ่นหอมไม่ให้ไปไกลปลายจมูก และแสงแดดภายนอกที่ส่องเข้ามากระทบกลีบดอก ภายในห้องเล็กสลัวช่วยให้ความแดงของกุหลาบเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในบางครั้งผมยังเห็นคล้ายว่าดอกกุหลาบช่อนั้นหันมายิ้มให้อย่างมีความสุข มันคงดีใจที่ได้ท่องเที่ยว ดีใจที่ได้พบโลกใหม่ และคงไม่ได้คิดว่าจะไม่ได้กลับไปสู่ออบอกแม่อย่างปกติอีก เมื่อพวกมันมารู้ตัวอีกทีก็ถึงคราวเฉาใกล้สิ้นชีพเสียแล้ว 

  ด้วยความเห็นแก่ตัว ต้องการความงามนั้นมาเชยชม ลืมไปว่านอกจากวันข้างหน้าดอกไม้นั้นจะโรยราไป เหลือไว้แต่ซากดำๆ และกลิ่นเน่าเหม็นของน้ำในแจกัน ขั้วที่ผมออกแรงกดคมมีดเฉือนลงไปให้มันขาดสะบั้นนั้นจะเจ็บเพียงใด หลายครั้งที่หวนกลับไปดูกลับพบว่าต้นขั้วเหล่านั้นไม่คงสภาพความสดอีกแล้ว เหลือไว้เพียงกิ่งก้านแห้งๆ คอยแรงลม และแบ็คทีเรียมาทำลาย 

  	ไม่รู้อะไรทำให้ผมย้อนคำนึงไปไกลเกินกว่าจะฉุดรั้ง ทั้งๆ ที่เพียงก้าวเท้าออกนอกบริเวณก็จะพบเส้นทางสู่ความรื่นเริง ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกเส้นไหนเท่านั้น ถึงกุหลาบในแจกันไม่เหลือความงามไว้ให้ชม กลิ่นที่เคยหอมกลับกลายเป็นกลิ่นอับ ผมก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนหรือทำลายมันไปให้พ้นสายตา อยากเก็บซากนั้นเอาไว้เตือนใจ 

  	หลายครั้งที่ต้องสูญเสียสิ่งที่คาดหวัง รวมทั้งสิ่งที่มั่นใจว่าจะได้ กลับล้มครืนลงมาเหมือนปราสาททรายหลังเล็กโดนคลื่นกระทบเพียงสาดเดียว แม้กองทรายยังคงอยู่เป็นเนินเตี้ยๆ แต่ความเป็นปราสาทนั้นหนีหายไปพร้อมมือทำลายเสียแล้ว เด็กน้อยในครรภ์เลือดเนื้อที่กำลังสร้างความเป็นคนเริ่มส่งสัญญาณให้ผมรู้ว่าเขาหรือเธอกำลังจะจากไปโดยไม่สร้างโอกาสให้ผมได้ชื่นชม แม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นของเขาหรือเธอ 

 	 เสียงร่ำไห้ของฝ่ายที่เด็กน้อยมาขอพักพิงหลั่งน้ำตาตัดพ้อผมทุกวันขึ้นอยู่กับว่าเธอจะคิดอะไรโทษผมได้ ไม่มีอะไรจะพูดมันสับสนไปหมด รับรู้ได้ว่ามีหลายเสียงดังอยู่ในหัวแต่ไม่ได้ยินสิ่งใด เมื่อสบโอกาสผมยังคงเป็นผมคนเดิมในสายตาเพื่อนๆ เสียงหัวเราะที่ออกมาจากลำคอสวนทางกับเครื่องดื่มที่สาดเทเข้าไปอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีน้ำตาแต่น้ำลายยังฝอยทุกขณะ การปรับทุกข์ไม่เกิดขึ้นถึงต้องการจะทำก็ตาม มันไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เสียใจกับความทุกข์ของต้นขั้ว และดอกใจของผมที่กำลังผลิดอกถูกใครที่ไหนก็ไม่รู้เฉือนออกไป มันเร็วเกินไป เร็วกว่าดอกกุหลาบในแจกันเสียอีก เร็วในหลายๆ ด้าน จนกลายเป็นความเลวของมือที่พรากความงามนั้นไปจากผม 

 	 ด้วยความนิ่งเฉย กับอาการที่ไม่เปลี่ยนแปลงมักเป็นต้นตอของปากเสียงเสมอ แต่ความขัดแย้งที่เกิดเพียงอึดใจเพราะผมไม่รู้จะโต้กลับอย่างไร คำด่าทอหรือตัดพ้อ แรงพอควรหากเทียบกับคำสามัญ แรงทั้งความหมายและน้ำเสียง มันกระแทกเข้าโสตประสาทอย่างแรงเจ็บแปลบถึงทรวงแต่กลับเงียบหายไปเมื่อมันผ่านเข้าไปส่วนใน 

************

	เก้าอี้พลาสติกสีเขียว 4 ตัวติดกัน จำนวนหนึ่งแถว หน้าห้องทำคลอดชั้นสองของโรงพยาบาล และคนสองคนนั่งกันคนละฝั่งหัวท้าย อีกคนกระวนกระวายใจลุกขึ้นลุกนั่งอย่างไม่เป็นสุข แต่ดวงตาแอบปลื้มนิดๆ ชะเง้อคอพยายามมองคนรักและลูกน้อยที่ได้กำหนดมองดูโลกในสายวันนี้อย่างจดจ่อ กับอีกคนคือผมที่นั่งเงียบผลรู้อยู่แล้วว่าเด็กน้อยนั้นไม่มีโอกาสได้มองดูโลก มันเป็นความขัดแย้งอย่างรุนแรง ความกังวลในความหวัง และความเงียบสงบของความสิ้นหวัง อยู่ใกล้กันเพียงเก้าอี้นั่งสองตัว

	คนที่รอคอยวันจะเป็นแม่ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ต้องหวีดเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อก้อนเลือดสีแดงหลุดออกมากองแมะบนชักโครก เธอทำอะไรไม่ถูกยืนสั่นเหมือนลูกนกถูกฝน เพราะเข้าใจดีว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ผมรีบกระโจนเข้าหา สิ่งที่เห็นเพียงชั่ววูบยังฝังรากในเบื้องลึกของจิตใจไม่รู้ลืม อึดใจเดียวน้ำจากชักโครกก็เริ่มทำงานเสียงโครกคราก กระชากก้อนเลือดก้อนนั้นหมุนเป็นน้ำวนนำดิ่งลงบ่อปฏิกูลเบื้องล่างพื้นดิน

	กดมันทิ้งทำไม กดมันทิ้งทำไม เสียงต่อว่าพร้อมกับการสะอื้นร้องไห้ของเธอ

	ผมไม่ตอบโต้โอบร่างที่สั่นเทาด้วยความเสียใจกลับมานอนพักผ่อนบนเตียงอ่อนนุ่ม และโทรศัพท์นัดหมอเพื่อขูดชิ้นส่วนก้อนเลือดที่เริ่มเป็นเนื้อเป็นร่าง ซึ่งยังคงค้างติดผนังที่เขาหรือเธอมาขออาศัยพึ่งพิงจากมัจจุราชเพียงชั่วคราว แรงดึงของเงื้ออมมือแห่งความตายนั้นรุนแรง รุนแรงจนหนูน้อยไม่อาจทานทน ชิ้นเนื้อบางส่วนยังคงยึดติดผนังอย่างแนบแน่น เพื่อความปลอดภัยของต้นขั้วที่ถูกปลิด ดอกไม้อันแสนงามไปแล้วจะอยู่อย่างปลอดภัยต่อไปก็คงต้องจะต้องทำความสะอาดบาดแผลเสียก่อน เผื่ออนาคตวันข้างหน้าเขาหรือเธอคิดถึง หรือหมดกรรมเวรจะกลับมาพักพิงอีกครั้ง ถ้าแหล่งพับนับแห่งนี้ยังคงเป็นที่อาศัยได้ดีพอ

	เรามีลูกกันอีกนะ คำกล่าวของเธอลอยออกมาจากปากอย่างแผ่วเบาหลังจากที่นอนนิ่งเรียกสติมาได้ดีพอ มันเป็นคนละคำกับครั้งแรกที่เธอเคยบอก เรามีลูกกันนะ ความหมายมันช่างไม่ห่างกันเลย แม้ผมจะเคยบอกว่า เราอย่ามีลูกกันเลย ถ้าเหงาจริงๆ ก็ไปรับเด็กกำพร้ามาเลี้ยงกันดีกว่า เด็กที่เกิดมาในโลกของความโสมมแห่งนี้แล้วอีกหลายพันคนที่ต้องการคนดูแลเลี้ยงดู เอาใจใส่และนำพาพวกเขาไปพบแสงสว่าง ส่วนเด็กที่ยังไม่เกิด เราจะพรากเขามาจากสวงสวรรค์อันงามวิไล มาสู่ความสปรกของโลกอนาคตนั้นเหรอ เธอลองคิดดูสิขนาดเราสองคนเป็นเด็กและโตมาขนาดนี้ปัญหามากมายที่เข้ามา มือมารกี่พันคู่ที่คอยชักจูงไปในทางไม่ดี เรามาช่วยกันทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นจะดีกว่าสร้างใหม่ไหมล่ะ

	เป็นธรรมดาที่ผมจะได้รับการปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผล เธออ้างว่าเราทั้งคู่อาจจะไม่ให้ความรักแก่เด็กที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขดีพอ และเผลอๆ อาจมีลูกอิจฉาหลงเข้ามาเหมือนเพื่อนบ้านหลายๆ คนก็เป็นได้ และที่สำคัญและทำให้ผมจำยอมเธอ และเริ่มมีลูกด้วยกันคือ สันดารดิบของแต่ละคนมีการตกทอดเป็นมรดกทางพันธุกรรม ต่อให้เราเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนดีเพียงใด ก็ไม่อาจลบล้างนิสัยดั้งเดิมนั้นได้ เมื่อถึงคราวขึ้นมาจริงๆ เราก็จะโทษว่า ไม่น่าเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงเลย 

	แล้วถ้าลูกของเรามีสันดารเลวทรามอย่างมโหฬารล่ะ ผมแกล้งแย้ง แต่เธอกลับตอบอย่างสัญชาตญาณความเป็นแม่ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เป็น

	ก็มันลูกเรา

	เตียงนอนถูกเข็นออกมาแล้ว ไม่มีเด็ก!

	เขาคนนั้นวิ่งหราออกไปรับ ทั้งคนบนเตียงและเขายิ้มร่าให้กัน แม้รอยยิ้มของเธอบนเตียงนั้นจะเป็นรอยยิ้มที่อ่อนแรงเต็มที แต่ก็เป็นรอยยิ้มของความเป็นสุข รอยยิ้มของการยกภูเขาออกจากตัว หลังจากที่แบกและดูแลเป็นอย่างดีมา 9 เดือนเต็ม เสียงของหมอบอกว่า เด็กแข็งแรงดี เป็นผู้ชาย เดี๋ยวพยาบาลก็จะเข็นออกมาพาไปห้องพักฟื้น

	ผมลุกขึ้นอย่างช้าๆ เดินลงบันไดไปข้างล่าง เป้าหมายคือห้องน้ำ เข้าไปให้นาน นานพอที่สมาชิกใหม่ของประเทศไทย หรือของโลก หรือของมวลมนุษยชาติ จะผ่านจุดที่ผมเห็นได้ถนัดตา

	แม้ว่าการปฏิสนธิในครั้งนี้จะเกิดขึ้นโดยที่ผมจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าที่ควร แต่เมื่อมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วสิ่งที่มีอยู่ในหัวคือความรัก เฝ้าคอยวันที่จะให้เขาหรือเธอนั้นมองดูโลก ตั้งเป้าหมายหลายร้อยพันอย่างที่ตัวเองไม่เคยได้รับสมัยที่เป็นเด็ก หาแนวทางแก้ไขไม่ให้ลูกน้อยคบค้าสมาคมกับผีห่าซาตานบนโลกมนุษย์ แต่เอาเข้าจริงพวกมันกลับแย่งผมไปเร็วกว่าที่ผมกลัวเสียอีก

	อีกไม่นานเธอคงออกมา ออกมากับรอยยิ้มที่เหน็ดเหนื่อย แต่ไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่ผู้หญิงคนก่อนหน้านี้ แต่เป็นรอยยิ้มที่ต้องการ การให้กำลังใจ


 

*************				
24 สิงหาคม 2550 12:09 น.

ส่งรายงาน

ใบคา

รายงานชิ้นสุดท้าย ในสัปดาห์สุดท้าย เทอมสุดท้ายของปี 4 หากงานชิ้นนี้ได้รับยินยอมให้ผ่านจากอาจารย์ผู้สอน ก็เท่ากับยืนยันว่าเขาสำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นปัญญาชนสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน แต่ยังก่อน งานของเขายังไม่ผ่าน ส่งมาหลายหนแล้ว แต่ก็ยังต้องเอากลับไปแก้เท่าจำนวนครั้งที่ส่งมาอยู่ร่ำไป เขามั่นใจว่าวันนี้รายงานชิ้นสุดท้ายนี้จะต้องเป็นการส่งครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน และคำพูดของอาจารย์ก็ช่วยกระชับความเชื่อมั่นให้แน่นยิ่งขึ้นอีกด้วย ถึงแม้จะพูดแบบระอาก็ตาม

	ปิดเทอม 2 ของภาคเรียนอะไรๆ ก็ดูโหรงเหรงเงียบเหงาไปหมด นักศึกษาหลายรายกลับภูมิลำเนาของตนเอง ยังเหลือก็แต่พวกที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันกับเขาเท่านั้น ผู้ใหญ่วัยทำงานบางคนก็เก็บกระเป๋าพักผ่อนช่วงสงกรานต์ไปเรียบร้อยแล้ว  รถที่แน่นเมืองก็ดูบางตาไปพอสมควร แม้อยากจะกลับไปเฮฮาในช่วงปิดภาค รวมทั้งงานวันสาดน้ำด้วย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะงานยังคงค้างอยู่

	เขาลงรถเมล์ป้ายหน้าปากซอยของศูนย์การศึกษาอย่างที่เคยทำ นักศึกษาที่ลงป้ายเดียวกันแทบนับจำนวนได้ ไม่เยอะเหมือนตอนเปิดเรียน มีนักเรียนอาชีวะจากโรงเรียนเทคนิคเยื้องๆ ศูนย์การศึกษาของเขา 2  3 คนเดินตามหลังมา ไม่หรอกพวกเขาไม่ได้มารถเมล์คันเดียวกัน แต่บังเอิญว่าเดินมาถึงป้ายพร้อมกับที่เขาลงนั่นเอง ภายในซอยเล็กๆ นี้มีสถานศึกษาคอยรับหน้าที่ป้อนความรู้ให้กับสมาชิกของตนอยู่ถึง 2 แห่ง นั่นคือมหาวิทยาลัยของเขา เดิมนั้นมีพื้นที่จำกัดจำเขี่ยอยู่แล้ว แต่ยังโหมรับลูกศิษย์เพิ่มเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อหวังเงินค่าเทอมสร้างชื่อเสียงให้กับตัวสถาบัน ไม่ใช่เพื่อพัฒนาความรู้เด็ก แต่เอาไปสร้างเครื่องมือการสอนที่ทันสมัย อย่างที่มหาวิทยาลัยใดๆ ในไทยไม่สามารถหามาได้ ด้วยเครื่องมือราคาแพงนี้เองแม้แต่นักศึกษาก็ไม่สามารถแตะต้องได้ อ้างว่ากลัวเครื่องจะพัง ได้แต่มองเหมือนหมาอยากกินปลากระป๋อง เมื่อมีข่าวแพร่ออกไปว่าที่นี่ทันสมัยติดอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ลูกศิษย์ลูกหาจึงมากมี (เมื่อรู้สึกตัวก็สายไปแล้ว) จนสถาบันแม่ไม่อาจรองรับนักศึกษาได้ จึงต้องเปิดศูนย์การศึกษาแยกไปตามจุดต่างๆ ทั่วเมือง ตามแต่สาขาวิชา ส่วนศูนย์ใหญ่นั้นเอาไว้เป็นเหมือนหอกระจายข่าวเท่านั้นเอง 

	ส่วนที่อยู่เยื้องไปอีกหน่อยคือวิทยาลัยเทคนิคซึ่งอยู่มานานแล้ว แรกๆ ที่เหล่านักศึกษามหาวิทยาลัยเข้ามาอาศัยซอยเดียวกับเด็กช่างนั้นมักเกิดปัญหาบ่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะโดนเด็กเทคนิคเจ้าถิ่นรังแก จนอาจารย์ทั้งสองสถาบันต้องร่วมมือจัดกิจกรรมให้ปรองดองกันทุกปี หลังๆ ดูเหมือนจะรักกันดียิ่งขึ้น เป็นเหมือนพี่เหมือนน้องเข้าทุกวัน แต่ก็อย่าเผลอไปทำให้น้องโกรธ เพราะน้องๆ เทคนิคแม้เหมือนจะเยาว์กว่าในด้านคุณวุฒิ แต่วัยวุฒิและประสบการณ์ที่กร้านโลกนั้นเทียบกันแทบไม่ติด  ส่วนความห้าวไม่ต้องเอ่ยถึง

	ครั้งหนึ่งเขาเสร็จธุระกับอาจารย์ก็ปาเข้าไปทุ่มกว่า อาจารย์มีรถกกลับบ้านส่วนเขามีสองเท้าก้าวเดิน อันตรายจึงถามหาเขาเพียงผู้เดียว ยังไม่ถึงป้ายรถเมล์ดีน้องๆ ร่วมซอยก็เดินออกมาล้อมหน้าล้อมหลัง สปาร์ต้า เล่มยาวส่องประกายวิบวับในความสลัว หนึ่งในนั้นตวาดกร้าวว่า มึงเรียนที่ไหน เขาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะตกใจ จนนักเลงน้อยต้องย้ำอีกทีซึ่งดังกว่าเดิม คำตอบจึงหลุดออกจากปากเหมือนโดนตบหลังอย่างแรง เสียงดังฟังชัดว่า ... (ชื่อมหาวิทยาลัยของเขา) เท่านั้นเองจากหน้ายักษ์กลายเป็นยิ้มทักทันทีพร้อมกับสำทับว่า โธ่ ซอยเดียวกัน ไปๆ รีบไปเดี๋ยวโดนลูกหลง รอดไป

	เสียงปืนดัง เปรี้ยง! ร่างหนึ่งร่วงลงพื้นดัง ตึก! มอเตอร์ไซค์ที่ชะลอกลับเร่งเครื่องเสียงดัง ตะบึงออกไปด้วยความเร็ว แม้แต่ตำรวจที่ยืนอยู่หน้าป้อมอีกฟากถนนยังยืนงงทำอะไรไม่ถูก เขาหันไปมองร่างที่นอนจมกองเลือด เห็นเด็กอาชีวะกลุ่มนั้นมุงดูศพกันอย่างสนใจ ทำให้วิสัยทัศน์การมองของเขาตกไป ไม่สามารถเห็นหน้าคนที่ถูกยิงได้ถนัด เขาคิดว่าไม่ควรที่จะเข้าไปแส่กับเรื่องอย่างนี้ สิ่งที่ควรทำคือการรีบเอางานไปส่งอาจารย์ดีกว่า มันคงเป็นการล้างแค้นกันไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเหล่าวัยช่างเลือดร้อนเท่านั้นเอง ขืนเข้าไปเสนอหน้าอาจโดนไล่ตะเพิดออกมาเหมือนดั่งคราวนั้น วันครบรอบสถาปนาวิทยาลัยเทคนิคของพวกเขา นักเรียนช่างคนหนึ่งเดินอุ้มลังเบียร์ที่หนักอึ้งไปด้วยขวดเบียร์เดินตรงดิ่งมาทางเขา คิดว่าน่าจะถูกพวกรุ่นพี่ใช้ให้ไปซื้อ ด้วยเห็นว่ารูปร่างแบบบางนั้นไม่น่าจะนำน้ำเมาไปได้ถึงฝั่ง เขาจึงเสนอเข้าช่วย แต่กลับถูกตะคอกกลับไปว่า เสือก
	
	ห้องพักอาจารย์ไม่มีคนอยู่ แต่ประตูไม่ได้ล็อก เขาเดินเข้าไปสำรวจดูข้างใน ปรากฏว่ามีงานของเพื่อนบางคนวางหราอยู่บนโต๊ะของอาจารย์แล้ว ลองสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าบางเล่มมีลายเซ็นของอาจารย์กำกับอยู่ด้วย เล่มนั้นคงผ่านแล้ว ส่วนบางเล่มไร้ร่องรอยการขีดข่วนใดๆ ทั้งสิ้น เขาคิดว่าคงมีคนมาส่งงานก่อนหน้าแล้วแต่อาจารย์ไม่อยู่ประจำที่โต๊ะจึงวางงานเอาไว้ เขาไม่เสี่ยงที่จะวางเอาไว้เฉยๆ โดยที่ไม่มีใครรับรู้ เพราะเคยทำแล้วมันหายไปไม่มีใครช่วยได้เลยนอกจากตัวเองนั่นคือทำใหม่ เขาตกลงใจออกไปนั่งคอยหน้าห้องจนกว่าอาจารย์จะกลับมา หรือจนกว่าตัวเองคอยไม่ไหวกลับไปแล้วมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น ขณะที่นั่งคอยอยู่นั้นในใจก็คิดแต่เรื่องศพศพนั้นว่าเป็นใครหนอ ใจหนึ่งอยากออกไปดู แต่ใจหนึ่งก็รั้งเอาไว้ ความจริงแล้วถึงจะออกไปดูก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างเมื่อเริ่มแรก ตำรวจอาจจะมามากแล้ว นักข่าวเอย กลุ่มวัยรุ่นเอย ถ้าเขาเข้าไปเสนอหน้า กลุ่มอาชีวะกลุ่มนั้นอาจจะจำเขาได้ ตำรวจอาจจะเรียกเขาไปสอบปากคำ ถามถึงตัวมือปืน แล้วเขาจะตอบอย่างไรในเมื่อตอนนั้นไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสมุดรายงานที่ตัวเองเดินไปก้มมองไป

	เขากลับมาถึงห้องด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เพราะรุ่งขึ้นต้องกลับไปส่งงานอีกครั้ง คิดไปต่างๆ นาๆ การอยู่คนเดียวยิ่งทำให้ฟุ้งซ่านจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าตอนนี้ไม่ใช่ช่วงปิดเทอมเพื่อนต่างสถาบันที่มาจากบ้านนอกคอกเดียวกันคงพอจะสร้างความบันเทิงได้บ้าง 

	เขาลงรถเมล์ป้ายเดิม คราวนี้รู้สึกแปลกสิ่งนี้หรือเปล่านะ ที่เรียกว่า DEJAVU - เขาคิด เหมือนว่าเหตุการณ์เคยผ่านมาแล้ว แต่เมื่อไหร่ล่ะ เขาคิดไม่ออกสักที เบื้องหลังมีเด็กอาชีวะ 2  3 คนเดินตามหลังมา เพื่อนร่วมสถาบันเดียวกับเขาอีกจำนวนหนึ่งซึ่งน้อยกว่าสมัยเปิดเทอมหลายเท่าตัว เหมือนเคยเกิดขึ้นแล้วแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก วันนี้เขาไม่ได้ก้มหน้ามองรายงานถ่ายเดียวแต่มองกลับหน้ากลับหลังไปมา ในใจครุ่นคิด เห็นวัยรุ่นคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์มาสองคนชะลอลงเมื่อใกล้ถึงเขา คนที่ซ้อนท้ายชักปืนลูกซองสั้นออกมา เขามองเห็นหน้าคนทั้งสองบนรถคันนั้นอย่างชัดเจน แล้วเสียงกัมปนาทของกระสุนปืนก็ดังสนั่นหวั่นไหว เอาอีกแล้วเขาร้องในใจ ให้ตายเหอะจะยิงกันทุกวันเลยหรือนี่ - เขาคิด ร่างชายคนหนึ่งร่วงลงทันที เขาหันกลับไปมองตามเสียง ตึง! และภาพในตารางๆ เนื่องจากว่าเห็นจากหางตา เป็นเด็กเทคนิคกลุ่มนั้นมุงดูศพอย่างจดจ่อ จนทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นได้ถนัดถนี่ อีกอย่างเขาก็ไม่อยากยุ่งกับเรื่องพรรค์นั้น จึงไม่สนใจ ตอนนี้เขาสนใจเพียงอย่างเดียวคือส่งงานที่ถืออยู่ในมือ ขืนยืนอยู่ต่อเขาต้องกลายเป็นพยานแน่เลย เพราะวันนี้เขาเห็นหน้าคนร้ายชัดเจน ว่าแล้วก็รีบเดินเพื่อไปส่งงาน ยังไงก็ขอให้ได้ส่งงานก่อนก็แล้วกัน

	เปิดประตูพรวดเข้าไป อาจารย์ไม่อยู่อีกแล้ว หรือว่าอาจารย์ได้ยินเสียงปืนจึงรีบออกไปดู แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมไม่เดินสวนทางกับเขา อาจารย์น่าจะรู้บ้างว่าอาทิตย์นี้เป็นเส้นตายที่นักศึกษาที่เหลือต้องส่งงานให้หมดแล้วแกไปไหนหนอ  เขาคิด ไม่ทันที่จะเอ่ยปากถามอาจารย์ที่นั่งอยู่ 2 ท่าน พวกแกก็รีบเดินออกไปจากห้องเสียแล้ว ท่าทางเหมือนเร่งรีบจะไปไหน หรือว่ามีธุระด่วน หรือว่าไปดูตามเสียงปืน มันก็น่าสนใจเหมือนกันเพราะ 2 วันติดกันเลยนี่

	วันนี้เขากลับมาห้องเช่าด้วยอาการเดิม รุ่งเช้าเข้าไปส่งงานอีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนจะเหมือนเดิมไปหมด ภาพนักเรียนเทคนิค 2  3 คนเดินตามหลัง เขาเริ่มสงสัยลังเล ไม่ยอมเดินแต่หยุดอยู่ที่เดิม วัยรุ่นสองคนชะลอมอเตอร์ไซค์เข้ามาใกล้และสิ่งที่เห็นก็คือ คนซ้อนท้ายดึงลูกซองสั้นออกมาจากข้างตัวด้วยขวาด้วยมือซ้าย แสงสีส้มเป็นประกายตรงปากกระบอก มอเตอร์ไซค์คันนั้นท้ายสะบั้นเล็กน้อย คนยิงกอดคนขับไว้แน่นด้วยมือขวา สิ้นเสียง เปรี้ยง! รถคันนั้นตะบึงเร่งเครื่องออกไปอย่างเร็ว เขาเห็นเหมือนรถจะยกล้อเล็กน้อย อีกแล้ว  เขาคิด หนนี้เป็นไงเป็นกันไหนๆ มาสองวันงานก็ไม่ได้ส่งสักที ขอดูให้เห็นชัดๆ ขอเป็นส่วนร่วมหน่อยก็ดี เขาถามกลุ่มคนที่มุงดูศพ แต่ไม่มีใครตอบ ใจเขาเต้นระรัวกลัวจะโดนด่ากลับมาว่าเสือก เขาชะโงกดูศพ ใบหน้าเละมองไม่ออกว่าเป็นใคร มือปืนแม่นน่าดูยิงเข้าใบหน้าเต็มๆ กระสุนลูกปลายที่เข้าไปนั้นยังคงไม่ทันบานออก จึงเข้าไปทั้งกระจุก น่าสยดสยอง ไม่นานตำรวจก็เข้ามา รถร่วมกตัญญูมาเก็บศพอย่างว่องไว ไม่มีใครสนใจเขา เพราะเขายืนมองอยู่ห่างๆ เนื่องจากรู้สึกพะอืดพะอมกับภาพที่เห็น

	วันนี้อาจารย์อยู่ประจำโต๊ะ ยืนพิงโต๊ะเฉยหันมองมาทางอาจารย์ทั้งสองท่านที่รีบเดินออกไปก่อนเมื่อวานนี้ เขาเปิดประตูเดินเข้าไปกำลังจะยกมือสวัสดี อาจารย์หนึ่งในสองคนเมื่อวานนี้ก็เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า พี่สมคิด คนที่เรียกหันกลับไปมองที่หน้าประตูทำหน้าตื่น มือกอดอกแน่นเหมือนหนาว ปากเริ่มสั่นเล็กๆ ผมว่าเขาต้องมาส่งงานแน่เลย เมื่อวานก็อย่างนี้เลยนะพี่ ผมกับอาจารย์สมปองนั่งคุยกันอยู่ดีๆ จู่ๆ ประตูก็เปิดเอง ลมวูบเสียวสันหลังเหมือนเมื่อกี้เลยพี่ ผมว่าพี่ไปขอสมุดรายงานคืนจากโรงพักมาให้คะแนนเขาก่อนดีกว่านะพี่ มาวางไว้บนโต๊ะเดี๋ยวเขามาเห็นว่างานตรวจแล้วจะได้สบายใจ ไม่ต้องมาอีก นี่ถ้าพี่ไม่อยู่ด้วยผมสองคนเผ่นแล้ว อาจารย์สมคิดไม่ตอบอะไรได้แต่ยืนนิ่ง

	เอกประวัติ เธอไม่ต้องมาส่งงานแล้วนะผมให้คุณผ่านแล้ว อ.สมคิดพูดลอยๆ น้ำเสียงสั่นเล็กๆ แม้จะพยายามข่มเสียงเท่าไหร่ก็ไม่อาจซ่อนมันไว้ได้

	เขานิ่งงงไม่รู้ว่าทั้งหมดพูดอะไรกัน แล้วทำไมอยู่ๆ อาจารย์สมคิดก็มาบอกว่างานของเขาผ่านแล้ว ทั้งๆ ที่งานยังคาอยู่ในมือของเขาอยู่เลย 

	มือทั้งสองยังคงประสานคาอยู่ระหว่างหน้าท้อง เขาควรจะสวัสดีก่อน หรือว่าจะทำอะไรก่อนดี เขารู้สึกสับสนไปหมด

************************************************				
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงใบคา