25 พฤษภาคม 2550 10:11 น.

พ่อ

ใบคา

บนชั้นสองนั่งพัดลมของรถไฟสายใต้เสียงร้องดัง ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง มุ่งหน้าสู่จังหวัดนราธิวาส เด็กชายตัวน้อยตื่นเต้นกับทิวทัศน์ภายนอกที่คนผันแปรแผ่นดินให้กลายเป็นเงินหาเลี้ยงชีพ ทุ่งนาสีเขียวขจี บางช่วงก็เป็นไร่สวนผลไม้ต่างๆ ทุกครั้งที่เห็นวัว ควาย ยืนเคี้ยวเอื้องเด็กชายจะหันมาถามด้วยความสงสัยว่า พ่อๆ นั่นตัวอะไร

	หนูน้อยวัย ๕ ขวบที่เติบโตในเมืองหลวงไม่แปลกที่จะไม่รู้จักสัตว์พวกนี้ ดูเหมือนเขาจะมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะเราออกห่างจากกรุงเทพฯ ได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาจึงยังมีเรี่ยวแรงที่จะถามโน่นถามนี่อยู่ตลอดเวลา บางครั้งถ้าแม่ไม่จับตัวเอาไว้เด็กน้อยก็จะวิ่งร่าทั่วโบกี้รถไฟ แต่ผมก็รู้ดีว่าอีกไม่นานความอ่อนล้าก็จะมาคลอบคลุมเขา จึงปล่อยให้สนุกได้เต็มที่ เพียงแค่ระวังไม่ให้ออกไปบริเวณข้อต่อเท่านั้น 

	เป็นจริงดังคาดยังไม่ทันค่ำดีเขาก็เปลี้ยหลับไปบนตักแม่ ก่อนหลับยังบ่นพึมพำว่า ยังไม่ถึงอีกเหรอ ทำไมไกลจังเลย ผมไม่คิดตำหนิแกหรอก ขนาดตัวเองยังไม่อยากเดินทางด้วยวิธีนี้เท่าไหร่นัก แต่มันติดตรงที่ประหยัดดี เพราะระยะทางกว่า ๑,๖๐๐ กิโลเมตร และเวลา ๒๐ ชั่วโมง (ไม่นับช่วงที่ต้องเสียไปกับการเสียเวลาของรถไฟ) มันกัดกร่อนความสดชื่นของคนไปมากทีเดียว

	ครั้งแรกๆ ของการโดยสารรถไฟต้นสายยันปลายสายจากสถานีสุไหงโก-ลก กรุงเทพฯ ผมก็มีพ่อเป็นเพื่อนเดินทางจะต่างกันก็ตรงที่ผมแก่กว่าลูกถึง ๑๐ ปี ยังจำได้ดีทุกความเบื่อ เมื่อย ล้า ทุกอย่างของความไม่สบายถาโถมกันเข้ามาคงเป็นเพราะที่นั่งมุมฉากของชั้น ๓ ด้วยกระมัง หลังจากนั้นผมก็ต้องใช้บริการ รฟท. เป็นประจำอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้งช่วงปิดภาคเรียน จนกระทั่งจบปริญญาตรีและได้ทำงาน จนมีลูกน้อย การกลับบ้านของผมก็ห่างหายไปถ้าพ่อไม่เสียผมก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดอีกครั้ง

	หลังจบการศึกษาและทำงานไม่ถึงปีผมก็มีคู่ครองและพยานรักในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ความคิดที่จะส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่ก็ต้องหยุดฉะงักลง เพราะผมต้องเลี้ยงชีวิตน้อยๆ ชีวิตใหม่นี้ อีกทั้งปากท้องตัวเองด้วย จนอดคิดถึงคำกล่าวที่ว่า พ่อแม่เลี้ยงลูกสิบคนได้ แต่ลูกสิบคนไม่สามารถเลี้ยงพ่อแม่ได้ ผมคงไม่กล้าไปดูถูกลูกสิบคนนั้นหรอกเพราะขนาดผมตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตอบแทนท่านได้เต็มที่นอกจากคำทักทายเล็กๆ น้อยๆ ทางโทรศัพท์ บางครั้งลูกสิบคนนั้นอาจจะมีลูกอีกคนละสิบคนก็เป็นได้ ที่สำคัญที่บ้านผมน้ำท่าอุดมสมบูณณ์เพียงเข้าป่าหลังบ้านก๊อกๆ แก๊กๆ ก็มีกินได้หลายมื้อ เงินทองแต่ละวันแทบจะไม่ต้องจ่าย เช้าๆ แม่ออกไปกรีดยางพารา ปล่อยให้น้ำยางไหลลงกะลาที่รองเอาไว้ ซึ่งท่านได้หยดน้ำส้มกัดยางฯ เอาไว้ก่อนหน้า แล้วกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ปล่อยให้น้ำยางมันแห้งไปเอง ไม่ต้องคอยเก็บน้ำยางฯ มาทำแผ่นเหมือนชาวบ้านหนุ่มสาวเขาก็ได้ วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะกรีดก็ลงมือแงะยางฯ ที่แข็งเป็นก้อนในกะลาออกวางไว้โคนต้น ตกเย็นก็กลับมาเก็บใส่กระสอบลากไปวางไว้หน้าสวนคอยคนรับซื้อขับรถผ่านมาอีกที อีกทั้งสวนผลไม้ที่ให้ผลทุกปี ทุกครั้งที่โทรฯ ถามถึงความเป็นอยู่แม่ก็จะบอกว่าสบายดี เป็นห่วงแต่เอ็งเถอะอยู่ในเมืองต้องใช้จ่ายทุกอย่าง แล้วตอนนี้มีเงินพอใช้ไหม ถ้าไม่มีแม่จะส่งไปให้ เป็นงั้นไป 

จะว่าไปแล้วแม่ผมก็มีเงินเก็บเหลือมากกว่าผมเสียอีก จนคิดที่จะหวนคืนบ้านใช้ชีวิตอย่างชาวสวนแต่ก็ติดปัญหาหลายอย่าง

	ดูเหมือนลูกชายวัยเยาว์ของผมจะติดแม่มากกว่า คงเป็นเพราะการเคี่ยวเข็นเขาแต่ตัวน้อยนั่นเอง ที่ทำให้ลูกไม่อยากเข้าใกล้ผมเท่าไหร่ ผมหวังพึ่งเขาเป็นตัวทดแทนในสิ่งที่ผมขาดหาย หรือไม่สามารถเป็นได้ นั่นคือนักเขียน ผมพยายามเท่าไหร่ก็เป็นไปตามฝันไม่ได้เสียที คงเป็นเพราะผมเริ่มต้นช้าเกินไปจึงสู้นักเขียนคนอื่นๆ ไม่ได้ แต่ลูกของผมต้องเป็นได้ ผมจึงบังคับให้แกนั่งฟังผมอ่านหนังสือก่อนนอนเสมอแม้จะอายุเพียง ๕ ขวบก็ตาม ความเป็นจริงแล้วผมอ่านให้แกฟังตั้งแต่อยู่ในท้องด้วยซ้ำไป บางครั้งสังเกตเห็นแกไม่ค่อยชอบนัก แต่ผมเข้าข้างตัวเองไปว่าอีกหน่อยก็ชอบเอง 

	ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าเมื่อโตขึ้น กระทั่งรู้ความในสายตาเขามองพ่อเป็นอย่างไร แต่สำหรับผม พ่อคือ พระเจ้า พ่อสร้างความกลัว สร้างความนับถือ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับผม ท่านเป็นคนดุสำหรับลูกๆ คนหนึ่ง แต่ผมก็ติดพ่อมากกว่าแม่ คงเป็นเพราะตัวอย่างของพ่อที่ผมได้ฟังมาจากย่า และจากปากของท่านเอง ท่านต้องรับผิดชอบเลี้ยงน้องๆ อีก ๔ คน เพราะปู่เป็นคนไม่เอาไหน วันๆ เอาแต่เมาเหล้า จึงขาดโอกาสเรียนหนังสือแม้จะต้องการ และเรียนดีเพียงใดก็ตาม งานรับจ้างทุกอย่างพ่อผ่านมาหมด เป็นทั้งเด็กอู่ เด็กรถ จนกระทั่งมายึดชีพขับรถบรรทุกสิบล้อในที่สุด สิ่งที่ผมนับถือคือพ่อบอกว่า ท่านเริ่มดื่มเหล้าก็ต่อเมื่อผ่านการบวชเรียน และทำงานเลี้ยงตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ ได้แล้วเท่านั้น ส่วนบุหรี่ไม่แตะเลย ในความรู้สึกตอนนั้นมันเท่ห์มากๆ จนผมมุ่งมั่นเอาไว้ว่าจะทำอย่างพ่อให้ได้ แต่ผมเมาแอ๋ตั้งแต่ออกจากบ้านไปเรียนหนังสือเมื่ออายุ ๑๕

	พ่อผมพูดน้อย ผมก็พูดน้อยไม่ใช่เพราะเลียนแบบ หรือได้พ่อ เป็นเพราะตอนเด็กๆ ผมเป็นคนพูดมาก พูดทุกเรื่องที่มีโอกาสสอด ที่สำคัญชอบขัดคอผู้ใหญ่ในวงเหล้าหลายคนไม่ถือสา หนำซ้ำยังหัวเราะชอบใจต่างชมว่าฉลาด ยิ่งทำให้ผมได้ใจ ขัดไม่เลือกหน้า พ่อคงทนไม่ได้เรียกมาเตือนเครียดในวันถัดไป ผมจึงกลายเป็นคนเงียบ ณ บัดนั้นเป็นต้นมา ถ้าไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นผมคงไม่เงียบลงได้แค่การสอนแบบเครียด แต่ผมเคยโดนพ่อตบล้มคว่ำด้วยอายุเพียง ๕ ขวบ เพียงเพราะรบเร้าขอหุ่นยนตร์ของเล่นเท่านั้นเอง อันนี้ก็เป็นส่วนทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่ไม่ค่อยเซ้าซี้ ได้ก็ได้ไม่ได้ก็แล้วไป 

	ในสายตาผมท่านจึงเปรียบดั่งพระเจ้า

	นิสัยอีกอย่างในตัวผมคือแพ้น้ำหอม กลิ่นหอมจากสารเคมีผมเป็นสู้ไม่ไหว ผลพวงมาจากท่านไม่ชอบของพวกนี้ พ่อจะตะคอกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อเห็นผมนั่งหน้าตู้กระจก ทาแป้งนานๆ กระทั่งผมเลิกใช้ด้วยความน้อยใจ จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแพ้เครื่องสำอางถึงเพียงนี้ แม้จะเคยลองดูยี่ห้ออื่นๆ ที่ยังไม่เคยใช้ ผลปรากฏว่าแพ้เหมือนกัน

	ฟ้าข้างหน้าต่างมืดลงแล้ว ภายในโบกี้สว่างขึ้น ลูกน้อยยังคงหลับไม่รู้สาบนตักแม่ เธอคงเหนื่อย เพราะเห็นขยับตัวไปมา ผมอาสาเอาเด็กชายมาหนุนตักแทน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ กลัวแกตื่นค่ะ

	พ่อมาเสียชีวิตลง ผมไม่เสียใจเลยสักนิด ท่านน่าจะเสียเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว จะได้ไม่ทนทุกข์ทรมารด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง ท่านผอมแห้งเห็นกระดูก ไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นนั่ง แม้จะเอ่ยปากพูดก็ยากเต็มที ครั้งล่าสุดที่ผมกลับไปเยี่ยมอาการของท่านเริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ พักหลังๆ แม่มักจะโทรฯ มาร้องไห้ ให้ผมฟังเสมอ

	พ่อบอกในวันรับปริญญาของผมว่า กูส่งมึงจบแล้ว หมดหน้าที่ของกูแล้ว ต่อไปนี้กูจะทำเพื่อตนเองบ้าง แล้วแล้วแกก็ตกเป็นทาสของสุรา พระเจ้าของผมก็จบฉากลง				
21 พฤษภาคม 2550 11:15 น.

สาเหตุย้ายบ้าน

ใบคา

ชนบทชายแดนใต้จังหวัดนราธิวาส อ.แว้ง เมื่อสิบปีก่อน ภาพในความทรงจำฉายให้เห็นอย่างไรปัจจุบันก็ยังคงสภาพนั้นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง มีก็แต่สิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ต้นไม้ หมาแดงตัวนั้นเมื่อสิบปีก่อนตอนนี้ไม่มาคอยเห่าหอนอีกแล้ว แต่กลายเป็นไอ้ดำ ไอ้ด่าง และอีกหลายๆ ไอ้ ที่เสนอหน้าเข้ามา เด็กชายและเด็กหญิงถูกนำหน้าด้วยนางสาว และนาย บางรายมีเด็กหญิงเด็กชายให้จูงมือ หลายคนก็ย้ายถิ่นฐานออกไปด้วยเหตุผลที่ไม่ซ้ำกัน

	เรื่องการย้ายถิ่นเลี้ยงชีพ มีหลายรายและบ่อยวัน เรื่องราวเหล่านั้นเข้ามาทักทายเส้นประสาทเล็กน้อยเพียงเพื่อไม่ให้ตกข่าวว่าใคร ไปไหนมาไหนบ้างในหมู่บ้าน ไม่นานก็เลิกสนใจ จะขุดคุ้ยกันอีกทีก็เมื่อหมดเรื่องสนทนาในวงเหล้าในคืนต่อๆ ไป

	จุดประสงค์ และวิธีการของคนที่ย้ายไปนั้นไม่สำคัญสำหรับผม ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว แต่หนึ่งในนั้น การย้ายบ้านของเขาเกี่ยวข้องกับผมโดยตรงจนไม่อาจลืมได้ทุกครั้งที่เหงาก็ต้องคิดถึงเรื่องครั้งนั้น และพาลขนลุกทุกทีไป

	เขาไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่มีลูกกับคนอำเภอข้างเคียงของที่นี่ และได้ย้ายเข้ามาดูแลสวนให้กับเจ้าของสวนยางพาราคนหนึ่งที่มาซื้อเอาไว้แล้วไร้คนดูแล เขาและครอบครัวจึงได้เข้ามาเป็นสมาชิกของหมู่บ้านโดยไม่นานวัน ผมเรียกเขาว่า อิ๊ เพราะเขาบอกว่าให้เรียกอย่างนี้ โดยอ้างว่านี่คือชื่อที่บุพการีเรียกขานมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก

	พี่อิ๊ (เขาแก่กว่ามาก) เป็นคนดีโดยที่ไม่ต้องเสแสร้ง เขาทำให้ทุกคนในหมู่บ้านรักได้โดยไม่ยากเย็น และดูว่าจะอาศัยอยู่ได้นานเลยทีเดียว แต่บังเอิญว่าบ้านหลังน้อยๆ ที่เพิ่งสถาปนาตัวเองจากกระต๊อบด้วยปีกไม้ที่แน่นหนาจากฝีมือของเพื่อนบ้าน ซึ่งสร้างขึ้นทับรอยบ้านหลังเก่าที่ผุพังเกือบหมด บ้านเก่าหลังนี้ผมยังเคยวิ่งเข้าไปเล่นซ่อนหากับเพื่อนเป็นประจำและได้ผลดีนัก เพราะว่าเป็นพื้นที่ป่ารก เนื่องจากไม่มีคนดูแล ทราบมาว่าเจ้าของประกาศขายนานแล้ว แต่ยังไม่มีใครมาซื้อสักที จึงต้องปล่อยเลยตามเลย สภาพบ้านที่โทรมและป่ารกรอบข้างดูช่างน่ากลัว แต่ผมต้องวางเหตุผลของความหวาดกลัวนั้นลงไปก่อน ด้วยว่าต้องการชัยชนะในการซ่อน

	ได้ผลเป็นที่สุด จนกระทั่งวันหนึ่งขี้เมานายหนึ่งเดินเตร่ออกมาจากบ้านของผม (เพราะที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของความเมา และเขาจะไปจบมันที่บ้านซึ่งห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตรโดยวิธีการเดิน) ยิ่งเดินหัวของเขาก็เกิดอยากเปลี่ยนหน้าที่กับเท้าบ้าง ระยะทางจึงดูไกลออกไป เขาตัดสินใจพักนอนในบ้านหลังนั้น ไม่นานเกินรอความเมามลายหายสิ้นด้วยเงาตะคุ่มๆ ดำขลับ และแรงลมพัดหวิวกระทบและหยุดนิ่งคล้ายคนร่างใหญ่ยืนก้มมอง ไม่ต้องถามที่มาที่ไปเขารีบนำสติที่กลับคืนมาย้ายออกจากที่นั่นโดยไว

	และนี่คือเรื่องที่ผมได้ฟังจากปากขี้เมาคนนั้น ด้วยเหตุนี้บ้านหลังนั้นจึงไม่มีใครย่างกรายเข้าใกล้อีก จนกระทั่งเจ้าของสวนคนใหม่จ้าง พี่อิ๊ เข้ามาดูแล การถากถางจึงเกิดขึ้น บ้านก็ถูกรื้อสร้างกระท่อมน้อยๆ ทับที่ส่วนนั้น แล้วเพื่อนบ้านมาเสริมความคงทนให้เพราะความดีของ พี่อิ๊ คนในหมู่บ้านบางคนยังคงเอาเรื่องของนักนิยมความเมาคนนั้นพบเจอมาพูดคุยกับพี่อิ๊เสมอ เมื่อมีโอกาสบางคนบอกว่าเหตุการณ์นั้นคือการเลือกบ้านของผี เมื่อมันเห็นว่าไม่มีคนอยู่แล้วมันก็จะยึดเอาบ้านหลังนั้นเป็นของตัวเอง และที่สำคัญทำเลตรงนั้นเหมาะกับการอาศัยของผีเร่ร่อน ที่เริ่มเบื่อการพเนจร และอะไรอีกยืดยาวที่เพื่อนบ้านป้อนให้ ก่อนจบบทสนทนาก็ถามเขาบ้างว่าเคยเจอบ้างไหม พี่อิ๊สั่นหัวเป็นคำตอบ เขาไม่เคยเจอสิ่งที่เรียกว่าผีเลยสักครั้ง และไม่ได้ปฏิเสธว่าโลกนี้ไม่มีผี เขายังคงเชื่อว่าที่ผีไม่มารังควาน เขาและลูกเมียนั้นเป็นเพราะบารมีของเจ้าแม่กวนอิมที่นับถือ

	ตอนเย็นขณะที่พี่อิ๊นั่งเล่นกับลูกเมียหน้าบ้านอย่างทุกวันที่ชาวบ้านมักพบเจอ จู่ๆ เขาก็เกิดช็อกแน่นิ่งไป แม่ของผมถูกตามตัวให้เข้าไปช่วยเหลือเป็นคนแรกเพราะพี่อิ๊นับถืออยู่บ้าง เพราะท่านค่อนข้างอยู่ในข่ายที่เรียกได้ว่าใจดี หลังจากนวด เค้น คลึง บริเวณกระหม่อม เขาก็ฟื้นขึ้นด้วยสายตาเหม่อลอย และหวาดระแวงพูดจาน้อยลง รวมทั้งปริมาณอาหารที่ป้อนลงท้องก็น้อยตามไปด้วย 

	หลังจากเหตุการณ์นั้น ทุกเย็นเขาจะช็อกกระตุกทุกครั้ง พร้อมกับเรียกหารูปเจ้าแม่กวนอิม ต่อเมื่อได้กอดรัดรูปนั่นแหล่ะถึงจะสงบ หลังๆ หนักเข้าถึงขั้นกัดลิ้นตัวเอง ฟูมฟายถึงคนที่ปองร้ายตัวเอง บ่นเพ้อว่าจะมีคนมาเอาชีวิต ต้องอยู่ใกล้เจ้าแม่ให้มากที่สุดถึงจะปลอดภัย หลายคนในหมู่บ้านว่าไม่สบายแน่นอน พี่อิ๊จึงถูกนำส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดโดยที่กอดรูปเจ้าแม่กวนอิมทุกขณะ นางและบุรุษพยาบาลพยายามเอาออกเท่าไหร่ก็ไม่ยอม อยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็ต้องออกมาเพราะหมอวินิจฉัยโรคไม่เจอ

	พี่อิ๊กลับมาด้วยอาการเช่นเดิม แต่หนนี้เขาเข้ามาพักที่บ้านของผม เนื่องจากเมียพี่อิ๊ไม่ยอมให้อยู่กระท่อมหลังนั้นอีกเพราะเธอเชื่อเรื่องอดีตผีเร่ร่อนตนนั้น และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ผมไม่อาจลืมต้นเหตุการณ์ย้ายบ้านของพี่อิ๊ได้เลย

	เหมือนเดิมทุกๆ เย็นเขาจะร้องไห้ฟูมฟาย ถึงขนาดควักลูกตาตัวเองออกมาแล้วพูดพร่ำว่าเดี๋ยวก่อนกำลังจะเอาให้ เมื่อเอ่ยถามว่าพูดกับใครเขาบอกว่าคุยกับคนตายและเอ่ยชื่อคนนั้นได้ถูกต้อง ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน นอกจากนั้นยังบอกตำแหน่งที่ตายได้แม่นยำ พี่อิ๊บอกว่าคนนั้นกำลังมาคอยเอาตาของเขา และเขาพร้อมที่จะให้ เพียงเท่านี้ทำเอาขนลุกซู่ได้นานหลายนาที

	ญาติของคนตายที่พี่อิ๊อ้างถึงเมื่อรู้เรื่องราวจากปากของแม่ ก็พากันมาหาและถามเขา หลังจากนั้นเหตุการณ์อย่างนี้ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเพราะว่าญาติคนนั้นได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ผมก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่ยังไม่หมดเท่านั้น อาการชักตอนเย็นยังไม่ยอมหายต่อไป ทีนี้เขาไม่อ้างเรื่องคนตายมาหา แต่จะบ่นหิวๆ กินทุกอย่างแม้กระทั่งลิ้นตัวเอง ผมสังเกตเห็นเลือดไหลกรกปาก ทุกคนห้ามจับมือและเท้าเอาไว้คนละข้าง อาการคล้ายๆ คนเป็นลมบ้าหมู พูดคุยกับด้วยเขารับรู้ทุกอย่าง สายตามองด้วยความวิงวอนว่าช่วยด้วยแต่การกระทำนั้นต่อต้านทุกอย่าง หยดน้ำตาจากเมียเขาหยดไม่หยุดสายทุกครั้งที่มีอาการ ส่วนลูกน้อยนั้นเงียบงันไม่แสดงอาการอะไร

	วิธีทางไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ถึงขั้นมีการเข้าทรงเพื่อปราบผีร้ายตนนั้นถึง 3 ร่างทรง ผลก็คือบทสรุปจากปากหมอผีว่าไม่สามารถปราบได้มันร้ายเหลือเกิน ขืนทำลงไปอาจทำให้ผู้ช่วยเหลือซึ่งคือตัวพ่อหมอเองตายได้ เหตุการณ์เหมือนจะไร้ทางเยียวยาขึ้นทุกทีสภาพของพี่อิ๊ก็อิดโรยลงทุกวี่ ไม่เหลือเคล้าโครงของคนปกติ วิธีสุดท้ายที่ผมและครอบครัวช่วยได้คือ พาไปรดน้ำมนต์และผูกสายสินธุ์ ดีขึ้นสองสามวัน วันที่สี่เขาขอเข้าห้องน้ำด้วยอาการปกติ เข้าไปนานเกินควรหลังจากนั้นมีเสียงตึงตังขึ้นมา บานประตูจึงถูกเปิดออกด้วยแรงถีบของชายร่างใหญ่ที่เข้าช่วยเหลือ ภาพที่เห็นคือพี่อิ๊นอนกัดลิ้นตัวเอง ส่วนตานั้นเหลือกขึ้นข้างบน สายสินธุ์ในมือหายไปไหนไม่รู้ หลังจากนำตัวออกมาแล้ว และเขาสงบลงบ้างเพราะสายสินธุ์เส้นใหม่ ผมเข้าไปหาสายสินธุ์ที่หายไปในห้องน้ำไม่พบแม้แต่ร่องรอย สันนิษฐานว่าเขาคงราดน้ำลงโถส้วมไปแล้ว มารู้ความจริงภายหลังว่าเขากลืนมันลงท้องไป ก็เมื่อพี่อิ๊อ้วกออกมาในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง

	สุดปัญญาของมันสมองเพื่อนบ้านเรือนเคียง ความรู้อันน้อยนิดของผมไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไรเพราะใช้หมดไปกับเรี่ยวแรงฉุดรั้งร่างกายเขา และวิธีสืบสวนสืบหาสายสินธุ์ที่สูญไป

	ภรรยาเขาตัดสินใจล่ำลา แล้วพาพี่อิ๊กลับไปรักษาที่บ้าน นับจากวันนั้นผ่านไปหนึ่งเดือนภรรยาของพี่อิ๊กลับมาเยี่ยมเยียนเราเพราะบังเอิญผ่านมาทำธุระแถวหมู่บ้านใกล้เคียง บทสนทนาที่สำคัญคือการสอบถามเรื่องราวของพี่อิ๊ ได้ความว่าพอกลับไปถึงบ้านเขาก็กลายเป็นปกติ และจะไม่ขอกลับมาที่นี่อีก


*******************				
10 พฤษภาคม 2550 16:46 น.

ตุ๊กตาเต้นรำ

ใบคา

แสงจากไฟนีออนส่องทาง ของกรุงเทพฯ ย่านเตาปูน ทำให้มองเห็นบ้านสองชั้นสีขาวรายล้อมด้วยรั้วไม้สีน้ำตาลประดับด้วยไม้เถาดูสวยงามและเข้ากันได้ดี อย่างถนัดตา ในซอยที่มีบ้านเดี่ยวรั้วกั้นเป็นหลังๆ ย่อมทำให้บรรยากาศเงียบขรึมไร้เสียงเร่งเครื่องของแก็งค์มอเตอร์ไซค์ที่คอยก่อกวนระบบโสตประสาทยามค่ำคืน แต่จะมีเสียงกรีดร้องของจั๊กจั่นแว่วมาบ้างเป็นระยะๆ ยิ่งช่วงปลายฤดูหนาวอย่างนี้ มีให้ฟังได้ทุกมุมแม้จะเป็นในเมืองก็ตาม

	ดูแลบ้านดีๆ ล่ะอย่าเหลวไหลวันนี้แม่กับพ่อกลับดึกหน่อยนะ เสียงแม่กระชับสั่งเพื่อความมั่นใจว่าลูกทั้งสองจะทำตามที่ปรารถนา

	ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าและเสียงอือ ในลำคอ ของลูกๆ หน้าจอทีวี แม่ก็ถือว่านั่นคือคำสัญญาของลูกทั้งสอง และคงกลับมาในสภาพบ้านที่เหมือนเดิม เพราะหลังจากเมื่อครั้งก่อนแม่กลับมาพบว่าบ้านไม่มีคนอยู่ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับของมีค่าบางชิ้นที่มันน่าจะอยู่ที่เดิมก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งน่าแปลกที่ของราคาแพงกว่านั้นไม่หายไปด้วย หรือเป็นเพราะว่านักย่องเบามักน้อย ถึงแม้จะปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากมือกฎหมายแม่ก็ไม่อาจลดโทษให้กับลูกได้ แต่คราวนี้แม่ยังเชื่อใจลูกเหมือนเดิมเพราะครั้งนั้นคงเป็นบทเรียนที่ดี

	อาณาเขตรั้วไม้สีน้ำตาลของบ้านหลังนี้ล้อมรอบบ้านถึงสองหลังด้วยกัน หลังเล็กเป็นบ้านของน้าซึ่งอยู่ถัดไปเพียงวาเศษๆ บ้านหลังใหญ่คือบ้านของแม่ ที่พวกเขาต้องดูแลไม่ทิ้งหน้าที่หนีไปเที่ยวเหมือนคราวก่อน จนทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ผมตัดใจไม่ชวนน้องชายออกไปเที่ยวนอกบ้านแต่ด้วยความเป็นวัยรุ่น การอยู่บ้านกับการจมอยู่หน้าจอทีวี เป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับเขามากๆ

	ตุ๊กตาสาวญี่ปุ่นในชุดกิมีโนสีแดงยืนทำท่ากรีดกรายพัดอย่างสวยงามในตู้กระจกใส ดวงตามีแววของความสนุก ผสมกับริมฝีปากสีแดงดูเหมือนว่ามันกำลังยิ้มกับท่วงท่าที่ทำอยู่ ผมละสายตาจากทีวีจ้องมองตุ๊กตาตัวนั้นด้วยความรู้สึกที่แปลกๆ ตั้งแต่ที่มันเดินทางจากร้านขายของเก่าในญี่ปุ่นเมื่อหลายปีก่อนด้วยความอนุเคราะห์ค่าเครื่องบินจากยาย ตุ๊กตาตัวนี้ก็มาเป็นสมาชิกบ้านในฐานะเครื่องประดับอย่างหนึ่ง  ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้มันไม่เคยดูสดใสและสวยงามเท่านี้มาก่อนเลย หรือเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้สนใจมัน

	พี่ ผมเล่นเกมส์นะ ไม่มีอะไรน่าดูเลย นั่นหมายถึงการจบการรับภาพจากจอทีวีของผม

	ไม่รอคำตอบแต่อย่างใดน้องชายก็ขนเครื่องเล่นเกมเสียบเข้ากับทีวีและใส่แผ่นเล่นทันที

	คืนวันศุกร์ทำให้ไม่อยากรีบเข้านอน เพราะตอนนี้นาฬิกาบอกว่ายังแค่ 3 ทุ่มเท่านั้นเอง ผมเดินตรงไปที่ตู้กระจกใสซึ่งเก็บตุ๊กตาตัวนั้น เปิดผ้าคลุมเปียโนข้างๆ ออกสะบัด ฝุ่นเริ่มจับนิดหน่อย เศษฝุ่นลอยปลิวอย่างเห็นได้ชัด ผมยืนนิ่งมองดูฝุ่นนั้น ในใจคิดว่านานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้บรรเลงเพลงเพราะๆ จากเปียโน 

	เกือบเดือนแล้วสิเน๊าะ ปมบ่นเบาๆ 

	นานมากแล้วที่ไม่ได้เล่นมัน ทั้งๆ ที่คืนนี้ก็ไม่อยากเล่นซักเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนต้องการจะลุกไปร่วมเล่นเกมส์กับน้อง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงทำให้มายืนอยู่ตรงนี้ได้ คงเป็นเพราะสีสันที่ดูสดใสขึ้นของตุ๊กตาตัวนั้น และท่าทางของมันที่ดูแปลกตาไป จนทำให้อยากเล่นดนตรีโดยไม่รู้ตัว

	เสียงนิ้วสัมผัสคีย์แรกของเปียโน ดนตรีเริ่มบรรเลงเป็นจังหวะช้าๆ น้องชายหันมามองหลังผมเพราะเปียโนกับจอทีวีอยู่ตรงข้ามกัน แต่ก็ไม่ห่างกัน น้องชายหรี่เสียงเกมส์ลงเพราะเวลานี้ไม่มีเสียงไหนที่จะเพราะเท่าเสียงดนตรีจากปลายนิ้วพี่ชายได้อีกแล้ว น้องชายยังชอบนอนฟังผมเล่นอยู่เป็นประจำ หากครั้งนี้ไม่ติดกับว่าเกมส์กำลังมันส์คงได้เห็นภาพน้องชายนอนคว่ำอ่านหนังสือบนโซฟานุ่มๆ อย่างเป็นแน่

	ดนตรีบรรเลงเพลงช้าๆ ได้ซักพักก็เปลี่ยนท่วงทำนองเป็นเร็วบ้าง
 
	แป็กๆๆ! น้องชายหันหลังขวับตามเสียงที่ได้ยิน ในขณะที่ ผมเองหันขวามา สิ่งที่เราเห็นคือบานของตู้กระจกสั่นอย่างแรง เกิดการกระแทกกันระหว่างตัวล็อกและบานกระจกเสียงดังกลบเสียงดนตรี 


	ขนหัวทั้งสองลุกซู่ ในขณะที่สีหน้าเริ่มซีดลงหันมองหน้ากันตาไม่กระพริบ เสียงนั้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง โพล่ง! บานกระจกเปิดออกมาอย่างจังเหมือนมีใครผลักออกมาจากข้างใน เราทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งมองน่ากัน ผมเริ่มยิ้มให้น้องชาย แต่รอยยิ้มนั้นกลับกลายเป็นเสียงร้องอย่างตกใจ เมื่อตุ๊กตาในชุดประจำชาติสีแดงสดแสยะยิ้มออกมาด้วยท่าทางดีใจ หัวโยกไปมาซ้ายขวา บานประตูเริ่มกระทบเปิดปิดอีกครั้งเสียงดังเป็นจังหวะเข้าทำนองกับการส่ายพัดของสาวน้อยตัวนั้นอย่างสอดคล้อง ตุ๊กตายังคงร่ายรำอย่างสนุกสนาน แต่เรานิ่งเงียบ ลำคอแห้งผาด ริมฝีปากสั่นไล่ลงมาจนถึงขา 

	ปึ๊บ! เสียงบานกระจกกระทบปิดอย่างแรงเสียงดังลั่นบ้านปลุกให้ผมและน้องตื่นจากอาการตกตะลึง สืบเท้าตัวเองวิ่งแจ้นออกมายืนจับมือกันสั่นอยู่หน้าบ้านท่ามกลางเสียงระงมของจักจั่น และเสียงหมาหอนอย่างโหยหวน 
เสียงดนตรี แป็กๆ ในบ้านยังคงดำเนินต่อ พร้อมนางรำที่ร่ายรำอย่างสุขใจ  
เรายืนฟังครู่ใหญ่ เสียงหายไป ผมตัดสินใจชวนน้องเดินกลับเข้าไปพร้อมกัน ผมกึ่งลากกึ่งผลักน้องชายให้เข้าไป

ตุ๊กตาหยุดแล้ว มีหยดน้ำใสๆ หยดจากแก้มเปื้อนความสุขของมัน

ผมหลับตาเอื้อมมือไปปิดบานกระจกที่ยังคงอ้านั้นให้เข้าที่เดิม พร้อมล็อกมันให้เหมือนอย่างที่เคยเป็น ตามด้วยวันทาสวยๆ หนึ่งที

หลังจากนั้นงานเฝ้าบ้านเราไม่รับอีกเลย

........................				
10 พฤษภาคม 2550 10:25 น.

เมื่อบรรยากาศสร้างเสียงเพลง

ใบคา

บรรยากาศและเสียงเพลงเมื่อกาละและเทศะเหมาะเจาะ ก็เหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุนไปโดยปริยาย แม้ห้วงเวลานั้นไม่มีแม้กระทั่งเสียงเพลงมาบรรเลงเคลียเคล้าให้ได้ยิน แต่ทว่ามันพร้อมจะโลดแล่นเสมอในจินตภาพถ้าหากว่าบรรยากาศนั้นเอื้ออำนวย เหมือนดั่งผม แสงจันทร์ และบทเพลง โลกก็หยุดหมุนลงทันที

	ในท้ายบรรทุกของรถกระบะบนถนนมิตรภาพ ฝูงชนเบียดแน่นในพาหนะของตน บนถนนลาดยางคลาคลั่งไปด้วยรถหลากหลายรุ่น และสีสัน ผมเป็นหนึ่งในขบวนการความสับสนวุ่นวายนั้น เพราะหนทางเดียวที่ประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุดในการเดินทางเข้า กทม. หลังกลับต่างจังหวัดเยี่ยมเยียนญาติ พี่ น้อง ก็คืออาศัยรถเพื่อนบ้านเข้าเมืองนั่นเอง แม้จะลำบากกายนิดหนึ่ง แต่ก็ยังถือว่าดีอยู่

	จริงๆ แล้วแม่ พ่อ ไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอก เพียงแค่ไปเยี่ยมญาติ เปลี่ยนบรรยากาศ และวัฒนธรรมต่างถิ่นบ้างก็เท่านั้น ซึ่งก็ได้รับเป็นอย่างดี ความแปลก (แต่ไม่ใหม่ เพราะชาวบ้านแถบนั้นเขาทำมาเป็นร้อยๆ ปี จะมาว่าใหม่ก็กระไรอยู่) ที่ได้เห็น สร้างแรงบันดานใจหลายหลาก มันสร้างความสบายใจให้มากทีเดียว ที่สำคัญผมได้รู้จักกับสาวงาม และสร้างสัมพันธ์อันดีเอาไว้แล้วด้วย แต่น่าเสียดายที่เวลาน้อยและไม่รู้ว่าจากกันหนนี้เมื่อไหร่ผมจะได้หวนกลับมาอีกครา การสานสัมพันธ์ของเราก็คงต้องอาศัยเครื่องมือสื่อสารเท่านั้น รักแท้อาจจะแพ้ใกล้ชิดไปในที่สุด แม้รู้ถึงเพียงนั้นก็สุดจะหาทางแก้ไขเพราะจนด้วยว่าขาดทั้งเงินรอน และเวลา เนื่องจากยังยึดอาชีพนักเรียนอยู่นั่นเอง 

เวลานั้น ในท้ายกระบะ เหมือนใบหน้าเธอลอยเด่นบนท้องนภา ดวงจันทร์ข้างขึ้นเกือบเต็มดวงที่ไร้เมฆบดบังช่างคล้ายดวงหน้าเธอมายิ้มส่ง แก้มขาวผ่องของเธอผุดขึ้นในมโนภาพของผมไม่รู้เลือน เสียงเครื่องยนต์ที่ขู่กระชากถนนลาดยางเปรียบดั่งเสียงเครื่องดนตรีขับบรรเลงเพลง แสงจันทร์ เข้าโสตประสาทอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์กระจ่าง ส่องนำทางสัญจร คิดถึงนางฟ้าอรชร ป่านนี้น้องนอนหลับแล้วหรือยัง แสงจันทร์นวลไย ข้าฯจ่อมจมอยู่ในภวังค์... และแล้วผมก็จ่อมจมอยู่ในภวังค์ ความหลังที่มีแต่เธอคนนั้น โอ้ความรักในวัยสดใส ช่างสุกสกาวอะไรเช่นนี้ แม้เวลาจะน้อยนิดก็ตาม เหตุใดมันฝังรากลึกได้ถึงเพียงนี้นี่

ผมนั่งท้ายรถ ไม่มีแม้วิทยุหรือเครื่องเล่น MP3 ช่วยขับไล่ความเหงา ผมมีเพียงบรรยากาศยามมืดค่ำ เสียงท่อไอเสีย แสงจันทร์ และห้วงภวังค์ที่ก่อตัวหนาขึ้นๆ ตามระยะทางที่ห่าง เพลงที่เคยฟัง เมื่อพบบรรยากาศที่ตรงประเด็น มันก็บรรเลงขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ ผมไม่เคยคิดจะร้องเพลงในเวลาเช่นนี้ เวลาที่ทุกคนจ้องจะเข้าเมืองหลวงหลังเยี่ยมบ้านในวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ คงไม่มีใครสุนทรียะถึงขนาดอยากขับขานตำนานเพลงใดๆ แต่กรณีผม มันเกิดมาเอง

เพลง แสงจันทร์ เล่นวนอยู่อย่างนั้น ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง ภาพบนแสงนวลจันทร์เปลี่ยนจากใบหน้าเธอ เป็นเราสองนั่งคลอเคล้าลมหนาวชมหนังกลางแปลงในคืนวันนั้น ผมและเธอหยอกเย้าบนกระเช้าลอยฟ้า ที่ใครๆ ต่างขนานนามว่า ชิงช้าสวรรค์ เธอยังนั่งไม่ครบรอบดีก็ร้องขอให้คนคุมเครื่องเล่นปล่อยลง แล้วปั้นหน้าทะเล้นใส่ผม ก่อนจะวิ่งเยาะๆ ไปนั่งชมวงดนตรีลูกทุ่งในคืนถัดมา มันเป็นความสุขที่ได้ระลึกถึง เป็นความเศร้าที่ต้องพรากจากลา

ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยลืมเอาไว้ในกระเป๋าสัมภาระที่วางทับซ้อนกันจนยากจะเอามาดอมดม แต่กลิ่นเธอก็คล้ายวนเวียนรอบๆ จมูกไม่รู้คลาย รถเคลื่อนไปไกลเท่าไหร่แล้วไม่รู้แต่ผมยังคงอยู่กับเธอในคืนฉลองปีใหม่ของหมู่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน

ทุกครั้งที่คิดถึงเธอ ผมมักเปิดเพลง แสงจันทร์ เบาๆ นอนหงายหลับตาปริ่มเพียงเท่านี้เธอก็มาอยู่ข้างๆ แต่คราวใดที่หลุดออกจากกาลเวลานั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้จะมีใครเคียงกายเธอชมหนังกลางแปลงอยู่ไหมหนอ เฮ้อ!				
8 มีนาคม 2550 10:36 น.

ลูกเครื่องบิน

ใบคา

แม้   3   จังหวัดชายแดนใต้จะระอุเพียงไร   แต่โลกของเด็กก็ยังไม่โดนทำลายไปเสียทีเดียว   เด็กชายป๋องและเด็กชายโชคยังใช้ชีวิตวัยเด็กไปตามประสา   พวกเขาไม่กลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นเพราะไม่เคยออกไปไหนไกลเกินละแวกบ้านที่มีอยู่ด้วยกันไม่กี่หลังคาเรือน 
  
     ขณะที่โชคนั่งกอบดินตรงลานโล่งข้างบ้านอยู่ลำพัง   ป๋องก็โผล่เข้ามาหา 
  
     ทำอะไรโชค   ป๋องถาม  
 
     สร้างบ้านให้หุ่นอยู่   โชคตอบพลางเอามือทั้งสองตบดินที่กอบขึ้นมาลักษณะเหมือนการปรบมือโดยมีดินอยู่ตรงกลาง   สร้างให้เป็นกำแพงเล็กๆ   ทั้งสี่ด้าน   โดยมีหุ่นยางตัวน้อยวางข้างตัว 

     แม่มึงอยู่ไหม   ป๋องถามเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใหญ่อยู่   เพราะการเล่นซนจะเพิ่มรสชาติขึ้น 

     ไปตลาด   โชคตอบโดยไม่เงยหน้ามอง 

     เล่นมั้งดิ   ป๋องเข้าไปนั่งยองๆ   ใกล้โชค  
 
      เบื่อแล้ว   โชคตอบพร้อมลุกขึ้นปัดมือ   เล่นลูกเครื่องบินกันดีกว่า   ป๋องยิ้มรับ   ซึ่งเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบทั้งหลาย 

     เมื่อตกลงกันได้   ป๋องก็เลือกหาก้อนหินเล็กๆ   เพื่อใช้ในการทอยหรือที่ทั้งคู่เรียกว่า   เกย   ตามบริเวณลานกว้างนี้   ส่วนโชคไม่ต้องหาเพราะเขามีตัวเกย   ที่ซ่อนไว้ข้างบ้านแล้ว   เนื่องจากใช้เป็นประจำ   เพราะป๋องเป็นขาจรจึงไม่ได้เก็บเอาไว้   ถึงเก็บเอาไว้ก็ต้องอันตธารหายไปทุกที 
  
     ป๋องเลือกเอาก้อนหินเล็กๆ   ที่แบน   เพื่อให้ง่ายต่อการทอย   เวลาโยนมันลงบนพื้นแล้วมันจะหยุดอยู่กับที่ทันทีไม่กระดอนไปไหน   ส่วนของโชคนั้นไม่ใช่ก้อนหินแต่เป็นเศษกระเบื้องมุงหลังคา   ที่เขาเพียรพยายามขูดมันด้วยผนังบ้านที่ฉาบด้วยปูน   จนมันกลมสวยงามขนาดเหรียญห้าบาท 

     เมื่อเห็นว่าป๋องได้เกย   อันเป็นที่พอใจแล้ว   โชคเริ่มวาดตัวเครื่องบินทันที   โดยเอาเศษไม้วาดเป็นรูปไม้กางเขนขนาดใหญ่บนลานดินนั่นเอง   แล้วตีตารางเป็นช่องๆ   ส่วนโคนที่ยาวลงมานี้เขาขีดเป็นสามช่องด้วยกัน   นอกนั้นคือส่วนหัว   ส่วนปีกอย่างละช่อง   และตรงกลางหนึ่งช่อง 

     ทั้งคู่เสี่ยงหาผู้เริ่มเล่นก่อนโดยการเจาะเป็นรูเล็กๆ   ตรงบริเวณเหนือหัวรูปไม้กางเขน   หรือเครื่องบินนั้น   แล้วทอยเกยว่าใครจะอยู่ใกล้รูที่สุด   คนนั้นก็ได้เริ่มก่อน   เกยของป๋องกระทบของโชคที่ทอยไปก่อนหน้านี้แล้ว   สรุปว่าป๋องเป็นฝ่ายแพ้ฟาล์วไป   เนื่องจากทั้งคู่วางกติกาไว้ว่าห้ามกระทบของฝ่ายตรงข้ามเด็ดขาด   หากเป็นเช่นนั้นจะปรับแพ้ทันที   ด้วยเหตุนี้โชคจึงเป็นฝ่ายเล่นก่อน 
เกยของพวกเขาอยู่ในช่องแรก   โชคยืนด้วยขาข้างเดียวแล้วกระโดดไปทีละช่อง   โดยไม่เหยียบลงในช่องที่มีเกยอยู่   เขากระโดดด้วยขาเดียวไปจนครบทุกขั้น   โดยเริ่มจากปีกขวาไปส่วนหัว   แล้วมาปีกซ้าย   หลังจากนั้นจะมาหยุดยืนสองขาในช่องตรงกลาง   แล้วจึงจะเริ่มกระโดดขาเดียวมาตามโคนอีก   พอมาถึงตรงที่เกยวางอยู่   โชคก็ก้มลงหยิบของตัวเอง   หลังจากที่ทรงตัวอยู่ได้ด้วยขาเดียวแล้ว   ก็ดีดตัวเองออกมาจากช่องนั้นทันที   รอบนี้โชคทำได้ดี   ไม่มีการล้ม   หรือเหยียบเส้นตารางแต่อย่างใด   ดังนั้นโชคจึงมีสิทธิ์เล่นต่อได้   คราวนี้โชคต้องทอยเกยขึ้นไปในตารางถัดไปอีกหนึ่งขั้น   ก็เท่ากับว่าช่องที่โชคเหยียบไม่ได้นั้นมีสองช่องติดกัน   ทำให้การกระโดดไปในขั้นที่สามทันทีด้วยขาเพียงข้างเดียวนั้นยากขึ้นกว่าเก่า   แต่ทว่าโชคก็ยังไม่พลาดอยู่ดี 

     หลังจากรอบที่สองผ่านไปด้วยความสำเร็จโชคหันมายิ้มให้ป๋องที่ยังไม่มีโอกาสได้เล่น   เป็นไงๆ   เขาเยาะ 

     เออ!   กูว่าไม่ทันถึงปีกหรอก   ป๋องว่า 

     แล้วคอยดู 

     เป็นจริงอย่างที่ป๋องว่า   โชคเพลี้ยงพร้ำล้มลงขณะที่ก้มลงหยิบเกยของตัวเองในขากลับ   โชคปัดดินออกจากเสื้อผ้า   แล้วตกแต่งเส้นให้ดูชัดขึ้น   เพราะเขาล้มทับหายไป 

     ป๋องเล่นต่อไป   ป๋องไม่พลาดเหมือนโชค   ป๋องผ่านมาได้จนถึงส่วนหัวของเครื่องบิน   ซึ่งแซงหน้าโชคมามาก   เขายิ้มร่าจนเห็นเหงือกแดงๆ   อย่างมีความสุข   

     ฝ่ายโชคเห็นว่าป๋องยิ้มเยาะอย่างนั้น   ก็เพียรเหย้าแหย่ให้ป๋องเพลี้ยงพร้ำตลอดเวลา 

     อ่ะ   แน่ะๆ   โชคแหย่ขณะที่ป๋องยืนขาเดียวจะกระโดดกลับมา   เฮ้ยๆๆ   ตายๆ   โชคยังไม่ยอมเลิก 

     ป๋องเล่นได้จนครบรอบโดยไม่พลาด 

     มึงอย่าทำอย่างนั้นสิ   กูไม่ชอบ   กูเกือบล้มแล้ว   ป๋องติโชค 

     อ้าวเก่งจริงต้องไม่ล้มสิ   โชคทำหน้าทะเล้นใส่ 

     ถ้ามึงทำอีกกูชกมึงแน่   ป๋องเริ่มไม่พอใจ   แล้วหันไปทอยเกยไปปีกซ้ายทันที   เมื่อเห็นว่าทอยไม่พราดเขาก็กระโดดขาเดียวเริ่มต้นไปใหม่ 

     ป๋องๆ   โชคเรียกให้ป๋องหันกลับมาขณะที่กำลังกระโดดข้ามช่องที่มีเกยของโชคไปส่วนปีกขา   ทำให้ป๋องกระโดดพลาดไปเหยียบเส้นทันที   ตายๆ   ออกเลยๆ   โชคบอกให้ป๋องรีบออก 

     ไม่เอามึงหยอกกู   ต้องเริ่มใหม่   ป๋องไม่ยอม 

     โกง   ไม่ได้ๆ   ตายแล้วต้องออก 

     ก็มึงแกล้งเรียกให้กูหันหลังไปหา   กูเลยโดดพลาดไปเหยียบเอาเส้น   ป๋องอธิบาย 

     ไม่ได้ๆ   โชคไม่ยอม 

     ตึก!   เสียงก้นของโชคกระแทกพื้น   เพราะแรงพลักของป๋อง
 
     ไอ้หมา   โชคด่าทั้งๆ   ที่ก้นยังคาอยู่ที่พื้น   ส่วนป๋องนั้นยืนนิ่งกำหมัดแน่น 

     จะเอาไงหา!   โชคตะคอกใส่ทันทีที่ยืนขึ้นได้   เอาไง   เขากระแทกเสียงใส่พร้อมกับผลักอกของป๋องถอยไปก้าวหนึ่ง 

     มึงแหล่ะหมา   ป๋องด่ากลับ 

     แน่จริงมึงเข้ามาดิ   เข้ามา   โชคด่า   ชูกำปัดขึ้นหราๆ 

     มึงก็เข้าก่อนสิ   กูชกปากแตกแน่   ป๋องท้าทาย 

     ได้!   โชคหยิบเอาไม้ที่ใช้ขีดเล่นลูกเครื่องบิน   ขึ้นมาขีดเส้นยาวแบ่งระหว่างป๋อง   กับเขา   ลานกว้างข้างบ้านขณะนี้กลายเป็นสองส่วนคือส่วนของป๋องอยู่ฝั่งหลังบ้าน   ทางข้างโชคนั้นเป็นหน้าบ้านและเป็นทางที่ป๋องต้องผ่านเพื่อกลับบ้าน   งั้นมึงอย่าเข้ามาแดนกู   มึงเข้ามาโดนชกแน่   โชคว่า 

     ป๋องใจสั่นนิดๆ   เนื่องจากเขาต้องผ่านทางที่โชคห้ามเพราะนั่นคือทางกลับบ้าน   ครั้นจะเดินเลาะไปทางหลังบ้านที่รกครึ้มก็ไม่กล้า   เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาโชคเพื่อจะฝ่าด่านออกไป   เป็นไงเป็นกัน 

     โชคเข้ามาสกัดขวางหน้าทันที   มือขวานั้นเงื้อหมายจะตั๊นหน้าทันทีที่ป๋องย่างเข้ามาปากนั้นก็ท้าทายไม่หยุด   เข้ามาแน่จริงมึงเข้ามา


******************จบ*******************				
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงใบคา