19 กรกฎาคม 2550 13:46 น.

ณรงค์

ใบคา

ฝนยังคงโปรยมาเรื่อยๆ ตั้งแต่บ่าย จวบจนตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือตกหนักกว่าเดิม สภาพอากาศของ 3 จังหวัดชายแดนใต้แห่งนี้ยากที่จะรับรู้หรือเข้าใจได้จริงๆ ทั้งๆ ที่ท้องฟ้ามืดครึ้มอยู่อย่างนั้นแต่ฝนก็ไม่ยักจะตกหนัก ผิดกับบางวันขณะที่ช่วงเช้าฟ้าโปร่งพอตกบ่ายฝนกลับเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งราวกับว่าฟ้าจะถล่มลงมาในทันที

ณรงค์ยืนมวนใบจากกลางละอองฝนตรงด่านตรวจเลยทางสามแยกประมาณ 100 เมตร ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างอำเภอแว้ง กับอำเภอสุไหงโก-ลก หากมาจาก อ.แว้ง จะต้องหักมุมเลี้ยวขวา 45 องศา จึงจะเจอจุดตรวจและทหารอีก 11 นาย ส่วนทางตรงนั้นเป็นถนนสายเล็กๆ ไม่ค่อยมีใครใช้สัญจรไปมาเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ใช่เส้นทางสายหลัก ดังนั้นคนที่เดินทางบนถนนสายนี้ย่อมไม่รู้ว่าเบื้องหน้ามีอะไรรอคอยพวกเขาอยู่ เพราะโค้งหักศอกนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อวิสัยทัศน์ในการมองเห็น กอรปกับสวนยางที่รกทึบทั้งสองข้างทาง ทำให้แยกนี้เป็นเหมือนเส้นแบ่งเขตดีๆ นี่เอง ด้วยทำเลเช่นนี้จึงเหมาะแก่การตั้งด่านตรวจเป็นอย่างยิ่ง

ณรงค์ถูกส่งเข้ามาประจำกองที่นี่ประมาณสามเดือนกว่า เขาแตกต่างจากเพื่อนร่วมรุ่นหลายๆ คนที่ต่างหวาดวิตกในเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง ตรงกันข้ามดวงตาของเขากลับเปล่งประกายอย่างสมหวัง ที่ได้เข้ามาประจำการในที่แห่งนี้ แม้จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารเกณฑ์ไม่ถึงสี่เดือน แต่ระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้นเขาเข้าออกทุกซอกซอยของพื้นที่อย่างเคยชิน ชนิดที่หลับตาแล้วสามารถบอกได้ว่าส่วนไหนเป็นอะไร เขาเพิ่งมาเห็นประโยชน์ของการไม่ยอมย้ายทะเบียนบ้านของพ่อก็หนนี้เอง เคยนึกจะบอกพ่อถึงประโยชน์ของมันแต่ก็จนปัญญาเพราะไม่รู้ว่าขณะนี้ท่านอยู่ที่ไหน นรก หรือสวรรค์

เขายังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี วันที่พ่อต้องมาสังเวยชีวิตให้กับความขัดแย้งของคนบางกลุ่ม วันที่พ่อต้องจากเขาไปอย่างไม่มีวันได้พบกันอีกเพราะแรงระเบิด ยมทูตกระชากร่างของพ่อออกเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็วไม่ให้โอกาสได้รู้ตัว แม้กระทั่งเสียงร้องก็ไม่ปล่อยให้เล็ดลอดออกมาได้ เขาร้องลั่นด้วยความตกใจในสภาพที่เห็น วันนั้นณรงค์นั่งเล่นหมากฮอสอยู่ในศาลาบนเนินสูงหน้าตลาดของอำเภอสุคิริน อำเภอที่รอบข้างขนาบไปด้วยเนินสูง และภูเขารกทึบ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรถกระบะสีแดงคันเก่าของพ่อกลับจากจ่ายตลาดตอนบ่ายในอำเภอสุไหงโก-ลก จอดเพื่อยกสินค้าเข้าร้านขายของชำ ของผู้รับเหมาก่อสร้างเจ้าใหญ่ในอำเภอซึ่งพ่อเป็นลูกน้องคนสนิท เขาก็ผละจากเกมกระดานที่กำลังเป็นต่อนั้นทันที หมายจะลงไปช่วยพ่อเหมือนทุกครั้ง แต่เขาไม่รู้เลยว่าครั้งนี้จะมีอะไรพิเศษกว่านั้น

เพียงแต่ปัดก้นกางเกงดัง เพี้ย! เพี้ย! เสียงระเบิดก็ดังก้องตลาด แรงระเบิดสั่นสะเทือนขึ้นมาถึงยอดเนิน เสียงมันดัง ถึบ! ฟังดูหนักแน่นมีพลัง ขณะนั้นเขาล้มตัวลงหมอบซึ่งเป็นไปตามสัญชาตญาณตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ณ ที่เกิดเหตุควันฟุ้งกระจาย ข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจาย ร่างของพ่อนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง มองยังไงๆ ก็เป็นพ่อไม่มีผิด ความตกใจเปลี่ยนเป็นแตกสลายเกือบจะล้มพับลงจุดนั้น เมื่อสติคืนมาจึงได้เข้าไปมองพ่อใกล้ๆ แต่พ่อตายแล้ว

แม่เศร้าโศกอยู่แรมปี เมื่อขาดเสาหลักไป ครอบครัวของเขาก็ย่ำแย่ เงินค่าทำศพและปลอบขวัญจากรัฐบาลใช่ว่าจะชดเชยสภาพจิตใจที่เสียไปได้ มิหนำซ้ำยังจะช่วยซ้ำเติมให้หวนนึกถึงเรื่องราวความเลวร้ายเก่าๆ ที่เกิดขึ้นกับพ่อและครอบครัว เมื่อการติดต่อขอรับเงินถูกบอกปัดครั้งแล้งครั้งเล่า นานไปเข้าก็หายไปกับสายลมไม่มีใครพูดถึงมันอีกเลย แต่เขายังรู้สึกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

ปกติคนในพื้นที่เมื่อเข้ารับการฝึกทหารแล้ว จะไม่ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ดีเท่าคนที่มาจากที่อื่น เพราะกลัวว่าทหารและผู้ก่อการร้ายจะเป็นญาติ หรือเพื่อนสนิทกัน ระยะของชาวบ้านและรัฐบาลจึงห่างกันอีกก้าวหนึ่ง

แม้ว่าณรงค์จะมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตพื้นที่นี้ แต่ทว่าพ่อของเขาไม่ยอมย้ายชื่อมาอยู่ด้วย โดยอ้างว่าต้องการมีชื่อรักษาทะเบียนบ้านเดิมเอาไว้ ดังนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งใด นั่นย่อมหมายความว่าพ่อจะต้องเดินทางไกลจากจังหวัดนราธิวาสไปอำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพรเพื่อกากบาทเลือกตั้งเพียงวันเดียว ซึ่งเขาคิดว่ามันเปลืองและแม่ก็เคยบ่นให้พ่อฟังเสมอ จนกระทั่งหมายเกณฑ์มาถึงเมื่อปีที่แล้ว ประโยชน์ของการไม่ย้ายทะเบียนบ้านของพ่อก็บังเกิดผลเพราะเขาต้องไปเกณฑ์ทหารที่ อ.หลังสวน และได้มาปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่แห่งนี้ ที่ที่พ่อของเขาทิ้งร่างเอาไว้โดยไร้ความผิด เขาหวังเพียงแต่ว่าอย่างน้อย เอชเค ในมือกระบอกนั้นจะต่อลมหายใจให้ชาวบ้านได้บ้างไม่มากก็น้อย

ส่วนหนึ่งก็หวังทอนลมหายใจของเหล่าผู้ก่อการร้ายในจำนวนที่ยิ่งมากยิ่งดี
ใบจากยังไม่หมดมวน ณรงค์ต้องหันกลับไปสบสายตากับเพื่อนอีก 4 คนที่ยืนอยู่ตรงจุดตรวจ ส่วนคนที่เหลือพร้อมด้วยจ่าชัย ซุ่มในบังเกอร์ข้างทาง 
แสงสีส้มจากจักรยานยนตร์ทอดยาวบนถนน แล่นมาจาก อ.สุไหงโก-ลก ปาดซ้ายทีขวาทีเหมือนงูเลื้อย เมื่อใกล้เข้ามาก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของคนขับและคนซ้อนท้ายตะเบ็งแข่งกับเสียงเครื่องยนตร์ แต่เมื่อถึงด่านตรวจก็จอดลงอย่างสงบเจียมตัว ทว่ายืนอย่างไร้ศูนย์เต็มที ณรงค์มองหน้าก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร แต่ฝ่ายตรงข้ามขณะนั้นไม่รู้แล้วว่าเบื้องหน้าชื่ออะไร รู้เพียงแต่ว่าเป็นทหาร และในฐานะพลเมืองดีควรหยุดให้ตรวจด้วยความยินดี

ขี้เมาสองคนนั้นเป็นวัยรุ่นในหมู่บ้านใกล้เคียง ที่ณรงค์เคยร่วมวงเหล้าด้วยเมื่อครั้งยังไม่เกณฑ์ทหาร หากไม่เมาสองคนนั้นคงจำเขาได้ เมื่อเห็นสภาพอย่างนั้นณรงค์ก็อดยิ้มไม่ได้ทั้งๆ ที่ผู้คนส่วนใหญ่วิตกเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวยังคงหาความสำราญไม่หยุดหย่อน หรือว่าพวกเขากลัวจนไม่รู้จะกลัวไปเพื่ออะไรอีก ถึงต้องหาทางระบายกันบ้าง เมื่อคิดถึงตรงนี้ทำให้ณรงค์ต้องลอบถอนหายใจเบาๆ

ดึกๆ ออกเที่ยวไม่กลัวเหรอ ณรงค์ถาม

กลัวอะไรเพ่ รู้ไหมดึกๆ อย่างนี้แหล่ะปลอดภัยเมื่อไม่มีใครเที่ยว ก็ไม่มีใครวางระเบิด พวกผมก็เที่ยวได้ตามสบาย คนซ้อนท้ายพูดเสียงช้าๆ ยานๆ

ทำไมพูดเสียงอย่างนั้น พม่าหรือเปล่าเนี่ย ไหนร้องเพลงชาติให้ฟังหน่อยสิ ณรงค์แหย่

จะบ้าเหรอ นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว ยังมาให้ร้องเพลงชาติอยู่ได้ เพลงชาติเขาเอาไว้ร้องตอน 8 โมงเช้า กับ 6 โมงเย็น ผมไม่ร้องหรอก มันไม่ใช่เวลา ขี้เมาตอบขณะที่ยังเอนไปเอนมา

ณรงค์และเพื่อนหันมองหน้ากันก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วปล่อยให้สองคนนั้นรีบๆ กลับบ้านไปนอนเดี๋ยวไม่ทันตื่นขึ้นมาร้องเพลงชาติตอน 8 โมงเช้า

ตี 1 แล้วฝนยังคงสภาพเดิมคือปรอยลงมาบางๆ อากาศก็เริ่มหนาวลง ความถี่ของการจุดใบจากขึ้นสูบก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเริ่มบ่นว่าหนาวและอยากนอน บางคนก็บ่นว่าซวยจริงๆ ไม่น่าตกมาอยู่แถวนี้และสภาพอย่างที่เป็นอยู่ ป่านนี้นอนคุมโปงใต้ผ้าห่มสบายไปแล้ว ไม่เห็นต้องมาเป็นเป้าเคลื่อนที่อยู่อย่างนี้เลย มีหลายเสียงเออออด้วย แต่ณรงค์ไม่คิดเช่นนั้น เขาแอบภูมิใจเล็กๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการหลับสบายของชาวบ้านในค่ำคืนอันหนาวเย็นนี้

รถกระบะสีดำจอดให้ณรงค์และเพื่อน ตรวจอย่างช้าๆ

ไอ้... ทหารคนหนึ่งกระซิบข้างหูณรงค์และคนอื่นๆ เมื่อรู้ว่าบุคคลในรถ ซึ่งขับมาเพียงลำพังนั้นเป็นผู้ร้ายค่าหัวหลายหมื่นบาท ก่อคดีลอบสังหารตำรวจมาแล้ว 1 คน ลอบวางเพลิงโรงเรียนหลายแห่งด้วยกัน

จ่าชัยเดินออกมาจากบังเกอร์ เพื่อมาตรวจสอบเพื่อความแน่ใจ ส่วนคนในรถยังคงนั่งนิ่งใจเย็นเหมือนไม่รับรู้ถึงรังสีอันตรายที่พวยพุ่งออกมา มันยังคงทำตัวเหมือนคนบริสุทธิ์ทั่วไป เมื่อจ่าเดินเข้ามาถึง ณรงค์ก็รีบเสนอตัวทันที

ไอ้...แน่ครับจ่า ผมจัดการเอง ไม่ทันที่จ่าชัยจะตอบอะไร ณรงค์ก็เดินดุ่มๆ ประทับ เอชเค คู่กายไว้ที่ไหล่ลั่นไกสังหารโจรก่อการร้ายค่าหัวหลายหมื่นบาท สิ้นใจตายคารถทันที

รงค์ ทุกคนร้องเสียงหลงพร้อมกัน

มึงทำเหี้ยอะไรว่ะ จ่าชัยปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อณรงค์ แต่ณรงค์สะบัดแล้วพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า

จ่าจะจับมันเหรอครับ จ่าดูหน้ามันสิ จ่าดูมัน แม่ง! ทั้งๆ ที่รู้นะว่าพวกเราจำมันได้ แต่ดูมันสิยังนิ่งเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อน มันคงคิดว่าถึงจับมันไปได้ พอมันทำสารภาพหน่อย บอกว่าโดนหลอกสำนึกผิดแล้ว พร้อมที่จะร่วมเป็นคนดีพัฒนาชาติบ้านเมือง เดี๋ยวก็มีคนปล่อยมันไป พาไปเข้าศูนย์อบรมวิชาชีพอะไรเข้าหน่อยก็กลับมาก่อเรื่องเลวร้ายได้เหมือนเดิม แล้วจ่าจะจับมันให้เหนื่อย ให้หมดกำลังใจไปทำไมจ่า หา! เขาเน้นคำว่าหา จ่าจำไอ้เดชได้ไหม ไอ้เดชที่มันเคยอยู่กับเราไงจ่า พอมันขอย้ายไปอยู่บันนังสะตาก็โดนหมาตัวไหนก็ไม่รู้ฟันคอขาดในตลาด ตลาดสดนะจ่า คนเป็นร้อยแต่ไม่มีใครเห็นสักคนว่าไอ้ตัวไหนเป็นคนฟัน มันทำอะไรผิดล่ะจ่า มาคุ้มครองชาวบ้านแท้ๆ ทำให้พวกแม่งสบายแท้ๆ เพราะมันเป็นทหารเหรอ หรือเพราะมันไปก้มเลือกส้มแล้วเผยสันคอยาวงามนั่น ทำให้เกิดอารมณ์อยากฟันคอคนเล่นอย่างนั้นเหรอ

กูเข้าใจ แต่มึงจะให้กูทำยังไง จ่าชัยพูดเสียงอ่อยๆ หมายจะปลอบเขามากกว่าที่จะคิดได้ มึงจะทำให้ทั้งกองร้อยฉิบหาย

ไม่ยาก ณรงค์พูดด้วยเสียงมั่นใจ และหนักแน่น ทำให้ทุกคนงงไปตามๆ กัน แล้วเขาก็ก้าวไปเปิดประตูฝั่งตรงข้ามคนขับของรถกระบะคันนั้น แล้วลากศพมาจัดท่านั่งเรียบร้อยตรงเบาะข้างนั่นเอง เสร็จแล้วณรงค์ก็ปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมกลับไปฝั่งคนขับ ขึ้นและสตาร์ทรถ เมื่อเสียงปิดประตูดัง ปั้ง! รถกระบะก็กระโจนไปข้างหน้า เสียงดังโครมใหญ่เมื่อรถไปชนเข้ากับต้นยางพาราเข้าอย่างจัง แต่ฝั่งที่ชนคือฝั่งตรงกันข้ามกับฝั่งคนขับ

ขณะที่ทุกคนกำลังยืนมองการกระทำของณรงค์อย่างตกตะลึงนั้น เขาก็เดินเข้ามาหาเพื่อนทหาร และจ่าชัยพร้อมบอกว่ายิงสิ

รุ่งเช้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวข่าวคล้ายๆ กันว่า
โจรใต้แหกด่านทหาร
ตายหนึ่งหนีรอดหนึ่ง				
13 กรกฎาคม 2550 12:21 น.

เทนนิสหรือเม็ดทราย

ใบคา

เอ้า! เชิญๆ นั่งเลยๆ เสียงผู้หญิงวัยกลางคนเชื้อเชิญพร้อมผายมือไปทางโซฟาสีขุ่นเบื้องหน้า

	ไม่ทันที่ก้นของเขาได้สัมผัสความนุ่มของโซฟาตัวนั้นคำถามจากปากหญิงวัยกลางคนก็แล่นเข้ามาทักทายโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

	เป็นไงบ้างช่วงนี้ เขายิ้มไม่ตอบแต่อย่างใด เบื่องานเหรอ เธอยิงคำถามมาอีก

	ก็นิดหน่อยครับ

	อืม! เธอทำหน้าครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นว่า คุณสังเกตุเห็นน้องฝึกงานคนนั้นไหม คนที่เข้ามาใหม่เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วนี่น่ะ คุณว่ามันเหมือนใคร

	เขาไม่ตอบได้แต่ยิ้มฝืนๆ โดยไม่สบตาเจ้าของคำถาม เพียงแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่า บก. เรียกเข้ามาตั้งแต่เช้า เพื่อจะคุยเรื่องอะไร ตั้งแต่ต้นเดือนนี้คุณภาพของงานเขาลดลงไปมาก เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งที่เข้ามาใหม่ๆ พูดคุยน้อยลง ไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนร่วมงาน และที่เขาสงสัยว่าเป็นสาเหตุหลักการเรียกมาคุยของวันนี้คือสีหน้าบ่งบอกถึงความเบื่อหน่าย ไร้ชีวิตชีวาที่เขาแสดงออกมานั่นเอง 

	คุณไม่สังเกตุเลยเหรอว่าแววตามันเหมือนใคร บก.กระตุ้นอีกครั้งเมื่อเห็นเขายิ้มแล้วนิ่งไป

	เขามองหน้า บก. แล้วยิ้มและส่ายหน้า

	ไม่ใช่เขาไม่รู้แต่ไม่อยากตอบ ว่า บก.หมายถึงใคร ทำไมแววตาของเด็กฝึกงานคนนั้นจะไม่เหมือนเขา ความกระตือรือร้นที่จะทำงาน และรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้รับมอบหมายงาน เพราะช่วงแรกๆ น้องคนนั้นเข้ามาคุยกับเขาเองว่าไม่ค่อยมีอะไรทำวันทั้งวันได้แต่นั่งหารูปภาพจากอินเตอร์เน็ตเพื่อใช้ประกอบนิตยสาร เขาถามไปว่าแล้วอยากจะทำอะไร เมื่อเขารู้ว่าเด็กฝึกงานต้องการจะแสดงฝีมือในทางการเขียน เขาจึงยกตัวอย่างตัวเขาเองว่า เขาเคยฝึกงานที่นี่มาก่อน เข้ามาแรกๆ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกันคือไม่ค่อยมีงานให้แสดงฝีมือเนื่องจากพวกพี่ๆ ไม่ไว้วางใจเพราะเห็นเป็นนักศึกษา แต่เมื่อเขาเข้าไปอ้อนวอนของานจาก บก. เริ่มพิสูจน์ตัวเองจากงานเล็กๆ และทุกครั้งที่งานของเขาเสร็จ เขาจะรีบเข้าไปรายงาน บก.ด้วยสีหน้าและแววตามีความสุข เพราะงานเขียนเป็นสิ่งที่รักของเขา เมื่อได้งานชิ้นใหม่มาเขาก็ทุ่มเทให้กับมันอย่างเต็มที่

	เหมือนคุณไง บก.ของเขาตอบพร้อมยิ้มให้

	เขาหัวเราะแหะๆ มือทั้งสองประสานกันรวบเข่าทั้งสองข้างยึดเข้าหาตัว จนเท้าลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยแล้วจึงปล่อย แต่ยังคงยิ้มให้ บก. อยู่

	พี่เข้าใจดีว่างานจัด Art จัดหน้านิตยสารที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่งานที่คุณรัก แต่คุณก็ยังได้เขียน พี่ให้โอกาสคุณทุกครั้ง เหมือนที่คุณมาขอพี่ว่าอยากจะเขียน Scoop สักชิ้น พี่ก็ให้เพราะเห็นว่าคุณชอบในทางนี้ แต่คุณเห็นไหมว่างานเขียนแต่ละชิ้นที่คุณส่งมา มันห่วย พี่ไม่ได้ด่านะ พี่บอกให้ฟัง พี่ก็เป็นคนพูดตรงๆ อย่างนี้แหละ คุณเล่นเผางานมาให้ แล้วจะให้พี่ทำยังไง บก.หยุดพูด

เหมือนเว้นวรรคให้เขาตอบ แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะเขาได้แต่หัวเราะแหะๆ
 
	ตอนฝึกงานเขาแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ใช้ความรู้ที่ได้ศึกษามาทั้งในและนอกตำราออกมาพิสูจน์ตัวเองจนเป็นที่ต้องตาของ บก. และได้เข้าร่วมงานในทีม ไม่ว่าจะเขียน Scoop จัดหน้านิตยสาร หรือ Update Website และถ่ายภาพ เขาทำได้หมดและใส่ใจทุกงาน แต่ช่วงนั้นฝ่ายศิลปะขาดคนพอดี เขาจึงได้เข้ามาประจำในตำแหน่งจัดหน้าพร้อมด้วยความหวังจาก บก.ที่ให้ไว้ว่าจะมอบหมายงานเขียนให้ด้วย

	จริงอย่าง บก.ว่างานที่เขาส่งให้หลังๆ นี้มันห่วย และส่วนใหญ่จะเป็นงานที่ผ่านเปลวไฟมาสดๆ เพราะเขาไม่มีเวลา ไม่มีเวลาที่จะสร้างสรรค์งาน เพราะงานจัดหน้าเข้ามาจนตั้งตัวไม่ทัน ลำพังงานหลักคือรับผิดชอบรูปเล่มนิตยสารที่ทางบริษัททำอยู่ก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่จะไหนงานนอก และงานรับแต่งรูปภาพต่างๆ นาๆ ที่บริษัทรับเข้ามา เนื่องจากนอกจากตำแหน่ง บก.แล้วเธอยังเป็นเจ้าของบริษัทอีกด้วย ล้วนเป็นงานด่วนทั้งสิ้น แต่เวลาย่อมเป็นเวลา กำหนดต้องเสร็จ แม้จะเหลือน้อยก็ต้องส่งทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่ได้คุณภาพก็ตาม ด้วยเหตุนี้งานเขียนของเขาจึงถูกลดทอนลงเรื่อยๆ พาลให้ไม่มีความสุขกับงานจนเป็นเหตุให้ต้องมานั่งคุยกับ บก.ในวันนี้

	นอกจากนั้นเขายังถูกตักเตือนเรื่องเวลาการเข้าทำงานอยู่เสมอ เริ่มจากการเข้างานสายข้อนี้เขารับไม่ได้เพราะว่าแม้จะเข้างานสายงานที่ได้รับมอบหมายก็เสร็จทุกครั้ง และที่สำคัญเขายังชดเชยให้ด้วยการเลิกงานช้าเช่นกัน แต่ทางฝ่ายบุคคลรวมทั้ง บก.เองไม่เห็นอย่างเขา ฝ่ายโน้นต้องการเห็นเวลาเข้างานของเขาเป็น เข้า 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น เขาจึงสนองนโยบายโดยการเข้าและออกตรงตามเวลา แต่งานไม่เสร็จเพราะเขาไม่ทำ อีกอย่างคืองานที่เขามักถูกโยนมาจากเพื่อนรุ่นพี่ที่เข้ามาทำงานก่อนหน้าเขา เพราะเขาเคยบอกว่าอยากออกไปสัมภาษณ์บ้าง ด้วยความใจดีของรุ่นพี่เขาจึงได้รับงานที่ต้องออกไปสัมภาษณ์บุคคลโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์เข้ามาสอบถามเรื่องการสัมภาษณ์ เขารีบปฎิเสธไปทันทีโดยการอ้างเหตุผลว่าไม่รู้เรื่อง และไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้ หากเขารู้สักนิดว่าเขาต้องทำงานชิ้นนี้เขาจะยินดีทำอย่างเต็มใจ แต่นี่จู่ๆ ก็โยนมาเพราะไม่อยากทำ ด้วยเหตุนี้การพูดคุยระหว่างเขาและเพื่อนร่วมงานจึงน้อยลงไป

	คุณรู้ไหมว่าพี่มีเรื่องไม่สบายใจแค่ไหน

	ไม่ทราบครับ 

	ไหนจะเรื่องเจ้าหนี้ตามเก็บเงิน ไหนจะเก็บเงินลูกค้าไม่ได้ โอ้ย! อีกมากมาย คุณไม่มีทางรู้หรอก แต่พี่ก็ยังยิ้ม คุณเคยเห็นพี่แสดงความทุกข์ออกมาบ้างไหม คุณสังเกตุดูวันไหนที่พี่ร่าเริงมากๆ วันนั้นแหล่ะคือวันที่พี่กลุ้มใจที่สุด เธอเงียบมองหน้าเขาสักครู่ อ่ะ เข้ามาเรื่องคุณต่อ ไหนคุณบอกพี่สิว่าทำไมคุณถึงไม่มีความสุขกับการทำงาน

	ผมเบื่องานครับ เขาตอบเพียงสั้นๆ เพราะไม่อยากสาธยายเหตุผลที่ค้างอยู่ในใจอีกมากมาย เพราะรู้ตัวดีว่ามันไม่ช่วยทำให้ดีขึ้น ยังไงๆ เขาก็ยังเป็นเหมือนเดิมตราบใดที่ยังอยู่ที่นี่ ผมอยากทำงานเขียน ผมชอบงานอิสระที่ไม่ยึดติดกับเวลาเพราะผมไม่ชอบการเข้างาน 8 โมงเช้าเลิก 5 โมงเย็น สำหรับผมตลอด 24 ชั่วโมงเป็นงานและการพักผ่อนในเวลาเดียวกัน เขาหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ เพราะหากได้ทำงานที่รักและมีความสุขก็เท่ากับการได้พักผ่อนดีๆ นี่เอง

	คุณมีพรสวรรค์นะ คุณมีแววเลยทีเดียว แต่คุณต้องศึกษาให้มากๆ คุณรักการเขียนคุณก็ต้องอ่านให้มากขึ้น มากกว่าการเขียนด้วยยิ่งดี เมื่อคุณอยากเขียนคุณก็ลองหาเรื่องมาสิว่าจะทำอะไร ที่นี่เรามีคอลัมน์ท่องเที่ยว, Scoop ชีวิต คุณสามารถทำได้นี่ ถ้าคุณรู้จักแบ่งเวลา เช่น จัดหน้า พี่ให้หนึ่งสัปดาห์เอ้า ที่เหลือคุณก็สามารถสร้างสรรค์การเขียนได้ ถ้าคุณรู้จักจัดสรรค์เวลา เธอพยายามโน้มน้าวเขาแต่ลืมไปว่างานเขาไม่ได้มีเพียงเท่านั้น

	ที่นี่พี่ไม่ได้ใช้ระบบแพ้คัดออกเหมือนที่อื่น อย่างที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้ที่อื่นอาจให้ออกไปแล้ว แต่พี่รักคุณไม่อยากให้คุณเป็นอย่างนี้ มีอะไรก็มาคุยกันต้องการเห็นคุณมีความสุขกับงาน เธอโน้มน้าว คุณต้องรู้จักการจัดการเวลา อย่างเช่นคุณมีแก้วน้ำใหญ่ๆ ขนาดใส่ลูกเทนนิสได้ 1 ใบ คุณใส่ลูกเทนนิสไป 1 ลูก คุณคิดว่าไงมันเต็มไหม ถ้าเราเห็นอย่งนั้นมันก็เต็ม แต่ทีนี้พี่เอาก้อนกรวดเทลงไปอีก ก้อนกรวดก็ลงไปได้ระหว่างช่องเล็กๆ นั้น พี่เทลงไปจนเต็ม คุณว่าเต็มหรือยัง... ทีนี้พี่เอาทรายมาเทลงไปอีก ทรายมันก็สามารถลงไปได้เช่นกัน คุณว่าเต็มหรือยัง... เอาล่ะ คราวนี้พี่หยิบแก้วน้ำมาเทลงไปน้ำก็ไหลลงไปได้อีกเช่นกัน คุณต้องคิดสิว่าจะทำอะไรก่อน ถ้าคุณเล่นเอาทรายเทลงไปก่อนลูกเทนนิสก็ไม่มีทางใส่ลงไปได้

	ครับ เขารับคำ แววตานั้นเริ่มส่อประกายความหวัง ส่วนแววตาของ บก.เริ่มยิ้มเหมือนผู้มีชัย

	ตอนนี้ผมก็หมั่นอ่านหนังสืออยู่ประจำครับ เพื่อจะพัฒนาตนเอง 

	คุณอ่านเรื่องอะไรบ้าง เธอถามด้วยความแปลกใจ เพราะไม่เคยคิดว่าเขาจะอ่านหนังสือ เธอมักว่าเขาเป็นประจำว่าเขาไม่อ่านหนังสือ เพียงเพราะว่าเขาไม่รู้จักหนังสือที่เธออ่าน 

	ก็อ่านของ รงค์ วงษ์วรรค์, คึกฤทธิ์ ปราโมช, อาจินต์ ปัญจพรรค์

	โอ้ย! ของพวกนี้เขาอ่านกันตั้งแต่เด็กๆ คุณเพิ่งมาอ่านตอนนี้จะไปตามโลกทันได้อย่างไร ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะ ถ้าคุณศึกษาเรื่องแนวทางการเขียนน่ะได้ แต่เรื่องทันสมัยคุณไม่มีทางตามโลกทันได้แน่ แล้วคุณเคยอ่านหนังสือทันสมัยบ้งไหม แล้วเธอก็อ้างชื่อนักเขียนต่างชาติอีกมากมาย ที่เขาไม่รู้จัก ถ้าคุณอยากเป็นนักเขียนที่เก่งคุณต้องก้าวล้ำกว่าโลก เพราะฉะนั้นคุณต้องอ่านอะไรที่มันทันสมัยให้เยอะๆ เธอย้ำเรื่องความล้าหลังของเขา

	ผมเพิ่งมาค้นพบว่าอยากเป็นนักเขียนเมื่อเริ่มเรียนปี 1 ครับ หลังจากนั้นก็หาหนังสืออ่านมาเรื่อยๆเพราะก่อนหน้านี้ผมเรียนอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากอยากประดิษฐ์สิ่งของ เขาอ้างเหตุผลให้เธอฟัง

	เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าความล้าสมัยของวรรณกรรมมันอยู่ที่ตรงไหน เพราะวรรณกรรมของเมื่อ 20  30 ปีที่แล้ว เรื่องความอดอยากของผู้คน ปัญหาน้ำมันแพง ข้าวของขึ้นราคา การเอารัดเอาเปรียบของคนรวย ทุกวันนี้ก็ยังมีให้เห็นในชีวิตจริง ส่วนงานเขียนที่ทันสมัยหรือล้ำหน้าอย่างที่ บก.อ้างมา เช่นเทรนท์เสื้อผ้าของโลกอนาคต หรือความน่าจะเป็นของวันข้างหน้า เมื่อถึงวันที่ทำนายไว้แล้วมันก็หยุดลงตรงนั้น

	แล้วคุณคิดว่าคุณจะทำอะไรในวันข้งหน้า ถ้าไม่อยู่ที่นี่ 

	ผมกะว่าจะพยายามเขียนงานให้พอเป็นที่รู้จัก แล้วกลับไปอยู่ชนบทครับ คอยส่งงานเข้าสำนักพิมพ์เรื่อยๆ หรือไม่ก็ไปสมัครเป็นนักข่าว

	เธอยิ้ม แต่คุณไม่มีผลงาน แล้วใครจะรับคุณ งานเขียนคุณมีเล็กน้อย หนังสือพิมพ์เขาไม่รับหรอกนะ เธอพยายามจูงใจไม่ให้เขาคิดไปที่อื่น

	เออ! แล้วตอนนี้หนังสือของเราคุณจัดหน้าไปถึงไหนแล้ว วันนี้วันอะไรแล้วนะ อ้อ! วันพฤหัส วันจันทร์เสร็จไหม

	น่าจะเสร็จครับ เขาตอบทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีทางเสร็จแน่ เพราะวันเสาร์ - อาทิตย์เป็นวันหยุด และถึงจะขอร้องให้เขามาช่วยทำ เขาก็จะหาข้ออ้างเพื่อที่จะไม่มาอย่างแน่ และอีกอย่างงานหลายชิ้นที่จะต้องจัดหน้า บก.ยังไม่ส่งมาให้เขา ทั้งๆ ที่เขาทวงหลายครั้งแล้ว

	ดีแล้วๆ ช่วยๆ หน่อยนะ เพราะเล่มนี้มันเลทมามากแล้ว เธอพูดด้วยแววตาของคนมีชัย

	เอาล่ะ พี่ก็เรียกมาคุยเท่านี้แหล่ะ เพราะเห็นคุณไม่ค่อยสบายใจ ลองไปคิดเรื่องการจัดระเบียบเวลาดูนะ พี่ก็อยากสนับสนุนให้คุณได้ทำงานที่คุณรัก แต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าตอนนี้ฝ่ายจัดหน้าเรามีคุณเพียงคนเดียว กลับไปทำงานต่อเถอะ เขาลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไป เออ!เดี๋ยวนที ช่วยพี่หน่อยนะ ช่วยจัดหน้างานของหนังสือที่พี่รับมาให้หน่อยนะ เอาวันพรุ่งนี้นะ ก็จัดอย่างที่คุณเคยจัดครั้งที่แล้วนั่นแหล่ะ พี่ทำไปบ้างแล้วล่ะก็เหลือประมาณ 40 หน้าได้มั้ง

	เขารับคำโดยการพยักหน้า แล้วเดินออกไป เขารู้แล้วว่าเขาควรจะจัดการเวลาอย่างไรดี ควรใส่ลูกเทนนิสก่อน หรือทรายก่อนดี

******************				
1 มิถุนายน 2550 11:49 น.

หนูขอโทษ

ใบคา

แสงสีขาวจ้า.. ทำให้เธอไม่สามารถลืมตาขึ้นมองสิ่งรอบข้าง พยายามเบิกตาสู้เท่าไหร่ก็ไม่อาจทนทานต่อแรงแสงจ้านั้นไหว จำต้องทำให้เธอหลับตาอยู่อย่างนั้น แต่หูเธอยังคงได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งพูดจาสับสนวุ่นวาย ไม่อาจจับต้นชนปลายได้ เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือเสียงของผู้ชายเพราะว่ามันแผ่วเบาเหลือเกิน แผ่วเบาในความสับสน ยิ่งเพ่งฟังยิ่งปวดหัวปวดตาจนไม่อาจทำสิ่งใดได้ นอกจากการนอนนิ่งๆ ปล่อยให้ตัวเองหลับไป เพราะมันเป็นฝันร้ายเหมือนทุกๆ คืน ฝันที่เหมือนจริง เหมือนมีใครมานอนทับร่าง ไม่สามารถร้อง ไม่สามารถขยับ หรือแม้กระทั่งลืมตามอง ทำได้เพียงนอนทำใจนิ่งสงบนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เอาไว้ ท่องนะโม นะโม  นะโม จนคล้อยหลับ มาทราบเอาทีหลังว่านอนทับแขนตัวเองอยู่จึงโล่งอก เธอเริ่มทำอย่างที่เคย ท่อง นะโม นะโม ใจเริ่มสงบเริ่มเคลิ้มหลับ 

เสียงเหล็กเล็กๆ กระทบกันดังกริ๊กๆ เธอสะดุ้งตื่นเฮือก! ทันที  ไม่! เธอตะโกนสุดเสียง ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครได้ยิน ไม่แม้กระทั่งลมกระทบเพดานปากและลิ้น เธอดิ้นเพื่อให้ตัวเองตื่น ตื่น ตื่น เสียที ใครมาทับร่างของเธอไว้ เธอดิ้นสุดแรง ร่างเธอกระตุก  ตึก!

หมอตกใจ คนไข้ช็อกรีบฉีดยา หมอเร้าพยาบาล
ยาวิ่งเข้าร่างเธอ รู้สึกสบายไม่อึดอัด คนที่ทับร่างเธอก็หายไปแล้ว เธอคิดว่าคงเป็นเพราะแรงดิ้นของเธอบวกกับคุณพระรัตนตรัย ทำให้สบายอย่างนี้ เธอลืมตาได้แล้ว แม้จะเห็นแต่สีขาวไปทั่วทุกสารทิศ แต่มันก็ไม่แสบตาเหมือนครั้งแรก ไม่มีเสียงคนคุยกัน ไม่มีเสียงกระทบของเหล็กเล็กๆ เธอง่วงอยากจะหลับ อยากล้มตัวลงนอนตรงนั้นบนแสงนวลขาว รู้สึกเมื่อยเหนื่อย ตื่นขึ้นมาแม่คงต้มโจ๊กร้อนๆไว้รอแล้วเธอก็คล้อยหลับไป

เธอตกใจตื่นอีกครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ พยายามพลิกตัวแต่ก็ไม่สำเร็จ ร้องเรียกแม่เพราะรู้สึกกระหายน้ำเหลือเกินก็ไม่เป็นผล เธอไม่มีเสียง เธอได้แต่หันหน้ามองซ้ายแลขวามองรอบๆ มันไม่ใช่ห้องของเธอ ห้องของเธอไม่ขาวอย่างนี้และไม่มีกลิ่นยาเช่นนี้ด้วย  นี่มันโรงพยาบาล!เธออุทาน

เฝือกอันโตโดยมีขาขาวเธออยู่ข้างในถูกห้อยสูงอยู่เหนือกว่าระดับลำตัวทั่วตามร่างกายของเธอมีบาดแผลและผ้าพันแผลอยู่แทบนับไม่ถ้วน แต่แปลกที่เธอไม่รู้สึกอะไรเลยหรือเป็นเพราะว่ามันปวดจนชาไปหมดแล้วจึงไม่รู้สึกเจ็บ
คำถามแรกผุดขึ้นมาในหัวทันที ทำไมเธอจึงมานอนอยู่ที่นี่? ก็เมื่อคืนเธอกำลังกลับบ้านหลังจากที่ ผับ ปิด  พี่เอก เป็นคนอาสาขับรถไปส่งเธอถึงบ้าน แม้ว่า พี่เอกจะเมาก็ตามแต่เขาก็ยังขับรถได้หนำซ้ำยังขับเก่งกว่าตอนไม่เมาเสียด้วย และยังกล้ากว่าเก่า ขับปาดซ้ายปาดขวาไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย หรือถ้ามันจะเกิดก็คงจะเกิดตั้งแต่ครั้งแรกที่ พี่เอก ขันอาสาพาเธอกลับบ้าน แล้วเธอร้อง กรี๊ด! ออกมาสุดเสียงด้วยความกลัวอันเกิดจากการขับรถโฉบเฉี่ยวของ พี่เอกและนับจากวันนั้นเป็นต้นมาทำให้เธอชอบมันทันที

ไม่  เธอไม่อยากคิดต่อ ว่าทำไมถึงมานอนอยู่ที่แห่งนี้ได้ เธอปวดหัว ขอหลับอีกสักงีบ น้ำไว้ตื่นขึ้นมาดื่มก็ได้ตอนนี้มันก็ยังไม่สว่างดี

เธอไม่อาจหลับลงได้ดั่งใจหมายเนื่องจากการครุ่นคิดถึงภาพลางๆ ที่พยายามรื้อฟื้นมันออกมา เธอได้แต่คิดว่าทำไมมีผ้าพันแผลและบาดแผลเต็มกายเช่นนี้ แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกเจ็บเลย ไม่รู้สึกเจ็บ เจ็บ! ใช่! เธอเคยพูดคำนี้ก่อนที่จะหลับและตื่นขึ้นมาเจอแสงสีขาวจ้า..จนแสบตา รถของพี่เอกชนเข้ากับเสาไฟฟ้าอย่างจังตอนที่ขึ้นแซงสิบล้อแต่บังเอิญมีรถสวนทางมาด้วยความเร็วเช่นเดียวกัน เธอไม่รู้ว่ารถคันนั้น ยี่ห้ออะไร ชนิดใด กระบะหรือเก๋ง รู้แต่ว่าเมื่อเห็นแสงแสดเข้าหน้าความดังก็เกิดขึ้นความชาทั่วร่างก็เกิดตามมา รู้ตัวอีกทีเธอคว่ำหน้าอยู่กับรถตัวงอเหมือน มีอะไรหนักๆ คงจะเป็นของอะไรสักอย่างของพี่เอกที่วางไว้เบาะหลังทับหลังอยู่พี่เอกหายไปไหนไม่รู้ จะร้องเรียกหาก็สุดกำลัง ได้แต่บ่นว่า เจ็บ! แล้วไม่มีสติจำอะไรไม่ได้เลย

เธอได้แต่นอนครุ่นคิดถึงเรื่องราวเมื่อคืนซึ่งเหมือนกับมันหล่นหายไปกับความเร็วของเครื่องยนต์เพราะคิดเท่าไหร่เรื่องราวเหล่านั้นก็ไม่อาจผุดขึ้นมาได้หมดสักที เธอหวังเพียงว่าจะมีคนที่เห็นเหตุการณ์มาเล่าให้ฟังไม่วันนี้ ก็พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ เป็นแน่

รีบตื่นทำไม นอนต่อสิลูก

แม่ เสียงของแม่ เธอจำได้ดี แม่คงนอนเฝ้าทั้งคืนและคงออกไปเดินเล่นข้างนอกมาเมื่อเห็นเธอหลับอยู่และคงจะเบื่อจึงออกไปข้างนอก เธอไม่ทักไม่มองหน้าได้แต่ขบกรามแน่นจนดังกรอดเบือนหน้าไปทางอื่น ปล่อยให้น้ำอุ่นๆ ไหลออกมาจากตาอย่างสุดกลั้นไหลนองทั้งสองแก้มแล้วหยดแมะลงหมอนและเตียง มืออันอบอุ่นของแม่เข้ามาลูบหัวเธอพร้อมปลอบประโลมแต่นั่นเหมือนกับการตีบ่อน้ำตาให้แตก เธอสุดกลั้นปล่อยโฮออกมาสุดเสียง มีแต่น้ำตาและการสะอื้นไห้ซึ่งเสียงร่ำไห้ของเธอ

หลับเถอะ แม่พูดพร้อมนั่งลงข้างๆ หัวเตียง

เธอชำเลืองตาและจ้องตาแม่เหมือนต้องการคำตอบอะไรบางอย่าง

หมอบอกว่ากระดูกสันหลังลูกได้รับการกระกระแทกอย่างหนักอาจเดินไม่ได้และแม่นิ่งไปกลัวอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว แม่ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาสักพักแล้วฝืนพูดไปด้วยเสียงกลั้วน้ำลาย อาจพูดไม่ได้ด้วย

แต่ไม่เป็นไรหมอคงรักษาให้หายได้ เรามีเงินซะอย่าง แม่ปลอบใจ

เธออยากถามต่อว่า พ่อ รู้หรือยังแล้ว พ่อ จะมาเยี่ยมเธอไหมหรือพ่อจะมาเพียงแค่ทำหน้าบอกบุญไม่รับแล้วทำอาการฟึดฟัด ก่อนที่จะพูดว่า กูบอกมึงแล้วแล้วเดินออกไปเหมือนอย่างเคย เหมือนอย่างทุกครั้งที่เธอขัดใจพ่อแล้วนำเรื่องมาให้ ไม่ว่าจะถูกจับเพราะฉี่สีม่วงเมื่อปีก่อน หรือโดนเชิญผู้ปกครองเมื่อครั้งอยู่ชั้น ม.ปลาย เธอได้แต่ถอนหายใจทั้งที่น้ำตายังนองหน้าเมื่อนึกถึงภาพที่พ่อจะกระทำในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า


สายๆ พ่อของเธอเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึงบอกบุญไม่รับเหมือนอย่างที่เธอคาดคิดไว้ยืนจ้องหน้าเธออยู่ขอบเตียงตรงที่แม่เคยนั่งคุยกับเธอแต่คราวนี้แม่ยืนมองอยู่ห่างๆ พ่อเงื้อมมือขึ้นลูบหัวเธอเบาๆ และพูดเหมือนแม่ทุกอย่าง แต่ทว่าพ่อไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ปล่อยมันไหลลงมาช้าๆ พร้อมพูดทั้งน้ำตาว่า พ่อบอกลูกแล้ว

หนูขอโทษ! เธออยากร้องไห้ดังๆ โผเข้ากอดพ่อแต่เธอทำได้เพียงปล่อยน้ำตาให้มันไหลไปให้มันไหลจนเหือดแห้งไปจากบ่อน้ำตา เธอคิดจะขอโทษพ่อมานานแล้วแต่ตั้งแง่ไว้ว่าพ่อต้องพูดกับเธอดีๆ ก่อน และตอนนี้เธอได้ทำแล้วได้ขอโทษพ่อในใจ ถึงแม้ตะโกนเพียงใดก็มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่ออกมา

หมอไม่อาจทำให้เธอกลับมาเป็นปกติได้ แต่พ่อและแม่ก็เฝ้าปลอบเธออยู่ทุกคืนวันถึงแม้ว่าเธอจะหมดหวังกับการขอโทษพ่อแม่ด้วยวาจาแล้ว เธอคิดว่าการที่เธอเป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันเรื่องทำงานพ่อแม่ไม่ต้องกังวลก็ได้เพราะเงินมีเหลือกินเหลือใช้อยู่แล้วแต่เธอชอบน้ำตาพ่อแม่หลั่งไหลให้เธอไม่ใช่เพราะสงสารแต่เพราะความรัก  ชอบโจ๊กจากการป้อนด้วยมือแข็งกระด้างของพ่อเพราะเมื่อมันเข้าปากแล้วนิ่มเสียยิ่งกว่าสิ่งใดชอบคำพูดหวานๆ ของพ่อและแม่ที่ไม่ต้องกลั่นกรองแต่มันออกมาจากใจ

เธอคิดได้ว่าความรักที่จะมอบให้กันได้มันต้องสูญเสียไปก่อนหรือจึงจะออกมา ถึงแม้ว่าเธอจะชอบโจ๊กจากมือพ่อโดยมีน้ำตาของเธอแทน ซอส มันอร่อยอย่างบอกไม่ถูก แต่เธอก็ไม่อาจลืมคำที่ จะรู้ว่าสิ่งนั้นสำคัญ ก็ต่อเมื่อเสียมันไป ได้

**********				
31 พฤษภาคม 2550 11:35 น.

มือ

ใบคา

บ่ายวันเสาร์หลังจากที่นำร่างกายอันงัวเงีย หลบหนีออกมาจากความมืดมิดและเงียบงันในหุบเหวลึกของห้วงแห่งการนิทรา ผมเดินคอตก มันหนักหัวมากเหมือนกับมีผึ้งฝูงใหญ่บินว่อนอยู่เต็มไปหมด มันส่งเสียง อื้อ อึง จนทั้งหัวมีแต่เสียงอื้อรวมทั้งปวดหัวเป็นท่อนจังหวะทุ้มเป็นระยะๆ
ผมเดินเซไปเซมาเพราะมองเห็นทางเดินไม่ชัดเนื่องมาจากตาทั้งคู่เปิดรับแสงสว่างได้เพียงน้อยนิด มีความรู้สึกกระหายน้ำเป็นอย่างมากโดยเฉพาะน้ำหวาน ลำคอเหือดแห้งแทบไม่มีน้ำลายมาชโลมแม้หยดเดียว ผึ้งใหญ่ฝูงนั้นคงดูดกินน้ำหวานในร่างกายผมจนหมดจึงทำให้มีอาการเช่นนี้ มันเป็นอาการที่ไม่ต่างจาก ซอมบี้ ในหนังที่เคยดูมาสักเท่าไหร่

	ผมควานหาน้ำในตู้เย็น บิดฝาขวดขนาด ๕๐๐ มิลลิลิตรเทหายเข้าไปในลำคอไม่กี่อึดใจน้ำเต็มกระเพาะแต่คำคอยังคงแห้งเหือดอยู่อย่างเดิม ชำระร่างกายเสร็จผมจึงปล่อยตัวให้ก้นกระแทกกับพื้นโซฟาสีขุ่นนุ่มหน้าจอโทรทัศน์ทันทีโดยไม่ลืมหยิบขนมปังในตู้เย็นติดมือมาด้วย รู้สึกเหมือนหัวยังหนักเช่นเดิมในขณะที่ลำคอยิ่งอ่อนลงกว่าเก่าจึงต้องใช้พำนักพิงโซฟาช่วยค้ำอีกแรง


	เคี้ยวกลืนขนมปังลงคออย่างไร้รสชาติ ลักษณะไม่ต่างอะไรกับวัวที่ยืนเคี้ยวเอื้องกลางสายฝนสายตาแลหาแต่เจ้าของว่าเมื่อไหร่จะมาเลื่อนหลักไปปัก ณ ที่ไม่ชุ่มฝน สายตาของผมก็ไม่ต่างอะไรกับวัวตัวนั้นนัก แม้ว่าแก้วตาจะรับภาพจากจอทีวีเข้ามาแต่ทว่ารอยหยักในสมองไม่สามารถประมวลผลออกมาได้ สายตาผมจึงคล้ายกับวัวที่ว้าเหว่ในขณะที่ปากกำลังเคี้ยวเอื้องซึ่งเกิดจากแรงขับเคลื่อนของความหิว


	ผมหันมองไปรอบข้างจำได้ว่าเมื่อคืน มันยังคงสภาพเป็นวงสุราเล็กๆผู้ร่วมวงจำนวน ๔ คนแต่ทว่าปริมาณแอลกอฮอล์นั้นไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าเทียบกับจำนวนคนเพราะเราเผาผลาญมันไปถึง ๓ กลม ผมเป็นคนแรกที่เมาน็อกหลับไปและนั่นก็เป็นผลดีเพราะผมไม่ต้องรับผิดชอบทำความสะอาดเก็บของแต่อย่างใด น่าแปลกตรงที่ต่างคนต่างเมาแต่ ผมตื่นขึ้นมากลับไม่มีใครอยู่มองโดยรอบก็แทบคล้ายว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่เลย

	ร่างกายคงได้รับน้ำอย่างเพียงพอสังเกตได้จากการที่คอของผมมีน้ำลายมาหล่อลื่นแล้ว สมองเริ่มประมวลภาพของจอทีวีอย่างแจ่มแจ้ง ภาพที่ปรากฏผมเห็นเป็นการรายงานข่าวต้นชั่วโมงของรายการข่าวโทรทัศน์สัญลักษณ์ตราโลก เห็นผู้นำประเทศออกมากล่าว นโยบายพัฒนาประเทศด้วยความมั่นใจว่าจะนำประชาชนตาดำๆฝ่าพ้นวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำไปได้ด้วยมือของท่านทั้งสองข้าง

	ผมมีความรู้สึกดี รู้สึกว่าคนใหญ่คนโตมีอำนาจสามารถบงการอะไรได้ด้วยเพียงนิ้วเพียงนิ้วเดียวภายในกำมือเดียวสามารถกำประเทศและหันเหไปในทิศทางใดก็ได้ตามใจชอบ ผมพลันนึกไปถึงผู้เป็นต่อและเป็นรอง นึกถึงภาพยนตร์จีนกำลังภายในซึ่งเมื่อผมดูแล้วมักจะได้ยินคำว่า 

	เจ้าน่ะ เปรียบเหมือนลูกไก่ในกำมือข้าฯจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด

	ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำๆนี้ เมื่อเห็นผู้นำประเทศออกมาประกาศนโยบายอย่างผยองเช่นนี้

มันรู้สึกเหมือนเราตกเป็นลูกไก่ที่สุดแล้วแต่ความสามารถของคนที่กำเราไว้ว่าจะให้เป็นเช่นไร

	แต่ในขณะนี้ในกำมือผม มีรีโมท ผมสามารถสั่งให้ท่านผู้นี้หายไปจากสายตาได้โดยทันที

ผมไม่รอช้ารีบสั่งให้ท่านผู้มีอำนาจหายวับไปภายในพริบตาด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว

	ผมมีความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่สามารถทำให้เขาหายไปได้ด้วยนิ้วเดียวเพราะในกำมือของผมมีรีโมทอยู่ด้วย ผมก้มลงมองกำมือ กำมืออันเดียวข้างเดียวอันนี้เองเมื่อคืน ผมใช้มันยกแก้วน้ำเมากระดกเข้าปากและใช้มันล้วงน้ำแข็งเติมลงแก้ว ใช้มันล้วงคอให้อ้วกก่อนที่จะหลับหมดสติไป ใช้มันหยิบขวดน้ำเปล่ามาล้างกระหายจากการกระทำของฤทธิน้ำเมา

	เพียงกำมือ กำเดียวของผม ผมสามารถทำให้มันเป็นโทษและภัยกับตัวผมเองได้โดยไม่เลือกเวลาและสถานที่

	ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ปล่อยให้ทีวีแสดงไปตามรายการที่กำหนด มันได้แค่เพียงผ่านเข้ามาโดยมีสมองรับทราบแต่ไม่เก็บไว้ปล่อยออกมาทางลมหายใจทันทีไม่เก็บให้รกพื้นที่เพราะขณะนี้พื้นที่ของสมองกำลังเก็บเรื่องราวของ สิ่งที่อยู่ในกำมือ

	เพิ่งมารู้สึกตัวว่าในห้องมันมืดเหลือเกินใช่ว่าแดดไม่ออกแต่เป็นเพราะผ้าม่านที่ปิดกั้นแสงแดดไว้ไม่อนุญาตให้มันเล็ดลอดเข้ามาได้เลย

	ทำไมก่อนหน้านี้มันไม่มืดว่ะ ผมตั้งคำถามให้กับตัวเอง

	ก็มึงยังไม่หายเมาจะไม่รู้อะไรว่าสว่างหรือมืด ทีวีมีอะไรบ้างมึงยังไม่รู้เลยเหมือนมันรู้ว่าผมต้องการคำตอบ เจ้าจิตสำนึก มันตอบผมทันควัน

	คงใช่อย่างที่จิตสำนึกมันบอกผม ตอนนั้นไม่กี่นาทีผมไม่มีความรู้สึกอะไรต้องจาก หิวและกระหาย ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตแต่ตอนนี้ผมต้องการสิ่งที่นอกเหนือจากความต้องการขั้นพื้นฐานเสียแล้ว ไม่รอช้าผมลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านออกมาเพื่อรับแสงสว่างจากดาวฤกษ์ผู้เป็นนายของระบบสุริยะจักวาล

	ด้วยความเคยชินกับความมืดเป็นเวลาหลายชั่วโมงหรืออย่างไรสายตาผมไม่อาจทานทนต่อแรงจ้าของแสงแดดยามบ่ายได้ ไม่ทันได้คิดอะไร ฝ่ามือผมก็ถูกยกขึ้นป้องปิดแดดให้แล้ว ผมยืนมองการกระทำของตัวเองอย่างนี้อยู่พักหนึ่งจึงเข้ามาประจำที่เดิม

	ก่อนหน้านี้ผมใช้มือกำรีโมทเปิดปิดทีวี แต่เมื่อกี้ผมใช้ฝ่ามือปิดฟ้าได้ทั้งผืน ผมเริ่มทึ้งในมือของผมทั้งสองข้าง ผมยิ้มอย่างเปิดเผย โดยไม่มีใครหาว่าผมบ้าเพราะอยู่คนเดียว ผมตามตัวเองว่าทำไมของชิ้นเล็กๆเราก็กำมันมิดด้วยกำมือเดียว  แล้วของใหญ่ๆล่ะทำไมเราใช้แค่ฝ่ามือเดียวจึงปิดมันมิดทั้งที่สมควรใช้หลายร้อยหลายล้านมือจึงจะปิดฟ้าหมดแต่นี่เพียงมือเล็กๆของผมก็ทำได้

	ไม่มีใครตอบผมได้ มันมีแต่ความเงียบ

	พระท่านเคยบอกว่าอยู่ในสถานที่เงียบแล้วจิตจะเงียบเร็วเมื่อจิตเงียบสมาธิก็จะมาปัญญาก็จะเกิด

	ผมไม่ได้อยู่ในที่เงียบอย่างน้อยมันก็มีเสียงทีวีมารบกวนอยู่ตลอดแต่ว่าจิตผมมันเงียบไปแล้วเงียบเพราะฝ่ามือ

	ผมลองใช้กำมือกำหลายๆสิ่งดู ใช่มันกำตามผมบอก ผมบอกให้มือทำเพราะใจสั่งมา 

	เออใช่!  ผมอุทานออกมาทันที

	ไม่มีอะไรอยู่ในกำมือเรา

	ผมแบมือแล้วกำ กำแล้วแบ หลายต่อหลายรอบ

	จับ หยิบ กำ เพราะความต้องการของจิตใจ เพราะความอยาก

	ในกำมือไม่มีอะไร นอกจาก ตัณหา!
**********				
30 พฤษภาคม 2550 10:01 น.

จุดสิ้นสุด

ใบคา

นาฬิกาบอกเวลา 4 โมงเย็น อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงพวกเขาคงมาถึง มาเพื่อช่วยสะสางปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ล้างมันให้มลายหายไปเหมือนโคลนที่โดนน้ำแรงจากสายยางฉีด เรื่องร้ายๆ ที่ถาโถมเข้ามาจะได้ลาจากเสียที ผมไม่อาจทนรับกับสภาพเลวร้ายอย่างนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ยอมมันครั้งหนึ่งก็เหมือนจำนนตลอดชาติ ขืนทนให้เป็นอยู่อย่างเดิมคงหมดตัวไปสักวัน แม้หนทางที่เลือกจะไม่ใช่เส้นทางที่ดีนัก แต่ในยามคับขันและเร่งรีบเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เหมาะกว่าคืออะไร กฎเกณฑ์ของสังคมไม่อาจช่วยอะไรได้ก็ต้องหาทางออกด้วยตนเอง และอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้ามันก็จะจบลง ผมนั่งคอยใจระทึกภาวนาให้พวกเขามาก่อนมัน เพราะลำพังตัวคนเดียวไม่อาจจะทานมันไหว

	เหมือนเป็นลางบอกเหตุ เมื่อครั้งที่แรงกระชาก ตึง! ของรถจักรบนรางเหล็กออกตัวจากสถานีต้นทางสุไหง-โกลก มุ่งสู่ปลายทาง จ.ยะลา ของเย็นวันอาทิตย์ หลังจากการกลับบ้านเมื่อสุดสัปดาห์ มันเป็นการเยือนบ้านตามธรรมดาที่ปฏิบัติทุกวันหยุดเรียนเสาร์  อาทิตย์ เพื่อรับเบี้ยเลี้ยงที่ทางบ้านให้เป็นรายสัปดาห์ (และต้องมารับเอง) พ่อแม่ไม่ค่อยเชื่อใจกับเงินก้อนที่จะให้เป็นรายเดือนเท่าไหร่นัก เพราะทราบดีว่าสังคมนักเรียนเทคนิคเป็นอย่างไร ยิ่งเช่าบ้านอยู่ตามลำพังกับเพื่อนแล้วด้วย เกรงว่าเงินนั้นจะไม่ได้แปลงค่าตัวเองเป็นสารอาหารลงสู่ท้อง กลัวว่าท้องนั้นจะได้รับแต่ยาฆ่าเชื้อ ถึงอย่างไรชาวเทคนิคอย่างผมก็มีวิธีการบริหารเงินอันน้อยนิดเพื่อแปรสภาพเป็นน้ำเมามาหล่อเลี้ยงความเป็นนักศึกษาอยู่เสมอ ตราบใดที่บะหมี่สำเร็จรูปยังไม่สูญหายไปจากประเทศไทย ตราบใดที่ยังไม่มีใครอ้างตัวเป็นเจ้าของกองผักบุ้งในคูข้างถนน และตราบใดที่ยังมีเพื่อน เพื่อนที่กำลังจะมาเป็นกำลังให้ผมในอีกไม่กี่สิบนาทีข้างหน้านี้ 

	เหมือนเป็นลางบอกเหตุเมื่อชายคนนั้นเดินเตร่เข้ามาหา หลังจากเสียงล้อเหล็กบดขยี้รางชราดัง ฉึกกะฉักๆ แต่พ่อเคยบอกว่ามันร้องดัง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง โดยให้เหตุผลเสริมว่าเพราะเสียงรถไฟเป็นเช่นนี้เราจึงไม่เห็นรถไฟไทยมาตรงเวลาสักที ซึ่งผมก็เห็นด้วยและมักจะบอกเสียงร้องของรถไฟอย่างนี้ต่อคนอื่นเสมอๆ เขาเดินเข้ามา สายตาตรงดิ่งมาที่ผมด้วยความเป็นมิตร เมื่อระยะใกล้ในระดับหนึ่งที่พอจะพูดกันได้ยินถนัดถนี่ไม่ถูกเสียงดังจากการขับเคลื่อนของรถจักรทำลาย แต่นั่นก็หมายความว่าเราตัวแทบติดกันเลยทีเดียว เขานั่งบนที่พักแขนข้างผม (ผมนั่งริมทางเดินส่วนป้าแก่ๆ นั่งติดริมหน้าต่าง) แล้วยิงคำถามด้วยไมตรีว่าจะไปไหน เมื่อรู้ว่าผมจะไปยะลา ซึ่งไม่ใช่สาระอะไรสำคัญของการสนทนาในครั้งนั้นหรอก สิ้นเสียงผมเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วขอเงินดื้อๆ 10 บาท

	เงินสิบบาทไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย แต่ความรู้สึกที่เสียไปมันช่างมากค่ากว่านัก ป้า ที่นั่งข้างๆ นิ่งเฉยเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่สงสัยและไม่ถาม ซึ่งผมเองก็คิดว่าคงเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็มีสิทธิ์เจอได้ทุกคนถ้ามาเพียงลำพัง ด้วยเหตุผลนี้เองที่ผมเพิ่งเจอเรื่องราวอย่างนี้กับตัวเองเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ใช้บริการมาแล้วตั้งหนึ่งปี 

	ทิ้งระยะห่างเพียง 5 นาที ชายอีกคนก็มาด้วยท่าทีเหมือนคนแรก เขาที่ 2 นี้ปฏิบัติเหมือนกับเขาที่ 1 ทุกอย่าง แต่เงิน 10 บาทในกระเป๋าสตางค์ของผมไม่ได้เคลื่อนย้ายเพิ่มด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อกี้ให้คนโน้นไปแล้ว ผมชี้นิ้วไปที่เขาที่ 1 ซึ่งเห็นหลังไวๆ กำลังขอเงินผู้โดยสารตู้ถัดไป เขาที่ 2 ยิ้มตบบ่าของผมทีหนึ่งเบาๆ แล้วเดินไปหาเหยื่อรายต่อไป 

	ดีนะที่มันยังหากินกันเป็นระบบอยู่ ถ้าปีนเกลียวกันขึ้นมาเมื่อไหร่เห็นทีจะแย่

	มันเป็นเหมือนลางบอกเหตุให้ผมรู้ว่าไม่ควรอยู่คนเดียว ไม่ว่ากรณีใดๆ และความระแวงก็เกิดขึ้นเมื่อ เดช เพื่อนร่วมแชร์บ้านเช่ายังไม่กลับมา เดชบอกว่าหลังเลิกเรียนจะไปตามพรรคพวกเอง ปล่อยให้ผมคอยอยู่ที่นี่ถ้ามาช้า เห็นท่าไม่ดีอย่างไรให้ปิดประตูลงกลอนเสีย ประมาณ 5 โมงเย็นทุกคนคงรู้ข่าวและจะมากันครบไม่ขาดไม่เกินกว่านี้แน่นอน ไม่ใช่เพราะอยู่คนเดียวและปิดประตูลงกลอนหรือ ที่เรื่องทั้งหมดต้องลงเอยด้วยการขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ คืนของการสาดแข้งของศึกยูโรระหว่างอิตาลี และฝรั่งเศส คืนนั้นผมนั่งดูบอลคนเดียวในบ้านเช่าขณะที่เดช ออกไปดูที่ร้านน้ำชาซึ่งขายเหล้ากับกลุ่มเพื่อน ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงไม่อยากออกไปข้างนอกเลยขอตัวโดยที่ไม่ลืมขอหัวเอาไว้ด้วย พักครึ่งแรกกระบะสีขาวพร้อมด้วยวัยรุ่น 6 คน มาจอดอยู่หน้าบ้านให้เห็นอย่างชัดเจนเพราะผมเพียงแต่ล็อกประตูเหล็กเลื่อนชั้นนอกเท่านั้น แต่บังตาเปิดอ้าซ่าเพื่อรับลม บุรุษ 2 นายเดินเข้ามาร้องเรียก บอกว่าขอน้ำหน่อยรถหม้อน้ำแห้ง ผมยืนลังเลอยู่พักหนึ่งยังไม่ยอมเปิดประตูให้ สักครู่เขาเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเกรี้ยวกราดบอกว่า มึงจะเปิดหรือไม่เปิด ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเปิดรับปัญหาเข้ามาทันทีทั้งๆ ที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้มาขอความช่วยเหลือแน่แท้ ผมโดนยัดข้อหาทันทีว่าเป็นคนไปตีกบาลน้องชายของพวกเขา และน้องชายผู้เคราะห์ร้ายของเขาทั้งสองนั้นก็จำได้ว่าไอ้มือมืดนั้นขับมอเตอร์ไซค์ เข้ามาในบ้านเช่าของผม พวกเขายืนยันว่าต้องเป็นผมแน่ๆ แต่เจ้าตัวไม่ยักลงมา พี่ชายทั้งสองให้เหตุผลว่าเขากลัวไม่กล้าลงจากรถ

	เงิน 10 บาทที่เสียไปให้กับเขาทั้งสองบนรถไฟเที่ยวสุดท้ายของวัน จากสุไหงโก-ลก สู่ปลายทาง จ.ยะลา ตลอดระยะทางผมนั่งเงียบไร้อารมณ์ มันคงติดไปกับเหรียญสิบเหรียญนั้นด้วยเป็นแน่ แต่เมื่อรถถึงปลายทางความขุ่นมัวของจิตใจก็อันตรธานหายไป คงเป็นเพราะมั่นใจแล้วว่าผมหมดหนี้ที่ต้องใช้บนรถไฟสายนั้นเป็นแน่แท้ และตั้งมั่นว่าจะไม่เดินทางคนเดียวอีกเลย

	มันเป็นเหมือนสิ่งเตือนใจว่าไม่ควรอยู่คนเดียวในเมืองที่หาความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้ยากอย่างเมืองนี้  ผมรู้สึกหิวเมื่อสะพายเป้เดินลงมาจากขบวนรถไฟ ที่พึ่งเดียวคือร้านสะดวกซื้อ เจ็ดสิบเอ็ด ข้างสถานี ผมเดินออกมาด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งในขณะนั้นมันกลายเป็นบะหมี่สำเร็จรูปเรียบร้อยแล้ว ชายคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับผมนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงแห่งนั้น เงยหน้ามองผมแล้วยิ้มให้ ผมยิ้มตอบแต่ไม่ได้สนใจอะไรรีบเดินเพื่อจะหาที่นั่งสำเร็จโทษบะหมี่ในมือให้เสร็จเร็วไวจะได้กลับบ้านเช่าพักผ่อนเสียที คืนที่มีบอลคู่เด็ดไม่ควรเสียเวลา ไม่รีบนอนแต่หัวค่ำรุ่งเช้าจะตื่นไม่ไหว บอลก็เตะดึกเหลือเกินจึงต้องนอนเอาแรงกันก่อน

	เขาเข้ามากอดคอผมแล้วถามเป็นภาษายาวีว่า หงีมาเหนาะ ซึ่งแปลว่าไปไหน ผมตอบกลับเป็นภาษาไทยว่า มาจากนราฯ เพราะผมมาจากที่นั่นและที่ที่จะไปคือที่นี่ ซึ่งถึงแล้ว จะตอบว่าไปยะลาเดี๋ยวจะหาว่ากวนเบื้องล่างเข้าให้ เขาไม่ถามอะไรเพิ่ม แต่เปลี่ยนภาษาที่ใช้เป็นภาษาไทยว่า เพื่อนขอเงินสิบบาทสิ ผมกลายเป็นเพื่อนมันเสียแล้วไม่น่ายิ้มให้เลย

	ผมให้ไป 5 บาทเพื่อตัดรำคาญ บอกไปว่าไม่มีเหรียญสิบมีแต่เหรียญห้าบาทอยู่เหรียญเดียว เอาแค่นี้แล้วกัน แล้วผมก็ตบบ่ามัน ยกมือให้เป็นการอำลา

	คืนนั้นผมสูญเงินไป 500 บาท หลังจากที่พวกเขาขู่เข็ญอยู่นานให้ผมรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ สุดท้ายก็มาลงเอยที่ขอเงินกันหน้าตาเฉย คืนนั้นเป็นเพราะผมอยู่คนเดียวหรือเป็นเพราะผมโง่เปิดประตูให้พวกมันเข้ามาอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ 

	หลังจากคืนนั้น คืนที่ผมต้องจ่ายค่าโง่ให้กับเดนสังคมที่เข้ามายกข้ออ้างต่างๆ นานา เพียงเพื่อจะกรรโชกทรัพย์ บ้านเช่าของผมก็ได้ต้อนรับหนึ่งในสมาชิกกลุ่มกระบะขาวในคืนแห่งยูโรเสมอ และที่สำคัญมันจะมาเฉพาะวันที่ผมอยู่คนเดียวส่วนใหญ่เป็นตอนเย็น ซึงเป็นเวลาที่ผมเลิกเรียน และเป็นช่วงที่เดชกำลังเรียนเพราะเรียนภาคบ่าย หนหลังไม่ได้มาขอกันเปล่าๆ แต่มีสินค้ามานำเสนอเสมอ และต้องขายได้ทุกครั้งไป ซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่มันคนนั้นเอามาขายล้วนราคาถูก เพราะได้มาจากการขโมยและรีดไถจากที่อื่นอีกทีหนึ่ง แต่สิ่งเหล่านั้นก็ใช่ว่าจำเป็นสำหรับผมเสียทุกอย่าง

	หลังๆ เข้าก็ต้องมีเครื่องมือบังคับเพื่อให้ง่ายต่อการขายนั่นคือปืน และนี่คือจุดพังทลายของความอดทนของผม 

	เดชยังไม่กลับมา เพื่อนอีกประมาณ 10 คนที่คาดว่าจะตามได้ยังคงไม่มีใครมา ดูเหมือนเดชจะไม่เดือดร้อนเท่าไหร่นัก หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยเจอปัญหาอย่างผมทั้งๆ ที่เราก็อาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ผมคงคิดมากไปเองเพราะอยู่คนเดียว จำได้ว่าทันทีที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเขาเป็นเดือดเป็นร้อนทันที กรามทั้งบนและล่างขบกันแน่นเสียงดังกรอดฟังชัด วันนั้นพวกเราหลายสิบคนนั่งคอยแต่ก็ไม่เจอ สองสามวันผ่านไปก็ไม่เห็นมีมา ทุกคนต่างลงมติว่ามันคงมีเหยื่อรายใหม่ หรือไม่ก็โดนจับขังลืมไปแล้ว แต่มันก็มาอีกเมื่อผมอยู่ลำพัง มาพร้อมปืนลูกซองสั้นสีดำ ปลอกลูกปลายยังคงลอยและตกอยู่บนอุ้งมือของมันเป็นจังหวะตลอดเวลาที่มันอธิบายสรรพคุณสินค้า

	ผมกลัวมันจะมาถึงก่อนเดชและเพื่อนๆ จะมาทัน

	ความกังวลของผมหายไป เดชมาแล้ว เพื่อนอีก 10 คนก็มาด้วย พวกเขามาพร้อมกัน และอุปกรณ์ครบ

	เป็นไงไอ้ห่ากลัวไหม อยู่คนเดียวน่ะ เดชถามเชิงล้อเลียน

	ไอ้ห่านึกว่าไม่มาเสียแล้ว เร็วๆ รีบขนขึ้นรถโว้ย เดี๋ยวแม่งมาอีก กูขี้เกียจซื้อของของมันแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกวันจนกันพอดี ดีไม่ดีวันไหนไม่มีตังค์โดนยิงไส้แตกอีก แล้วขนดีๆ ล่ะระวังของแตก				
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงใบคา