<< ย้ายบ้าน 3 หน >>ทุกครั้งที่ย้ายบ้าน ฉันมักจะกังวลใจมาก กลัวไม่มีเพื่อน กลัวหลงทาง กลัวการเดินทาง กลัวนั่นนี่ จิปาถะ จนนอนไม่หลับหลายคืน แน่ล่ะ ฉันเกิดมาในแวดวงศาคณาญาติ สมาชิกในขอบรั้วราว ๆ 50 คน แล้วจู่ ๆ วันหนึ่ง วันที่ฉันไปโรงเรียนตามปกติ ผิดแต่ว่า แม่มารับกลับบ้าน ทว่า ไม่ได้กลับบ้านเส้นทางเดิม แม่พาเดินไปไกล ต้องข้ามถนน ต้องเข้าซอยลึก วกวน บ้านไม้สองชั้น ไม่ได้สร้างความคุ้นเคยให้กับฉันเลย แต่เพื่อนบ้านวัยเดียวกันมีเยอะ ฉันเองก็เด็กเกินกว่าจะรู้เหตุผลว่า ทำไมต้องมาอยู่ที่นี่ ไม่ค่อยสุขสบายนักเลยถึงแม้ว่าอีกสองปีถัดมาจะต้องย้ายบ้านอีกครั้ง คราวนี้เป็นตึกแถวสามชั้น ซึ่งอยู่คนละฟากทิศจากเดิม แต่อยู่ใกล้กับโรงเรียนกว่า เพื่อนบ้านเชื้อสายจีนกันทั้งนั้น คืนแรก ฉันฝันว่าที่นี่มียักษ์ ยักษ์ยืนอยู่หน้าบ้านแล้วส่งสายตามายังฉัน ยิ้มแยกเขี้ยวด้วย ที่นี่ เช่าเขาอีกเหมือนกัน ความเป็นอยู่ ก็ไม่ค่อยสุขสบาย.. เหมือนเดิมตอนนี้ ฉันมีบ้านของตัวเองแล้ว มีทั้งบ้าน และคอนโด ไม่ลำบากดั่งแต่ก่อน ฉันเลือกอยู่คอนโด เพราะใกล้ที่ทำงาน เอาไว้แก่กว่านี้ เกษียณก่อน ค่อยไปอยู่บ้าน อยู่คอนโดนี่ก็ดีไปอย่าง เล็ก กระทัดรัด สะดวกสบาย ทว่าก็เหงานะ เพื่อนบ้านแยะ แต่ต่างคนต่างอยู่ ขนาดเจอกันที่ลิฟท์ ยังอัตคัตรอยยิ้มเลย ทำไปทำมา เหงือกฉันก็แห้งไปโดยปริยายเปรียบเทียบกับบ้านหลังแรก ความสุขช่างแตกต่างกันลิบลับ แต่ฉันก็ไม่อยากที่จะโหยหาอดีตให้มันกัดกร่อนใจไปมากกว่านี้<< ย้ายโรงเรียน 3 ครา >>โรงเรียนอยู่แถวบ้าน เป็นโรงเรียนคาทอลิก ฉันเรียนที่นั่นตั้งแต่ชั้นเตรียม จนถึง ม.3 พี่ ๆ ของฉันก็เรียนที่โรงเรียนนี้ เขาแยกฟากเรียก ฝั่งหญิง/ฝั่งชาย มีกำแพงกั้น เรียกได้ว่าทุกซอกมุม ไม่มีพื้นที่ใดในโรงเรียนที่ฉันไม่เคยเข้าถึง ต้นไม้ใหญ่ทุกต้น ฉันเคยปีนป่ายเล่น เรือใบไม้แล่นฉิวในคลองเล็ก ๆ แปลงเกษตรที่ปลูกพืชสวนครัว ตะไคร้ ข้าวโพด ผักคะน้า ฉันยังคงจดจำได้ดีแต่ทำไงได้ ตอนนั้นที่โรงเรียนยังไม่เปิดชั้นมัธยมปลาย ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันไปเรียนต่อ เพื่อนบางคนเรียนต่อสายสามัญ ส่วนฉันเลือกสายพาณิชย์ เพื่อนบางคนไม่มีโอกาสที่จะเรียนต่อด้วยซ้ำไปฉันสอบเข้าวิทยาลัยของรัฐได้ ไกลมาก ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง สำหรับคนเมารถอย่างฉัน เรียกได้ว่า ลำบากเหลือเกิน แต่ด้วยความที่อยากเอาชนะตัวเอง ให้มันรู้ไป เมารถตาย จะได้ลือลั่นโลกที่วิทยาลัย ฉันไปไม่ค่อยจะทันเวลาเคารพธงชาติ ที่เสมอต้นเสมอปลายคือทันคาบสอง ยังดีนะ ที่หัวสมองลิง การเรียนจึงไม่ตก ถึงตอนนี้ ฉันรู้วิธีสร้างรายได้เพื่อจุนเจือการเรียน ฉันทำ sheet ขาย ให้เช่าสมุดบัญชีเพื่อลอกการบ้าน ไหมล่ะ หัวใสมั๊ยตลอดช่วงการเรียนสามปีที่นี่ ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับวิทยาลัยเลย ทั้งที่เวลาเรียนต้องไปหาห้องเรียน วิทยาลัยนี้กว้างขวางเกินไปสำหรับฉันมั๊ง แต่ เอ.. ไม่สิ โรงเรียนเก่ากว้างกว่าตั้งเยอะ คงเพราะฉันไม่ได้วิ่งเล่นสำรวจพื้นที่ ฉันไม่ค่อยสนใจกับการทำความรู้จักวิทยาลัยนี้สักเท่าไหร่ แหมมม อยากจะบอกว่า ไม่ค่อยผูกพันด้วยซ้ำไปแล้วฉันก็ทำงาน ทำงานสักพัก อกหัก ก็เลยคิดเรียนหนังสือ ทำงานไปเรียนไป ด้วยความงก เพราะต้องจ่ายค่าเทอมเองกระมัง ทำให้ฉันมีผลการเรียนดีเยี่ยม พูดแล้วจะหาว่าคุย ในระดับอนุปริญญา 4 เทอมของฉัน เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.9 มีอยู่เทอมหนึ่ง ที่ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ได้รับใบประกาศเกียรติคุณด้วยนะ พ่อดีใจปลาบปลื้มมาก ทันทีที่ได้ใบประกาศมา พ่อรีบเอาไปร้านใส่กรอบซะหรู ส่วนฉันน่ะเหรอ ฉันคิดว่า ฉันน่าจะได้ทุนการศึกษามากกว่านะ โธ่ บอกแล้วไง ฉันงก น่ะที่นี่ ฉันเรียนภาคค่ำ ไปถึงโรงเรียนตอนเย็น เรียนเสร็จไปทำงานเข้าเวรดึก เช้ากลับบ้านนอน แล้วก็ตื่นมาเย็นไปเรียน กิจวัตรประจำวันของฉันมีเท่านี้อาจารย์บอกฉันว่า .. อย่าหยุดเรียนนะเธอ ผลการเรียนของเธอดีมาก เธอมีโอกาสที่จะก้าวหน้า ให้มุ่งมหาวิทยาลัยคงเพราะฉันสายตาสั้น ฉันจึงไม่ได้มองอะไรที่ยาวไกล ที่มาเรียนต่อ ก็เพราะต้องการทำตัวไม่ว่าง อกหักไง แล้วเรื่องอะไรที่อกหักแล้วจะต้องเศร้า จริงป่ะแต่ในที่สุด ฉันก็เรียนต่อมหาวิทยาลัย เพื่อนเป็นคนสมัครให้ ฉันมีหน้าที่จ่ายตังค์ซื้อเอกสารสมัคร และส่งเอกสารยื่นให้ นอกนั้นเพื่อนกรอก โห ... เล่มหนาปึ๊ก แค่กรอกสมัครเรียน ฉันยังรู้สึกว่ามันยุ่งยากมากเลย ตกลงว่า ฉันต้องเรียนในคณะที่เพื่อนสมัครให้ ฮา .. เรียนก็เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ไกลนะ ฉันเคยไปตอนใกล้จบ ต้องไปเก็บวิชาสุดท้าย ตลกดีเหมือนกัน เพิ่งรู้เองเนี่ยว่ามหาวิทยาลัยอยู่นี่ กินอยู่หลับนอนหลายวัน แต่ก็ยังไม่รู้อะไรให้คืบหน้าเลย เถอะน่า เขากำหนดไว้ "ไม่มาก็ไม่จบ"....ทั้งหมดที่บอกเล่าเรื่องราวในบล็อก ก็เพียงเพื่อให้รู้ว่าที่จริงแล้ว การหยุดนิ่งในชีวิตของคนเรา มันไม่มีเลยดังนั้น อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง อย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นสิ่งยุ่งยากถ้าบรรพบุรุษของเราไม่เปลี่ยนแปลงป่านนี้ พวกเราคงอยู่ถ้ำ นุ่งหุ่มใบไม้กันล่ะ จริงมั๊ย