กลอนธรรมชาติ

รำลึก ๒๒ ปี.. สืบ นาคะเสถียร

ศรีสมภพ


ธรรมชาติ.. จัดแจงแบ่งที่อยู่
สัตว์ต่างรู้สัญชาตญานแห่งย่านถิ่น
อยู่โดดเดี่ยวหรือรวมฝูงมุ่งหากิน
ป่าปกดิน ดินสร้างป่ามาช้านาน
ป่าผืนกว้าง..ฝั่งด้านตะวันตก
มรดกโลกประกาศ จัดประสาน
ด้วยเหตุผลเป็นต้นน้ำแหล่งลำธาร
ความหลากหลายในพืชพันธุ์ตระการตา
สัตว์หายากหลากพันธุ์ผสานผสม
แหล่งอุดมกลมกลืนเต็มผืนป่า
ธรรมชาติจัดแบ่งเขต นิเวศวิทยา
สัตว์และป่า..จึงอาศัยได้เหมาะควร
“ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ”
ผืนป่าแห่ง..ทุ่งใหญ่นเรศวร
อนุรักษ์พืชและสัตว์จัดจำนวน
ชีวมวลล้วนหลากหลายให้ยั่งยืน
ธรรมชาติสัตว์และป่า ..บริสุทธิ์
แต่มนุษย์ ! มิหยุดยั้งยังฝ่าฝืน
เข้ารุกล้ำธรรมชาติสัตว์สะอื้น
วิ่งแตกตื่น สาดปืนใส่ไม่นำพา
เขาและเราเหล่ารวมเพื่อนร่วมโลก
ร่วมสุขโศกอกเดียวกันนั่นแหละหนา
ต่างรักตัวกลัวตายวายชีวา
ล้วนมีค่า ทั้งสัตว์คน..ทุกตนตัว !
ห้วยขาแข้ง แหล่งบ้านสืบ ผู้สืบสาน
เจ้าตำนานคนรักป่า กล้าสู้ชั่ว
ปลิดชีพตนเพื่อผลชาติไม่ขลาดกลัว
ยอมดับตัว เพื่อยังป่า..อย่างกล้าหาญ
หนึ่งกันยา.. ทุกปี มีรำลึก
เมื่อหวนนึกเสียงปืนก้องต้องสะท้าน
ปลุกผืนป่า ปลุกประชาอย่าช้าการ
ทุนสามานย์ผลาญรุกป่า ..กล้าป้องไพร !
ร่วมสืบทอดเจตนา..ผู้กล้าแกร่ง
พลีชีพให้ห้วยขาแข้งแหล่งป่าใหญ่
๒๒ ปี อุดมการณ์สานสืบไป
จะต่อยอดแตกกิ่งใบไปนิรันดร์....
................................................................................
๑ ก.ย.๕๕ ร่วมรำ

ยามรุ่งอรุณ

ธันวันตรี


ฟ้าทึมทึบทึมเทาเงาพระจันทร์
ค่อยผ่อนเพลาลงพลันเช้าวันใหม่
ไก่ฟ้าขันกู่ร้องเสียงก้องไกล
ปลุกชาวนาเร็วไวไปท้องนา
แสงระวีส่องเกล็ดเพชรน้ำค้าง
ที่ใบบางเขียวไพรของใบหญ้า
เสียงบทเพลงขับร้องของนกกา
แว่วจากฟ้าเมืองแมนสู่แดนดิน
แม่หุงข้าวหอมใหม่ใส่บาตรพระ
รับธรรมะจากสงฆ์ผู้ทรงศีล
วิเวกเดินดงมาเป็นอาจิณ
ตามท้องถิ่นท้องทุ่งทุกรุ่งเช้า
ตะวันพริ้มยิ้มพรายบนปลายฟ้า
บอกเวลาอรุณเยือนเหมือนก่อนเก่า
ความสันโดษร่มเย็นทอดเป็นเงา
ความสุขคราวเรียบง่ายทักทายรอ
ยามเช้า ณ ท้องนา เป็นเวลาที่อากาศเย็นสดชื่น ด้วยสายลมและสายหมอก
น้ำค้างพร่างพรมบนยอดหญ้า และดอกไม้ป่า ระยิบระยับงดงามคราต้องแสง
รอเวลาเหือดหาย ตามธรรมดาของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อยู่เป็นนิรันดร์
แม้ในท่ามกลางกระแสโลกาภิพัฒน์อันเร่าร้อน ตามอำนาจของความอยาก ที่กำลังกลืนกินสังคมไทย เราอาจจะพบทางเลือก ที่สันโดษ เรียบง่าย เงียบงามในสมดุลของธรรมชาติ ดังคำสอนของพระศาสดา
ด้วยความสงบ ความสมดุล และแสงสว่าง
ૐ ธันวันตรี ૐ

"ค่อยพบกันใหม่พรุ่งนี้"

เปลวเพลิง


หญ้าหยัดยอดเรียวเขียวรื่น
ฟ้าชื่นเมฆขาวพราวใส
แม่น้ำลึกลุ่มชุ่มใจ
ภูไพรแผ่พรมร่มเย็น
ลมพัดปัดร้อนผ่อนรุ่ม
ไฟสุมคลายหนาวร้าวเข็ญ
เด่นดาวสุกปลั่งดั่งเป็น-
เพื่อนเพ็ญสาดแสงแจรงทรวง
สูรย์ส่องก่องฟ้าคราสาง
น้ำค้างผุดผาดหยาดสรวง
ผึ้งบินว่อนหาผกาพวง
ดอกดวงสุมาลย์บานพบู
ยลความงามล้ำธรรมชาติ
สะอาดดาษตาน่าอยู่
เปิดตัวหัวใจไปดู
ดำรูรุ่งฟ้าธาตรี
งามเอยงามเหลือลึกล้ำ
หลังกรำงานตามหน้าที่
ปล่อยจินต์ว่ายวนชลธี
โดยมีปลาเหมือนเพื่อนมาน
พบแล้วที่นี่ที่รัก
สุขนัก-หย่อนใจเมื่อไกลบ้าน
ไม่ต้องมากมีพิธีการ
สงบสบศานต์สราญใจ
สัมผัสหญ้าเรียวเขียวรื่น
ฟ้าชื่นเมฆขาวพราวใส
สบตากันก่อนจรไกล
"ค่อยพบกันใหม่พรุ่งนี้"

ท่องไพร

สุนทรวิทย์


เมื่ออรุ-โณทัย  ทาบไพรสณฑ์
ภูวดล  เฉิดฉัน  รับวันใหม่
บุปผชาติ  ผลิดอก  ออกช่อใบ
ลำธารใส  ฉ่ำเย็น  เห็นปูปลา
สกุณา  จำเรียง  เสียงเสนาะ
ฟังไพเราะ  จับใจ  ในภาษา
ดุจเพลงพิณ  สวรรค์  พรรณนา
สะท้านป่า  สิงขร  ตอนอรุณ
ต้นยี่เข่ง  ยี่โถ  โอ้อวดสี
บานบุรี  เลื้อยเลี้ยว  เกี่ยวขนุน
หอมกุหลาบ  มะลิ  ดอกพิกุล
กลิ่นละมุน  กระดังงา  จำปาดง
เก้งคู่เก้ง  กวางคู่กวาง  เยื้องย่างเหยาะ
เดินลัดเลาะ  ริมธาร  ผ่านฝูงหงส์
โน่นกระรอก  กระแต  แลกระจง
อยู่ยืนยง  คู่ป่า  มาช้านาน
ธรรมชาติ  เนรมิต  ชีวิตให้
สัตว์น้อยใหญ่  พึ่งพา  ได้อาหาร
สืบดำรง  พงศ์เผ่า  เนาสำราญ
คือพิมาน  นิรมล  บนแผ่นดิน
ยามเที่ยวดง  พงไพร  ใจแสนสุข
ที่เคยทุกข์  สลด  พลันหมดสิ้น
จงพิทักษ์  รักษา  เป็นอาจิณ
ผดุงถิ่น  ป่าไม้  ไว้ถาวร

อังคารสีเลือด

อิสรชัย รัตน


เหตุไฉนอังคารจึงเป็นสีเลือด
ดาวนี้เดือดอาเพทด้วยเหตุไหน
หรือบอกให้มนุษย์รู้ความนัย
ถึงมหันตภัยน้ำมือคุณ
ได้เวลาธรรมชาติมาเอาคืน
ไม่ว่าหลับหรือตื่นโลกหยุดหมุน
หฤโหด ผลาญผล่า โหดทารุณ
ล้วนเป็นผล นำหนุน ผนวกกัน
ดาวอังคาร จึงแดงช้ำ เพราะกำสรวล
เตือนบอกให้ ทบทวน ก่อนโศกศัลย์
เพื่อทุกคนในโลก รู้โดยพลัน
ถึงคุณไม่ฆ่ากัน เตรียมตัวตาย
ด้วยโลกช้ำ หนักหนา แสนสาหัส
สารพัดโหมรุกให้โลกสลาย
เห็นแก่ตัว จึงมุ่งมั่น บั่นทำลาย
รู้หรือไม่คุณได้ทำลายตน
ดาวอังคารร้องไห้เป็นสายเลือด
อีกไม่นานโลกเดือด คงปี้ป่น
ไร้พืชผัก อาหาร บันดาลดล
อากาศพิษ ครอบบน ถิ่นโลกา
เมื่อวันนั้นมาถึงโลกสีช้ำ
อันเป็นผลกระทำใครเล่าหนา
มองที่ตนมองรอบข้างทั่วพารา
ล้วนสร้างสมความชั่วช้าให้โลกตน

หอมกลิ่นลอมฟางที่กลางท้อ​งนา

ธันวันตรี


ได้กลิ่นไอกลิ่นหอมจากลอมฟา​ง
เมื่อฝนตกมาล้างรอยดินแล้ง
หญ้าแทงยอดเขียวงามตามเรี่ย​วแรง
รุ้งทอแสงเริงระบำบนท้องนา
แม่ใส่ซิ่นผ้าฝ้ายพาลุยฝน
ได้อาหารเหลือล้นหาบบนบ่า
มีน้ำใจแบ่งปันกันเรื่อยมา
บนนิยามคุณค่าความเพียงพอ
ลอมฟางรวมกองไว้กลางลานดิน
เมื่อวัวควายได้กลิ่นมากินต่อ
ยามเย็นกรูกลับถึงที่ไม่รีร​อ
และพาพ่อไปทุ่งทุกรุ่งเช้า
ฝนตกโรยลอมฟางกลางเมษา
กลับไม่หอมโชยมาเหมือนคราเก่า
เหลือร่องรอยประทับใจในวัยเ​ยาว์
เป็นเรื่องเล่าฝากไว้ในแผ่น​ดิน
ผ่านเทศกาลสงกรานต์ ฝนตกโปรยปรายเหมือนน้ำตาหล่​นร่วงมาซับดินแล้ง
ลูกหลานต่างหลั่งไหลเข้าเมื​องกรุง เหลือภาพที่มีลูกหลานเต็มบ้​าน ให้เป็นเพียงแค่ความทรงจำ
ภาพในอดีตที่พ่อแม่ ลูกหลาน ปู่ย่า ตายาย วัวควาย ต่างตื่นเต้นดีใจเมื่อต้นฤดูฝน ฤดูแห่งอาหาร ฤดูแห่งชีวิตจิตวิญญาณของชา​วนา ค่อยๆจางหายไป
ในท่ามกลางสายฝน ข้าพเจ้านั่งเขียนบทกวี และฟังบทเพลงตามรอยพ่ออย่าง​เงียบๆ สัมผัสถึงความรัก ความห่วงใยของพ่อต่อชาวนาไท​ย คงไม่มีพระมหากษัตริย์ที่ไห​นในโลกอีกแล้ว ที่ทรงทำนา เกี่ยวข้าว และมีที่นาในบ้านของพระองค์​เอง
พ่อแสดงให้เห็นถึงปรัชญาเศร​ษฐกิจพอเพียง สงบสุข เรียบง่าย ตามวิถีแห่งการเกษตร กลมกลืนไปกับธรรมชาติ ไม่มีความสุขใดจะเทียมเท่าอ​ีกแล้ว
พ่อบอกไม่ให้ลืมบุญคุณของข้​าว ไม่ให้ลืมรากเหง้าของบรรพบุ​รุษ
ในท่ามกลางกระแสวิวัฒน์ กระแสทุนนิยม กระแสวัตถุนิยม กระแสบริโภคนิยม 

เพื่อนทะเล

ฝน


 ฟังเสียงคลื่นทะเลยามพัดหวนทำให้ชวนน่าฟังน่าหลงใหล
เหมือนกับใจคน ที่อ้างว้างอยากมีใคร
คอยห่วงใย ใกล้ใกล้ดูแลกัน
แต่ทั้งนี้มันก็ได้ แค่เพียงฝัน
นานนับวันยิ่งอยู่ใกล้ เหมือนยิ่งห่าง
เหมือนเส้นทาง ที่ยังอีกยาวไกล
        ถึงอย่างไรก็ยังดี..ที่มีเธอ
คอยส่งเสียงเป็นคลื่นลมยามฉันเหงา
แม้ว่าเราไม่สามารถคู่กันได้
แต่ใจนั้นยังสัมผัสได้ถึงกัน
ยามที่ฉันอ้างว้างและเดียวดาย
เธอก็คือแสงสุดท้าย..เป็นเพื่อนกันยามคิดถึง

๐ รักครวญฝังใจ ๐

แก้วประเสริฐ


๐ รักครวญฝังใจ ๐
๐ ค่ำคืนนี้มีจันทร์พลันส่องหล้า
เรืองท้องนภาแขแจ้าเฝ้าส่องแสง
ก่อนทิวาพราวพร่างระหว่างแดง
ราตรีแฝงเหลืองอร่ามล้ำธานินทร์
๐ ครุ่นคิดถึงจากห้วงดวงใจลึก
เคยใฝ่ตรึกซ่อนเร้นนวลเด่นถวิล
ยิ่งเพ็ญพักตร์ถูกเค้นเช่นภุมริน
เคล้าดอมสิ้นบุปผาครายึดครอง
๐ โอ้กระต่ายหมายบ่มเกินชมแล้ว
ที่เพริศแพร้วหวังเชยเผยสิ่งสนอง
กากเหลือไว้ผ่านเนตรเฉดใจปอง
เคล้าลมก้องแผ่วโปรยโชยสุคนธ์
๐ คันธชาติจากพฤกษ์นึกครวญคร่ำ
ค้างคาวขย่ำผลไม้ขจายไพรสณฑ์
งามแสงดาวลอยล่องคล้องวังวน
เหมือนจรดลห้วงรักฝากวิญญาณ์
๐ หรีดหริ่งร้องเรไรยากใคร่ผสาน
ก้องกังวานบรรเลงเพลงหรรษา
ผ่านทิวไม้คลั่งไคล้คล้ายกานดา
เสมือนคลื่นผวาทบฝั่งยากยั้งใจ
๐ รักครั้งแรกเหลือไว้กลายเพียงนี้
วาบหวามฤดีเปี่ยมไว้คล้ายสดใส
หวนแปรปรวนผ่าลึกตรึกห้วงใน
หลีกผ่านไปเปรียบลมยากชมเชย
๐ ค่ำคืนนี้หอมกรุ่นละมุลพฤกษ์
ชวนใฝ่ตรึกหมายชมภิรมย์เฉลย
หอมหวลกลิ่นหมายชมภิรมย์เคย
คล้ายจันทร์เผยเมฆาคว้ากั้นกลาง
๐ ใจดวงน้อยหวนไว้ใฝ่ชวนหวัง
เปรียบประดังมาพบประสบขวาง
คร่ำครวญไร้นวลเจ้าเฝ้าเลือนลาง
เปลี่ยวอ้างว้างดวงฤทัยใฝ่เชยชม
๐ อุษาสางหมอกเย้าเคล้าปั่นป่วน
ราตรีล้วนลอยลับสลับขื่นขม
สิ่งซาบซึ้งตรึงไว้คล้ายสายลม
ยากผ่านปมปริศนาผ่าห้วงใจ
๐ เหม่อตะวันสีแดงแฝงขอบฟ้า
หมู่นกหาเรียกร้องทำนองใส
ห้วงใจหนอคิดคนึงซึ้งห่วงใย
น้ำค้างไหวใบหญ้าคว้าเพียงเงา.
๐ แก้วประเสริฐ. ๐

๒๐ ปี ห้วยขาแข้ง

ศรีสมภพ


ณ แผ่นพื้นผืนป่า.. ตะวันตก
มรดกตกทอดไว้ ที่ใหญ่ยิ่ง
ความหลากหลายชีวภาพกับความจริง
ทุกสรรพสิ่ง ยังลึกล้ำ น้ำ ป่า ดิน
ธรรมชาติ.. จัดแจงแบ่งที่อยู่
สัตว์ต่างรู้สัญชาตญานแห่งย่านถิ่น
อยู่โดดเดี่ยวหรือรวมฝูงมุ่งหากิน
ป่าปกดิน ดินสร้างป่ามาช้านาน
ป่าผืนกว้าง..ฝั่งด้านตะวันตก
มรดกโลกประกาศ จัดประสาน
ด้วยเหตุผลเป็นต้นน้ำแหล่งลำธาร
ความหลากหลายในพืชพันธุ์ตระการตา
สัตว์หายากหลากพันธุ์ผสานผสม
แหล่งอุดมกลมกลืนเต็มผืนป่า
ธรรมชาติจัดแบ่งเขต นิเวศวิทยา
สัตว์และป่า..จึงอาศัยได้เหมาะควร
“ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ”
ผืนป่าแห่ง..ทุ่งใหญ่นเรศวร
อนุรักษ์พืชและสัตว์จัดจำนวน
ชีวมวลล้วนหลากหลายให้ยั่งยืน
ธรรมชาติสัตว์และป่า ..บริสุทธิ์
แต่มนุษย์ ! มิหยุดยั้งยังฝ่าฝืน
เข้ารุกล้ำธรรมชาติสัตว์สะอื้น
วิ่งแตกตื่น.. สาดปืนใส่ไม่นำพา
เขาและเรา เหล่ารวมเพื่อนร่วมโลก
ร่วมสุขโศกอกเดียวกันนั่นแหละหนา
ต่างรักตัวกลัวตายวายชีวา
ทั้งสัตว์คน กลัวการฆ่า..อย่าเบียดเบียน !
๒๐ ปี มรดกโลก “ ห้วยขาแข้ง ”
ตำนานแห่ง ...สืบ นาคะเสถียร
ผู้ปลิดชีพ ป้องผืนป่า ผู้กล้าเปลี่ยน
พลิกบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ..ให้ป่ายัง !
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง - ทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นผืนป่าอนุรักษ์ที่มีพื้นที่รวม 4,017,087 ไร่ มีความต่อเนื่องและเป็นแกนกลางของผืนป่าตะวันตก ครอบคลุมในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุทั

เสือกำสรวล

บุญเพิ่ม


เสือกำสรวล
สุดระกำลำเค็ญเกิดเป็นเสือ
เพื่อนต่างเบื่อหนีหน้าบ่มาใกล้
อยากรู้พวกเขาเห็นเราเป็นใคร
เหตุไฉนสัตว์ทั้งหลายถึงได้กลัว
ก็แค่ยามอึดอัดไล่กัดหมู
ส่งเสียงขู่ก้องไพรดังไปทั่ว
กัดกระทิงเก้งควายไปหลายตัว
ตะบบวัวกินบ้างในบางที
ธรรมชาติของเสือล่าเมื่อหิว
กระโดดฉิววาดหวังกระทั่งหมี
กินงูเหลือมแล้วตามล่าลิง,ชะนี
เลาะพงพีไปทั่วไม่กลัวตาย
หวังเป็นมิตรอย่างยิ่งกับจิ้งจอก
มันกลับหลอกกินเนื้อดิบเลวฉิบหาย
หวังจะคบกับเม่นผู้เร้นกาย
เม่นกลับหมายสะบัดขนให้หม่นกัน
เกิดเป็นเสืออย่างเราแสนเศร้าหมอง
แค่เสียงร้องก้องป่าก็น่าพรั่น
เดินโดดเดี่ยวขมขื่นทุกคืนวัน
หิวเท่านั้นแหละจึงล่าสัตว์ป่ากิน!ฯ
อริญชย์
๒๔/๖/๒๕๕๕

แปรปรวน

ไหมไทย


เสียงสายฝนหล่นซัดกระแทกพื้น
น้ำในคลองไหลรื่นเกลียวกระหน่ำ
ฟ้ามืดมัวสลัวแสงส่องฉายนำ
ดอกไม้ช้ำน้ำฝนไร้เมตตา
เจ้าเคืองขัดโกรธแค้นเหตุใดหนอ
คลั่งซัดเหมือนบ้าบอสร้างปัญหา
มาสุมรุมเร้าคนโศกา
เจตนาสั่งสอนพวกมนุษย์
ภัยพิบัติแจ้งเหตุสะท้อนชี้
แผ่นดินไหวหลายที่รวมหลายจุด
และเชิงเขาดินทะลายพังลงทรุด
ทะเลฉุดคลื่นยักษ์ซัดแผ่นดิน
ชุลมุนวุ่นวายกันควักไขว้
ผู้คนไม่สามัคคียื้อแย่งสิ้น
ผลประโยชน์เศรษฐกิจกอบโกยกิน
อนาถจินต์ศีลธรรมหมดสร่างซา

คืนถิ่นแผ่นดินเกิด

คนบางบอน


จากกรุงเทพ เมืองกรุง เมืองฟุ้งฟ้า
สู่บ้านป่า นาดอย อย่างหงอยเหงา
หิวหรืออิ่ม ก็มิอาจ จะคาดเดา
ยิ้มเศร้าเศร้า ปลอบใจ ให้อดทน
มองท้องฟ้า เวิ้งว้าง ความว่างเปล่า
มีเพียงเรา ในนิยาม ความสับสน
ผิดหรือถูก ยอมรับ ยังอับจน
มิอาจค้น คำตอบ มาปลอบใจ
ยอมรับว่า เหงาบ้าง ในบางครั้ง
ภาพความหลัง มันสะท้อน จนอ่อนไหว
กับความจริง วันนี้ ที่มาไกล
ทั้งโหยไห้ ห่วงหา ทั้งอาวรณ์
เพราะความหวัง เรืองรอง ของชีวิต
มันถูกปิด กั้นฉาบ เป็นภาพหลอน
อนาคต จำกัด ถูกตัดรอน
ใครจะย้อน คืนถิ่น แผ่นดินเมือง
ขอตั้งหลัก ปักฐาน ที่บ้านเกิด
เลิกเอาเถิด กับแสงสี ที่ฟูเฟื่อง
หันหลังให้ ไกลกรุง ที่รุ่งเรือง
บันทึกเรื่อง เก็บไว้ ในความจำ
ธรรมชาติ สะอาด บริสุทธิ์
คงช่วยหยุด หัวใจ ไหวระส่ำ
หันหน้าเข้า หาวัด ปฏิบัติธรรม
ฝังความช้ำ ไว้กับถิ่น แผ่นดินเดิม

สัญญาที่บ้านนา

เด็กเมืองยศ


สิ้นวสัน ตฤดู สู่หน้าหนาว
ทุ่งสกาว เหลืองงาม ทาบท้องทุ่ง
รวงข้าวสุก ทองรอ น้องจากกรุง
เจ้าจงมุ่งก ลับบ้านนา มาร่วมเคียว
ย่างเดือนอ้าย ฟ้าสดใส เมฆลอยล่อง
แดดเรืองรอง อาบทิวไผ่ ใบไม้เขียว
นกเป็นหมู่ บินเรื่อย อย่างกลมเกลียว
พี่ยังเหลียว มองทาง น้องนางมา
พลิ้วลมโลม ลูบผิว แผ่วสะท้าน
โอ้นงคราญ อยู่ที่ไหน ไม่มาหา
แสงเดือนส่อง ผ่องนวล คล้ายขวัญตา
คืนกลับมา อาบดาว ร่วมห่มเดือน
เคียวคันเก่า กร่อนแล้ว แก้วตาเอ๋ย
นานเท่าไหร่ เจ้าไม่เคย มาเป็นเพื่อน
ลืมรวงข้าว น้ำคำ ช่างแชเชือน
น้ำใจนาง ขุ่นข้น เหมือนน้ำคลอง

เตรียมพร้อม กับยอมรับ

คนกรุงศรี


เปลวสุรีย์ ที่ส่อง ต้องผืนหล้า
ดูทีท่า ว่าปอง จ้องเผาผลาญ
ทั้งพืชสัตว์ ให้พลัน บรรลัยราญ
อวสาน โลกา คงมายล
ความร้อนแดด แผดจ้า ผืนหล้าแห้ง
ผิวดินแยก แตกระแหง ทุกแห่งหน
ลมสะบัด พัดฝุ่น หมุนเวียนวน
น้ำขุ่นข้น ขอดหนอง ทั้งคลองคู
พอลมโบก โยกไผ่ ให้ไหวพลิ้ว
ใบก็ปลิว ร่วงกราว คราวลมลู่
กิ้งก่าแย้ เขียดกบ หลบลงรู
แต่ปลาปู ติดตม จมก้นคลอง
ใต้สะเดา เงาร่ม แต่ลมร้อน
ผิวอ่อนอ่อน เกรียมดำ ดูคล้ำหมอง
ตะวันรอน ตอนบ่าย ปรายตามอง
เขม็งจ้อง จะเผา ให้เราวาย
เพราะแมกไม้ ไพรพนา ผืนป่ากว้าง
ก่อนเคยรก วันนี้ร้าง ต่างหดหาย
เพียงตอเห็น เป็นฟืน ยืนต้นตาย
ผู้ทำลายนั้นหรือ ก็คือใคร
จงเตรียมพร้อม ยอมรับ กับวิบัติ
เริ่มเห็นชัด ทุกวัน รู้กันไหม
ธรรมชาติ เหี้ยมโหด โทษสิ่งใด
จงเตรียมใจ ให้พร้อม ยอมรับกรรม

รำลึก สืบ นาคะเสถียร ตอนที่ 4

ศรีสมภพ


บทกวีนำเสนอเพื่อรำลึก ก้าวสู่ ๒๔ ปี ...สืบ นาคะเสถียร

เรื่องที่ ๔ สุดสลด ..คชสาร

ไอ้มนุษย์ ! ตัวนิดๆ พิษช่างร้าย
มันทำลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า เพื่อนร่วมโลกเล็กหรือใหญ่ไม่ยอมรา เข้าเข่นฆ่า เฉือนเชือด.. อย่างเลือดเย็น คชสาร.. ตัวใหญ่ๆ ในป่ากว้าง เดินย่องย่างหากินถิ่นลึกเร้น เป็นเจ้าป่าร่างใหญ่ไม่ลำเค็ญ ใครกล้าเข่น ได้เห็นดีทุกทีไป ย้อนช้างศึก คึกคักหักการรบ เข้าสยบไพรีคร้ามสนามใหญ่ สัตว์ราชาสง่างามยามย่างไป ร่วมชิงชัยเหยียบค่ายขุม คุ้มบ้านเมือง ! ช่วยกอบกู้เอกราชอย่างชัดชี้ เห็นสุดๆ ยุทธหัตถีที่ลือเลื่อง ไชยยานุภาพ! ปราบพม่าล่ากลับเมือง ชาติประเทืองเรืองโรจน์ปรากฏชัด ข่าวฆ่าช้างเพื่อเอางา ..ป่าสะท้าน แก่งกระจาน มนุษย์ไหน ? หนอใจสัตว์ เมนูเด็ด สนองใจให้ต่างชาติ เนื้อช้างใหญ่ใบสั่งจัด ..ภัตตาคาร ไอ้มนุษย์ ! ตัวน้อยนิดพิษสุดร้าย ล้มสัตว์ใหญ่ใช้อาวุธสุดจะต้าน เนรคุณผู้กอบกู้ หลู่ตำนาน สัตว์คู่บ้าน ! ผลาญได้ไง ? จัญไรจริงๆ @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ “พระราชินี”เสียพระทัยช้างป่าแก่งกระจานถูกฆ่าเผาเอางา เชิญพระราชเสาวนีย์ถึง “อธิบดีอุทยานฯ” เร่งแก้ปัญหา แฉขบวนการ เหี้ยมเร่งไล่ล่า เปิดเผยความคืบหน้าการตามล่าหาตัวคนร้ายที่ฆ่าช้างป่าในเขตอุทยานแช่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ว่า ขณะนี้รู้ตัวขบวนการที่ร่วมมือกันฆ่าช้างแล้ว โดยทำกันเป็นขบวนการมีทั้งคนมีสี นักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่

คืนฟ้าคราม

คอนพูทน


คืนฟ้าคราม
๏ สนทะเลปลิวลมพรมยินแผ่ว
คลื่นจัดแถวสาดสถานสร้อยผ่านเสียง
เสนาะพลิ้วชื่นพร้อมรินกล่อมเรียง
กระชุ่มเพียงโปรยพริ้ม..ริมหาดทราย
 
๏ สาดบรรเลงเพลงครวญรำพันขรม
เพลินอุราอารมณ์ฟ้อนเกลียวร่าย
พลางค่อยไหลฟ่องเลื่อนพราวเกลื่อนพราย
อาบแสงฉายจันทร์ชม..อภิรมย์ฟ้า
 
๏ ยิ่งสวาสดิ์ผ่องวัจน์สัมผัสใกล้
ชลาศัยกอดกระซิบทิพย์เวหา
หาดทรายห่มเปลือกหอยเคียงรอยครา
สุดพรรณนาหอมนี้..ราตรีจันทร์
 
๏ พวงดาวลอยงามพิลาสสรรวาดศิลป์
ประดับปิ่นสวยเปล่งกรุ่นเพลงกลั่น
นวลแขหวามอร่ามเพริศบรรเจิดพลัน
หยาดสวรรค์พลิ้วไสว..นัยหมายนึก
 
๏ ลมทะเลเห่สรวงเกลียวคลื่นสาน
กล่อมพิมานเทียมเมฆเสกรู้สึก
สุนทรีรมย์คมทัศน์ฟังอึกทึก
เย็นลมดึกโปรยดอกจูบซอกใจ
 
๏ ละมุนหยดแพรวระย้าฟ้าประดับ
คลื่นระยับทะเลหยาดสาดน้ำใส
ลมโชยพัดเชยพลอดยอดสนไกว
หลับแทบในทรายนุ่ม..ชุ่มเพียงเชิญ ๚ะ๛
                           คอนพูทน

จากใจพิม

พลายแก้ว เมืองกาญจน์


ไม่ต้องการ แหวนเพชร เม็ดโตใหญ่
มิกลัวว่า มีใคร ไหนเหยียดหยาม
การตัดสิน ดูที่ ความดีงาม
มิครั่นคร้าม ขยัน สร้างสรรตน
กำหนดมา หมั้นหมาย ปลายเดือนสี่
ได้ฤกษ์ดี ที่ตอน ก่อนหน้าฝน
จะเร่งรีบ จัดการ งานมงคล
พิมฯหน้ามล จะรอ นะพ่อพลายฯหากเก็บเกี่ยว เที่ยวนี้ หมดหนี้สิน
พลิกผืนดิน อีกครั้ง ยังไม่สาย
ธรรมชาติ เหมือนว่า จะท้าทาย
กับแรงใจ แรงกาย จรดปลายทางแม้มีแหวน สามสลึง สร้อยหนึ่งบาท
ก็มิอาจ ทำให้ ใจเมินหมาง
ถ้ามีคน ลือไกล ไปทั้งบาง
ถือว่าช่าง ประไร ใครอยากคิด