กลอนคิดถึง

ขอบใจ

คนกรุงศรี


ใครคนหนึ่ง ซึ่งคอย จนหงอยเหงา
แอบนั่งเศร้า เฝ้ามอง คอยจ้องหา
มีเพียงหวัง ยังจำ คำวาจา
คงย้อนมา สักวัน ดั่งฉันคอย
คำสั้นสั้น วันนี้ ที่ได้รับ
เหมือนว่าซับ น้ำตา คราเหงาหงอย
ก็บ่อยครั้ง นั่งคิด จิตเหม่อลอย
จนค่อยค่อย เจียมใจ ไม่ลืมตน
อยากจะหัก ห้ามใจ มิให้คิด
รู้ไร้สิทธิ์ แต่ใน ใจสับสน
ใต้สำนึก ของฉัน นั้นกังวล
คิดถึงปน ห่วงใย ให้อาทร

คิดถึง คิดถึง คิดถึง

แก้วประภัสสร


คิดถึงข้าวจี่่ในหน้าหนาว
คิดถึงผ้าขาวแม่ปูให้นอน
คิดถึงตำลึงยอดอ่อนอ่อน
ที่ลูกออดอ้อนเพราะอยากกิน
คิดถึงคนชราตาฟ่าฟาง
คิดถึงท่านอย่างไม่รู้สิ้น
คิดถึงน้ำหมากอมบ้วนดิน
สีแดงเปื้อนผ้าซิ่่นแต่ดูดี
คิดถึงเสื้อคอกระเช้า
คิดถึงด้ายเนาหลายหลากสี
คิดถึงรอยเย็บตะเข็บตี
สองมือแม่นี้บรรจงทำ
คิดถึงตอนเริ่มเป็นสาว
แม่ต้องนั่่่งหาวรอเช้าค่ำ
คิดถึงไม้เรียวแม่ตีซ้ำ
ลูกเจ็บจนจำไม่ลืมเลือน
คิดถึงต่อไปหากไร้แม่
เราคงจะแย่หาใดเหมือน
เลิกคิดไม่รอขอต้นเดือน
เงินออกไปเยือนไม่รอวัน
คิดถึงคิดถึงคิดถึงค่ะแม่

วิมานบ้านทุ่ง

สุนทรวิทย์


จากบ้านทุ่ง  ไร่,นา  มานานเนิ่น
จนห่างเหิน  ขนบ  อันอบอุ่น
กรำอยู่แดน  ศรีวิไล  เมืองนายทุน
ชุลมุน  วุ่นวาย  นับหลายปีแทบลืมเลือน  อดีต  จารีตเก่า
ภูมิลำเนา  เคยอุ้ม  คุ้มเกศี
สบโอกาส  กลับเคหา  มาอีกที
พบวิถี  ดั้งเดิม  ให้เคลิ้มใจ
สายลำธาร  ห้วย,หนอง  คลองยังอยู่
ต้นประดู่  นกยูง  ยิ่งสูงใหญ่
บ้านฉันสิ  คร่ำคร่า  เก่ากว่าใคร
เหมือนมิได้  แตกต่าง  จากปางบรรพ์
สังคม  ธารณะ  ชนบท
ดำรงกฎ  เผื่อแผ่  มิแปรผัน
การร่วมจิต  ร่วมแรง  ร่วมแบ่งปัน
สานสัมพันธ์  สืบทอด  ตลอดมานั่น“ละไม”  ใส่งอบ  หอบผักบุ้ง
ทักทายลุง“สมชาย”  กับ“ยายสา”
หนึ่งให้ผัก  อีกฝ่าย  ก็ให้ปลา
ยิ้มเฮฮา  เหลียวแล  มีแก่ใจตา“ทองดี”  ปวดน่อง  เดินย่องแย่ง
กล่าวขอแรง  “เจ้านวย”  ช่วยถางไร่
ส่วน“เฉลา”  เยาวพา  ชวนน้าไพ
ขึ้นรถไป  เยี่ยมหลาน  ป้ากานดาความเป็นอยู่  เรียบง่าย  ในหลักแหล่ง
ไร้ขันแข่ง  แบ่งแยก  แตกปัญหา
มิต้องสวม  หน้ากาก  มากมารยา
ดูสุขกว่า  เมืองกรุง  ที่รุ่งเรือง

จดหมายรัก

Saran


อยากให้รู้ว่ารักและคิดถึง
จึงทำซึ้งหยิบปากกาออกมาเขียน
กลั่นเป็นคำจากใจแล้วร้อยเรียง
ด้วยสำเนียงเรียบง่ายแต่ใจจริง
� �ย่อหน้าแรกส่งผ่านความรู้สึก
ลึกลึกแล้วข้างในฉันใจหาย
ถึงวันนี้ไร้เธอแนบเคียงกาย
หนาวไม่วายทุกวันคืนทุกคืนวัน
� � ย่อหน้าสองเขียนถึงความห่วงใย
ที่มีให้ไม่จางแม้กาลผัน
ต่อให้นานดาวหมดฟ้าร้างรากัน
หัวใจฉันยังคงอยู่ที่เธอ
� �หน้าถัดมาหัวใจมีคำทัก
ว่ายังรักคอยห่วงอยู่เสมอ
แม้ตัวไกลไร้โอกาสผ่านพบเจอ
หลงละเมอถึงเธอทุกคืนวัน
� �รอยยิ้มนั้นคงอยู่ที่ตรงนี้
ยิ้มทุกทีเมื่อเธอยิ้มให้ฉัน
ไม่เคยหมดมีให้ทุกทุกวัน
แม้ห่างกันแต่ใจไม่เดียวดาย
� � ย่อหน้าท้ายลงท้ายคำว่ารัก
ให้ประจักษ์ให้รู้แจ้งถึงความหมาย
ปิดผนึกใส่ซองแนบดวงใจ
วอนสายลมส่งไปให้ถึงเธอ
� �ส่งถึงเธอผู้ซึ่งเป็นที่รัก
จดหมายฝากจากใจมีคำถาม
แม้นเธออ่านครั้งใดเห็นข้อความ
ตอบกลับมาถึงฉันด้วยใจเธอ

**.. พี่ชายที่แสนดี ..**

**.. เช่นรวีโชติ..**


๑. มิใช่สายเลือดแท้แต่ก็เหมือน
พี่คอยเตือนคอยเฝ้าเอาใจใส่
ปั้นก้อนดินเป็นดาวพราววิไล
เจิดจรัสวับไหวหลากหลายดวง ...
๒. พี่รักโต้วาทีเหมือนชีวิต
เราก็คิดสืบสายไม่ต้องห่วง
กิจกรรมฝากฝังในทั้งปวง
คนรับช่วงก็น้อมพร้อมยินดี ...
๓. พี่คือหนึ่งแนวทางคนสร้างสรรค์
ทำทุกวันให้เข้มและเต็มที่
ฟ้าไร้ตาพรากตัวชั่วชีวี
แต่จิตนี้ผูกพันนิรันดร์กาล ...
๔. เสียงหัวเราะขำขันแม้พลันเงียบ
แต่โลกเทียบเชิดไว้อย่างไพศาล
ดาวหนึ่งดับสู่สวรรค์อันยาวนาน
แต่สร้างธารทะเลดาวงามพราวพราย ...
๕. กลับสู่บ้านเปี่ยมล้นท้นความสุข
จะเก็บทุกภาพที่มีความหมาย
พี่โตสร้างสรรค์ฝากไว้มากมาย
เป็นพี่ชายแสนดีนี้นิรันดร์ ...
ด้วยความเคารพรักยิ่ง
เกรียงไกร รอบรู้
(น้องก้อง นิติศาสตร์ ม.กรุงเทพ รุ่นที่ 18)

กลอนนี้ให้พ่อกับแม่คนดีที่แสนไกล

ดอกฝักทอง


อยุ่ตรงนั้นเธอเป็นยังไงบ้างก็ไมรู้
ใครจะดูแลห่วงใยเธอรักเธอเท่าฉัน
ห่าวกันใจฉันหว่งเธอทุกวัน
อีกไม่นานคงเจอกันนะคนดี
อยู่ตรงนี้ฉันมีแต่ความอ้างว้าง
เมื่อไม่มีเธอเดินร่วมทางอยู่เคียงข้าง
ความทุกข์ท้อใจเข้ามาอยู่มิจาง
คิดถึงเธอมากมายรู้ไหมคนดี
อีก7วันเท่านั้นช่วยรอหน่อย
จะปลดปล่อยความคิดถึงดัวยการไปพบหน้า
สบตาสักนาทีแลวบอกเธอว่าฉันคนนี้
จะไม่มีวันจากเธอไกลเหมือนครั้งนี้
จะคอยดูแลเฝ้าหว่งใยตราบลมหายใจที่มี
ตอบแทนทั้งชีวิตที่เธอทำเพื่อฉันเสมอมา
คำว่ารักพูดไปคงยังนัอยเกินใจจะเอื่อนเอ่ย
คำว่าขอบคุณหมื่นพ้นล้านคำมันคงยังไม่พอเท่ากับสิ่งที่เธอให้กัน
เชื่อใจฉันนะคนดีอีกไม่นานเราคงจะได้เจอกัน..........  ฉันรักเธอ

เริ่มลืมตาตื่นขึ้นมาฉันก็เหงา

อัศวัตถามา


เริ่มลืมตาตื่นขึ้นมาฉันก็เหงา
คุยกับเงาจนเที่ยงวันเงามันหาย
อัสดงนกกลับรังเบื่อแทบตาย
ดาวพร่างพรายยิ่งดึกได้ยิ่งเหงาดี
คิดถึงวันชื่นมื่นคืนเก่าเก่า
คิดถึงวันที่ความเหงาเดินหายหนี
คิดถึงวันเคยมีเพื่อนพ้องน้องพี่
คิดถึงวันดีดีที่มีเรา
ได้ยินว่าความเหงาตัวเท่าบ้าน
อีกตั้งนานกว่าจะผ่านห้วงความเหงา
ไม่อยากเบื่อนั่งคุยแต่กับเงา
อยากมีเราเพื่อนเราเหมือนเก่าเอย

คนบ้านนาฟ้าเมืองหลวง

คนกรุงศรี


เคยอยู่นา ป่าเขา ลำเนาหนอง
มีบึงคลอง ทิวไผ่ ไร่นาสวน
ต้องขุดดิน เผาถ่าน หว่านไถพรวน
ฟังเพลงครวญ ขลุ่ยแผ่ว ดังแว่วมา
บ้านมุงจาก ฟากทำ ด้วยลำไผ่
จุดขี้ไต้ ไล่ยุง พร้อมหุงหา
กินน้ำพริก ผักต้ม แกงส้มปลา
มีชีวา อยู่สุข มิทุกข์ใจ
พอขายนา มาเมือง เรื่องจึงยุ่ง
เริ่มเฟ้อฟุ้ง รุ่งเรือง ที่เมืองใหญ่
อยู่ตึกราม ระฟ้า อ่าอำไพ
สุดวิไล ในกรุง ลืมทุ่งนา
ตกคืนค่ำ แสงสี ที่วิจิตร
ใช้ชีวิต กลางคืน ชื่นนักหนา
ทั้งดื่มกิน เที่ยวเตร่ และเฮฮา
ลืมที่มา ของตัว เริ่มมัวเมา
มีเพื่อนหลาก มากมาย คบหลายหน้า
สุขอุรา ช่วยให้ ได้คลายเหงา
พอหมดเงิน บ่ายเย็น ไม่เห็นเงา
เริ่มซบเซา ขัดสน คนไม่มอง
คนบ้านนา ฟ้าเมืองหลวง ทรวงชอกช้ำ
ต้องระกำ เหตุใด ไร้สมอง
เก็บเงินเก่า ก้อนสุดท้าย ที่ขายทอง
แล้วลอยล่อง กลับนา มาถิ่นเดิม
คนกรุงศรี ฯ
๑๗/๓/๒๕๕๕

หวนคิดถึงคนซึ่งตราตรึงจิต

อัศวัตถามา


หวนคิดถึงคนซึ่งตราตรึงจิต
อยู่เป็นนิตย์ยามชีวิตเริ่มท้อถอย
เฝ้าเจอหน้าเฝ้ายินเสียงเฝ้ารอคอย
วันที่ร้อยวันที่พันล้วนผันตาม
ไม่มีแม้รูปถ่ายคู่ให้ชูชื่น
มีสิบร้อยพันหมื่นจะไถ่ถาม
มีคำพูดว่าคิดถึงทุกโมงยาม
ส่งไปตามความห่างไกลให้เธอฟัง

ตอกย้ำ คำคิดถึง

คนกรุงศรี


ใครคนหนึ่ง ซึ่งร้าง เธอห่างหาย
มิกล้ำกราย เยี่ยมเยือน เหมือนเมื่อก่อน
เราเฝ้าถาม ตามหา ด้วยอาทร
รอเธอย้อน เยียนบ้าง สักครั้งครา
เมื่อจากไกล ใจหาย มิวายคิด
ว่าไร้สิทธิ์ แหนหวง หรือห่วงหา
จึงกังวล หม่นไหม้ ในอุรา
มากเกินกว่า ความจริง สิ่งที่ควร
ความในใจ ไม่กล้า เอามาเผย
ถ้าจะเอ่ย ออกไป คงไห้หวน
เก็บงำไว้ จนใน ใจรัญจวน
ทุกคำล้วน อยากบอก ออกจากใจ
ส่งข่าวสาร ผ่านฟ้า หากว่ารู้
ว่ามีผู้ คอยจน ถึงหม่นไหม้
สัญญาเก่า เจ้าเหมือน ลืมเลือนไป
ยกเลิกได้ ภายหน้า มิมาทวง
แต่อยากบอก ตอกย้ำ ความรู้สึก
ว่าส่วนลึก ในใจ ให้แสนห่วง
หลากถ้อยคำ จำไว้ ใช่ลมลวง
ฝันทั้งปวง ยังบอก ว่าหลอกตน
รู้ว่าหวัง ลางเลือน ใจเตือนย้ำ
พบชอกช้ำ จำรับ กับเหตุผล
ถึงวันตรม ขมขื่น ฝืนใจทน
ปลอบกมล จนกว่า มันชาชิน
คนกรุงศรีฯ

คิดถึงมากจากทั้งใจ ไม่สิ้นสุด ไม่เคยหยุดความคิดถึงคนึงหา

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


นึกภาพเก่ามากี่ครั้งยังรู้ว่า
ที่ติดตาติดใจไม่ลืมหลง
เพราะติดอยู่ที่ในใจลืมไม่ลง
ภาพยังคงพิมพ์ประทับกับดวงใจ
เห็นแต่ภาพดวงหน้า ตราตรึงจิต
ปานจะปลิดรอนอารมณ์เกินข่มไหว
ฝังใจไว้ลึกสุดห้วงของทรวงใน
ฝังเอาไว้ในอาวรณ์อ้อนอารมณ์
ขมขื่นนักรักพาใจให้ขมขื่น
ไม่เคยรื่นรมย์อะไรเมื่อใจขม
ชืดจางร้างไร้ใครชื่นชม
ร้างระทม เท่าไหร่ไม่เลิกรา
คิดถึงมากจากทั้งใจ ไม่สิ้นสุด
ไม่เคยหยุดความคิดถึงคนึงหา
ห่างแสนห่างทางก็ไกลไปสุดตา
สุดจะพาสองหัวใจไปใกล้กัน
อยากใกล้เพียงยินเสียงใจเต้นในทรวง
คงเหมือนล่วงลุถึงซึ่งสวรรค์
แต่หากเธอแล้งน้ำใจไม่แบ่งปัน
วันทั้งวันคงได้แค่ท้อแท้ใจ
รอ.. คำเดียว คำหนึ่งนั้นมันแสนหนัก
รอ ความรักจะมาถึงซึ่งวันไหน
รอ ด้วยหวังรั้งด้วยหวามถึงทรามวัย
รอ กันไว้ไร้กังวล จะทนรอ..

คิดถึงเธอ อีกแล้ว

คนบางบอน


เห็นดอกแก้ว ล่วงหล่น โคนต้นแก้ว
คิดถึงเธอ อีกแล้ว แก้วอักษร
สบายดี หรือไม่ ใจร้าวรอน
ไม่มีหรือ บทกลอน อ้อนคนไกล
พักผ่อนบ้าง หน้ามล มีคนห่วง
อย่าปล่อยดวง ดอกแก้ว สิ้นแววใส
ภาระนั้น มีอยู่ รู้แก่ใจ
ปล่อยวางได้ ก็ปล่อยวาง บ้างคนดี
หาความสุข ให้ตัวเอง กับเพลงฝัน
หันหลังพิง เงาจันทร์ ขวัญอย่าหนี
ลืมความทุกข์ โถมประดัง มาทั้งปี
ร้อยวลี เยียวยา รักษาใจ
บนลานฝัน วันนี้ ที่ยังว่าง
เพื่อนร่วมทาง ล้วนมี ไมตรีให้
มาเถิดขวัญ อย่าแรมร้าง อย่าห่างไกล
ทุกสายใย มิตรภาพ อาบอารมณ์
ชีวิตคน เรานั้น มันสั้นนัก
ถ้าได้ทำ สิ่งที่รัก จักสุขสม
อย่ายึดติด กับนิยาม ความตรอมตรม
จงเพาะบ่ม กำลังใจ ให้แกร่งพอ
ระเบียงใจ ใครคนหนึ่ง ซึ่งยังว่าง
ยังเปิดทาง เอาไว้ ให้ติดต่อ
ขวัญเอย ขวัญมา อย่ารีรอ
มาถักทอ สายใย ไว้เคียงกันฯสมยศ   เปียสนิท

คำคิดถึง

คนกรุงศรี


คิดขึ้นมา คราใด ก็ใจหมอง
ทอดตามอง ไม่ถึง ซึ่งจุดหมาย
ความหงอยเหงา เข้าคลุม สุมใจกาย
ทุกข์กล้ำกราย ย่างเข้า มาเร้ารุม
อยากตัดใจ ไม่คิด ตั้งจิตมั่น
สุดไหวหวั่น ฤทัย ดั่งไฟสุม
ความว้าเหว่ เร่เลาะ เข้าเกาะกุม
เงาตะคุ่ม อ้างว้าง ก็ย่างเยือน
ไร้ข่าวคราว คนซึ่ง คะนึงหา
หลายเวลา มีเงา เหงาเป็นเพื่อน
สิ่งที่หวัง หายห่าง ดูลางเลือน
นับวันเดือน เตือนใจ ไม่วู่วาม
คงเรานั้น น้อยใน ใจนิดนิด
รู้ไร้สิทธิ์ ห่วงหวง เฝ้าทวงถาม
ถ้ากวนใจ แล้วหรือ อย่าถือความ
จะอยู่ตาม ลำพัง ดังเคยมา
เพียงอยากบอก ตอกย้ำ คำคิดถึง
อีกครั้งหนึ่ง เพราะใจ นั้นใฝ่หา
แม้มิว่าง ที่จะ ละเวลา
ก็ไม่ว่า อย่าโกรธ โปรดอภัย
คงมิจำ คำกล่าว เมื่อคราวนั้น
สัญญากัน วันวาน เคยขานไข
หากลืมเลือน ถ้อยคำ จะทำใจ
มิมองใคร ไหม้หม่น ก็ทนเอา
คนกรุงศรี ฯ

พาเที่ยวบ้านแม่ใีนวันแห่งความรัก

อนงค์นาง


โทรหาแม่ทุกวันตื้นตันจิต
ลูกยังคิดถึงแม่ไม่แปรผัน
บ้านหลังน้อยคอยอยู่คู่ชีวัน
บ้านในฝันของเราอย่าเศร้าตรม
เสียงไผ่ครวญแผ่วหวามยามลมพัด
ไก่ขันนัดพร้อมกันวันสุขสม
กองฟางเก่าเข้าใจไม่ระทม
ต้นกล้วยบ่มหวานนวลชวนรำพัน
แม่จ๋าลูกขอโทษอย่าโกรธหนา
ไม่อาจพาตัวกลับรอรับขวัญ
ใจลูกอยู่กับแม่แท้ทุกวัน
รักนิรันดร์คงอยู่คู่ฟ้าดิน
พี่ชายจะกลับเมืองไทยในวันที่ 17 เดือนนี้ค่ะ นัดกับพี่สาวคนโตทำบุญให้พ่อผู้ล่วงลับ สู่ขวัญและทำบุญบ้านให้แม่ตามประเพณีชาวอิสาน ขาดดิฉันน้องคนสุดท้ิองที่ไม่อาจกลับได้เพราะเพิ่งหายป่วย หมอแนะนำว่าไม่ควรเดินทางไกลทางเครื่องบิน เพราะแผลผ่าตัดในท้องยังไม่หายดี เสียดายและเสียใจจริงๆค่ะ
รูปพ่อค่ะ
ปีนี้แม่อายุย่าง 82 ปีค่ะ ยังแข็งแรง เดินได้คล่องแคล่ว
กอไผ่ข้างบ้าน เวลาลมพัด ฟังแล้วช่างไพเราะ
หน้าบ้านค่ะ
ชานหน้าบ้านที่รับแขกค่ะ
บ้านติดกันข้างๆกอไผ่ เป็นหลานสาวของแม่ (ลูกน้องสาวแม่) เป็นแม่บ้านคอยดูแลทำงานบ้าน ซักผ้า ทำอาหาร ต่อไปพี่สาวจะมาอยู่กับแม่ แต่เราก็ยังให้ญาติทำต่อไป พอมีรายได้เป็นเดือน เพราะไม่มีอาชีพอื่นนอกจากทำนาค่ะ
สวนข้างบ้าน
สวนหลังบ้าน
กองฟางข้างครัว มีเตียงตั้งใต้ต้นมะม่วง ลมพัดเย็นสบาย
ตอนเช้าได้ยินเสียงไก่ขัน เอ้ก อี้ เอ้กๆ ปลุกแต่เช้า
ญาติก่อไฟนึ่งข้าวเหนียว
ดิฉันทำแกงเขียวหวาน
ญาติพี่น้องช่วยกันทำอาหาร
เวลาจัดงานบุญ ญาติพี่น้องมาช่วยกันห่อข้าวต้มมัด ทำพานบายศรีส

๏ รัก ๚ะ๛

บินเดี่ยวหมื่นลี้


๏ ดาริกาพร่างพราวท่ามราวสรวง
หากหนึ่งดวงเปรียบ " รัก " แทนอักษร
ท่ามไพศาลแห่งคำท่วมอัมพร
เพียงหนึ่งตอนแห่งรักอักษรา
มวลสุมาลย์บานช่อล้อลมหนาว
เบ่งบานพราวท่ามดงพงพฤกษา
เทียบ "คิดถึง"ห่วงใยคนไกลตา
ก็เกินกว่าสลักสาส์นบนบานใบ
"คะนึงหา"รัดล่ามทุกยามย่าง
อุษาสางตราบพลบกลบแสงใส
ห้วงอนันต์ยาวนานสักปานใด
ยังตรึงในห้องทรวงทุกช่วงกาล
ป่าเหนือเริ่มจางหายริ้วสายหมอก
คล้ายบ่งบอกความคำลำนำสาส์น
นับแต่นี้ลมหนาวที่ยาวนาน
จักพ้นผ่านเถื่อนถิ่นจนสิ้นรอย
แม้นสายกาลผ่านวนเปลี่ยนหนห้วง
ทุกคาบช่วงโศกเศร้าและเหงาหงอย
มิเคยโลมไล้พงทาบดงดอย
ด้วยเรียมคอยโอบอุ่นละมุนทรวง
ลมหนาวลาเถื่อน-กรุงครารุ่งสาง
ม่านหมอกจางลับแคว้นลาแดนสรวง
หวังโอบอุ่นดวงมนปราศกลลวง
มิผันล่วงตามกาลที่ผ่านไกล
ทุกเศษเสี้ยวดวงขวัญผูกพันน้อง
เกินกู่ก้องร้องร่ำความคำไหน
พรรณนาความรักประจักษ์ใจ
ได้ยิ่งใหญ่เลิศล้ำกว่าคำ "รัก" ๚ะ๛

เพียงฝัน

คนกรุงศรี


หรือผูกพัน กันมา เมื่อคราก่อน
จึงอาทร เธออยู่ มิรู้หาย
ถึงแรมร้าง ห่างหนอ ก็เพียงกาย
จุดมุ่งหมาย มอบหวัง กำลังใจหลายสิ่งอย่าง ขวางกั้น มันจำกัด
จะขืนขัด แหวกแนว ณ.แถวไหน
อยากแอบอิง ยิ่งต่าง ห่างออกไป
ก็สุดไขว่ เอื้อมคว้า เอามาเคียงเราก็รู้ ว่าใจ นั้นใกล้ชิด
คงมีสิทธิ์ ฝันใฝ่ ใช่ว่าเสี่ยง
แต่ตัวตน ต้องหมอง เลิกมองเมียง
จริงก็เพียง ความฝัน อันอำพรางใจอยากจะ เอื้อมคว้า มาถนอม
แล้วฤๅพร้อม ทำได้ สุดไกลห่าง
อนาคต มองเหมือน มันเลือนลาง
คิดแล้วช่าง ปวดเจ็บ จำเก็บทนสิ่งอยู่ใน จินต ใครจะห้าม
เป็นนิยาม ความจริง ยิ่งเหตุผล
กับความฝัน ที่ใจ ใคร่เยี่ยมยล
ไร้ตัวตน แต่ว่า ยังตราตรึงเราพอใจ แม้เป็น เช่นเพียงฝัน
แอบสุขสันต์ เมื่อจิต หวนคิดถึง
จะอยู่ใกล้ ไกลห่าง ต่างคะนึง
สักครั้งหนึ่ง ขอฝัน เท่านั้นพอ

กุหลาบร่วง

ไหมแก้วสีฟ้าคราม


สายลมหนาว กลายมา อีกคราครั้ง
หัวใจยัง ว้าวุ่น กรุ่นคิดถึง
กุหลาบร่วง ห่วงหา ยังตราตรึง
เอื้อมไม่ถึง สมหวัง ยังคงคอย
สายลมหวน ทวนมา คราลมหนาว
น้ำค้างพราว หยดยวง หล่นร่วงผล็อย
คือน้ำตา ช้ำทรวง ร้าวรวงรอย
เขามาสอย เด็ดไปชม ตรมใจเรา
หน้า / 15  
ทั้งหมด 247 กลอน