กลอนอกหัก

..ตัวสำรอง..จองนั่งนาน..

มวลภมร


มีสลึง พึงประจบ ให้ครบร้อย
ใจดวงน้อย เคยถูกทำ จนเสียหาย
เก็บเศษเล็ก เศษน้อย ที่กระจาย
ต่อให้กลาย เป็นใจใหม่ ที่เต็มดวง
ถึงแม้เป็น หัวใจ มีตำหนิ
มีรอยปริ ร้าวไป อย่าได้ห่วง
เพราะเคยช้ำ  จึงไม่ทำ ใครช้ำทรวง
ใจหนึ่งดวง แม้มีแผล แต่จริงใจ
แต่เป็นใจ ไม่ค่อย สมประกอบ
อาจไม่ตอบ โจทย์ใจ ให้เธอได้
จึงหวังแค่ เป็นคน ข้างข้างใจ
ขอเพียงให้ เธอเห็น เป็นสำรอง
ยังเจียมตน เป็นคน ใจตำหนิ
ไม่อวดริ เทียบค่า พาผยอง
หลบอยู่มุม ไกลทาง ห่างคนมอง
นั่งสำรอง อาจต้องเก้อ เธอไม่แล
เธอคงเห็น ว่าฉัน ประวัติร้าย
แก้ไม่หาย ร้ายใน สันดานแน่
จะอดทน จนสักวัน เธอนั้นแคร์
แม้ได้แค่ ลงช่วง ถ่วงเวลา
...08/11/55...   20.:00 น.

หรือแค่คนเคยรู้จักกัน

บุญพร้อม


วันนั้นเธอแย้มยิ้มพิมพ์ใจนัก
ผ่านไปมาถามทักน่ารักยิ่ง
เธอร่าเริงสดใสถูกใจจริง
ไม่เย่อหยิ่งถูกจิตให้มิตรปอง
เธอสูงค่ากว่าพลอยไม่ด้อยเพชร
จึงเป็นเหตุผูกใจให้ห่วงหวง
กลัวเจ้าช้ำด้วยเสน่ห์เล่ห์ลมลวง
เพชรจะร่วงหล่นร้าวให้เศร้าใจ
ปรารถนาให้เจ้าสกาวเด่น
หวังเจ้าเป็นดังเพชรเม็ดสดใส
วาสนาเราน้อยนักประจักษ์ใจ
คงแค่ได้แอบยลเธอคนงาม
มาวันนี้เธอเริ่มไกลจากใจฉัน
ปิดฉากกั้นเอาไว้ให้เหินห่าง
ถึงจะใกล้เหมือนไกลในหนทาง
โอ้ใจนางช่างดำทำได้ลง

อกหักใช่หนักหนา(กลบทวัวพันหลัก)

สุนทรวิทย์


เจียมตนว่า  อ่อนด้อย  ในถ้อยรัก
รักหน่วงหนัก  เพียงไหน  จึงไม่สม
สมควรหรือ  ยังเขลา  ยอมเฝ้าจม
จมในหล่ม  หลุมรัก  ซึ่งหลักลอย
ลอยอยู่ใน  ความฝัน  อันเวิ้งว้าง
ว้างเวิ้งคว้าง  สุดไขว่  ไกลเกินสอย
สอยมิถึง  ควรหรือ  จักยื้อคอย
คอยอย่างกร่อย  หงอยจิต  หลงทิศทาง
ทางกองสุม  ด้วยขวาก  ยากฟันฝ่า
ฝ่าทิวา  ราตรี  ฤดีหมาง
หมางบนความ  พร่อมพร้อ  รออับปาง
ปางก่อนสร้าง  บุญน้อย  จำถอยลา
ลาจากขวัญ  ชีวี  ที่เคยหลง
หลงทะนง  งงเยี่ยง  ไร้เดียงสา
สาแก่ใจ  หน่ายเบื่อ  เมื่อถึงครา
ครารู้ว่า  เธอมี  ที่หมายปอง
ปองแล้วพลาด  อาจช้ำ  ระกำจิต
จิตรู้ผิด  เตือนตัว  มิกลัวหมอง
หมองอยู่ไย  หญิงอื่น  ดื่นก่ายกอง
กองให้จอง  ให้หวัง  ยังมากมี

กลอน

ลักษมณ์


กลอน
.
เขลาเกินกว่าหาคำไหนออกมาวาง
.
ให้อยู่ท่ามกลางเสียงสำเนียงเสนาะ
.
ที่เรียงร้อยด้วยถ้อยคำที่จำเพาะ
.
ให้ไพเราะออกเป็นรสบทกวี
.
.
เพราะหัวใจเราแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
.
กองอยู่บนเถียงโลกโศกวิถี
.
หมดแล้วใจจะเรียงรสเป็นบทกวี
.
หมดทุกคำที่มีเสียงสำเนียงกลอน
...

อยากแต่งกลอน..

จะไม่เด็ด.


อยากแต่งกลอนแนวปรัชญาสักคราครั้ง
เผื่อโด่งดังให้คนลือยึดถือบ้าง
เพียรประพันธ์จนอ่อนล้าตาฝ้าฟาง
ไม่ได้วางพอสองบทเริ่มหมดใจ
หากว่าเป็นกลอนรักอกหักเศร้า
ผสมเข้ากับอารมณ์ที่อ่อนไหว
บรรยากาศสะเทิ้นเพลิดเพลินใจ
คงสาธยายดุจน้ำไหลก็ไม่ปาน
อยากแต่งกลอนแนวตลกพกความสุข
ก็ขาดมุขมาเล่นเป็นแก่นสาร
กลัวไม่ขำแต่งไปให้แต่ทรมาน
อาจจะพาลเป็นกลอนเศร้าเข้ามาแทน
ที่แต่งได้คงเป็นกลอนแนวธรรมชาติ
น้ำสะอาดใสเย็นเห็นสุขแสน
ทอดอารมณ์สุนทรีย์ที่ขาดแคลน
เป็นบทกลอนอ้อนแฟนก็สุขดี
ไม่ได้เหมาะกับกลอนแนวการเมือง
เพราะบางเรื่องไม่ถนัดถนี่
จะบ่งชัดลงไปกลัวอีกฝ่ายมองไม่ดี
จึงได้แต่แต่งกลอนที่...ไม่ข้างใคร
....อิอิ..แบบว่า

น้ำคำดุจน้ำค้าง

สุนทรวิทย์


น้ำค้าง  เกาะกอด  ตามยอดไม้
แดดไล้  ลมปะ  ก็ระเหย
บัวบาน  กลิ่นกล่อม  หอมรำเพย
ล่วงเลย  ทิวา  กลับราโรยดุจน้ำ  ใจคน  พิกลนัก
บอกรัก  พักเดียว  เดี๋ยวแห้งโหย
คำหวาน  หว่านฟุ้ง  กระบุงโกย
จบโดย  พลัดพราก  นั้นมากมีฉันเชื่อ  น้ำคำ  เธอพร่ำพลอด
อ้อนออด  มอบกาย  มิหน่ายหนี
ฉันหลง  ชมชัว  แม่ตัวดี
ทั้งที่  คำหวาน  ล้วนมารยารู้ตัว  อีกที  หัวมีเขา
นงเยาว์  ลบหลู่  เปลี่ยนคู่ขา
ควรแขน  เยี่ยมกราย  ถึงชายคา
ฉีกหน้า  พลิกลิ้น  สิ้นไมตรีผิดหวัง  ครั้งนี้  หนที่ร้อย
ละห้อย  ระกำ  ช้ำป่นปี้
หดหู่  วู่วาม  สามนาที
แล้วรี่  เดินหน้า  หาใหม่พลัน

ดอกรักโรยแล้ว

เปลวเพลิง


เมื่อมี “รัก” หวามหวานก็ปานว่า
ปลูกผกา “ดอกรัก” เป็นสักขี
“รัก” หยั่งรากแข็งเข้มเต็มฤดี
ดลให้มี “รัก” ไสวกลางนัยนา
สองเราฝาก “รัก” ออมถนอมเอื้อ
สุขใจเมื่อเริ่ม “รัก” เป็นนักหนา
นั่น! น้ำค้างหยาดแย้มแก้มผกา
ชุ่มฉ่ำค่า “ความรัก ความภักดี”
เขาเคยบอกถ้อยอันแม่นมั่นนัก
จะฟูมฟักบุหงามารศรี
เราก็เปรยจำนรรจ์โดยทันที
จะดูแลมาลีพี่เหมือนกัน
อา! สวน “รัก” สองเราเพราพิลาส
งามเหมือนวาดเวียงฟ้าวนาสวรรค์
เทียบมณฑารพเสน่ห์พฤกษ์เทวัญ
“รัก” นิรันดร์จงผนึกลึกสุดใจ
แล้วจู่จู่เหมือนว่าเกิดอาเพศ
ต้องเทวษชอกช้ำน้ำตาไหล
“รัก” ที่เคยร่มรื่นกว่าอื่นใด
ร่วงโรยไปสุดฝืนให้คืนมา
โอ้ “รัก” เราไห้โหยร่วงโรยแล้ว
ตาเผยแววทุกข์โทมนัสสา
ไร้น้ำค้างแต่ฉ่ำด้วยน้ำตา
จำจิตลา “รัก” เก่าที่เราครอง
“รัก” อำลา พาใจเขาไปด้วย
เราเจ็บป่วยเพราะ “รัก” เฉาพาเศร้าหมอง
“รัก” เอย “รัก” ไร้หนามเมื่อยามมอง
ไยสยองยอกใจเราไม่โรย?

ศาลานารีวิถีคงคา

ฤกษ์ ชัยพฤกษ์


มิใช่เป็นเดนใครในปฐพี
คือศาลานารีวิถีคงคา
เมื่อหัวใจรักกันมั่นนักหนา
ครองคู่กันจนกว่าโลกทลาย
เหมือนแก้วร้าวรานแยกแตกเป็นเสี่ยง
เขาเบนเบี่ยงคงมีที่มองหมาย
ตรึกตรองแล้วเบื้องหน้าทางสบาย
จึงออกลายลาร้างอย่างที่เป็น
อย่าไปหวังเยื่อใยอะไรอีก
เมื่อเขาปลีกตัวหนีชี้ให้เห็น
มัวคิดครุ่นมุ่นหมกให้อกเต้น
เข้าทำนองของเล่นค่าเวลา
เหลือบสายตาหาใหม่เปิดใจกว้าง
เรื่องรักร้างทิ้งไปอย่าใฝ่หา
ยังมีคนมองเห็นเน้นคุณค่า
ไม่ร้องไห้เสียน้ำตาอีกต่อไป
มาสิมายื่นมือให้กันจับ
เพื่อกระชับสัมพันธ์ในวันใหม่
เป็นคู่ขวัญตามครรลองฉลองชัย
มอบหัวใจถึงใจไว้ด้วยกัน...

เธอคนเดียว..

ชินเดช ญาณรัตน์


ในวันที่เหงากับฝนที่หล่นพรำ..
วันที่นกยักษ์บินไม่ได้..
วันที่ชีวิตเป็นของเรา..
ไม่ได้อยู่บนนิ้วไกปืนของศัตรู
นอนบนเปลญวน
เหงาจับหัวใจ..
ก่อนเคยมีเธอให้คิดถึง..
พอทำให้ชีวิตพอมีความหมายบ้าง
แต่วันนี้..ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปตามวิถี
ทางสายเก่า...จึงโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ในหัวใจ
คงเหลือแต่ผู้หญิงคนเดียว..
ภาพความหลัง ครั้งเยาว์วัยฉาบผ่านเข้ามา
................
เพราะต้องการให้ฉันแข็งแกร่ง
แม่จึงเฝ้าดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงใยในบางครา
แม่ทำโทษยามที่ฉันทำผิด
แต่ฉันเห็นแม่เสียน้ำตาทุกครั้ง
รอยหม่นหมองบนใบหน้า
เสียงร้อง..หยาดน้ำตาของฉัน
บาดหัวใจแม่ให้เจ็บปวด
รอยยิ้มของแม่มีน้อยนัก
ที่จะปรากฏให้ฉันเห็น
ด้วยทุกข์ท้นแห่งภาระอันหนักอึ้ง
หาใช่เพราะเบื่อหน่ายเกลียดชังแต่อย่างใด
แม่จึงเป็นดั่งแสงสว่าง...
คอยชี้ทางให้ฉันเดินไปอย่างเชื่อมั่น
และเป็นราตรีกาล
ให้ฉันได้พักนิ่งชั่วขณะ
เพื่อที่จะให้มีพลังก้าวเดินต่อไป
ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน
ในสนามรบหรือยามสงบเงียบงันเช่นนี้
คงมีแต่แม่ที่เป็นดั่งความรัก
หนึ่งเดียวหนึ่งหญิงที่มีอยู่บนโลกใบนี้
และเป็นชีวิตแห่งฉัน..
..............
สายฝนที่หล่นพรำ..
เป็นน้ำตาของแม่หรือเปล่านะ..
แม่ครับ..วันนี้ผมเป็นลุกชายที่แข็งแกร่งของแม่แล้ว
เป็นรั้วที่คอยป้องอริราชศัตรูของแผ่นดิน
เป็นผู้พิทักษ์สันติแห่งราษฏร์ด้วยเกียรติ ชีวิตและศักดิ์ศรี
ถึงไม่มีคนรักเพศเดียวกับแม่สักคน
แต่ผมมีอ้อมกอดแ

..คนไม่มี "เขา"..

มวลภมร


คิดถึงคราว.สองคน.เคยเคียงใกล้
สองหัวใจ.เคยเรียง.ร่วมเคียงฝัน
เคยออดอ้อน.พรอดพร่ำ.คำจำนรร
กระซิบบอก.รักกัน.ก่อนหลับตา
..
มาบัดนี้.คนดี.ไม่มีแล้ว
รักหมดแวว.เธอหาย.ไกลหนักหนา
ทิ้งพี่อยู่.คนเดียว.เปลี่ยวเอกา
ร้องเรียกหา.ไม่เห็นใคร.ไร้สำเนียง
.
อยู่คนเดียว.แม้เปลี่ยว.ดังใครว่า
เหมือนโลกา.ไร้แม้.ใครส่งเสียง
ไม่ได้ยิน.คนในใจ.ส่งสำเนียง
ไร้คนเคียง.หาใช่.ไร้ทางไป
.
ก่อนมีเขา.มีเรา.อยู่โดดเดี่ยว
อยู่คนเดียว.มานาน.ไม่หวั่นไหว
พอมีเขา.เข้ามา.อยู่ในใจ
แล้วทำไม.เมื่อเขาไป.ใยทุกข์ทน
.
ก่อนมีเขา.เราเคย.อยู่มาได้
ไม่มีเขา.คงสบาย.อย่าได้บ่น
ก่อนมีเขา.เรายังสุข.ไร้ทุกข์ทน
อยู่แบบคน.ไม่มีเขา.เราสบาย
..09/09/55..  23:59

วันนี้ฉันร้องไห้

weenie


ฉันกำลังอกหัก
เพราะเลือกที่จะรักผิดที่
ผิดเวลา ชั่วโมง นาที
สิ่งที่คิดตอนนี้ เราไม่น่าเจอกัน
อยากกลับไปเริ่มต้นใหม่
วันที่อะไรๆมันไม่ผกผัน
คุณอยู่ส่วนคุณ เราไม่ข้องแวะกัน
ไม่ต้องมาเชื่อมสัมพันธ์อันใด
คุณกำลังทำฉันเจ็บ
และฉันก็เลือกที่จะไม่ยอมเก็บอาการเอาไว้
โวยวายดื้อรั้นไม่ยอมให้คุณจากไป
คุณคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันเป็น
เพียงอยากให้คุณอยู่ต่อ
อย่าทำให้ชีวิตฉันทดท้อกว่านี้จะได้ไหม
อย่าทำให้ฉันร้องไห้ในวันที่ไม่เหลือใคร
คุณเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ฉันคว้ามือ

วันที่สั่นไหว

weenie


ก็รู้ว่าไม่สมควร
ที่ใจตัวเองต้องมาเรรวนเช่นนี้
ไปแอบชอบคนที่เจ้าของเค้ามี
ไปแอบทำอะไรที่เหมือนมีใจ
ตัวเราเองก็รู้อยู่เต็มอก
ว่านรกมันร้อนรุ่มดั่งไฟเผา
เคยเรียนรู้มาแล้ว  ก็ไม่ใช่เบา
ยังอยากเอาตัวเราไปเล่นกับไฟ
เขาจะรู้บ้างหรือเปล่านะ
ว่าฉันก็ห้ามใจตัวเองแทบไม่ไหว
กับการไปแอบชอบของของใคร
มันเกิดจากหัวใจ ที่สมองไม่ได้สั่งการ
แต่เขาดันห้ามใจเก่งกว่า
เลยบอกกับฉันว่า หยุดก่อนดีไหม
ความสัมพันธ์นี้ มันผิดเกินไป
หยุดกันไว้ เพียงแค่มองตา
และแล้วหัวใจก็ร่วงหล่นอีกหน
เหมือนกระดาษถูก ขยำ ยับย่น ให้สั่นไหว
อาการแบบนี้ อกหัก อีกหรือไร
ทำไมหัวใจมันชาๆ

.ไม่เป็นไร.แค่ใจเป็นรอย.

มวลภมร


o  แม้เรื่องรัก ยากนัก จักลืมได้
ความเสียใจ มากมาย เกินจะเอ่ย
ก็ความรัก เคยให้ คนเคยเคย
ที่มาเลย ลืมกัน ว่าสัญญา
..
o  ในเมื่อรัก หมดใจ ได้แค่นี้
หมดไมตรี ก็คง หมดเลยหนา
ไม่ต้องมี หวนคิด ถึงสัญญา
แต่ก่อนมา อ้อนออด พรอดรักกัน
..
o  ไม่เป็นไร ลืมได้ ลืมไปเถิด
ก็แค่เกิด แผลใหม่ ในใจฉัน
ที่เคยหลง ปักใจ ให้ใจกัน
คนไม่มั่น ความรัก เป็นหลักใจ
...
o  ไม่เป็นไร ถึงเจ็บ คงสักพัก
แล้วก็คง ตั้งรัก ยึดใจไหว
ก็แค่เจ็บ จิ๊ดจี๊ด ในหัวใจ
ยังอยู่ไหว หากได้ ใช้เวลา
....
o  เอาเถอะนะ รู้ซะ สบายมาก
อย่าลำบาก ห่วงฉัน นั้นเลยหนา
แค่เพิ่มแผล ในใจ เธอให้มา
เดี๋ยวได้ยา รักใหม่ คงหายดี..
27/08/55  15:30

..12.ปีที่รู้จัก..8.ปีที่รัก..4.ปีที่ลา..

มวลภมร


คิดถึงใคร คนหนึ่ง มากมายนัก
คิดถึงคน ที่รัก ไม่ห่างหาย
คิดถึงเขา ทุกวัน ไม่ผันกลาย
คิดถึงสาย บ่ายค่ำ ย้ำทั้งคืน
..
ใครคนหนึ่ง ที่เขา เราเคยคู่
ใครเคยอยู่ คู่กัน ไม่ผันอื่น
ใครเคยรัก ประคอง น้องทั้งคืน
ใครเคยชื่น แต่สุข แม้ทุกข์มี
...
เราเคยผ่าน เรื่องสุข ทุกข์และเศร้า
เราเคยผ่าน ความเหงา มาอย่างนี้
เราเคยผ่าน อุปสรรค มามากมี
เราเคยผ่าน เดือนปี มาแปดครา
...
วันที่เธอ เดินไป ยังจำแม่น
เธอปล่อยแขน เคยกอด ไม่กังขา
เราสองนั้น จากกัน ด้วยน้ำตา
ถึงแม้ว่า ยังรัก แต่จากไกล
....
ความเข้าใจ ความรัก ยังมีล้น
ใครหลายคน เขาบ่น ยังสงสัย
เมื่อยังรัก แล้วจาก กันทำไม
ตอบไม่ได้ ได้แต่ คิดถึงเธอ
...
ความรักเรา ใช่แค่ เริ่มประเดี๋ยว
เผลอแป๊บเดียว แปดปี ที่เสนอ
วันรักผ่าน เร็วคล้าย ใจละเมอ
แต่วันที่ ขาดเธอ ปีแสนนาน
...
สี่ปีแล้ว สิหนา ผ่านมาแล้ว
สี่ปีที่ ไร้แวว จะประสาน
เป็นสี่ปี ที่แสน จะเนิ่นนาน
สี่ปีผ่าน ผ่านไป แบบไร้เธอ
...
สิบสองปี ที่เรา ได้รู้จัก
อีกแปดปี คู่รัก เธอเสมอ
อีกสี่ปี ที่ฉัน ไม่มีเธอ
ไม่เคยเจอ ใครที่ ดีเท่าเทียม
...
พยายาม หาใคร มาแทนที่
คบคนนั้น โน้นนี้ ไม่มีเขียม
ใครที่พบ รู้จัก เหมือนรักเทียม
มันไม่เยี่ยม ยอดยิ่ง จริงเหมือนเรา
...
ครบสี่ปี เดือนนี้ แล้วสินะ
ไม่รู้จะ ทำไง ให้หายเศร้า
คิดถึงเธอ ทีไร น้ำตาเรา
มันรุมเร้า อยากล้น จากขอบตา
...
ไปทางใหน อย่างไร ก็คิดถึง
ที่เคยซึ้ง ยังมี ทุ

พลายแก้วกลับมา

พลายแก้ว เมืองกาญจน์


กลับจากดง พงไพร ไกลเขตขันธ์
ที่ด้นดั้น ฟันฝ่า หามรรคผล
อยากสงบ หลบทุกข์ ที่รุกรน
เพราะสุดทน ขมขื่น จำฝืนใจสิ่งที่หวัง พลั้งพลาด มลาศสิ้น
วางชีวิน อนาคต ต้องสดใส
ด้วยมุ่งมั่น ปณิธาน มองการณ์ไกล
กับทรามวัย คนรัก จักมิคลายเหตุเธอลา พาให้ ใจหมองหม่น
เจ็บกมล เกินกว่า รักษาหาย
ลองหลบหลีก สังคมเมือง เรื่องวุ่นวาย
ขอท้าทาย เข้าป่า รักษามานเอาพฤกษ์ไพร ขุนเขา เข้ามาช่วย
สงบด้วย ธรรมะ มาประสาน
ธรรมชาติ สดใส ใจเบิกบาน
เวลาผ่าน หลายปี มีความจริงย้อนกลับมา นาไร่ เป็นไงหนอ
ไร้คนรอ ท้อทด สลดยิ่ง
เห็นนารก ไร่ร้าง น่าชังชิง
เพิงเคยพิง พักอาศัย ไร้คนแล
ใต้เงาแจ่ม แสงจันทร์ คืนวันนี้
กับใจที่ มุ่งหวัง อย่างแน่วแน่
เธอยังอยู่ ในใจ ไม่เปลี่ยนแปร
มีก็แต่ ที่เรา ยังเศร้าตรม
พลายแก้ว

หนุ่มเคมี-สาวชีวะ...

คีตากะ


หนุ่มเคมี....ห้องแล็บแอบมองเหม่อ
ทุกวันเจอนงคราญผ่านหน้าห้อง
มือถือสารเคมีที่ทดลอง
ได้แต่มองผิวเผินเธอเดินผ่าน
หนุ่มเคมี-สาวชีวะพบปะบ่อย
แล็บต้องคอยพึ่งพาค้นหาสาร
ห้องติดกันชั้นสองต้องช่วยงาน
ร่วมประสานประสิทธิ์ผลิตภัณฑ์
โรงงานใหญ่งานหนักพักผ่อนน้อย
เห็นเนื้อกลอยผายผอมยอมโศกศัลย์
ถือตะกร้าเข้าไลน์ไม่เว้นวัน
สู้บากบั่นทำงานนับนานปี
พบกันยิ้มยามผ่านสราญจิต
เสมือนมิตรรู้ใจในวิถี
ตะกร้าคนละใบผูกไมตรี
กำลังใจนั้นมีในแววตา
วันหนึ่งเธอเข้าแล็บแอบกระซิบ
ให้ช่วยหยิบถือของต้องมาหา
ไร้คนช่วยด้วยหญิงจึงพึ่งพา
หนุ่มอาสาช่วยไปไม่รีรอ
เมื่อเคียงใกล้ได้ชิดสนิทสนม
เธองามสมเพรียบพร้อมย่อมทดท้อ
สำรวจตัวมอมแมมแถมมอซอ
รูปไม่หล่อยากแค้นแสนระอา
ข่าวตอกย้ำแฟนเธอเป็นวิศวะ
รูปสุดจะหล่อเหลาเงินเนาหนา
จำต้องถอยออกห่างอย่างระอา
ด้วยน้อยหน้าเงินน้อยต่ำต้อยเรา
กระจกใหญ่บานนั้นทุกวันนี้
ยังคงมีนางฟ้าใบหน้าเฉลา
เดินผ่านไปทุกคราสง่าเงา
แต่ว่างเปล่าคนมอง....ต้องทำใจ...

..คนที่รักคือ.คนที่ร้าย...

พิมญดา


จากวันแรกแบกใจมาให้รัก
แต่วันนี้แบกกลับเพราะไม่ไหว
เธอไม่เคยหมั่นคอยดูแลใจ
ปล่อยทิ้งไว้จนหมอง..นองน้ำตา
เคยสัญญาว่าจะเก็บไว้ในอก
จะไม่ทำหล่นตกให้เสาะหา
พอนานวันผ่านห้วงกาลเวลา
สเน่หาเลือนลาง..ทางรักเรา
เคยพูดจาหวานหูไม่รู้หาย
แล้วกลับกลายเงียบงันฝันเลยเศร้า
หลบสายตาตอบมาก็บางเบา
เหมือนมีเงาซ่อนแอบแนบ..อีกคน
คนไม่รักทำอะไร..ใช่คนผิด
ปล่อยให้ติดวังวนจนสันสน
นี่แระหนอรักแท้แค่เล่ห์กล
ยากหยั่งถึงใจคนแม้คุ้นเคย
คนที่ร้ายไม่ไกลจากใจนี้
แล้วคนดีอยู่ไหนไม่เห็นเผย
วาสนาของคนถูกละเลย
ได้กอดเกยความช้ำ..ทุกค่ำคืน
หน้า / 9  
ทั้งหมด 153 กลอน