ตอนที่ 1.ก่อกำเนิด เกิดกาย.. ..........แม่คลอดผมออกมาเดือนตุลาคม ซึ่งอยู่ในช่วง "เย็นลมหนาว ลมพัดข้าวเอนไหว" พี่ชายอีก 3 คนกำลังรอลุ้นด้วยหัวใจจดจ่อ..อยากได้น้องสาว.อุแว้ อุแว้ อุแว้..555 ชายอีกแล้วครับผม ..........พ่อผมนั่งเหงา ด้วยความผิดหวัง..มั้ง ที่พ่อตั้งใจอยากมีลูกสาวไว้เชยชมสักคน เพราะทะโมนที่เกิดมาก่อนหน้าก็ลูกชายสุดสวาทกันทั้งนั้น เอาเป็นว่า 4 คน ชายล้วน ๆ แต่ไอ้เจ้าคนที่ออกมาดูโลกคนใหม่นี่ ทำไมมันถึงได้ดำจังเลย ด๊ำดำ ประมาณนั้นแหละ คิดดูสิว่า มีอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ผมไม่สบาย ไม่สามารถให้นมลูกได้ เอาไปฝากกับเพื่อนแม่ซึ่งคลอดลูกในช่วงไล่เรี่ยกัน เพื่อให้ช่วยป้อนนมแทนให้ด้วย แกยังไม่เต็มใจจะให้ผมกินนมของแกเลย แหมมันช่างดำน่าเกลียดอะไรปานนั้น.บักมืดเอ๊ย 555 ..........ผมเติบโตขึ้นมาด้วยความฟูมฟักของครอบครัวใหญ่ มียาย พ่อ แม่ น้าสาวอีกหลายคน รวมทั้งพี่ชายอีก 3 พระหน่อ สำหรับเด็กช่างพูด นาน ๆ เข้า ไอ้เจ้าความด๊ำดำก็ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป พ่อผมบอกว่า ตอนเกิดใหม่ กลัวผมพูดช้า แกเลยเอากบมาตีปากผม แล้ววันนั้นพ่อไปหากบได้มาหลายตัว ก็เลยจับทุกตัวมาตีพร้อม ๆ กันซะเลย นี่คงเป็นอานิสงฆ์อีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผมพอจะพูดคุยได้แบบน้ำไหลไฟสว่าง 555 ..........ยายผมเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมีอยู่ร้านเดียวนั่นแหละ ขายสารพัดชนิด เท่าที่จะหามาขายได้ เจ้าประคุณเอ๊ย! กว่าจะเอาของมาขายนี่นะ นั่งรถสองแถวบุโรทั่งจากตลาด เข้ามาประมาณ 4 กม. แล้วต้องหาบของเดินตัดทุ่งนาอีกประมาณ 2 กม. กว่า ๆ เพราะที่บ้านผมไม่มีถนนหรอกครับ เมื่อปีนั้นยังเป็นดงช้างป่าเสืออยู่เลย น้ำแข็งเราไม่เคยรู้จัก เพราะหากหาบเข้ามาก็คงละลายหมดพอดี ..........พ่อผมมีควายอยู่ 10 กว่าตัว ไว้ให้ชาวบ้านเช่าทำนา พอได้ค่าเช่าเป็นข้าวไว้หุงกิน ที่บ้านผมไม่มีที่นาครับ พ่อก็เป็นครูประชาบาลจน ๆ เงินเดือน 480 บาทถ้วน. สมัยนั้นยังขี่ม้าไปสอนหนังสืออยู่เลยนะครับ พี่ชายไปเรียนหนังสือชั้นประถม ผมก็ติดไปด้วย ได้หัดเรียนเขียนอ่านตั้งแต่ยังเล็กนั่นแหละครับ พ่อซื้อกระดานชนวนให้ 1 แผ่น แหมมันดูโก้เก๋ไม่หยอกเชียวนะ เวลาเขียนผิด ครูก็จะให้เอาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ลบออก แต่ทะโมนตัวด๊ำดำ ไม่ทำหรอกครับ เชยอย่างผมต้องถ่มน้ำลายปริ๊ด เอามือถู ๆ แฮะ แฮะ เรียบร้อย ..........บ้านเราเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ใต้ถุนสูง มีนอกชานกว้าง เวลากินข้าวเย็นเราก็จะมารวมกันเป็นวงใหญ่ กินไปพูดคุยกันไป ส่วนมากก็ผมนี่แหละครับ ตัวพูดมากประจำวง แต่ไม่มีใครว่าครับ เพราะตอนนั้นถือว่า เป็นลูกหล้า (ลูกคนเล็ก) เวลาแกงปลาที่มีไข่ หรือพุงปลา ก็เสร็จผมละครับ แม่จะเก็บไว้ให้ เวลาพี่ ๆ จะกินมั่งแม่ก็จะบอกว่า เอาให้น้องเถอะลูก น้องยังเล็ก ..........แสงสว่างภายในบ้านโดยมากก็จะเป็นตะเกียงน้ำมันก๊าด แต่เวลาเราอยู่พร้อมหน้า พ่อจะจุดตะเกียงเจ้าพายุ สว่างไสวมาก ในสมัยนั้นนะ กรรมวิธีการจุดก็ไม่ยาก มันจะมีท่อสูบลมเล็ก ๆ เราก็อัดลมเข้าไปให้เต็ม แล้วภายในโป๊ะจะมีถ้วยเล็ก ๆ ไว้ใส่แอลกอฮอล์ เพื่อจุดเป็นไฟล่อ พอลมเต็มเราก็จะจุดไฟล่อ แล้วปล่อยลมให้ดันน้ำมันมาเบา ๆ จนสว่างโร่ไปทั่วผมยังจำได้ดี เราใช้ไส้ตะเกียงเจ้าพายุโคลท์แมน เค้ามีมอตโต้เด็ด ๆ ที่ผมยังจำไม่ลืมคือ ."ไส้ตะเกียงเจ้าพายุโคลท์แมน ส่องแสงแทนสุริยาในราตรี". โอ้โห!! สุดยอดการใช้ภาษาไทยเลยนะเนี่ย จำได้สนิทเลยชอบมาก ..........หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราก็จะนั่งฟังนิยายทางวิทยุกัน ซึ่งช่วงนั้นมีคณะละครที่ฮิต ๆ ก็ กันตนา, นีลิกานนท์ (ขออภัยหากสะกดผิด), เกษทิพย์.ซึ่งเป็นคลื่น เอ เอ็ม ผมชอบมากอยู่เรื่องหนึ่งแบบฝังใจเลยนะ ฟังไปก็อินตามไปด้วย น้ำตาไหลเวลาเศร้า สงสารนางเอกน่ะ เรื่อง"จันทน์กะพ้อร่วง" โอ้โห!! ชอบมาก โดยเฉพาะเพลงประกอบละครนะ ชื่อเดียวกับเรื่อง ขับร้องโดยอาจารย์มัณฑนา โมรากุลพอได้เวลาก็ ดอกจันทน์กะพ้อร่วงพรู เจ้าไม่ใช่ร่วงสู่ แผ่นดินแห่งไหนโดยง่าย ลมพา เอากลีบกระจาย ร่วงปลิวพราวพลิ้วพราย ไม่มีที่หมายใด ยังประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้/////
18 มิถุนายน 2546 22:29 น. - comment id 68998
พุดพัดชาเข้ามาเพราะประทับใจตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้วค่ะ และเขียนเก่งมากชื่นชมมาก เขียนมาอีกนะคะ คุณมีแฟนพันธุ์แท้สาวบ้านนอกคนนี้รออ่านอย่างใจจดใจจ่อเลยละค่ะ และราวกับถอดใจพุดพัดชาออกมาเขียนชีวิตที่คล้ายๆกันเลยกับชีวิตยามเยาว์ของพุดพัดชา รักและขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
19 มิถุนายน 2546 12:00 น. - comment id 69000
เรื่องราวเป็นที่ประทับใจของมิตรรักแฟนละคร บ้านน้อก.. บ้านนอก ขอบคุณค่ะ คุณโทโส .. และจะติดตามเสมอ ๆ