28 มกราคม 2546 22:12 น.

Bitter Girl ---> ตอน : เจ้าหญิงคนใหม่

Nonmin

ตอน : เจ้าหญิงคนใหม่
	เมื่อทั้งสองเดินออกมาจากร้านพิซซ่า ก็เข้าห้องน้ำ ที่นั่นไม่มีใครมาเข้าเลยสักคนนอกจาก เชอรี่กับนิชานเท่านั้น เมื่อนิชานเข้าเสร็จ เธอออกมาล้างมือและส่องกระจก แล้วสักพักก็ร้องไห้ เป็นเวลาที่เชอรี่เดินออกมา "ธเธอช่วยฉันไม่ได้หรอก ก็คนอย่างฉันมันเป็นแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจะมาเปลี่ยนฉันได้ช่างมันเถอะ เชอรี่ ฉันถูกล้อเรื่องพวกนี้มาเกือบ 6 ปีแล้ว" นิชานพูดขึ้น เชอรี่มองหน้านิชานผ่านกระจก "ใช่ไม่มีใครเปลี่ยนเธอได้ นอกจากตัวเธอเองเข้าใจความรู้สึกฉันบ้างสิ นิชาน เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ม.1 ฉันทนไม่ได้ที่จะให้ใครมาล้อเพื่อนฉัน ได้โปรดเถอะ ถือว่าเห็นใจฉัน ฉันจะช่วยเธอ แนะนำเธอในเรื่องพวกนี้ แต่ในภาคปฏิบัติ เธอต้องทำเอง" นิชานมองหน้าเชอรี่ และยิ้มออกมา "ได้จะพยายาม"
	เชอรี่พาเธอไปร้านๆ หนึ่ง "ที่นี่ส่วนใหญ่ นางแบบบางคนเขาจะมาขัดสีฉวีวรรณกัน ฉันก็เคยมาครั้งนึง" เชอรี่พูด นิชานรู้สึกหวั่นๆ "แต่ฉันไม่มีเงินมากพอจะมาทำเรื่องแบบนี้หรอกนะ" นิชานพูด "เอาเถอะ ฉันจะออกให้ก่อนก็แล้วกัน ถือว่าเพื่อนช่วยเพื่อนนะ" เชอรี่พูด และสักพัก หญิงคนหนึ่งเดินมาที่นิชาน และพาเธอเข้าห้องๆ หนึ่ง แล้วจัดการถอดเสื้อผ้าเธอ นิชานตกใจจึงร้องออกมา "อย่านะ ไม่ต้องมายุ่งน่า ฉันถอดเองได้!!!" "แว้ก จั๊กกะจี้ ก๊ากๆๆ!" "อยู่นิ่งๆ สิคะ เอาหละ เข้าไปอยู่ในอ่างสิคะ" "อย่าถูหลังสิ มันจั๊กกะก๊าก!" "ไม่ถูก็ไม่สะอาดสิคะ" "อย่านะ อย่าเอานมมาราดตัวฉัน กรี๊ด!!!" "มันต้องทำอยู่แล้ว อยู่นิ่งๆ สิคะ พวกเรามาช่วยกันหน่อยเร็ว" "ว้ากกกก!!! มาทำไมตั้งเยอะแยะ ฉันอายนะ ออกไป๊!!!" "ช่วยกันหลายๆ คนจะได้สะอาดไงคะ ตาย! ดิ้นจริงๆเลย!"
	เมื่อเสร็จ นิชานออกมา แล้วเธอก็พบว่า ผิวพรรณเธอดูสะอาดสะอ้านและผ่องขึ้น เสร็จแล้วเธอก็ต้องไปเล็มผมอีก เสร็จแล้วเมื่อเธอแต่งตัวด้วยชุดที่ดูดีกว่าเดิม ก็ทำให้เธอเป็นคนใหม่ขึ้นมาทันที "ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ!" ทุกคนพูดขึ้น "ทั้งหมด 1 หมื่นบาทค่ะ" นิชานได้ฟังราคาก็ถึงกับหงายหลังไปทันที เชอรี่ยิ้ม แล้วจ่ายเงินให้เขา "เชอรี่ เธอออกให้ฉันตั้งมากมายขนาดนี้มันเว่อร์ไปแล้ว! เอางี้นะเดี๋ยวถ้าฉันมีเงินจะคืนเธอนะจ๊ะ" นิชานพูดขึ้น พลางออกมาข้างนอกกับเชอรี่ "ไม่ต้องหรอกจ้ะดูสิ เธอดูสวยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะจ๊ะเนี่ย!" เชอรี่พูดขึ้นแล้วจับไหล่นิชาน พลางมองนิชานไปทั่วตัว "งั้นเหรอ ก็เป็นเพราะเธอนั่นแหละ เฮอะๆๆ" นิชานพูด เชอรี่มองนิชานแปลกๆ
	เมื่อกลับมาถึงบ้าน เชอรี่เริ่มบ่นกับนิชาน "เธอน่ะ เนื้อตัวการแต่งตัวก็ดีขึ้นนะ แต่เธอน่าจะเปลี่ยนเสียงหัวเราะของเธอ แล้วเปลี่ยนท่าทางการเดินด้วยนะ ฉันพยายามจะช่วยเธออย่างเต็มที่แล้วนะเนี่ยเอาล่ะ มาฝึกกันเถอะ" เชอรี่พูด "ฝึก?" นิชานแปลกใจ แต่เชอรี่จับมือเธอให้ลุกขึ้น แล้วเริ่มฝึกสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งที่นิชานทำตัวน่าเกลียดจนติดเป็นนิสัย นิชานบ่นว่ารำคาญ เชอรี่จึงเริ่มไม่พอใจ แล้วขู่ว่า ถ้าไม่ตั้งใจให้ดี จะให้นิชานจ่ายเงินเป็น 2 เท่าของค่าที่ไปที่ร้านเมื่อกี๊นี้มา นิชานจึงทำตาม จนเมื่อเธอสามารถทำตามที่เชอรี่บอกได้ทั้งหมด เชอรี่จึงอารมณ์ดีเหมือนเดิม 
	"ดีใจจัง ฉันสามารถฝึกเธอได้แล้ว" เชอรี่พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ "ทำอย่างกับฉันเป็นลิงในคณะละครสัตว์ไปได้" นิชานเริ่มบ่นบ้าง "ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉันช่วยเธอแล้วนะ ตามคำสัญญาของนางฟ้าอย่างฉันไง คุณเจ้าหญิงคนใหม่" เชอรี่พูด "เธอว่าฉันเป็นซินเดอเรลล่าเหรอ ไม่ไม่ต้องเอาฉันไปเปรียบกับนิทานนั่นหรอก" นิชานพูดขึ้น "มันแล้วแต่เธอตะหาก ความเป็นคนทันสมัย ไม่มีเวลาจำกัดหรอก แต่ถ้าเธอเกิดอาการเบื่อขึ้นมาเมื่อไหร่ จนทำตัวกลับเป็นคนเดิม เท่ากับว่ามันหมดเวลาของซินเดอเรลล่า แล้วก็จะกลายเป็นสาวถ่านเหมือนเดิม" เชอรี่พูด นิชานนิ่งคิด "ฉันก็จะพยายาม" นิชานยืนขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาว่าฉันนิชานคนนี้เด็ดขาด!"
	วันต่อมานิชานไปมหาวิทยาลัยด้วยจักรยานคันเดิม จนเมื่อมาถึงตึกคณะอักษรศาสตร์ มีเพื่อนๆ และคนที่เรียนตึกเดียวกันต่างมองนิชาน นิชานเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมา กลัวว่าตัวเองจะทำอะไรอีก แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้น "นนิชานนนั่นเธอเหรอ?" เดซี่ เพื่อนร่วมคณะเดียวกันพูดขึ้น เดซี่เป็นคนเรียนเก่งพอกันกับนิชาน และเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนกัน "ไม่อยากเชื่อ วันนี้เธอสวยจังเลย" เดซี่พูดขึ้นจนทำให้นิชานรู้สึกเขิน "ไม่หรอก ฉันก็เป็นอย่างนี้ทุกวันนี่นา" แต่แล้วก็มีเสียงคนหลายคนพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า "เธอดูดีขึ้นจริงๆนะ" หรือ "ใช่นิชานแน่เหรอ สวยจังเลย" นิชานยิ้มและเดินขึ้นตึกไปด้วยท่าทีที่เอียงอายเอามาก แล้วเดซี่ก็ตามขึ้นไป ชวนคุยหลายเรื่อง จนนิชานได้คิดในใจว่า "ไม่อยากเชื่อ ทุกคนจากที่เคยหัวเราะเยาะใส่ฉัน กลับกลายเป็นว่ามาชื่นชมฉัน แม้แต่เดซี่ที่ไม่เคยพูดกับฉัน เหลือเชื่อจริงๆ ฉันฝันไปหรือเปล่า รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงขึ้นมาจริงๆ เป็นซินไม่สิ ฉันจะไม่ยอมให้เวลาหยุดเหมือนซินเดอเรลล่าเด็ดขาด พยายามเข้านะนิชาน เธอจะต้องเป็นคนอย่างนี้ตลอดไป เป็นเจ้าหญิงตลอดไป เจ้าหญิงที่ไม่ใช่ซินเดอเรลล่า"
	วันอาทิตย์ นายพัลลภผู้เป็นพ่อของพิศได้คุยถึงเรื่องที่มหาวิทยาลัย พร้อมกับนางวิไล ผู้เป็นแม่ "เป็นไงบ้างลูก อยู่ที่มหาวิทยาลัยมาตั้ง 3 ปีแล้ว มีแฟนแล้วรึยัง?" นายพัลลภถาม "ยังหรอกครับคุณพ่อ" พิศพูด "แต่ฉันนะ เห็นพวกผู้หญิงในมหา'ลัย ตามติดพิศกันน่าดูเลย" นางวิไลพูดขึ้น "พ่อคิดว่าจะหาผู้หญิงดีๆ ให้ลูกสักคน ดีมั๊ย?" นายพัลลภพูดขึ้นมา "พ่อกับแม่พูดอะไรกันครับเนี่ย พ่อไม่ต้องหรอก ซักวัน  ผมคงหาได้หละน่า" พิศพูด "พ่อคิดที่จะให้ลูกสืบตำแหน่งประธานบริษัทนี้ต่อไป ลูกก็น่าจะหาผู้หญิงมาเคียงข้างบ้าง" นายพัลลภพูด พิศลุกขึ้นยืน "ไม่ต้องพูดแล้วครับ อยู่ๆ ก็ถามอะไรก็ไม่รู้ ผมเข้าห้องนะ" แล้วพิศก็เดินเข้าห้องไป "เฮ้อ! ทำอายไปได้ ลูกเราคนนี้" นางวิไลบ่น "นั่นสิ เอ้อ ผมคิดแผนได้แล้ว ต้นเดือนหน้าก็ใกล้วันเกิด 20 ปีของพิศแล้วนี่นา ผมจะให้คนของผมเที่ยวหาผู้หญิงในมหาวิทยาลัยที่สวยๆ ให้มาร่วมงานวันเกิดของลูกชายเรา แล้วก็ฮะฮะ อย่างนี้ดีมั๊ย?" นายพัลลภหัวเราะ
	วันต่อมา นิชานขี่จักรยานมาเรียนที่มหาวิทยาลัย หลังจากที่ออกกำลังกายแล้วเหมือนทุกวัน แล้วอยู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเรียกเธอ "คุณครับ!" เขาเรียก "มีอะไรเหรอคะ?" เธอถาม "คืองี้นะครับ ผมได้รับไหว้วานมาจากประธานบริษัทให้หาผู้หญิงสวยๆ ในมหาวิทยาลัยมาร่วมงานเลี้ยง แล้วบังเอิญผมคิดว่าคุณเป็นคนที่สวยใช้ได้ทีเดียว" เขาพูดพลางส่งบัตรเชิญให้นิชาน "นี่ครับ มาร่วมงานนี้ให้ได้นะครับ" ยังไม่ทันที่นิชานจะถามอะไร เขาก็เดินจากไป เธอมองดูบัตรนั้น แล้วก็รู้สึกดีใจขึ้นมากับคำพูดของชายคนที่ให้บัตรแก่เธอที่เขาพูดว่า "คุณเป็นคนที่สวยใช้ได้ทีเดียว" "ฉันสวยขนาดนี้เชียวหรือ" นิชานคิด ใจลอย
	นิชานนำเรื่องนี้มาบอกเชอรี่ แซนดี้และเดซี่ แซนดี้และเดซี่บ่นที่ไม่ได้ไปงาน แต่ทั้งสามก็อาสาว่าจะช่วยหาชุดงานเลี้ยงที่สวยๆ ที่ตนมีอยู่มาให้นิชานเลือกดูในตอนเย็น
	"นี่! ตัวนี้สวยมั๊ย?" แซนดี้หยิบชุดสีเขียวเกาะอกกระโปรงบานขึ้นมา "ไม่เอา โป๊!" 
	"นี่! แล้วตัวนี้ล่ะ?" เดซี่หยิบชุดสีรุ้งมาให้ ก่อนที่นิชานจะพูดว่า "ไม่เอา สีรุ้งมันซีดเกินไป!"
	"นี่! เอาตัวนี้นะ?" เชอรี่หยิบชุดสายเดี่ยวสีดำมีดอกไม้ตรงชายมาให้ "ไม่เอา ตัวใหญ่!"
	"เฮ้อ! ชุดที่มันเหมาะกับฉันไม่มีเลยหรือ" นิชานบ่นแล้วล้มลงบนพื้นอย่างสิ้นหวัง "ไม่เอาน่านิชาน อย่านอนลงไปอย่างนั้นสิ!" เชอรี่รีบห้าม "ชักสิ้นหวังขึ้นมาแล้ว มีชุดเป็นสิบๆ แต่ไม่ถูกใจซักตัว ถ้ามีนางฟ้าอย่างในเรื่องซินเดอเรลล่าช่วยเสกชุดที่เหมาะกับฉันก็ดีสิ" นิชานพูด ทันใดนั้นเดซี่ก็รีบค้นหาชุดๆ หนึ่งในกระเป๋าที่เธอเตรียมมา "เอาชุดนี้มั๊ย? ชุดซินเดอเรลล่า!" เดซี่พูดขึ้น พร้อมชูชุดๆ หนึ่งให้นิชาน เป็นชุดสีชมพูดอ่อน โชว์ไหล่ข้างหนึ่ง มีดอกไม้ติดอยู่ตรงข้างเอว ดูสวยไม่เบา "เธอว่าชุดซินเดอเรลล่าเหรอ?" นิชานถาม "ใช่ เป็นชุดที่ฉันเคยเอามาแสดงละครเป็นซินเดอเรลล่าตอน ม. ปลายน่ะ ฉันเอาติดมือมาด้วย แต่กลัวเธอไม่ชอบก็เลยไม่ได้หยิบออกมาซะตั้งแต่แรก" นิชานยิ้มและส่ายหน้า "ไม่หรอก ฉันชอบมากเลย" ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเลือกเอาชุดนี้ เชอรี่หวีผมและแต่งหน้าให้เธอ ส่วนแซนดี้ก็ช่วยเลือกรองเท้าที่คิดว่าดีที่สุดให้นิชาน 
	"ได้เวลาแล้ว ฉันต้องไปก่อนนะ" นิชานพูดขึ้น พลางมองตังเองในกระจก "ขอบใจมากนะ เหล่านางฟ้าทั้งสามของฉัน" ทุกคนหัวเราะกับคำพูดของนิชาน แล้วแซนดี้ก็ถามว่า "แล้วเธอจะไปยังไงล่ะ เราไม่มีฟักทองเอาไว้เสกรถม้าหรอกนะ" นิชานยิ้ม และพูดว่า "ใช่ เราไม่มี ดังนั้นฉันจะขี่จักรยานไป" เธอพูดพลางขี่มัน "ไปก่อนนะ" แล้วจักรยานก็พุ่งตรงไปข้างหน้า "ซินเดอเรลล่าขี่จักรยานงั้นเหรอ ฮึฮึ" เชอรี่พูด				
26 มกราคม 2546 20:11 น.

Bitter Girl ----> ตอน : สู้อย่างไม่สิ้นสุด

Nonmin

วันต่อมา นิชานไม่ได้ไปวิ่งเหมือนอย่างทุกวัน เธอตื่นขึ้นมาเลือกเสื้อผ้าที่เห็นว่าดีที่สุด และสวยที่สุดในสายตาของเธอ แต่กว่าจะเลือกได้ก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง เป็นชุดกางเกงขาม้าสีเขียวแก่ และเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำเงินเข้ม และเธอก็เสียเวลากับการทำผม ในที่สุดก็ปล่อยผม ได้แต่ติดกิ๊บสีดำไปเท่านั้น "ดูดีขึ้นนี่" นิชานพูดขณะมองดูกระจก
	เธอขี่จักรยานไปมหาวิทยาลัยสวนจันทรา แล้วตรงดิ่งไปที่ตึกคณะอักษรศาสตร์ แล้วจอดจักรยานไว้ ขณะที่เธอก็กำลังจะเดินขึ้นตึกไป ก็มีคนแถวๆนั้นมองเธอจนเหลียวหลัง นิชานรู้สึกอายจึงได้แต่คิด "เขามองเราทำไมนะ หรือว่าเราทำอะไรประหลาดๆ อีกแล้ว อื้ม ไม่น่า! ฮึ อาจจะเป็นเพราะวันนี้เราสวยขึ้นก็ได้ ผู้คนถึงได้รู้สึกตกใจสินะ ฮิฮิ" แล้วเธอก็เดินไปด้วยท่าทีมั่นใจ แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้น "นิชาน เธอทำอะไรของเธอน่ะ?" ไอวี่พูดขึ้น ก่อนที่แพนซี่จะหัวเราะก๊ากออกมา แล้วคนอื่นๆ ก็หัวเราะเธอเช่นกัน นิชานหน้าแดง "ฉฉันทำไมเหรอ?" เธอถามขึ้น "รรองเท้าเธอ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ" แพนซี่พูดและหัวเราะอีก นิชานจึงมองไปที่เท้าของตัวเองก็พบว่า หนังรองเท้าได้ขาดออกไปแล้ว เท้าสีขาวของเธอจึงโผล่ออกมาอย่างเต็มที่ "ตายจริง นี่เธอไม่ได้เช็คดูของก่อนที่จะใส่มาเลยหรือเนี่ย?" ไอวี่พูด "นั่นสิ แต่งตัวก็ดูดีหรอกนะ แต่เห็นเท้าแล้ว ไม่ไหวเลย ฮิฮิ" แพนซี่พูด นิชานรู้สึกอายมาก เธอรีบเดินขึ้นตึกไปทันที แต่ก็เกิดสะดุดขึ้นมา ทำให้เธอล้ม เสื้อของเธอจึงเปรอะดิน คนรอบข้างจึงหัวเราะเธอใหญ่ ทำให้นิชานเสียความรู้สึกเอามากๆ และดูเหมือนเธอจะร้องไห้ตั้งแต่เช้า "ไม่ได้ เราต้องไม่ร้องไห้ให้คนพวกนี้เห็น" เธอคิด แล้วลุกขึ้นยืน "ไอ้พวกคนโง่ ไม่มีรองเท้าก็ไม่เห็นจะเป็นไร ยังไงซะเราก็ยังเดินได้ เมื่อเห็นว่ารองเท้าฉันมันขาดน่าเกลียด ฉันก็จะเดินเท้าเปล่า!" เธอพูดน้ำเสียงจริงจัง และถอดรองเท้าออกมา พร้อมปาข้างหนึ่งไปที่แพนซี่ จนเธอตกใจร้องกรี๊ด คนรอบข้างจึงรีบเดินหนีไป นิชานได้ปาอีกข้างหนึ่งไปที่ไอวี่ แต่เธอหลบทัน จึงทำให้ไปโดนหน้าคนข้างหลังเต็มเปา
	"คุณพิทยาธร!?!" ไอวี่ร้องขึ้น แล้วเธอก็จับมือแพนซี่ขึ้นตึกไปทันที นิชานได้แต่มองพิศด้วยความตกใจ พิศถือรองเท้าที่ขาดของนิชานเดินมาที่เธอ แล้วตะโกนใส่เธอว่า "เธอเป็นบ้าไปหรือเปล่า ถอดรองเท้าที่แสนจะทุเรศมาปาใส่คนอื่นน่ะ ไม่รู้หรือไง ว่าถ้าทำให้ใครเขาเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง แล้วนี่ก็ยิ่งมาโดนฉันที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยฮึ คอยดูนะ เธอโดนแน่" นิชานรู้สึกกลัวขึ้นมา ว่าเขาจะนำเรื่องนี้ไปบอก ผอ. ผู้เป็นแม่ของเขา แต่นิชานก็พยายามที่จะสู้ และไม่ยอมที่จะกลัวจึงพูดมาว่า "ไอ้ลูกแหง่" พิศหันมามอง นิชานชี้หน้าพิศ "เชอะ! ทำตัวอย่างกับเด็กตัวเล็กๆ เรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ ทุเรศ ทำอะไรก็ไม่เป็น แล้วยังมีหน้ามาสั่งสอนคนอื่นอีก จำไว้นะ ฉันไม่ใช่คนที่จะโดนใครว่าเอาง่ายๆ โดยเฉพาะถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน" เธอพูดแล้วเดินขึ้นตึกไปทันทีด้วยเท้าที่ว่างเปล่า พิศมองตามเธอไป "ยายบ้า! เธอมาว่าฉันอย่างนั้น คอยดูเถอะ ยายนิชาน เราจะได้เห็นดีกัน!" เขาคิด แล้วเดินไปที่ตึกวิศวฯ
	เมื่อเรียนเสร็จ นิชานรีบกลับไปที่บ้านทันที เธอปั่นจักรยานด้วยเท้าเปล่าทำให้รู้สึกคันๆ นิดหน่อย เมื่อเธอกลับมาถึงหน้าบ้าน แล้วเมื่อเตรียมจะเปิดประตู ก็ได้ยินเสียงหนึ่ง "อ้าว? นิชานกลับมาแล้วเหรอจ๊ะ?" เชอรี่ทักขึ้น "เชอรี่มาหาฉันเหรอ มานานรึยัง" นิชานถามขึ้น "ก็เพิ่งมาเมื่อกี๊นี้เองหละ แล้วทำไมไม่ใส่รองเท้าล่ะ" เชอรี่ถาม นิชานจึงพูดขึ้นว่า "อ้า~ เข้าบ้านก่อนสิ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง" เมื่อทั้งสองเข้าไปในบ้าน นิชานก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เชอรี่ฟัง ทั้งเรื่องที่เธอถูกล้อเรื่องรสนิยมมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนสาธิต เรื่องที่รองเท้าเธอขาด เรื่องที่เพื่อนเยาะเย้ยเธอ และเรื่องที่เธอพยายามจะปรับเปลี่ยนตัวเอง "ฉันช่วยเธอได้อยู่แล้วหละเรื่องนี้น่ะฉันเห็นเธอเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ ม.1 แล้ว เธอเข้มแข็งมากเลยนะ ไม่ว่าเพื่อนจะล้อเธอยังไง เธอก็จะไม่ร้องไห้ และพยายามทำให้พวกนั้นเห็นว่าเธอทำได้และเข้มแข็ง ฉันฉันอยากเป็นอย่างเธอบ้างจัง" เชอรี่พูด "คงไม่หรอกมั้ง ฉันก็เป็นเพียงพวกที่ไม่มีความอดทนต่อคำด่าเท่านั้นเอง ว่าแต่ที่เชอรี่ขนของมาด้วยเนี่ย จะมาค้างที่บ้านฉันเหรอจ๊ะ?" นิชานถาม เชอรี่พยักหน้า "ฉันอยู่ที่แฟลตคนเดียวเหงาจะตาย ก็เลยคิดว่าจะขอมาค้างบ้านเธอซักคืน ไหนๆ พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดทั้งที" เชอรี่อธิบาย "ได้อยู่แล้ว แต่บ้านฉันแคบหน่อยนะ เธอนอนในห้องฉันไปก็ได้ ฉันมีเตียงสนาม เดี๋ยวจะให้เธอนอน ได้นะ?" นิชานถาม "ได้อยู่แล้ว" เชอรี่ตอบ
	เมื่อถึงเวลาเย็นๆ นิชานแกะถุงบะหมี่ออกมา 2 ห่อ แต่เชอรี่รีบห้ามทันที "ไม่นะ นิชาน เธอห้ามกินเด็ดขาดเลย!" "ทำไมล่ะ ฉันก็กินของฉันอย่างนี้ทุกวัน" นิชานพูดขึ้น "รู้มั๊ย กินบะหมี่ทุกวันมันไม่ดีหรอกนะ ดูตัวเธอสิ ผอมบางนิดเดียว ถามจริงๆ หนักเท่าไหร่?" เชอรี่ถาม "47" นิชานตอบ คำตอบนั้นทำให้เชอรี่แทบจะหงายหลังไปทันที "รู้มั๊ย บะหมี่น่ะมีส่วนผสมของพวกผงชูรสและแป้งอยู่ กินมากไม่ดีหรอกนะ ฉันพยายามช่วยเธอแล้วนะ เรื่องรสนิยมอะไรพวกเนี่ย!" เชอรี่พูดขึ้น นิชานจึงถามว่า "งั้นจะกินอะไรล่ะ ฉันทำกับข้าวเป็นนะ แต่เราไม่มีผักหรือเนื้ออะไรเลย" เชอรี่จึงพูดว่า "งั้นเย็นนี้เราจะไปกินข้าวนอกบ้านกัน" 
	เชอรี่พานิชานมาที่ร้านอาหารร้านหนึ่งริมถนน ดูเป็นร้านที่หรู นิชานไม่เคยเข้าร้านแบบนี้หรอก ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่เธอจะซื้อพวกของสำเร็จรูป หรือกึ่งสำเร็จรูปตามห้างมากินมากกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็น ม๊า~ม่า~ หรือ ย่ำ~หย่ำ~ เป็นต้น
	เชอรี่สั่งอาหารมามากมายทีเดียว เธอจะอธิบายด้วยว่าแต่ละอย่างมีประโยชน์อย่างไรบ้าง แล้วทั้งคู่ก็ลงมือสวาปามของตัวเอง "เธอเป็นถึงนางแบบ ไม่กลัวอ้วนเหรอ" นิชานถาม "ไม่หรอกจ้ะ ปกติ อาหารพวกนี้ฉันก็ไม่ค่อยได้กินหรอก ฉันจะกินพวกผักผลไม้มากกว่า แล้วก็พวกข้าวกับเนื้อนิดๆ หน่อยๆ อาหารพวกนี้นานๆ ฉันจะออกมากินที เอ้อ! เธอชอบกินพิซซ่ามั๊ย ฉันชอบหน้าไส้กรอก แล้วเธอล่ะ?" เชอรี่ถามขึ้น นิชานพยายามนึก "ฉันกินครั้งสุดท้ายตอน ม.4 อ้ะ รู้สึกฉันจะกินหน้าซีฟู้ดเข้าไป เอ้อฉันชอบหน้าซีฟู้ด" นิชานพูดขึ้น "ดี! พรุ่งนี้เราจะไปซื้อของกัน แล้วฉันก็จะพาเธอไปกิน" เชอรี่บอก
	วันรุ่งขึ้น ทั้งสองตื่นแต่เช้า นิชานแต่งตัวแบบเดิมๆ คือมัดแกะสองข้าง แล้วใส่กางเกงยีนส์ธรรมดากับเสื้อยืดสีดำ และใส่รองเท้าแตะ ผิดจากเชอรี่ที่เธอใส่กางเกงขายาวสีดำ ใส่เสื้อเกาะอกสีดำ แล้วใส่เสื้อเชิ้ตลายหนังสือพิมพ์ของเมืองนอกทับ แต่ไม่ติดกระดุม เชอรี่บอกว่าเธออยากทำผมให้เหมือนนิชานเพราะดูน่ารักดี แต่ทรงนั้นไม่เข้ากับบุคลิกของเธอ จึงถักเปียสองข้างแทน แล้วเชอรี่ก็ใส่รองเท้าส้นสูง จึงทำให้เธอดูสูงขึ้นมากๆ ทั้งๆ ที่ความจริงเธอก็สูงตั้ง 170 ซม. แต่นิชานสูงแค่ 164 เท่านั้น "เธอแต่งตัวเท่ห์จัง เชอรี่" นิชานทักขึ้น
	เชอรี่พานิชานไปโรบินสัน พาไปซื้อรองเท้า และเสื้อที่ดูดีเพื่อเปลี่ยนบุคลิก แล้วทั้งคู่ก็พักด้วยการมากินพิซซ่า เชอรี่สั่งหน้าไส้กรอกมากิน และสั่งหน้าซีฟู้ดมาให้นิชานด้วย แล้วนิชานก็เจอกับเพื่อนที่คณะ ไอวี่ 
	"อ้าว? กินพิซซ่าเป็นด้วยหรือจ๊ะเนี่ย? นิชานอุ๊ย! นั่นเพื่อนเธอเหรอ นางแบบโฆษณานี่นา" ไอวี่พูดขึ้น พร้อมมองเชอรี่ด้วยสายตาชื่นชม "ค่ะ ฉันเป็นเพื่อนกับนิชาน ชื่อเชอรี่ค่ะ" เชอรี่พูดอย่างสุภาพ "แหม! ไม่อยากเชื่อเลยนะคะ ว่านิชานมีเพื่อนสวยๆ แบบคุณด้วย ดูบุคลิกคุณกับนิชานสิ แตกต่างกันลิบลับ คุณคงจะดีใจสินะคะ ไม่ว่าเวลาจะเดินไปไหนกับแม่นี่ คุณเชอรี่ก็ดูเด่น และสวยกว่าเป็นร้อยเท่าเอิ่ม ฉันไปก่อนนะคะ" ไอวี่พูดแล้วเดินออกจากร้านไป นิชานได้แต่ก้มหน้านิ่ง เธอรู้สึกอายเชอรี่ อายคนในร้านที่ไอวี่พูดออกมาเสีนเสียงดังขนาดนั้น เธอกัดกินพิซซ่าอย่างรวดเร็วจนมันหมด เชอรี่ดูบุคลิกของนิชานจึงพูดว่า "เธอคงโกรธเพื่อนคนนั้นสินะ ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอดี นิชาน" เชอรี่พูดพลางจิบน้ำ แล้วก็พูดว่า "ฉันจะช่วยเธอฉันจะเป็นนางฟ้า และจะเสกเธอให้เป็นเจ้าหญิง คอยดูก็แล้วกัน" เชอรี่พูดพลางยิ้มให้นิชาน				
26 มกราคม 2546 19:40 น.

Bitter Girl -----> ตอน : เธอคนนั้นชื่อนิชาน

Nonmin

เช้าวันหนึ่งของฤดูร้อนที่แสนจะสดใสนั้นเอง มีผู้คนมากมายต่างออกมาเดินเล่นกันตั้งแต่เช้า ทุกคนดูยิ้มแย้มสดใส ต้อนรับวันใหม่ นิชานก็เช่นกัน เธอได้มาออกกำลังกายตอนเช้าที่สวนสาธารณะด้วยหน้าตาที่สดใส เธอมักจะปฏิบัติเช่นนี้ทุกๆ วันก่อนไปมหาวิทยาลัย แล้ววันนี้เธอก็เจอเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน "เฮ้! นิชานมาออกกำลังแต่เช้าเชียวนะ" แซนดี้พูดขึ้น "อื้อ! ฉันก็มาวิ่งอย่างนี้ทุกเช้าแหละ ว่าแต่เธอล่ะ แซนดี้มาทำอะไรเหรอ?" นิชานถามขึ้น "ก็มาเดินเล่นน่ะ พอดีวันนี้ฉันตื่นเช้าก็เลยอยากมาเดินเล่นให้สบายใจเสียหน่อย" แซนดี้พูด แล้วทั้งสองก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง "เธอน่าจะตื่นแต่เช้าทุกวันนะ จะได้มาออกกำลังกายเหมือนอย่างฉัน รู้มั๊ยการตื่นเช้าน่ะเป็นกำไรชีวิต ทำให้เราได้ทำอะไรหลายๆ อย่างได้แล้วก็เป็นประโยชน์ด้วย เหมือนกับฉันนี่แหละ วิ่งๆๆๆ ทุกเช้าวันละ 3 ชั่วโมง ดูสิ ฉันแข็งแรงจะตาย" นิชานพูด พยายามชักชวนเพื่อนให้ออกกำลังกายเหมือนอย่างเธอบ้าง "ครั้งนึง เธอวิ่ง 3 ชั่วโมงเลยเหรอ" แซนดี้ถาม "เป็นฉันคงไม่ไหวหรอก แค่ได้เล่นเทนนิสบ้างก็พอแล้ว เออ จริงสินิชาน เย็นนี้เธอเปลี่ยนมาเล่นเทนนิสกับฉันบ้างสิ" แซนดี้ชวน "เทนนิสเหรอ? เอาสิ ฉันไม่เคยเล่นเหมือนกัน ได้ลองดูสักครั้งก็ดี" นิชานพูดขึ้น "ดี! งั้นเย็นนี้เจอกันนะ" แซนดี้พูด แล้วเดินกลับไป นิชานโบกมือแล้วจึงวิ่งกลับไปที่บ้านของตัวเอง
	บ้านของนิชานเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ สีเหลืองอ่อนดูน่ารัก บริเวณบ้านมีต้นไม้หลากชนิดอยู่ เธอเดินเข้าไปในบ้าน แล้วไปอาบน้ำ เธอเป็นคนไม่ชอบกินอาหารเช้า ส่วนอาหารกลางวันของเธอจะเป็นพวกแซนวิสเพียงชิ้นเดียว หรือบางทีก็ไม่กินเลย ตอนเย็นเธอจะต้มบะหมี่กิน ทำอย่างนี้แทบทุกวันทำให้เธอเป็นคนผอมตัวเล็ก แต่ความที่เป็นคนชอบออกกำลังกาย ทำให้เป็นคนแข็งแรงเอ้อ พอเธออาบน้ำเสร็จแล้ว จึงแต่งตัวด้วยชุดลำลองธรรมดา แล้วเดินถือหนังสือเรียนและคว้ากระเป๋าออกมา แล้วขี่จักรยานมุ่งหน้าไปที่มหาวิทยาลัย
	ผมสีน้ำตาลที่ถูกผูกเป็นแกะสองข้าง แล้วมัดด้วยริบบิ้นสีเขียวอ่อนเชยๆ ได้โบกชี้ไปตามลม จนเมื่อจักรยานสีฟ้าของเธอได้มาจอดอยู่ที่หน้าตึกคณะอักษรศาสตร์ที่นิชานเรียนอยู่ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมด้วย นิชานนั้นกำลังศึกษาอยู่คณะอักษรศาสตร์ปีที่ 3 แล้ว ตอนนี้เธอมีอายุ 19 จะ 20 ปีแล้ว เป็นคนที่เรียนเก่งและสอบได้ที่ต้นๆ ของคณะด้วย
	"ไฮ! ว่าไงจ๊ะ นิชาน" เสียงหนึ่งทักขึ้น "ตายจริง! นี่เธอยังใช้จักรยานเก่าๆ โทรมๆ อย่างนี้อีกเหรอ ฉันเห็นเธอใช้มาตั้งแต่อยู่โรงเรียนสาธิต ม.ปลาย แล้ว" เป็นเสียงของไอวี่กับแพนซี่เพื่อนร่วมคณะเดียวกันกับเธอ "มันเรื่องของฉัน!" นิชานตอบด้วยท่าทีโมโห "จักรยานคันนี้เป็นจักรยานที่ฉันรัก และฉันไม่เห็นมันจะเก่าตรงไหนเลย พวกเธอมันซื่อบื้อ!" นิชานพูดแล้วรีบเดินขึ้นตึกไปทันที เพื่อหนีพวกนั้น เพราะกลัวว่าพวกนั้นจะตามมารังควานเธอ และหาเรื่องเธออีก "ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน รสนิยมฉันมันเก่าแก่ดึกดำบรรพ์มากเลยหรือไงฮึ" นิชานบ่น แล้วรีบวิ่งขึ้นข้างบน ทำให้ไปชนกับใครคนหนึ่งเข้า จนทำให้หนังสือและเอกสารเขาตกลงมาหมด
	"อ๊ะ! ขอโทษค่ะ!" นิชานรีบพูดพลางช่วยเก็บ "ไม่เป็นไรช่างมันเถอะ" ชายคนที่เธอชนตอบกลับมา แล้วก้มลงเก็บหนังสือ และมือซ้ายของเขา ก็มาถูกมือขวาของนิชาน ทำให้เธอมองหน้าเขา แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว และแดงไปหมด เพราะคนที่เธอชนเป็นถึงลูกชายของ ผอ. มหาวิทยาลัย และเจ้าของบริษัทที่มีชื่อเสียง เขามีชื่อว่า พิทยาธร หรือพิศ เป็นคนดังในหมู่สาวๆ อยู่ชั้นปี 3 ปีเดียวกันกับเธอ คณะวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อนิชานช่วยเขาเก็บเสร็จก็รีบเดินหนีไปทันที พิศมองตามนิชานด้วยสายตาแปลกๆ
	"นายรู้จักผู้หญิงคนนึงมั๊ยที่อยู่คณะอักษรศาสตร์ปี 3 น่ะ?" พิศถามเพื่อนชายของเขาที่ใต้ต้นไม้ของสวนในมหาวิทยาลัย "คนไหน ฉันจะไปรู้รึ?" ยุทธิชัย หรือยุทธ์ถามกลับมา "ก็คนที่มัดผมแกะสองข้างดูเชยๆ หน่อยน่ะ" พิศอธิบาย ยุทธ์คิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นมาว่า "อ๋อ! ผู้หญิงคนนั้นก็คนที่สอบได้ที่ 1 ของคณะอักษรศาสตร์ไงล่ะ ที่ชื่อนิชานน่ะ นายถามทำไม อย่าบอกนะว่านายชอบ ยายนี่นะ จะบอกให้แต่งตัวก็เชย แถมยังปากร้ายอีกตังหาก" "ฉันไม่ได้ชอบซักหน่อย แต่เห็นว่าเด็กคนนั้นดูแปลกดีก็เท่านั้นเอง เออ จริงสิยุทธ์ เดี๋ยวเย็นนี้เรามาเล่นเทนนิสกันเอามั๊ย" พิศชวนก่อนที่ยุทธ์จะตอบตกลง
	ตอนเย็น แซนดี้กับนิชานได้เปลี่ยนชุด และแซนดี้ก็สอนนิชานเล่นเทนนิสด้วย เธอเรียนรู้ได้เร็วมาก แล้วสักพักพิศกับยุทธ์ก็เดินเข้ามา ตามเข้ามาด้วยนักศึกษาหญิงหลายคนที่คลั่งไคล้พิศ แซนดี้วี้ดว้ายทันทีเมื่อได้เห็นพิศ "ว้าย! คุณพิทยาธรสุดหล่อมาเล่นเทนนิสที่นี่ด้วยหละ นิชาน ตื่นเต้นจังเลย" "อย่าไปสนใจเลยน่า มาเล่นกันต่อดีกว่า" นิชานพูดขึ้น แล้วอยู่ๆ พิศก็เดินมาที่นิชานพร้อมกับพูดว่า "เธอเป็นคนที่ชนฉันเมื่อเช้านี้นี่นา มาเล่นเทนนิสกับฉันมั๊ย?" เขาถาม นิชานรู้สึกหน้าแดงจึงรีบตอบว่า "แต่ว่า ฉันเล่นไม่เก่งนัก คงสู้คุณพิศไม่ได้หรอกค่ะ"  ดูเหมือนพิศจะไม่ได้ฟังนิชานเลย เขาคว้าแขนเธอมาที่สนาม แล้วพูดว่า "เอาน่า ให้ผู้หญิงเชยๆ อย่างเธอหัดเล่นดูบ้าง จะได้รู้ว่ารสนิยมของคนสมัยนี้เขาเป็นยังไง" เมื่อนิชานได้ฟังดังนั้น เธอรู้สึกใจหาย และความโกรธก็คลืบคลานเข้ามา เธอจึงรีบตะโกนว่า "ก็ได้ ฉันจะเล่น จะได้รู้กันไปเสียทีว่า คนอย่างฉันไม่ใช่ผู้หญิงตกยุคอย่างที่เขาว่ากันคอยดูนะ ฉันต้องเอาชนะคุณให้ได้เลย!" เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ก็แฝงความหวาดเอาไว้ แล้วตั้งท่าเตรียมแข่งทันที
	การแข่งขันดำเนินมาเรื่อยๆ พิศเล่นเก่งมาก นิชานก็เอาจริงเสียเหลือเกิน แต่ความที่เธอเพิ่งมาหัดเล่นครั้งแรก ทำให้เธอไม่สามารถเอาชนะเขาได้ จึงแพ้ไป 2 เซตรวด
	"คนอย่างเธอ ไม่มีทางเอาชนะฉันได้หรอก เธอก็แค่เด็กรสนิยมชั้นต่ำเท่านั้น" คำพูดของพิศทิ่มแทงหัวใจของนิชานอย่างแรง เธอไม่ต่อว่าอะไร แล้วจึงกลับไปเปลี่ยนชุด แล้วรีบปั่นจักรยานกลับบ้านไปทันที 
	"คนอย่างฉันมันเป็นยังไง? มันน่ารังเกียจนักหรือ? กับอีแค่รูปกายภายนอก การแต่งตัว แค่นี้เองหรือ ถึงทำให้คนเขาเยาะเย้ยฉัน? ทำไมเขาถึงไม่ดูจิตใจภายในของฉันบ้างล่ะ?" นิชานคิดในใจขณะปั่นจักรยานกลับบ้าน
	"ปึ้ก! ผัวะ! ตุบ! โพละ! เปรี้ยง!" นิชานเตะกระสอบที่เธอแขวนไว้หลังบ้าน เพื่อใช้สำหรับระบายความโกรธ "คอยดูนะ นายพิศ ฉันจะทำให้นายได้รู้ ว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นคนชั้นต่ำอย่างที่นายว่า คอยดูนะ! คอยดูนะ! คอยดูนะ!" "ฉาด! แคว่ก! ตุ้บ! ผัวะ!" "กิ๊งก่อง กิ๊งกิ่อง กิ๊งก่อง" "เอ๋?"
	เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น นิชานจึงรีบออกไปเปิดประตูทันที แต่แล้วเธอก็ต้องทำหน้าตกใจผสมดีใจ เมื่อได้เจอ
	"ชเชอรี่??? ดีใจจังเลยที่เธอมา!" นิชานพูดด้วยความดีใจ เมื่อได้เจอเพื่อนเก่าสมัยมัธยมต้น "จ้ะ ฉันก็ดีใจที่เจอเธอนะ นิชาน ว่าแต่ชุดนี้?" เชอรี่มองชุดของนิชาน "อ๋อ! แฮ่ะๆ คือ เป็นชุดออกกำลังกายหลังบ้านของฉันน่ะ มาเข้าบ้าน นั่งรอไปก่อนนะ ฉันขอตัวไปเปลี่ยนชุดแป๊บนึง" นิชานพูดขึ้น
	เมื่อเธอเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เชอรี่ได้ทักเธอว่า "เธอยังดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลยนะ นิชาน อืมบ้านเธอน่ารักดีนะ" เชอรี่พูดก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง "เหรอ พอดีพ่อกับแม่ฉันซื้อเอาไว้ให้ก่อนที่ฉันจะมาเรียนที่นี่น่ะจ้ะ" นิชานพูด พลางมองเชอรี่ "เธอดูสวยจังเลย ว่าแต่เธอมาได้ไงเหรอ?" เธอถามขึ้น "ฉันไปเรียนที่อังกฤษมาน่ะ ตอนนี้เรียนจบปี 4 แล้วหละ และคิดว่าจะต่อปริญญาโทที่นี่" เชอรี่อธิบาย "หา!?! เรียนจบปริญญาตรีแล้วเหรอ?" นิชานถามด้วยความตกใจ "จ้ะ แล้วพอดีฉันถูกติดต่อมาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาน่ะ ก็เลยดูแปลกตาไป" เชอรี่พูด "ว้าว! ยอดไปเลย แล้วตอนนี้เธอพักอยู่ที่ไหน?" นิชานถาม "ก็พักอยู่ที่แฟลตแถวนี้แหละจ้ะตายจริง ฉันต้องไปแล้ว เดี๋ยววันหลังฉันมาเยี่ยมเธออีกนะจ๊ะ นิชาน บาย" เชอรี่พูด แล้วเดินออกไป นิชานโบกมือให้เธอ พลางคิดว่า แม้แต่เชอรี่ที่มาจากบ้านนอกเหมือนกันกับเธอ ยังสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากสาวบ้านนาเป็นสาวยุคไฮเทคได้ แถมยังสวยเสียด้วย "แล้วทำไมฉันถึงจะเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ฉันจะไม่ยอมให้ใครว่าฉันอย่างนั้นอีกเด็ดขาด" นิชานตั้งความหวังไว้อย่างแน่วแน่				
7 ตุลาคม 2545 20:34 น.

สายลมแผ่ว

Nonmin

สายลมแผ่ว
กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ที่มีทั้งความเจริญ  ความสะดวกสบาย ที่นี่มีนักการเมืองอยู่สองคนที่เป็นคู่แข่งมา 10 กว่าปีแล้ว คนหนึ่งชื่อ นายราชัน สันติยาภา เป็นนายกรัฐมนตรี อีกคนหนึ่งชื่อนายราชัย อามมารี เป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ความจริงทั้งสองเคยเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ เมื่อครั้งเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ แต่เมื่อได้มาเป็นนักการเมือง ทั้งสองแก่งแย่งความเป็นใหญ่ จึงเป็นอริกันมาตลอด
นายราชันมีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อ นายวิธาน หรือ กานต์ อายุ 21 ปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ อยู่ปีสุดท้ายแล้ว ส่วนนายราชัยก็มีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง ชื่อ นางสาวธรณินทร์ หรือ สอ อายุ 21 ปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ อยู่ปีสุดท้ายแล้วเช่นกัน ทั้งสองไม่ค่อยถูกกันเท่าไรนัก
"นายกฯ ราชันไม่มีความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ก็ลองคิดดูสิคะ การที่ท่านนำเงินเข้าหมู่บ้านหมู่บ้านละ 5 ล้านบาท มันเป็นมูลค่าที่สูงเหลือเกิน คุณเคยคิดไหมคะว่าเงินทั้งหมดจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจอะไรนอกจากว่า นายกฯ ราชันจะได้ "หน้า" เท่านั้น" การแข่งขันโต้วาทีภายในมหาวิทยาลัยเป็นไปอย่างเข้มข้น เมื่อสอ ที่รับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายค้านพูดออกมา
"ไม่จริงครับ!" กานต์แย้งขึ้นในฐานะหัวหน้าฝ่ายเสนอ "การที่นายกฯ ทำไปเพื่อที่จะให้ชาวบ้านมีกินมีใช้ ไม่เหมือนนายราชัยที่คอยปลดรัฐมนตรีอย่างไม่เลือก" เขากล่าวจนทำเอาสออึ้งไปเหมือนกัน!
	"แต่ที่นายราชัยทำไปก็ เพราะพวกรัฐมนตรีทำงานไม่ได้เรื่องจริง ๆ นี่" สอเถียงใหญ่
	"แล้วที่นายราชันทำไปก็เพื่อให้ชาวบ้านสุขสบายเหมือนกัน!" กานต์พูดบ้าง สอโมโหมากที่กานต์เถียงอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
	การแข่งขันโต้วาทีครั้งนี้เป็นไปอย่างสนุกสนานเหลือเกิน คนดูและคณะกรรมการติดใจกันมาก ภารโรง และนักศึกษาที่ว่าง ๆ อยู่ก็มายืนดูกันใหญ่ แต่สำหรับกานต์กับสอ มันเหมือนเป็นการรบกันในสนามมากกว่า
	"ตอนนี้คณะกรรมการได้ทำการลงคะแนนเรียบร้อยแล้วค่ะ" พิธีกรกล่าวขึ้น "ดิฉันจะบอกผู้ที่ชนะก่อนเลยนะคะ นั่นได้แก่ทีมของฝ่ายเสนอค่ะ!" กานต์ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ แล้วหันมายิ้มแปลก ๆ ให้กับสอ
	"มันน่าเจ็บใจนัก!" สอร้องเมื่อกลับมาถึงบ้าน นายราชัยซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ได้เห็นหน้าที่บึ้งตึงของลูกสาวจึงถามว่า "มีเรื่องอะไรเหรอ สอ? หน้าเบี้ยวแล้ว" สอนั่งลงข้าง ๆ นายราชัย และถอนหายใจก่อนจะพูดว่า "วันนี้มีการแข่งขันโต้วาทีที่มหาวิทยาลัยค่ะ หนูเป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน ส่วนอีตากานต์นั่นเป็นหัวหน้าฝ่ายเสนอ หนูแพ้" นายราชัยได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะ ก่อนจะวางหนังสือพิมพ์ "แค่นี้?" สอหันไปมองพ่อด้วยสีหน้าแปลก ๆ "มันไม่ใช่แค่นั้นนะพ่อ ไม่ว่าจะเป็นงาน หรือการแข่งขันอะไรต่าง ๆ หนูพยายามทำให้ดีที่สุด แต่อีตากานต์นั่นก็ชนะหนูทุกครั้ง เพียงเพราะว่าหมอนั่นเป็นลูกชายของนายกฯ แล้วหนูก็เป็นลูกพ่อ" นายราชัยได้ฟังจึงยิ้ม และพูดขึ้นมาว่า "อย่าไปสนใจกับสิ่งที่ได้มาจากการกระทำของเราเลย ถึงลูกจะแพ้นายกานต์ หรือลูกจะไม่ได้ที่หนึ่ง แต่ความรู้และบทเรียนที่ลูกได้มันคุ้มค่าเหลือเกินนะ ถึงใครจะมองเราอย่างไร เราก็ไม่ต้องไปสนใจกับคำพูดของเขา เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว พ่อก็เหมือนกัน ถึงพ่อจะไม่ได้เป็นนายกฯ แต่พ่อก็อยู่ได้ มีเงินเดือน มีหน้าที่ พ่อรู้ว่ามีหลายคนที่รังเกียจพ่อ แต่คนที่เขานับถือพ่อก็มีอยู่ไม่น้อย แสดงว่าตัวของเราก็มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน" สอได้ฟังดังนั้นก็ยิ้ม และพูดว่า "หนูจะจำค่ะ" แล้วก็กอดพ่อ แต่ในใจลึก ๆ แล้ว สอยังแค้นกานต์อยู่มากทีเดียว    
 ทางด้านกานต์ กำลังมีความสุขอยู่ที่บ้าน เขานอนเล่นอยู่บนเบาะอย่างสบายอารมณ์ "นึกถึงหน้ายายสอแล้ว น่าขำชะมัด" เขาพูด นายราชันซึ่งเพิ่งกลับจากงาน ได้ยินลูกชายพูดจึงถามว่า "มีอะไรเหรอ กานต์?" กานต์ยิ้มก่อนจะพูดว่า "วันนี้มีการแข่งขันโต้วาทีที่มหาวิทยาลัยครับ ยายสอลูกคุณอาราชัยแพ้ผมในการแข่งโต้วาทีด้วยครับ" นายราชันได้ฟังจึงเงียบไป แล้วพูดว่า "ถ้าลูกเป็นหนูสอคงเสียใจนะ" กานต์ได้ฟังจึงแย้งขึ้นทันที "ไม่มีทางครับ คนอย่างผมไม่เสียใจอะไรง่าย ๆ หรอก" นายราชันได้ฟังจึงนั่งลงข้าง ๆ และพูดว่า "นั่นเป็นเพราะลูกชนะเขาแล้ว! คนชนะมักจะมีความสุข และเย้ยผู้แพ้ แต่เราก็ควรที่จะให้กำลังใจผู้แพ้บ้างนะลูก ลองคิดดูสิ ถ้าลูกเป็นคนแพ้ ลูกก็ต้องเสียใจ และเจ็บใจ จงจำไว้นะกานต์ ว่าอย่าเย้ยผู้แพ้ เพราะถ้าเราแพ้บ้างมันจะเจ็บมากทีเดียว" กานต์ได้ฟังดังนั้นก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า "ผมจะจำไว้ครับ" นายราชันรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำ ๆ นั้นของลูกชาย
วันต่อมาในตอนเย็น สอกำลังเดินกลับกับนายโยธิน หรือยศ แฟนของเธอ ยศเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ เขาเป็นคนที่หน้าตาดี เขาเคยผ่านการมีคนรักมา 2 คนแล้ว และอกหักมาถึง 2 ครั้งแล้ว และสอก็เป็นคนที่ 3
ระหว่างทาง สอได้คุยถึงเรื่องที่เธอแพ้กานต์ "ฉันเจ็บใจมาก ๆ เลยหละยศ ทำไมนะ แค่อีตากานต์นั่นเป็นลูกของนายกรัฐมนตรี ถึงกับต้องเข้าข้าง ให้หมอนั่นชนะตลอด ทั้ง ๆ ที่ฉันก็พยายามเต็มที่" "อย่าคิดมากไปเลยสอ คือว่าสอ วันนี้ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ" ยศพูดขึ้น ก่อนที่จะหยุดเดิน "อะไรเหรอ?" สอถาม ยศสบตาสออยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า "เราเลิกกันเถอะนะ" สอทำหน้าตกใจ "ททำไมล่ะ? ฉันฉันทำอะไรให้เธอไม่สบายใจเหรอ?" สอถามขึ้นอย่างร้อนรน "เปล่าหรอก เธอไม่เคยทำอะไรให้ฉันหนักใจเลยสักครั้งเดียว แต่ฉันขอเลิกเอง เพราะฉันไปเจอคนที่ฉันรักมาก ๆ เขาเป็นคนดีมาก เรียนก็เก่ง และเขาก็รักฉันด้วย ถึงเขาจะสวยสู้เธอไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนที่อ่อนหวานกว่าเธอเยอะ" เขากลืนน้ำลายไปพักหนึ่ง "แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดีนะ เธอทั้งสวย เรียนก็เก่ง เธอเป็นคนดี แต่" "เธอชอบเขามากกว่า ตรงที่เขาอ่อนหวานใช่ไหม?" สอถาม น้ำเสียงของเธอเรียบเฉย แต่เบากว่าเดิม ยศพยักหน้า "เขาคือผู้หญิงในฝันของเธอใช่ไหม?" สอถามอีกที แววตาเธอเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย "ใช่ขอโทษนะสอ เธอเสียใจไหม?" ยศถามบ้าง "ฉันเสียใจจนชินชามาหมดแล้วหละ ฉันไปชอบใครมานักก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องเจ็บทุกครั้ง แต่ไม่เป็นไรนะ ถ้าเขาดีกว่าฉันถ้าเธอชอบเขา เธอก็ไปเถอะ" สอพูด ความจริงสอเสียใจมาก แต่เธอกลั้นความรู้สึกเอาไว้ "ขอบคุณมากนะ สอ ลาก่อน" ยศพูด แล้วเดินจากไป สอมองจนลับตา
สอมานั่งคิดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ห้องนอนของเธอ เธอนั่งอยู่บนเตียง แล้วก็ร้องไห้ "ในโลกนี้จะมีเข้าใจฉันบ้างนะ" สอรำพึง
หลายเดือนผ่านไป ที่มหาวิทยาลัยได้จัดงานอำลานักเรียนที่เรียนจบชั้นปีที่ 4 แล้ว ที่งานมีอาหารเลี้ยงมากมาย "จะว่าไป เขาก็ดูดีเหมือนกันนะ" ลิลิต เพื่อนสนิทของสอเอ่ยขึ้น "ใคร?" สอถาม และมองไปรอบ ๆ "ก็กานต์ไงล่ะ เขาหล่อมาก ๆ เลยนะ เขาเป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลายคนเลยหละ" ลิลิตพูดใจลอย "หมอนั่นน่ะนะ?" สอร้อง และมองไปที่กานต์ซึ่งกำลังคุยอยู่กับเพื่อนชายอีก 2 คน และหันมามองที่ลิลิต "เธอชอบเขาเหรอ?" สอถาม "เปล่านะ ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยนะ" ลิลิตพูดอย่างรัวเร็ว สอไม่เคยเห็นเพื่อนของตนมีอาการอย่างนี้มาก่อน จึงพูดว่า "อย่าโกหกตัวเองเลย ฉันรู้ว่าเธอชอบเขา" ลิลิตไม่สามารถปิดบังได้อีกจึงพยักหน้า และขวยเขินเต็มที่ "ฉันมีแผนให้นายกานต์มาชอบเธอด้วยนะ" สอพูดขึ้น ลิลิตมองหน้า "หา?"
สักพักหนึ่ง สอเดินถือแก้วน้ำส้มเดินมาเรื่อย ๆ เธอทักคนนั้นที คนนี้ที แล้วก็มาชนกับกานต์เข้า จนน้ำส้มในแก้วไหลไปเลอะเสื้อของกานต์ แล้วลิลิตก็รีบวิ่งมาทันที เธอนำผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้กานต์ นี่เป็นแผนของสอ เผื่อว่าถ้าลิลิตทำอย่างนี้แล้ว กานต์จะเริ่มชอบลิลิตขึ้นมาบ้าง แต่กานต์กลับพูดว่า "ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ" แล้วเดินมาที่สอ ลิลิตแปลกใจ เมื่อมันไม่เป็นไปตามแผนของสอ "นี่เธอเดินไม่ระวังเลยเหรอ? ไม่เห็นเหรอว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้! เห็นไหม น้ำส้มเธอเปรอะเสื้อฉันหมดแล้ว" กานต์ตะโกนใส่สอ "อ้าว? ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นไหมว่าคนนั้นเขาอุตส่าห์เอาผ้ามาเช็ดให้ แทนที่จะตอบสนองน้ำใจเขาดันมาพาลฉันอีก นิสัยอย่างนี้ไม่ต่างจากพ่อเลยนะ" สอกล่าวขึ้นประชด กานต์โมโหมาก จึงนำน้ำมะนาวมาสาดใส่สอจนชาไปทั้งตัว สอแค้นมาก จึงหยิบยำวุ้นเส้นมาใส่กานต์ กานต์ก็เลยราดซอสมะเขือเทศใส่สอบ้าง สอก็ปาถั่วลิสงใส่กานต์ กานต์หยิบส้มตำเทใส่สอ
เหตุการณ์ครั้งนี้ คนที่อยู่รอบข้างต่างสนุกสนานกันยกใหญ่ แต่ลิลิตทนไม่ไหวจึงคิดจะห้าม "หยุดนะ ทั้งสองคน!" ในขณะนั้นเอง กานต์กำลังถือข้าวผัด ส่วนสอถือมายองเนส เตรียมจะปาใส่ฝ่ายตรงข้าม กลับพลาดเป้าหมายไปปาใส่ลิลิตแทน เมื่อรู้ตัวศึกจึงสงบลง
ลิลิตตกใจมาก เธอยืนเฉย คนรอบข้างเห็นดังนั้นจึงหัวเราะกันยกใหญ่ ลิลิตอายมาก เธอร้องไห้และวิ่งออกไปทันที สอมองกานต์เหมือนจะฆ่า ก่อนจะวิ่งตามไปเรียกลิลิต
เป็นที่รู้กันดีว่าในสภามีแต่คนที่อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีกันทั้งนั้น นายวิเชียร รองหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ลูกน้องของนายราชัย ก็มีความประสงค์อยากเป็นนายกฯ เช่นกัน เขาจึงวางแผนชั่วขึ้นมา
วันหนึ่งนั้นเอง ในที่ประชุมของพรรคฝ่ายค้านได้คุยเรื่องที่จะสร้างโรงแรมที่จังหวัดชลบุรี เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้ว นายวิเชียรได้แยกออกมาและแอบเข้าไปในห้องของนายกรัฐมนตรี เขาต้องการที่จะให้นายราชันล้มละลายจากการโกงเรื่องธุรกิจที่นำมาเกี่ยวข้องในเรื่องการสร้างโรงแรมที่จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้นนายราชันก็จะล้มละลาย แล้วนายราชัยก็ได้เป็นนายกฯ แทน เสร็จแล้วเขาก็จะทำให้นายราชัยล้มละลายต่อ แล้วก็เป็นนายกฯ เสียแทน จึงคิดจะปลอมเอกสารที่จะใช้ในที่ประชุม เขาได้จัดแจงเปลี่ยนเอกสารทันทีเมื่อเข้ามาห้อง แล้วนำของจริงไปทิ้งไว้ที่ถังขยะในห้องของตนเพื่อไม่ให้ใครสงสัย
ในที่สุดวันประชุมเรื่องการสร้างโรงแรมนั้นก็มาถึง "ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นของท่านนายกรัฐมนตรีเรื่องการสร้างโรงแรมที่จังหวัดชลบุรีครับ" เลขานุการของนายราชันกล่าวขึ้นพลางหยิบเอกสารนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้เลยว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอม "จะขอกล่าวเลยนะครับ  'การสร้างโรงแรมที่จังหวัดชลบุรีนั้นต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างมาก หากนำภาษีที่เก็บได้จากประชาชนอาจทำให้มีผลกระทบภายหลัง นายกรัฐมนตรีจึงออกความเห็นว่าน่าจะนำเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีเมื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการสร้างโรงแรม' " พอเลขาฯ อ่านถึงตรงนี้เขาตกใจมาก แล้วหันไปมองหน้านายราชัน นายราชันก็ตกใจเช่นกัน ในเอกสารของเขาไม่ได้เขียนอย่างนี้เลย ทุกคนในสภารู้สึกแปลกใจ เพราะการทำเช่นนี้อาจทำให้โดนฟ้องร้อง และถึงขั้นล้มละลายได้
"ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่านายกฯ ราชันจะทำแบบนั้น" นายวิเชียรพูดกับนายราชัยขณะเดินออกมาจากที่ประชุม "ใช่ ท่านนายกฯ น่าจะรู้บ้างนะว่าการทำเช่นนี้ อาจทำให้ตัวเองล้มละลายได้" นายราชัยกล่าว "แต่ก็ดีเหมือนกันนะครับท่าน ท่านจะได้เป็นนายกฯแทนนะครับ" นายวิเชียรพูดแปลก ๆ นายราชัยไม่ได้ตอบว่าอะไร แต่เห็นท่าทางของนายวิเชียรดูแปลก ๆ ไป  หลังจากนั้นเขาจึงแอบเข้าไปในห้องนายวิเชียร เพราะสงสัยว่านายวิเชียรอาจทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา แล้วเขาก็พบเศษกระดาษอยู่ในถังขยะเขาใช้กระดาษทิชชูหยิบมันขึ้นมา เมื่อเปิดออกจึงพบเอกสารของจริง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นคนปลอมเอกสาร แต่เขาสงสัยนายวิเชียรคนเดียว
และในที่สุดนายราชันก็โดนฟ้องร้องอย่างหนักและโดนขึ้นศาล มีสื่อมวลชนมาทำข่าวกันมากมาย นายราชันรู้ตัวว่าเขาไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่มีหลักฐาน ศาลจึงตัดสินให้นายราชันล้มละลาย โดยยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมด ในขณะนั้นนายราชัยรีบแทรกเข้ามาในศาล "นายกฯราชันไม่ใช่คนผิดหรอกครับ ผมมีหลักฐาน" เขาพูด และนำเอกสารของจริงมาให้ดู "แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนปลอมขึ้นมา" ศาลถาม ในขณะนั้นนายวิเชียรซึ่งกำลังดูอยู่หน้าซีด "ก็ลองตรวจลายนิ้วมือดูสิครับว่านอกจากจะมีลายนิ้วมือของท่านนายกฯ และเลขานุการแล้ว ยังมีรอยนิ้วมือของใครอีก" นายราชัยพูดพลางมองไปที่นายวิเชียร ทางเจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบลายนิ้วมือ พบว่าพบลายนิ้วมือของนายกฯ ราชัน เลขานุการ และก็ยังมีลายนิ้วมือของนายวิเชียรอยู่ด้วย "นายวิเชียร มีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่" ศาลถาม นายวิเชียรไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป เนื่องจากว่าหลักฐานนี้ชัดเจนมาก จึงยอมรับสารภาพแต่โดยดี
"ขอบคุณมากนะ ราชัย ถ้าไม่ได้นายป่านนี้ฉันคงล้มละลายไปแล้ว" นายราชันกล่าวกับนายราชัยขณะเดินออกมาจากศาล "ไม่เป็นไรหรอกครับท่าน ผมทำไปตามหน้าที่" นายราชัยกล่าว "อย่าพูดในลักษณะนั้นเลย อย่างน้อยเราก็ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อนนะ" นายราชันพูดอย่างเป็นกันเอง "นั่นสินะ นี่ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้คืนดีกันอีกครั้งหนึ่ง" นายราชัยพูดและจับมือกับนายราชัน ทั้งสองได้กลับมาเป็นเพื่อนกันดังเดิมแล้ว "ฉันคิดว่า ถ้าจะให้ความสัมพันธ์เราแน่นแฟ้นขึ้นเราจะทำอย่างไรดีล่ะ?" นายราชัยถาม "รู้แล้วหละ เมื่อนายได้ช่วยฉัน และเพื่อให้เราเป็นเพื่อนที่ดีตลอดไป ฉันจะให้ลูกชายฉันแต่งงานกับลูกสาวนาย เพื่อผูกความสัมพันธ์นี้ อีกอย่างพวกเขาก็เรียนจบกันแล้ว" นายราชัยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "แต่พวกเขาไม่ค่อยชอบหน้ากันนี่นา เอาอย่างนี้นะ ให้พวกเขาคบกันสักปีหนึ่ง ถ้าพวกเขายังหาคนที่รักจริง ๆ ไม่ได้ก็ให้พวกเขาแต่งงานกัน" เขาพูด  นายราชันยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ฟัง  "ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาหมั้นกันไปก่อน เป็นความคิดที่ดีจริง ๆ นะราชัย" เขาพูด แล้วทั้งสองก็หัวเราะ
นายราชัยกลับมาบ้านแล้ว "พ่อกลับมาดึกจังเลยนะคะ ข้าวไข่เจียวอยู่บนโต๊ะนี่ค่ะ ส่วนแม่นอนแล้วหละ" สอซึ่งกำลังดูโทรทัศน์รอบดึกอยู่ได้พูดขึ้นเมื่อเห็นนายราชัยเพิ่งกลับมา "พอดีวันนี้พ่อไปช่วยราชันไม่ให้เขาล้มละลายนะลูก เออสอ" นายราชัยเรียกสอพลางตักข้าวเข้าปาก สอหันมา "มีอะไรคะ?" "คือพ่ออยากจะให้ลูกแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง" นายราชัยพูด "อะไรกัน ใครคะ?" สอถามด้วยความตกใจ "ลูกชายของท่านนายกฯ วิธานกานต์ไงล่ะลูก" เขาพูดขึ้นอย่างช้า ๆ "หา? อะไรกันคะพ่ออยู่ ๆ พอจะให้หนูมาแต่งงานกับหมอนี่น่ะเหรอ? พ่อก็รู้ไม่ใช่เหรอคะว่าหนูกับหมอนั่นไม่ชอบหน้ากัน ทำไมคะพ่อ พ่อทำอะไรอ้ะ?" สอถามอย่างรวดเร็ว "พ่อกำลังกินข้าวอยู่ไง" นายราชัยพูดกวน ๆ "ไม่ใช่~ หนูหมายถึงทำไมพ่อต้องให้หนูแต่งกับเขาด้วยเล่า?" สอถามอย่างอารมณ์เสีย "ก็พ่อได้ไปช่วยราชันในเรื่องวันนี้ แล้วเราก็กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม ก็เลยคิดว่าน่าจะให้ลูกเราทั้งสองมาแต่งงานกันสอ พ่อเข้าใจความรู้สึกของลูกนะ พ่อจะให้ลูกหมั้นกับเขาก่อน แล้วคบกันสักปีหนึ่ง ถ้าหาคนที่รักจริง ๆ ไม่ได้ก็แต่งงานกันไป ก็แค่นั้นเอง" นายราชัยพูดค่อย ๆ และกินข้าวไปช้า ๆ  เนื่องจากกลัวว่าข้าวจะติดคอ "ไม่เอา! จะหมั้นจะอะไรหนูก็ไม่เอา เรื่องอะไรหนูต้องมาทำอย่างนั้นด้วยล่ะ คบกันตั้งหนึ่งปี นานจะตาย เดี๋ยวหนูกับเขาก็กัดกันตายหรอก" สอพูดขึ้น นายราชัยวางจานข้าวที่ยังกินไม่หมดลงบนโต๊ะ "ตกลงจะหมั้นไม่หมั้น?" เขาถาม "ไม่ค่ะ" สอตอบอย่างมั่นใจ นายราชัยลุกขึ้นแล้วตะโกนเสียงดังว่า "เอาข้าวไปทิ้ง! ไม่กินแล้ว! แล้วไปไกล ๆ หน้าฉันเดี๋ยวนี้ ไปเลยไป!" แล้วเขาก็หันหลังให้สอ สอตกใจมาก เมื่อพ่อที่แสนดีพูดอย่างนั้นกับเธอ พ่อไม่เคยพูดอย่างนี้เลยสักครั้งเดียว เธอก้มหน้า แล้วคิดเรื่องนี้พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า "ก็ได้ค่ะ หนูจะหมั้นกับหมอนั่นคุณกานต์ก็ได้ค่ะ" นายราชัยหันมายิ้มทันที
ส่วนทางด้านนายราชัน  เมื่อกลับมาก็มีภรรยา และลูกชายมารับ "ตกลงศาลว่าไงครับพ่อ" กานต์ถามพ่อด้วยความเป็นห่วง "ไม่เป็นไรแล้วหละลูก พ่อโดนโกงน่ะ ดีที่ราชัยเขามาช่วยพ่อไว้ทัน" นายราชันพูด "โล่งอกไปที ดีจังเลยนะคะคุณ ฉันขอตัวไปพักผ่อนข้างบนก่อนนะ" นางนงนุชผู้เป็นภรรยาพูดขึ้น แล้วขึ้นไปข้างบน "กานต์ พ่อมีเรื่องอยากจะคุยด้วยแน่ะ" นายราชันพูดพลางนั่งลงบนโซฟา "เรื่องอะไรครับ" กานต์ถาม แล้วนั่งลงบนโซฟาตาม "รู้ไหม วันนี้ที่ราชัยมาช่วยพ่อ ทำให้พ่อกับเขากลับมาคืนดีกัน" นายราชันพูดยังไม่ทันจบ "ยินดีด้วยครับ" กานต์กล่าว "คือลูกฟังนะ ราชัยเขาชื่นชมลูกมาก ๆ เลย เขาบอกว่าลูกเรียนดี กีฬาก็เด่น หน้าตาก็ดีด้วย" กานต์แอบหัวเราะเบา ๆ อย่างพอใจเมื่อได้ฟัง "ฟังก่อนสิ อย่าเพิ่งหัวเราะ แล้วพ่อก็ชื่นชมลูกสาวเขาด้วยนะ พ่ออยากได้เขามาเป็นลูกสะใภ้" นายราชันพูด รอยยิ้มบนหน้าของกานต์จางหายไปทันที "มหมายความว่าพ่อจะให้ผมแต่งงานกับยายนั่นเหรอครับ?" กานต์ถาม "ก็ใช่นะ เพื่อผูกความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับราชัยด้วยไง แต่พ่อว่าถ้าแต่งงานเลยมันจะเร็วไป ก็เลยคิดว่าจะให้ลูกหมั้นกับหนูสอ แล้วคบกันสักปีหนึ่ง ถ้าหาคนที่รักจริง ๆ ไม่ได้ ลูกกับสอก็ต้องแต่งงานกัน ได้ไหมลูก?" นายราชันถาม กานต์ไม่พอใจเท่าไรนัก แต่ก็ไม่กล้าตัดใจพ่อ และคิดว่าในระยะเวลาหนึ่งปีต้องหาคนที่เขารักจริง ๆ ให้ได้ จึงตอบไปว่า "ตกลงครับพ่อ" นายราชันยิ้มอย่างพอใจ เมื่อได้ยินลูกชายพูดอย่างนี้ ความจริงกานต์ไม่เคยทำอะไรให้เขาหนักใจสักครั้งเดียวและเป็นคนว่านอนสอนง่าย เขาภูมิใจกับลูกชายคนนี้ของเขามาก
ในที่สุดวันหมั้นนั้นก็มาถึงซึ่งจัดขึ้นที่บ้านของกานต์ มีญาติผู้ใหญ่ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย คนใหญ่คนโตมาร่วมงานกัน และยังมีเพื่อน ๆ ของทั้งสองมาด้วยมากมายทีเดียว
"ขอโทษนะ ลิต ฉันโดนบังคับ" สอพูดกับลิลิตขณะอยู่บนห้อง "ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ผู้ชายหล่อ ๆ ในโลกนี้ไม่ใช่มีแค่เขาคนเดียวสักหน่อย อีกอย่างเธอสองคนก็เหมาะสมกันดี ฉันทำใจได้น่า วันนี้เป็นวันมงคลของเธอก็น่าจะยิ้มหน่อยนะ" ลิลิตพูด "ทำไมฉันต้องยิ้มด้วย?" สอพูดกวน ก่อนที่คนรับใช้จะเคาะประตูและพูดอย่างสุภาพว่า "คุณสอคะ ถึงเวลาหมั้นแล้วค่ะ" "สอ รีบไปเถอะ วันนี้มีแต่คนใหญ่คนโตมานะ อย่าให้พวกท่านต้องคอย" ลิลิตพูด สอทำตามอย่างว่าง่าย เธอเดินลงบันไดไปอย่างช้า ๆ ข้างล่างมีแต่คนมองมาที่สออย่างชื่นชม ยกเว้นกานต์ซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนพื้น สอเดินมาเรื่อย ๆ เธอยกมือไหว้ผู้ใหญ่ก่อนที่จะนั่งลงบนพื้นใกล้ ๆ กับกานต์
แหวนเพชรประดับด้วยคริสตัลมูลค่าสูงที่คุณแม่ของกานต์เป็นผู้เลือกมากำลังจะเข้าไปในนิ้วนางข้างซ้ายของสอ กานต์ไม่ยอมสวมแหวนนั้นเข้าไปให้ลึกเสียที ทุกคนในบ้านหลังใหญ่นั้นตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองไปที่แหวน และกว่าจะสวมเข้าไปได้ก็ปาไป 2 นาทีกว่า ๆ แล้ว ทุกคนยิ้มอย่างพอใจ ยกเว้นสอกับกานต์ที่มองหน้ากันพักหนึ่ง ก่อนจะหลบตากัน "กานต์ หอมแก้มหนูสอหน่อยสิ" ผู้ใหญ่ในสังคมไฮโซคนหนึ่งที่มาร่วมงานพูดขึ้น กานต์มองหน้าสอ ในขณะที่สอหันไปมองลิลิต ลิลิตยิ้ม และพยักหน้า แล้วสอก็หันมามองกานต์ กานต์ถอนหายใจก่อนจะเขยิบเข้ามาหอมแก้มสออย่างช้า ๆ  สอรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก แล้วพิธีหมั้นของวันนั้นก็เสร็จสิ้นไปด้วยดี
เย็นวันนั้นเอง ทั้งสองครอบครัวยังอยู่ที่บ้านของกานต์อยู่ "คุณแม่มีอะไรคะ ถึงเรียกหนูมา?" สอถามนางรติผู้เป็นแม่ หลังจากที่เธอเดินลงมาจากชั้นบน "พวกแม่ได้คิดกันดีแล้วว่าจะให้ลูกทั้งสองคนได้สนิทสนมกันมากขึ้น ก็เลยจะให้สออยู่ที่บ้านเดียวกันกับกานต์ก่อนได้ไหม?" นางรติถาม "อะไรกันแม่ จะให้หนูอยู่ที่นี่ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานน่ะเหรอ?" สอถาม แล้วกานต์ก็แทรกขึ้นมาว่า "จริงด้วยครับคุณป้า อย่าให้ต้องลำบากเลยนะครับ" "นายยุ่งอะไรด้วย?" สอถาม เธอกำลังอารมณ์เสียอยู่ กานต์ลุกขึ้นยืน "ทำไมจะยุ่งไม่ได้ ก็ฉันเป็นคู่หมั้นเธอ" กานต์หยุดพูด แล้วเขาก็เดินขึ้นข้างบนไป "เชื่อแม่เขาหน่อยเถอะหนูสอ แค่อยู่บ้านน้าที่นี่ไปก่อน นะจ๊ะ" นางนงนุชพูดขึ้น สอก้มหน้า "ที่พวกแม่ทำอย่างนี้ เพื่อจะให้หนูไม่ต้องไปมีใครคนอื่น นอกจากกานต์ใช่ไหมคะ?" สอถาม พวกแม่เงียบ ก่อนที่จะพยักหน้า สอเดินหันหลังไป "ก็ได้ค่ะ" สอพูดเสียงสั่น แล้วเดินไปที่ห้องซึ่งพวกคนใช้ได้จัดให้ เธอไปร้องไห้อยู่คนเดียวในนั้น
เช้าวันต่อมา สอซึ่งกำลังหลับอยู่ในห้องได้ถูกคนใช้ปลุก "คุณสอคะ จะได้เวลาอาหารแล้วนะคะ" สอลืมตาขึ้น หมอนที่เธอหนุนยังคงเปียกน้ำตาที่เธอนอนร้องไห้เมื่อคืน แล้วเธอก็พูดขึ้นมาว่า "เดี๋ยวฉันจะไป" แล้วเธอก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เธอเดินมาที่ประตู เธอตัดสินใจอยู่นานทีเดียว ก่อนที่จะเปิดประตูช้า ๆ แล้วเดินไปที่ห้องอาหาร ที่ห้องนั้นนางนงนุชกำลังนั่งจิบกาแฟ และคุยกับนายราชัน ส่วนกานต์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ สอเดินเข้าไปช้า ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า "อรุณสวัสดิ์ค่ะ" "อรุณสวัสดิ์จ้ะ" นายราชัน และนางนงนุชพูดพร้อมกัน "นั่งก่อนสิ เมื่อคืนนอนสบายดีนะ" นางนงนุชถาม สอพยักหน้า และเธอก็เดินไปที่ตู้เย็น และหยิบเหยือกนมมา แล้วมานั่งที่โต๊ะ รินนมใส่แก้วแล้วยกดื่ม นายราชัน นางนงนุช และกานต์มองสอ สอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นหน้าของคนทั้งสามหลังจากดื่มนมเสร็จ และเธอก็ลุกขึ้นนำแก้วไปล้าง คนรับใช้คนหนึ่งรีบพูดทันที "เดี๋ยวล้างให้เองค่ะ" คนรับใช้คนอื่น ๆ ยิ้ม สอรู้สึกแปลกใจ เธอกลับมานั่งที่โต๊ะ สังเกตเห็นว่านายราชัน และกานต์หัวเราะเบา ๆ สอพูดขึ้นมาว่า "มีอะไรเหรอคะ?" "หนูสอ ทีหลังไม่ต้องไปล้างแก้วเองหรอกนะ มีพวกคนรับใช้เขาจัดการให้อยู่แล้ว หนูมีหน้าที่ทานอย่างเดียวก็พอ" นางนงนุชพูดขึ้น สอก้มหน้า "ขอโทษค่ะ หนูติดนิสัยอย่างนี้มาจากบ้าน ว่าถ้ากินอะไรเสร็จแล้ว ต้องล้างจานให้เรียบร้อย" ทุกคนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นายราชันจะพูดตัดบทว่า "ช่างมันเถอะนะ วันนี้วันหยุดนี่นา กานต์พาหนูสอเขาไปเที่ยวหน่อยสิลูก" กานต์ถอนหายใจ แล้ววางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ แล้วเขาก็พูดช้า ๆ เหมือนจะปฏิเสธว่า "คือว่าผม" "กานต์!" นางนงนุชแทรกเข้ามา เหมือนรู้ดีว่ากานต์คิดอะไรอยู่ กานต์เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า "ก็ได้ครับ" นายราชันและนางนงนุชยิ้มเมื่อได้ฟัง กานต์ลุกขึ้นแล้วพูดกับสอว่า "เดี๋ยวตามฉันมานะ" แล้วเขาก็เดินออกมาข้างนอก สอรู้สึกแย่มาก เมื่อเห็นว่ากานต์จำใจที่จะพาไปเที่ยว เธอจึงรู้สึกไม่อยากไปเท่าไรนัก แต่ก็ไม่กล้าขัดใจนายราชัน และนางนงนุช
กานต์ได้ขับรถพาสอมาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถวบางกะปิ แล้วทั้งสองก็ลงไปซื้อของใช้โดยที่พูดอะไรกันไม่มากนัก เมื่อทั้งสองซื้อของเสร็จกานต์ก็พูดขึ้นมาว่า "ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะยินยอมมาอยู่ที่บ้านของฉัน ทั้ง ๆ ที่คุณแม่เธอก็ตามใจเธอดี" สอมองหน้า เธอไม่พอใจเท่าไรนัก แล้วพูดขึ้นมาว่า "ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของฉันและของนาย ต้องการให้ฉันมาอยู่ที่นี่เพื่อจะได้จะได้ให้ฉันไม่ต้องไปมีคนอื่นนอกจากนาย ฉันไม่ชอบหรอกนะ แต่ที่ทำไปเพราะประชดพวกท่าน อีกอย่างหนึ่งก็คือฉันไม่อยากขัดใจคุณพ่อคุณแม่ และไม่อยากให้พวกเขาขายหน้าเพราะในงานหมั้นมีคนใหญ่คนโตมาตั้งเยอะแยะ ฉันก็เลยจำใจที่จะมา" สอพูดอย่างรีบร้อน กานต์ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้ม แล้วพูดว่า "ความจริง ก่อนที่ฉันจะถูกคุณพ่อเคี่ยวเข็ญให้หมั้นกับเธอ ฉันสลัดรักผู้หญิงไปคนหนึ่งนะ คิดอีกที อยากกลับไปขอโทษเขาจังเลย จะได้ถอนหมั้นกับเธอสักที" "อ๋อเหรอ! ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะแค่วันเดียวฉันก็เบื่อขี้หน้านายเต็มทนแล้ว" สอพูดบ้าง คำพูดของสอทำให้กานต์รู้สึกโมโห เขาหยุดเดินแล้วมองหน้า "เธอนี่มัน" กานต์พูดขึ้น แล้วเขาก็เดินไป ส่วนสอแอบหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นว่ากานต์เถียงไม่ออก
	หลายอาทิตย์ผ่านไป สอเริ่มชินกับการอยู่ที่บ้านของกานต์ เช้าวันหนึ่งในวันอาทิตย์ สอมานั่งทานอาหารกับคนในบ้านตามปกติ แล้วได้ยินเสียงนายราชันคุยกับกานต์ว่า "กานต์ พ่อว่าลูกควรจะหางานได้แล้วนะ เรียนจบทางด้านกฎหมาย ก็น่าจะมาทำงานเกี่ยวกับทางด้านนี้ เอาอย่างนี้ไหมลูก พ่อจะให้ลูกเข้าการเมืองดู แล้วให้กินตำแหน่งใหญ่ๆ เผื่อว่าอนาคตลูกจะได้สืบตำแหน่งนายกฯ จากพ่อไปด้วย" กานต์ได้ยินดังนั้น จึงวางถ้วยกาแฟลงแล้วพูดว่า "ก็ดีเหมือนกันครับ แล้วคุณแม่ว่าไงครับ?" กานต์ถามนางนงนุชขึ้นมา นางจึงตอบว่า "ดีสิ ถ้าเกิดว่าลูกทำงานทางด้านการเมืองได้จริง ๆ แต่การที่จะเป็นถึงนักการเมืองตำแหน่งใหญ่โตอะไรนั่น มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะกานต์ ถึงจะเป็นลูกชายคนเดียวของนายกรัฐมนตรี แต่แม่เชื่อว่าต้องมีนักการเมืองคัดค้านอย่างแน่นอน" คำพูดนี้ทำให้กานต์ชะงักเล็กน้อย สอได้โอกาสจึงพูดว่า "ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณป้า เพราะถ้าฝ่ายของคุณลุงราชัน ร่วมมือกับฝ่ายของคุณพ่อหนู ก็คงไม่มีปัญหาแล้วหละค่ะ" นายราชันหันไปมองและยิ้มทันทีเมื่อได้ฟัง "จริงสิ ถ้าให้ราชัยช่วยเรื่องนี้ ก็คงไม่มีปัญหาจริงด้วยนะ หนูสอนี่ความคิดเยี่ยมจริง ๆ" นายราชันชมด้วยใจจริง นางนงนุชก็พลอยเห็นด้วย ส่วนกานต์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขามองสออย่างแปลก ๆ เมื่อถึงตอนเที่ยง สอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา กานต์เดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ แล้วถามว่า "ทำไมเธอถึงช่วยคิดให้ฉันได้เป็นนักการเมืองล่ะ รู้อยู่แล้วว่าฉันกับเธอไม่ค่อยถูกกัน?" สอวางหนังสือลง เธอถอนใจแล้วพูดว่า "ก็ตอบแทนเรื่องที่ให้ที่พักพิงอาศัยไง อีกอย่างก็คือพวกของใช้ เสื้อผ้าต่าง ๆ คนในบ้านนี้ก็ช่วยออกเงินให้ เท่านี้เอง" กานต์มองหน้าสออย่างแปลก ๆ แล้วเขาก็ลุกขึ้นไป
	นายราชัยเมื่อได้ข่าวเรื่องนี้ เขาก็ตกลงทันที และนายราชันก็ได้ปล่อยข่าวว่าจะให้ลูกชายทำงานเป็นนักการเมืองเพื่อสืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป จนเมื่อนักการเมืองท่านอื่น ๆ ทราบก็พากันค้าน แต่เมื่อได้นายราชัยมาช่วยร่วมมือไว้แล้ว นักการเมืองท่านอื่น ๆ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงยอมให้กานต์ทำหน้าที่นี้
	แต่เรื่องดีก็มักมีอุปสรรคอยู่เสมอ นักการเมืองบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ได้มีเงื่อนไขให้นายราชันคือจะให้ชายคนหนึ่ง ชื่อวิเวก หรือกุณฑ์ หลานชายของรัฐมนตรีท่านหนึ่งซึ่งอยู่พรรคฝ่ายค้าน เขาเป็นชายคนหนึ่งที่อยู่ในดวงใจของสาว ๆ ไม่แพ้กานต์ เขารุ่นราวคราวเดียวกันกับกานต์ ซึ่งเพิ่งเรียนจบมาเช่นเดียวกันมาเป็นนักการเมืองและแข่งกับกานต์ ว่าใครจะได้เป็นนายกฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับการทำงานของคนทั้งสองเอง
	หลายวันผ่านไป สอได้ทำงานเป็นอาจารย์ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ส่วนกานต์ก็ได้ทำงานเป็นนักการเมืองแข่งกับกุณฑ์ วันหนึ่งกานต์ไปรับสอที่โรงเรียนมัธยมแห่งนั้น ระหว่างทางเดินมา สอได้ถามว่า "ตอนนี้นายทำงานเป็นยังไงบ้าง?" กานต์ถอนหายใจแล้วพูดว่า "งานก็ดี แต่หนักจริง ๆ เลยฉันต้องแข่งกับนายกุณฑ์ด้วย ก็เลยไม่มีเวลาที่จะมองหาแฟน เพราะฉันก็ไม่อยากให้เธอยุ่งกับเรื่องของฉันแล้ว" สอมองหน้า "อะไรอีกเล่า? หาเรื่องทะเลาะกันอีกแล้วนะ" สอร้อง "ก็เธอนั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องทำงานหนัก ถ้าวันนั้นเธอไม่เสนอความคิดเห็นขึ้นมา ฉันก็คงไม่ต้องมานั่งปวดหัวเรื่องงานอย่างนี้หรอก!" กานต์พูดโดยไม่รู้เลยว่าได้ทำร้ายจิตใจสอมาก สอหยุดเดิน ด้วยความรู้สึกเจ็บใจจึงพูดว่า "ก็นายอยากมีกานงานและหน้าที่ที่ดีไม่ใช่เหรอ? ฉันช่วยนายแล้วนะ ทำไมต้องพูดอย่างนี้กับฉันด้วยล่ะ" สอร้องไห้ กานต์นิ่งเงียบ "เดี๋ยวฉันจะกลับเอง" สอพูดแล้วเดินจากไป กานต์รู้สึกผิดเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากตามไป เพราะกานต์กับสอไม่ได้รักกันจริง ๆ สักหน่อย แล้วกานต์ก็เห็นกุณฑ์เดินมา "นายนี่มันแย่จริง ๆ เลยนะ ทำผู้หญิงที่แสนอ่อนโยนคนนี้ร้องไห้ได้!" กุณฑ์พูด "แล้วนายยุ่งอะไรกับเรื่องของชาวบ้านเขา แล้วมาที่นี่ทำไม?" กานต์ถาม กุณฑ์ยิ้มแล้วพูดว่า "ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่มารับหลานชายเท่านั้นฉันว่านะ นอกจากที่เราจะแข่งเรื่องการเป็นนายกฯ แล้ว เรามาแข่งเรื่องนี้ด้วยกันดีกว่า" กุณฑ์พูดขึ้น กานต์แปลกใจ "เรื่องอะไร?" "เรื่องคุณสอไงล่ะ แค่ฉันเห็นคุณสอ และได้รู้นิสัยของเธออย่างคร่าว ๆ ก็ทำให้ฉันรักเธอแล้วหละ" กุณฑ์พูดขึ้นพิกล "หมายความว่านายจะให้ฉันแข่งกับนายเรื่องที่ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของสออย่างงั้นเหรอ?" กานต์ถาม "ใช่ นายว่าไง จะตกลงไหมล่ะ อีกอย่างนายกับเขาก็เป็นแค่คู่หมั้นกันเท่านั้น จะยกให้ฉันก็ไม่เสียหายตรงไหนตกลงนายจะแข่งหรือจะยอมยกให้แต่โดยดี" เขาถาม ทำเอากานต์คิดหนัก ถึงเขาจะไม่ได้รักสอ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะดูจากนิสัยของกุณฑ์แล้ว ค่อนข้างเป็นคนเจ้าชู้ จึงตอบไปว่า "ตกลง" "นายแน่ใจนะ เพราะที่ฉันรู้มานายไม่ได้รักคุณสอจริง ๆ" กุณฑ์ถาม "ฉันแน่ใจว่าฉันจะแข่งกับนายเรื่องสอ ถึงฉันจะไม่ได้รักเขาจริง ๆ แต่ถ้าฉันเป็นฝ่ายชนะ เรื่องนี้ก็ถือว่ายุติ!" กานต์ตอบอย่างมั่นใจ แล้วจับมือกับกุณฑ์
	กานต์กลับมาบ้านด้วยความไม่สบายใจนัก และเมื่อกลับมาถึง นางนงนุชผู้เป็นแม่รีบออกมาถามทันที "กานต์บอกแม่มานะ วันนี้ไปทะเลาะอะไรกับหนูสอ รู้ไหมพอเขากลับมาถึงบ้านก็ปิดประตูเข้าห้อง ไม่ออกมาเลย" กานต์เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า "วันนี้ผมไปว่าเขาที่เขาเป็นต้นเหตุให้ผมทำงานหนัก" "ลูกนี่แย่จริง ๆ เลย เดี๋ยวไปขอโทษเขาซะด้วยล่ะ" นางนงนุชดุแล้วขึ้นไปข้างบน กานต์เดินไปที่ห้องของสอ เขาเคาะประตู สอซึ่งนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ อยู่ข้างในได้ยินจึงถามว่า "ใครคะ?" กานต์เงียบไปแล้วตอบว่า "ฉันเอง อยากจะขอโทษเรื่องวันนี้" "ไม่เป็นไรหรอก ฉันหายแล้วหละ นายไปเถอะ" กานต์ได้ยินจึงเดินออกไป แล้วคิดถึงคำพูดของกุณฑ์ขึ้นมา เขาจึงพูดออกมาว่า "สอพรุ่งนี้" เขาตะกุกจะกัก "พรุ่งนี้ไปกินข้าวด้วยกันข้างนอกนะ" สอได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจ สอได้ตอบไปว่า "ขอโทษนะ คงไม่ได้หรอก กุณฑ์เขาโทรมาชวนไปเที่ยวตั้งแต่เย็นแล้ว" กานต์ตกใจมากเมื่อได้ยิน "เธอติดต่อกับกุณฑ์มานานแล้วเหรอถึงยอมไปกับเขาง่าย ๆ น่ะ?" กานต์ถามขึ้น "ก็ไม่กี่วันมานี้เอง นายไปเถอะ ฉันจะอาบน้ำแล้ว" สอพูด กานต์ซึ่งกำลังแปลกใจอยู่ได้เดินไปอย่างว่าง่าย
	วันต่อมา ซึ่งเป็นวันอาทิตย์สอออกจากบ้านตั้งแต่เที่ยง อย่างสบายใจ ส่วนกานต์ก็ไม่สนใจ เพราะคิดว่ากุณฑ์คงพาเธอไปทานข้าวเฉย ๆ เขานั่งทำงานอยู่ที่บ้าน จนค่ำมืด แล้วสอก็กลับมา ดูท่าทางสอจะมีความสุขมาก จนกานต์รู้สึกแปลก ๆ "เป็นไงบ้าง ไปเที่ยวกับกุณฑ์สนุกไหม?" เขาถาม สอหัวเราะ "สนุกสิ กุณฑ์เขาเป็นผู้ชายที่โรแมนติกจริง ๆ เลย วันนี้ฉันสนุกมาก ๆ เลยหละ" สอพูดเคลิ้ม ๆ กานต์ตกใจมาก เขาลุกขึ้นยืน จับแขนสอไว้ "นี่เธอ กุณฑ์เขาทำอะไรเธอ บอกมานะ" สอไม่พอใจมาก เธอสะบัดแขนออก แล้วพูดว่า "ทำอะไรที่ไหนล่ะ เขาก็แค่พาฉันไปกินข้าว ฟังเพลง แล้วก็ไปซื้อของแค่นี้เอง" กานต์นั่งลง แล้วกล่าวว่า "ขอโทษ ฉันนึกว่าเธอถูกหมอนั่นทำอะไรเข้าให้แล้ว เห็นพูดยังไงไม่รู้" สอได้ยินก็หัวเราะ "ฉันแค่แกล้งหน่อยเดียวเอง ว่าไปฉันก็ชอบกุณฑ์เหมือนกันนะ ถ้าฉันคบเขานานกว่านี้อีกหน่อย ฉันก็จะไปบอกคุณพ่อว่าให้ถอนหมั้นกับนาย ฉันไปละนะ" ว่าแล้วสอก็เดินเข้าห้องไป กานต์ก็ไม่ได้คิดอะไร เขาจึงทำงานต่อไป
	ต่อมา สอเริ่มสนิทสนมกับกุณฑ์ขึ้นเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งกุณฑ์ได้เข้ามาในห้องทำงานของกานต์ "นายมีธุระอะไร?" กานต์ถาม "นายคงจะได้ยินเรื่องการอภิปรายเรื่อง การสร้างโรงไฟฟ้าที่จังหวัดนครนายกแล้วนะ คืออย่างนี้ ฉันคิดว่าการอภิปรายเรื่องนี้แหละจะเป็นตัวตัดสินเรื่องของคุณสอที่ได้เคยคุยกันไว้" กุณฑ์กล่าว กานต์ได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า "อ๋อพออภิปรายเรื่องนี้แล้ว ให้ดูว่าฝ่ายของฉันหรือของนายจะชนะใช่ไหมล่ะ แล้วผู้ที่ชนะก็จะได้เป็นเจ้าของสอเหรอ?" "ใช่ ฉันก็มีธุระแค่นี้ และฉันก็คิดว่านายคงจะรับคำท้าของฉันใช่ไหมล่ะ?" กุณฑ์ถาม กานต์นิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็พยักหน้า ซึ่งสร้างความพึงพอใจให้กับกุณฑ์มาก
	วันหนึ่งนั้นเอง สอมาสอนหนังสือนักเรียนตามปกติ แล้วในช่วงกลางวันก็ได้ไปคุยถึงเรื่องกุณฑ์ให้ลิลิตซึ่งทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่เดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องความประทับใจที่มีต่อกุณฑ์ "เธอคงจะรักเขาล่ะสิ แล้วเรื่องของกานต์ล่ะเธอจะว่ายังไง?" ลิลิตถาม สอยิ้มแล้วพูดว่า "ก็ถอนหมั้นกับเขาไง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นยากอะไรเลย" "แต่ฉันไม่อยากให้เธอคบกับคุณกุณฑ์หรอกนะสอ เพราะฉันรู้สรรพคุณของเขาดี เขาเป็นผู้ชายที่มีสาว ๆ มาติดพันมากมาย และก็เป็นคนที่เจ้าชู้ด้วย" ลิลิตเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า "ฉันเป็นห่วงเธอนะ ฉันไม่อยากให้เธอต้องเสียใจทีหลัง" "ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอดีลิต" สอพูดทันที "ขอบคุณนะ แต่ไม่ต้องห่วงน่า คนอย่างฉันเอาตัวรอดได้อยู่แล้วหละ และถ้าหากว่าฉันถอนหมั้นกับนายกานต์เมื่อไร เธอก็ค่อยหาทางสนิทกับเขาก็ได้นี่" สอพูด และยิ้มกว้าง เธอสังเกตเห็นว่าแก้มของลิลิตเริ่มเป็นสีแดง และถึงสอจะพูดอย่างนั้น แต่ลิลิตก็เป็นห่วงสอ สอก็ไม่ค่อยอยากฟังคำเตือนของเพื่อนเลยด้วย เพราะไปหลงคารมของนายกุณฑ์เข้าให้แล้ว
	ส่วนทางเรื่องของกานต์นั้น เขามีสุขภาพไม่สบาย เนื่องจากทำงานหนัก เขาจึงถูกคุณพ่อคุณแม่สั่งไม่ให้ทำงานในช่วงที่ป่วย แล้วให้นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ กานต์ก็ทำตามคำสั่งของพวกท่าน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงการอภิปรายเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้า แต่เนื่องจากสุขภาพของเขาไม่ไหวจริง ๆ จึงไม่ได้เตรียมการอะไรมากนัก
	และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง กานต์ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ จนนักการเมืองท่านอื่น ๆ  เห็นสุขภาพแย่มากจึงพูดว่า "กานต์ ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยนะ" กานต์ได้ฟังดังนั้น  ก็นึกถึงคำพูดของกุณฑ์จึงรีบแย้งทันที "มไม่เป็นไรครับ ผมยยังไหว" กานต์พูดจบก็ล้มตัวลง ทำให้นักการเมืองคนอื่น ๆ ตกใจมาก และช่วยรีบประคองทันที ส่วนกุณฑ์เมื่อเห็นดังนั้นก็ยิ้มและพูดว่า "ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยกานต์" เขาพูดจบก็หัวเราะ แล้วพูดต่ออีกว่า "เมื่อนายแข่งกับฉันไม่ได้ ก็เท่ากับว่าชัยชนะนี้เป็นของฉันสินะ" แล้วเขาก็เข้าไปในห้องประชุม กานต์มองอย่างไม่สบายใจ แต่ร่างกายของเขาอ่อนเพลียมาก และสติทั้งมวลก็ดับวูบไป
	เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่านี่เลยมาหนึ่งชั่วโมงกับอีกห้านาทีแล้ว เขาลุกขึ้นมาแล้วถามคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่า "เสร็จการประชุมแล้วเหรอ? แล้วฝ่ายไหนชนะล่ะ?" คนนั้นได้ยินจึงตอบว่า "ตอนนี้เสร็จการอภิปรายแล้วครับ ฝ่ายค้านของคุณกุณฑ์คู่แข่งคุณเป็นผู้ชนะครับ" กานต์รู้สึกไม่สบายใจมาก จึงถามต่ออีกว่า "แล้วตอนนี้เขาไปไหนล่ะ?" "อ๋อ! คุณกุณฑ์เพิ่งพาคุณสอไปเมื่อไม่นานนี้เองครับ" ชายคนนั้นตอบ "ความจริงคุณสอมาช่วยเฝ้าไข้ให้คุณจนการประชุมเลิก แล้วคุณกุณฑ์ก็เข้ามาพาคุณสอไปน่ะครับ" กานต์ได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นไปทันที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายดีนัก เขาวิ่งออกมาข้างนอก มองซ้ายมองขวาเผื่อว่าจะเจอสองคนนั้น แต่ก็ไม่เจอเลย แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา "สวัสดีครับ กานต์ครับ" เขารับสายด้วยความไม่สบายใจนัก "กานต์เหรอ ไงล่ะตอนนี้ฉันชนะแล้วนะ" เป็นเสียงของกุณฑ์ ทำให้กานต์ตกใจมาก "ตอนนี้นายพาสอไปไหน" เขาถาม "เรื่องอะไรฉันจะบอกนาย ตอนนี้สอกำลังนอนหลับน่าเอ็นดูเชียวหละ นายตัดใจเถอะ ตอนนี้ฉันเป็นผู้ชนะแล้ว" กุณฑ์พูด "แต่นายก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอย่างนี้เลยนี่นา นายปล่อยเขานะ" กานต์ขอร้อง "เรื่องอะไรเล่า!" กุณฑ์ตะโกนแล้วปิดมือถือทันที กานต์ไม่สบายใจมาก ๆ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงมือถือดังขึ้นอีก เขากดปุ่มรับ "คุณกานต์ใช่ไหมคะ ฉันเองค่ะ ลิลิตเพื่อนของสอเอง คุณต้องไปช่วยสอนะคะ" เป็นเสียงของลิลิต "ทำไมเหรอครับ?" กานต์ถาม "ฉันเห็นค่ะ กุณฑ์กำลังพาสอเข้าโรงแรมโกเด็น คุณต้องไปช่วยสอนะค" กานต์ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ แถมสายก็หลุดไปแล้วด้วย เขารีบขับรถไปที่โรงแรมที่ว่านั้น
	"ขอโทษนะครับ ผมต้องการทราบหมายเลขห้องของคนที่ชื่อเอ่อ วิเวกน่ะครับ ด่วนเลยนะ" กานต์ถามอย่างร้อนรน เขารู้สึกเหมือนเวียนศีรษะมาก "ค่ะ ห้องของคุณวิเวก หมายเลข 415 ค่ะ" พนักงานตอบ กานต์ได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปทันที
	ส่วนทางด้านสอ เธอเริ่มรู้สึกตัวก็เห็นกุณฑ์อยู่ข้าง ๆ เธอตกใจมาก "คุณทำอะไรฉัน?" เธอถาม กุณฑ์ยิ้ม "ผมไม่ได้ทำอะไรคุณหรอก แต่จะเริ่มก็ตอนนี้แหละ คุณตื่นขึ้นมาเมื่อไรจะได้รู้สึกตัว" เขาพูด แล้วพยายามจะข่มขืนสอ สอดิ้นทุรนทุราย และร้อง กานต์วิ่งมาที่ห้อง 415 แล้ว เห็นประตูปิดอยู่จึงพังประตูเข้าไป กุณฑ์แปลกใจมาก "นายทำอะไรสอน่ะ" กานต์พูดแล้วชกหน้าของกุณฑ์จนล้มไปกองกับพื้น กานต์ได้โอกาส จึงถามสอที่กำลังมองดูอยู่ด้วยความกลัวว่า "เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?" สอส่ายหน้า ส่วนกุณฑ์เมื่อลุกขึ้นมาได้ก็พยายามจะใช้โคมไฟที่อยู่ข้าง ๆ เตียงตีกานต์ แต่สอตั้งตัวได้ทัน เธอจึงดึงตัวกานต์มาที่เตียงทำให้สอโดนเสียเองที่ไหล่ จนเธอสลบไป กุณฑ์ตกใจมากเมื่อรู้ตัวว่าผิดเป้าหมาย กานต์คว้าตัวสอไว้แล้วพูดว่า "นายจะปล่อยสอไปดี ๆ  หรือจะให้เรื่องนี้ตกเป็นข่าว" กุณฑ์ได้ฟังดังนั้นจึงหน้าซีด เขาหมดหนทางที่จะเลือก จึงยอมปล่อยสอ กานต์ได้เห็นดังนั้นก็พอใจเป็นอย่างมาก เขาอุ้มสอเดินลงมาข้างล่าง พามานั่งรถแล้วกลับไปที่บ้าน สอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นเมื่อถึงบ้าน เธอเห็นกานต์กำลังอุ้มตัวเธอมาวางไว้ที่เตียงในห้องนอนของเธอ แววตาของสอจ้องแต่ที่กานต์จนทำให้เธอมีความรู้สึกแปลก ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วกานต์ก็พูดกับคนใช้ซึ่งอยู่ข้าง ๆ ว่า "เดี๋ยวช่วยทำแผลให้คุณสอด้วยนะ เขาโดนรถเฉี่ยวน่ะ" กานต์พูดจบก็ลุกขึ้นออกไป จากที่สอมีความรู้สึกไม่ดี กลับกลายเป็นความรู้สึกที่ดีเข้ามาแทนที่ และเธอรู้สึกเหมือนกับว่ากานต์ก็เป็นห่วงเธอเหมือนกัน เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขามีสุขภาพที่ไม่ดีมาก ๆ แต่ที่เขามาช่วยเธอนับได้ว่ากานต์เป็นคนมีความอดทน และเข้มแข็ง ทำให้เธอรู้สึกชอบเขามาก มารู้ตัวอีกทีก็รักกานต์ไปแล้ว
	วันหนึ่งสอมาถามกานต์ถึงเรื่องที่เขาอุตส่าห์มาช่วยเธอจากกุณฑ์ และที่กานต์ไม่ได้ไปทำงานเพราะยังไม่หายดีนัก ส่วนโรงเรียนที่สอสอนอยู่ก็หยุดด้วย "กานต์ ฉันขอถามอะไรนายหน่อยสิทำไมวันนั้นนายต้องมาช่วยฉันด้วยล่ะ นายไม่ได้เป็นเจ้าของฉันจริง ๆ สักหน่อย แล้วการที่นายทำอย่างนั้น เพราะอะไรกันเหรอ?" เธอถามช้า ๆ กานต์ซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ได้วางหนังสือพิมพ์นั้น แล้วพูดว่า "เพราะเป็นห่วงเธอไงล่ะ" สอรู้สึกเขินมากเมื่อได้ฟัง แต่ก็เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ แล้วพูดว่า "แต่เราไม่ได้รักกันนะ" "ฉันรู้ ถ้าจะให้ฉันยกเธอให้ใครก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะได้สัญญาไว้แล้วว่าถ้าเจอคนที่รักจริง ๆ ให้ถอนหมั้นกันได้ แต่ถ้าจะให้ฉันยกเธอให้คนอย่างนายกุณฑ์ฉันคงไม่ยอมหรอก ทีหลังเธอหัดดูนิสัยของคนที่เธอคบบ้างนะ" กานต์พูด สอได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้น แต่ด้วยความที่เธอยังเจ็บไหล่อยู่ทำให้เธอร้อง กานต์รีบพูดขึ้นทันที "เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ไปเถอะไปพักในห้องก่อน" เขาพูดแล้วฉุดสอขึ้นช้า ๆ พาไปส่งที่ห้อง ก่อนที่สอจะเข้าไปเธอได้กล่าวขอบคุณและยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน กานต์ยิ้มตอบ แล้วเขาก็เดินกลับไป สอรู้สึกว่ากานต์อาจจะไม่ได้รักเธอจริง ๆ เหมือนที่เคยคิดไว้ แต่แม้เขาจะไม่ได้รักเธอ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนเข้มแข็ง ชอบช่วยเหลือคนอื่นและอ่อนโยน ทำให้สอรู้สึกรักกานต์มากขึ้น และคิดว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่เธอต้องเอ่ยความในใจไปให้ได้
	คืนหนึ่งนั้น กานต์หายเป็นปกติดีแล้ว ส่วนแผลที่ไหล่ของสอก็หายแล้วเช่นกัน กานต์เพิ่งกลับมาจากการทำงาน ตอนนั้นประมาณสี่ทุมครึ่งแล้ว สอยังนอนไม่หลับ เธอได้ยินเสียงเคาะประตู จึงเปิดประตูออกไป ก็เห็นกานต์อยู่ สอรู้สึกแปลกใจ แล้วกานต์ก็ยื่นของขวัญสิ่งหนึ่งให้เธอ พร้อมกับพูดว่า "สุขสันต์วันเกิด สอ" สอยิ้มอย่างดีใจ "ขอบคุณมากนะ" เธอรับมา แล้วแกะออก ของขวัญชิ้นนั้นเป็นสายสร้อยทำด้วยเงิน มีจี้เป็นรูปหัวใจเพชรสีฟ้า ซึ่งเป็นของแท้ "ฉันรู้จากลิลิตว่าเธอชอบสีนี้" กานต์พูด "ขอบคุณมากนะกานต์ ความจริงไม่ต้องซื้อของราคาสูงให้ก็ได้นี่นา" สอกล่าว "จำเป็น" กานต์พูดเบา ๆ เขามีแววตาเศร้าเล็กน้อย ทำให้สอรู้สึกแปลกใจ "ช่างมันเถอะนะ คิดว่ามันเป็นของขวัญที่เธอทำให้ครอบครัวของฉันมีความสุขขึ้นมากแล้วกัน" กานต์พูด สอยิ้มเมื่อได้ฟัง "ราตรีสวัสดิ์" กานต์พูด สอจึงตอบไปว่า "ราตรีสวัสดิ์เช่นกัน" แล้วสอก็ปิดประตูห้องช้า ๆ เธอรู้สึกดีใจมาก ๆ ที่กานต์หาของขวัญวันเกิดให้ และในที่สุดก็คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องบอกรักให้ได้
	วันต่อมา กานต์ขับรถมาส่งสอที่โรงเรียน สอลงจากรถโดยไม่ได้พูดอะไร วันนี้เธอทราบมาจากอาจารย์ท่านหนึ่งว่าวันนี้ลิลิตลาหยุดหนึ่งวัน สอคิดว่าลิลิตคงไม่สบาย ตกเย็นสอได้โทรหาลิลิตที่คอนโดฯ ที่ลิลิตอาศัยอยู่ แต่ไม่มีคนรับ สอชักเป็นห่วงเพื่อน เธอจึงโทรไปหากานต์ให้เขามารับไปคอนโดฯ ของลิลิตเร็ว ๆ แต่กานต์ดันปิดมือถือ ด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อน เธอจึงตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปที่คอนโดฯ ของลิลิต
	ในห้องของลิลิตเป็นภาพของลิลิตกับกานต์กำลังนั่งคุยกันอยู่บนเตียง พวกเขาคุยกันอย่างออกรส แล้วเริ่มที่จะมีอะไรกัน แต่สอมาเคาะประตูเรียกเสียก่อน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ยิน สอทั้งเรียกทั้งตะโกน แต่ก็ไม่มีใครตอบ เธอจึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป
	สอเดินไปเรื่อย ๆ ในห้องของลิลิต แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่ในห้องนอนของลิลิต สอจึงถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอน
	ภาพที่เห็นเป็นภาพของกานต์ที่กำลังจะจูบลิลิต แต่เมื่อเขาเห็นสอ ก็รีบลุกขึ้นมาทันที และแก้ตัวว่า "สอ เธอฟังฉันก่อน" สอไม่พูดอะไร เธอมองหน้ากานต์ และมองหน้าลิลิต และรู้สึกเหมือนว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมา "เธอมาที่นี่ทำไม?" ลิลิตพูดแปลก ๆ "ฉันมาหาเพราะเป็นห่วงเธอที่ไม่ได้มาสอนในวันนี้ โทรก็โทรไม่ติด ฉันก็เลยมาที่นี่" สอตอบเสียงสั่น ลิลิตทำหน้าไม่พอใจและพูดขึ้นว่า "เธอนี่มันยุ่งจริง ๆ เลยนะ เธอไม่รู้เลยเหรอว่ากานต์กับฉันรักกัน และเขาก็กำลังจะถอนหมั้นกับเธอ เพื่อมาแต่งงานกับฉันคนอย่างเธอ มันน่าจะไปไกล ๆ ได้แล้ว" ลิลิตไม่เคยพูดอย่างนี้กับสอเลย ทำให้สอตกใจมาก แต่ก็กลั้นน้ำตาไว้ เธอเดินไปช้า ๆ กานต์รู้สึกแย่มาก เมื่อได้ยินคำพูดของลิลิต จึงรีบมาพูดกับสอทันที "สอฟังฉันก่อนสิ" จะให้ฟังอะไรอีกล่ะ ก็ลิตบอกมาหมดแล้วนี่นาว่าเรื่องมันเป็นยังไง นายมันเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวมาก ๆ เลยนะ นายเป็นถึงลูกชายนายกรัฐมนตรีแต่ทำตัวแบบนี้ ทำไมไม่คิดถึงจิตใจของพ่อแม่เสียบ้างเล่า!" สอตะโกนใส่ แล้วเดินออกมา กานต์รู้สึกเสียใจ เมื่อสอได้พูดคำ ๆ นั้นขึ้นมา แต่เขาก็กลั้นความรู้สึกไว้ แล้วพูดว่า "ถ้าเธออยากออกไปเธอก็ไปเลย!" เมื่อพูดจบก็ปิดประตูใส่สอซึ่งหันหลังให้ประตูอย่างแรง เมื่อประตูปิดลง สอก็ร้องไห้อยู่ที่ประตูนั้น สักพักก็เช็ดน้ำตาแล้วเดินออกมา ส่วนกานต์ก็เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป แล้วเขาก็เตรียมตัวจะกลับ ลิลิตจึงรีบมาคว้าเขาทันที "อย่าเพิ่งไปสิกานต์ เราอยู่ด้วยกันก่อนนะ ♥" ลิลิตพูดเสียงร่าเริง กานต์สะบัดแขนออก แล้วพูดว่า "ขอโทษนะ เราเพิ่งพบกันไม่เท่าไร ผมก็เกือบทำให้คุณต้องเสียพรหมจรรย์ไปแล้ว ต้องขอโทษด้วย เราจบกันแค่นี้แหละ" แล้วก็เดินออกไป ปล่อยให้ลิลิตยืนนิ่งอยู่คนเดียว
	สอไม่ได้กลับไปที่บ้านของนายราชัน แต่กลับมาบ้านของตนเอง เมื่อนายราชัยได้เห็นลูกสาวก็ดีใจและแปลกใจ เมื่อเห็นว่าสอร้องไห้ "สอลูกร้องไห้ทำไมล่ะ?" นายราชัยถาม สอรีบมากอดพ่อทันที และเธอก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง นายราชัยได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า "นายกานต์นี่ ทำไมถึงทำอย่างนี้ได้นะ ลูกอย่าเสียใจไปเลย คืนนี้ค้างที่บ้านเรานะลูก" สอพยักหน้า และเช็ดน้ำตา
	ทางด้านกานต์นั้น เขากลับมาบ้านด้วยความที่ไม่สบายใจ เมื่อกลับมาถึงนายราชันเดินออกมาทันที "กานต์ ทำไมแกถึงทำตัวแบบนี้ รู้ไหม ราชัยเขาโทรมาบอกหมดแล้วนะ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา!" เขาพูดด้วยความโมโห "ก็ผมชอบลิลิต แค่นั้นเอง" กานต์ตอบ "ชอบ? ชอบอย่างนั้นเหรอ?" นายราชันกล่าว "ชอบแล้วทำไมต้องไปนอนกับลิลิตอะไรนั่นด้วย" กานต์ฟังดังนั้นจึงรีบแก้ตัวว่า "ผมเปล่านะครับ แค่เกือบ" นายราชันมองหน้า และพูดช้า ๆว่า "พ่อเสียใจมากเลยนะ รู้ไหมตั้งแต่พ่อเลี้ยงลูกมาถึง 21 ปีนี่ ลูกไม่เคยทำให้พ่อแม่หนักใจเลยสักครั้งเดียว แต่ไม่นึกเลยว่า ลูกต้องมาทำตัวแบบนี้แม่เขาก็เสียใจมากนะ เขานั่งร้องไห้อยู่บนห้อง เพราะลูกลูกทำตัวเป็นคนเลวอย่างนี้" เมื่อพูดจบเขาก็เดินขึ้นชั้นบนไป กานต์รู้สึกเสียใจมาก เขาขึ้นไปข้างบน เพื่อไปขอโทษแม่ นางนงนุชกอดกานต์ไว้ "แม่ให้อภัยลูกได้ แต่ลูกอย่าทำอย่างนี้อีกนะ" นางพูด กานต์กอดตอบ และพูดว่า "ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับแม่แล้วสอล่ะครับ?" กานต์ถามขึ้นมา นางนงนุช เงียบไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า "สอเขาไปค้างที่บ้านเดิมของเขาแล้วหละ" กานต์ได้ยินดังนั้น ก็คิดว่าจะไปหา แต่ก็ล้มเลิก เพราะคิดว่าตอนนี้ดึกแล้ว สอคงไม่กลับมาหรอก
	วันต่อมา สอมาสอนหนังสือด้วยหน้าตาที่ไม่สบายนัก วันนี้เธอมีงานที่ต้องทำมากมายจนถึงค่ำ เมื่อเสร็จงานนักเรียนก็กลับกันหมดแล้ว เมื่อเธอเดินออกมาก็พบกับกานต์ "คุณมาหาใคร?" สอพูดเหมือนว่าไม่เคยรู้จักกับกานต์มาก่อน "ก็มาหาเธอไงล่ะ แค่อยากให้เธอฟังฉันได้ไหม" กานต์พูดด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง จนสอใจอ่อน เธอพากานต์มานั่งที่ศาลาที่โรงเรียน แล้วถามว่า "เรื่องอะไร"  กานต์จึงตอบไปว่า "ก็เรื่องเมื่อวานนี้แหละ ฉันต้องขอโทษเธอที่ปิดประตูใส่หน้าเธออย่างนั้นด้วย" สอได้ฟังก็พยักหน้า "อีกอย่างก็คือเมื่อวานฉันเมาก็เลยเกือบจะไปมีอะไรกับลิลิตที่ไม่เคยสนิทกันมาก่อน จริง ๆ ฉันต้องขอบคุณเธอนะสอที่มาช่วยให้ฉันรู้สึกตัว" กานต์พูดช้า ๆ สอได้ฟังก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่อยากให้ลิลิตเสียใจ เพราะรู้มาอยู่แล้วว่าลิลิตก็ชอบกานต์ เธอจึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า "มีเรื่องแค่นี้ใช่ไหม ฉันไปก่อนนะ" แล้วเธอก็เดินออกมา กิริยาของสอทำให้กานต์เก้อไม่น้อย เขาเดินมาจับแขนแล้วพูดขึ้นว่า "สอเธออย่าเพิ่งไป ฉันเธอกลับบ้านกับฉันสิ" กานต์พูดตะกุกตะกัก  สอสะบัดแขนออก แล้วพูดว่า "จะกลับไปทำไม ฉันว่าความจริงคุณอย่ามาแก้ตัวเลยนะ ก็เคยสัญญากันแล้วนี่นาว่าถ้าเจอคนที่รักจริง ๆ ถึงจะเลิกกันได้" "แต่ฉันไม่ได้รักลิลิตนะ" กานต์ตอบอย่างรีบร้อน สอยิ้มแล้วพูดว่า "แต่นาย ก็ไม่ได้รักฉันเหมือนกัน"  คำพูดนี้ของสอทำให้กานต์เงียบไป เขาพยักหน้าช้า ๆ "แต่ฉันก็เป็นห่วงเธอ บอกตามตรงนะสอ ฉันรู้สึกผูกพันธ์กับเธอ" "ฉันก็เหมือนกันแหละ" สอแทรกขึ้นมา เธอก้มหน้า "รู้ไหมคุณกานต์ เมื่อวานที่คุณทำอย่างนั้น แม้คุณจะตั้งใจหรือเปล่านะ ฉันก็เสียใจนะ คุณรู้ไหมว่าฉันน่ะฉันฉันเองก็รักคุณเหมือนกันนะ!" สอพูด แล้วรีบวิ่งหนีไปทันที กานต์อึ้งมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เคยเป็นอริด้วยกันมาก่อนเช่นสอจะมารักเขาได้ แต่พอตั้งสติขึ้นมาได้ ก็ได้พบว่าสอ เดินจากเขาไปแล้ว
	ทางด้านสอ เธอได้กลับมาที่บ้าน แล้วมานั่งลงบนเตียง พร้อมกับหยิบสายสร้อยเงินที่กานต์ให้ไว้นั้นขึ้นมาดู และมองแหวนที่ประดับอยู่บนมือข้างซ้าย พร้อมกับนึกถึงคำพูดของนางนงนุชที่พูดกับเธอว่า 'ถึงหนูกับกานต์จะเลิกกัน ก็ขอให้เก็บแหวนนี้ไว้ เพื่อเป็นความทรงจำ' และคิดว่าถึงแม้เธอจะได้บอกความในใจกับกานต์ไปแล้ว แต่เธอก็รู้สึกแย่มาก เพราะกลัวว่าถ้ากานต์ที่ไม่ได้รู้สึกรักเธอเลยมารู้เข้าก็จะทำตัวห่างเหินออกไป
	'ฉันรู้แต่เพียงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาระหว่างฉันกับกานต์ก็เหมือนจะเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดแผ่วผ่านมาเท่านั้น เขาเข้ามาในชีวิตของฉันและจากไปเหมือนอย่างสายลมที่กล่าวถึงมาเมื่อสักครูนี้ กานต์ทำให้ฉันรู้สึกได้รัก แต่ฉันก็รู้ว่าความรักของเราสองคนคงไม่มีวันเป็นจริง ถึงแม้ว่าฉันจะรักเขามากแค่ไหน แต่ก็ต้องพยายามทำใจ เพราะเขาและฉัน ก็เป็นแค่เพียง "สายลมแผ่ว" ที่พัดผ่านมากันและกันเท่านั้นเอง'
	สอได้จดประโยคเหล่านี้ลงในไดอารี่ของเธอ และคิดว่าสิ่งที่ผ่านมาได้ในระยะเวลา 6 เดือนกว่านี่ก็เป็นแค่ประสบการณ์ให้เธอได้รู้ซึ้งถึงความรักที่ทำให้เธอต้องเจ็บช้ำ แม้ว่าสอจะผ่านการมีคนรักมาหลายคน แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้เธอเจ็บได้เท่ากับกานต์คนนี้เลย แล้วพูดว่า "เป็นโสดดีกว่ามั้งเรา จะได้ไม่เจ็บอีก" สอพูดกับตัวเอง
	อีก 1 ปีผ่านไป ในวันหนึ่งสอได้เดินมาซื้อของที่ห้างที่เธอเคยมาซื้อของด้วยกับกานต์ สอยังจำภาพวันนั้นได้ดี เธอได้ทะเลาะกับกานต์ที่นี่ด้วย และบังเอิญ เมื่อเธอได้หอบของมากมายเดินออกมา ก็ได้มาชนกับชายคนหนึ่ง "ขอโทษค่ะ ไม่ทันมอง" สอรีบพูดทันที "ผมตะหากล่ะครับ คิดอะไรเพลิน" ชายคนนั้นพูดและช่วยสอเก็บของ สอรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหู แต่ไม่คิดอะไร แล้วมือของชายคนนั้นก็มาถูกมือข้างซ้ายที่นิ้วนางได้ถูกประดับด้วยแหวนคริสตัลที่กานต์เคยสวมให้ ทั้งสองต่างมองหน้ากัน แล้วสอก็พูดว่า "คคุณคุณกานต์" สอพูดแล้วหน้าแดง เพราะเธอรู้สึกอายที่ชายคนนั้นเป็นกานต์ และอีกอย่างคือเธอยังใส่แหวนนั้นอยู่ แสดงให้เห็นว่าเธอยังรักกานต์อยู่ "เธอซื้อของมาซะเยอะเชียว เดี๋ยวฉันช่วยถือนะ ยังไงตอนนี้ก็จะกลับอยู่แล้ว" สอพยักหน้าช้าๆ
	ทั้งสองเดินมาเรื่อย ๆ และมาหยุดที่สะพานแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวและเย็นมากแล้ว "รู้ไหม ฉันรู้สึกดีนะที่รู้ว่าเธอยังเก็บแหวนและสร้อยนั้นอยู่ ซึ่งมันเป็นของคนที่ทำร้ายจิตใจเธอขนาดนี้" กานต์พูด สอรู้สึกเขินนิดหน่อย และแก้ตัวว่า "เลือกให้มันเข้ากับชุดน่ะค่ะ" กานต์ยิ้ม เหมือนจะรู้ว่าสอนั้นพูดแก้ตัวกับเขา แล้วกานต์ก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่ได้เจอมากันตั้งปี ฉันเดาเอาว่า เธอคงยังไม่มีแฟนใช่ไหม" สอหน้าแดง แล้วพูดว่า "ทำไมคุณพูดอย่างนั้นล่ะค่ะ? ตแต่ช่างเถอะค่ะ ก็จริงของคุณนั่นแหละ" กานต์ได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า "ฉันเองก็เหมือนกัน" "หา? อย่างคุณน่ะนะ?"  สอแปลกใจเมื่อพบว่ากานต์ยังไม่มีทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนที่ดีไปหมดเสียอย่างนั้น "ใช่ ก็เพราะว่าฉัน รอเธออยู่ไง" สอได้ฟังก็รู้สึกเขิน "หมายความว่าไง รอฉัน?" กานต์ได้ฟังก็ยิ้ม "ผมขอถามก่อน คุณยังรักผมอยู่ใช่ไหม" เขามีท่าทีเขินเล็กน้อย สอคิดว่าโกหกก็คงไม่ได้ เพราะหลักฐานก็คือแหวน และสร้อยที่เธอสวมอยู่ "ค่ะ ขอโทษนะคะ" "ขอโทษอะไรกัน ฉันเองก็รู้สึกอย่างนั้นกับเธอเหมือนกันแหละน่า" เขาพูด สอแปลกใจ และใบหน้าที่แดงอยู่แล้วของเธอ ก็ทวีคูณยิ่งขึ้น "ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจจะบอกความในใจกับคุณตั้งแต่ปีก่อน แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งได้มาพบคุณอีกครั้ง คือฉันก็อยากจะบอกเธอเอาไว้" เขาจับมือสอไว้ "ฉันรักเธอ" แล้วทั้งสองก็เงียบไป มีแต่เสียงลมหนาวที่พัดมา "จริงเหรอ?" สอถามขึ้นแล้วยิ้มเล็กน้อย กานต์พยักหน้า แล้วจูบที่หน้าผากของสอ แล้วกอดเธอไว้ ทำให้สอรู้สึกที่ความสุขและอบอุ่น สอกอดตอบ แม้ว่าลมที่เคยจะเป็นเพียงสายลมแผ่วที่พัดผ่านเราเพียงชั่วครู่ แต่สายลมที่อบอุ่น ก็ยังอยู่ในใจเราตลอดไป				
22 สิงหาคม 2545 20:08 น.

Detective_Girls->สืบสายเลือด

Nonmin

ระยะเวลาที่ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่กรุง นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ข้าพเจ้าทำงานเป็นทนายมา 2 ปีกว่าแล้ว ชีวิตของข้าพเจ้าก็มีความเป็นอยู่ซ้ำไปซ้ำมา ได้แต่ เข้า ๆ ออก ๆ ศาลอยู่อย่างนี้ มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อหน่าย แต่พอใจที่ได้มีชีวิตอยู่เรียบง่ายอย่างนี้
	จนกระทั่งเข้าวันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2002 ข้าพเจ้าตื่นตั้งแต่ 8 โมง มานั่งจิบกาแฟดำ และนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เช้าวันนี้ มีข่าวคราวการตายของ นายเจสัน มาเบิล ทนายความที่มีชื่อเสียงใน กรุง บอสตัน หนังสือพิมพ์ได้ระบุว่า นายเจสันฆ่าตัวตาย โดยการยิงศีรษะตัวเอง โดยหนังสือพิมพ์ให้เหตุผลว่า เขาคงเครียดจากงาน แล้วข้าพเจ้าก็สำลักกาแฟขึ้นมาทันที เป็นเวลาที่มีเสียงออดดังขึ้น อยู่ที่หน้าประตู ข้าพเจ้าจึงเดินออกไปเปิดประตูด้วยความรำคาญใจ เพราะคิดในใจว่า วันนี้เป็นวันอาทิตย์จะมีงานอะไรหนักหนา แต่เมื่อได้เห็นหน้าของผู้กดออดข้าพเจ้าก็ต้องตกใจ 
	"ชเชอร์รี่เธอมาได้อย่างไรนี่ !?!" ข้าพเจ้าร้องถามเธอ เชอร์รี่ยิ้มเล็กน้อย แต่แววตาแสดงความเศร้าอย่างปิดไม่มิด เธอไม่พูดอะไร แล้วเดินนำข้าพเจ้ามาที่โต๊ะรับแขก
	เชอร์รี่มีชื่อจริงว่า เชอร์รี่ มาเบิล เธอเคยเป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลาย ข้าพเจ้าทราบมาว่าเธอทำงานเป็นครูสอนอยู่ที่ชิคาโก้ แต่บ้านเกิดของเธออยู่ที่บอสตัน รูปร่างของเชอร์รี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไรนัก เธอมีผิวขาว ตัวเล็ก ผมสีน้ำตาล จะผิดกันที่ตอนนี้เธอไว้ผมสั้นเท่าไหล่เท่านั้นเอง
	"ที่ฉันมาวันนี้ เพราะฉันรู้มาว่าเธอเป็นทนาย" เชอร์รี่พูด ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในคำพูดของเธอเลย "เธอคงอ่านหนังสือพิมพ์แล้วสินะ เรื่องข่าวของนายมาเบิล" เธอพูดต่อ พลางมองหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ข้าพเจ้าพยักหน้า และคิดขึ้นได้ว่าเชอร์รี่มีนามสกุลเดียวกันกับนายเจสัน มาเบิล
	"อย่าบอกนะว่า เขาเป็น" ข้าพเจ้าร้องออกมา ก่อนที่เชอร์รี่จะพยักหน้า
	"ใช่เขาเป็นพ่อของฉันเอง ฟังนะ เช็น ที่ฉันมาที่นี่เพราะฉันอยากให้เธอช่วยสืบเรื่องของพ่อฉัน ได้โปรดเถอะนะ เห็นแก่ที่เรา เคยเป็นเพื่อนกันเถอะ" เธอพูดจบก็ร้องไห้อยู่ที่เก้าอี้นั้น 
	"จะให้สืบอะไรล่ะ ก็ในหนังสือพิมพ์ก็บอกมาหมดแล้วนี่นาว่าพ่อของเธอฆ่าตัวตาย" ข้าพเจ้าบอกไป ทั้งที่ในใจก็รู้สึกสงสารเชอร์รี่อยู่ไม่น้อย
	"ไม่จริง พ่อไม่ฆ่าตัวตายเด็ดขาด เมื่อ 3 วันก่อน พ่อบอกว่าเดือนหน้าจะพาฉันไปฉลองวันเกิดที่ลอสแองเจอลิสด้วยรถคันใหม่ บ้านของคุณลุง พ่อพ่อต้องไม่ฆ่าตัวตายแน่" เชอร์รี่พูด ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
	คำพูดคำนั้นของเชอร์รี่ ทำให้ข้าพเจ้าคิดหนัก ข้าพเจ้าอดสงสารเชอร์รี่ไม่ได้จริง ๆ
	"ก็ได้ กลางวันนี้ เราไปสืบกัน" ข้าพเจ้ารับปากไปงั้น ๆ เพราะรู้อยู่แล้วไม่ว่าจะยังไง คดีของนายเจสันก็เป็นการฆ่าตัวตายอยู่ดี แต่ที่ข้าพเจ้ารับปากไปเพราะ สงสารเชอร์รี่ แต่ก็พยายามจะทำให้เธอเห็นว่า มันเป็นการฆ่าตัวตาย      
	เวลา 12.00 น. ข้าพเจ้าและเชอร์รี่มาที่สถานที่ การตายของ นายเจสัน มาเบิล ที่ กรุงบอสตัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมากมาย กำลังจะจัดการกับศพของนายเจสัน เมื่อเชอร์รี่เห็นดังนั้น จึงออกมาห้ามทันที 
	"คุณเชอร์รี่ คุณอย่ามาเกะกะเจ้าหน้าที่ตำรวจนะ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดีน่า" สารวัตรโดนัลกล่าวกับเชอร์รี่ 
	"คุณพ่อไม่ได้ฆ่าตัวตายนะ คุณพ่อให้สัญญากับฉันว่าท่านจะพาฉันไปฉลองวันเกิดที่ลอสแองเจอลิสในเดือนหน้า คุณไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ?" เชอร์รี่พูด แล้วก็ร้องไห้ สารวัตรได้ฟังดังนั้น จึงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
	"คุณมีหลักฐานอะไร ว่าคุณมาเบิลไม่ได้ฆ่าตัวตาย" สารวัตรถาม คำถามนี้ทำให้เชอร์รี่นิ่งเงียบไป ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเธอไม่มีหลักฐานที่จะมาพูด 
	"งั้นก็ไปกันเถอะนะ เชอร์รี่ หลักฐานมันก็เห็นชัดเจนว่าคุณพ่อเธอฆ่าตัวตาย" ข้าพเจ้าพูดและจับแขนเธอไว้ เชอร์รี่สะบัดแขน แล้ววิ่งมากอดศพพ่อเธอซึ่งตายอยู่ ในท่าที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ หน้าซบกับโต๊ะ มีข้างขวาถือปืนไว้ มีเลือดกระเซ็นเต็มไปหมด เชอร์รี่ร้องไห้อยู่ตรงนั้น เจ้าหน้าที่พยายามห้ามเธอ แต่เธอก็ไม่ฟัง การกระทำของเธอ ทำให้ข้าพเจ้าสงสารเธอจับใจ เชอร์รี่มองหน้าพ่อ และเธอก็ทำสีหน้าแปลกๆ
	"คุณแน่ใจแล้วเหรอ ว่าคุณพ่อฆ่าตัวตาย" เชอร์รี่ถาม ทำให้เจ้าหน้าตำรวจและข้าพเจ้าแปลกใจ
	"อะไรทำให้คุณสงสัย?" สารวัตรถาม 
	"ก็คุณลองดูรอยกระสุนปืนตรงหน้าผากนี่สิ ทำไมมันถึงไม่มีรอยเขม่าดินปืนอยู่ล่ะ" เชอร์รี่กล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจเงียบ แล้วเชอร์รี่ก็พูดขึ้นมาอีกว่า
	"ปกติ ถ้าคนเราจะฆ่าตัวตายด้วยการจ่อศีรษะ รูของกระบอกปืนจะติดอยู่ที่หน้าผาก ทำให้มีรอยเขม่าดินปืน แต่ในกรณีของคุณพ่อไม่มี" 
	"เข้าใจแล้ว แสดงว่ามีคนมาฆ่าคุณมาเบิลสินะ" ข้าพเจ้าพูด ก่อนที่เชอร์รี่จะพยักหน้าช้าๆ
	"ลแล้วเรื่องปืนที่คุณมาเบิลจับอยู่นั่นล่ะ จะว่ายังไง แล้วคนร้ายยิงคุณมาเบิลด้วยวิธีไหนล่ะ" สารวัตรโดนัลเถียง คำถามนี้ทำให้เชอร์รี่นิ่งอีกที
	"เอาเป็นว่าหลักฐานของคุณยังไม่เพียงพอสินะ สรุปว่าคุณมาเบิลฆ่าตัวตายนั่นแหละ" สารวัตรพูด เขาทำให้เชอร์รี่คอตก ข้าพเจ้าจึงรีบพูดว่า
	"สารวัตรพูดอย่างนี้ ทำอย่างกับว่าสารวัตรเป็นคนฆ่านายมาเบิลเองเลยนะ" คำพูดนี้ทำให้สารวัตรโดนัลปฏิเสธเป็นพัลวัน ก่อนจะพูดว่า
	"ก็ได้ ผมจะให้พวกคุณสองคนหาหลักฐานมาว่าคุณมาเบิลไม่ได้ฆ่าตัวตายจริงๆ เชิญ!" แล้วสารวัตรก็ไปพักผ่อนที่ห้องชั้นล่าง
	นายเจสัน มาเบิลนับได้ว่าเป็นทนายที่เก่งกาจ น่านับถือ ไม่ว่าคดีจะเล็กน้อย หรือใหญ่โตแค่ไหน เขาก็สามารถคลี่คลายคดีมาได้แล้วทั้งนั้น 
	"ถ้าฉันเป็นลูกพ่อ ฉันจะต้องคลี่คลายคดีนี้ให้ได้" เชอร์รี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ท่าทางดูเธอช่างอ่อนแอ ไม่สามารถทำงานอย่างนี้ได้แน่ ข้าพเจ้าได้ฟังคำนั้นของเชอร์รี่ ก็รู้สึกสงสารจึงอาสาจะเป็นผู้ช่วยเธอ
	เชอร์รี่พบของบางอย่างในลิ้นชัก โต๊ะของนายมาเบิล มันเป็นเอกสารประกอบการนัดพบของลูกความ เชอร์รี่ได้ตรวจดูว่า เมื่อวานนี้ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ มีใครมานัดพบกับนายมาเบิลบ้าง ซึ่งผู้ที่มานัดพบกับนายมาเบิลเมื่อวานมีอยู่ด้วยกันสามคน คนแรก เป็นชาย อายุ 48 ปี ชื่อ นาย จอห์น เทเยอร์ มานัดพบเวลา 10.30 น. คนที่สองเป็น หญิง อายุ 44 ปี ชื่อ นาง เทเรซ่า บราวน์ มานัดพบ เวลา 14.00 น. และคนสุดท้ายเป็นชายแก่ อายุ 56 ปี ชื่อนายทิมโมที่ สกินนี่ มานัดพบเวลา 18.30 น.
	"เป็นไปได้ไหม ว่า ฆาตกรจะเป็นสามคนนี้" เชอร์รี่ถามข้าพเจ้า
	"ก็อาจจะนะ" ข้าพเจ้าตอบไป คิดในใจว่า สามคนนี้จะเป็นฆาตกรได้อย่างไร ก็เห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่านายมาเบิลฆ่าตัวตาย
	เชอร์รี่ลงไปโทรศัพท์หาสามคนนั้นให้มาที่นี่ทันที เมื่อมาแล้ว เชอร์รี่จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
	"พระเจ้า!" นางบราวน์ร้อง "คุณมาเบิลฆ่าตัวตายหรือ? ฉันไม่อยากเชื่อ" 
	"ผมก็เหมือนกัน เมื่อวานมาคุยกันก็ดีดี อยู่นี่นา" นาย สกินนี่กล่าว
	"แล้วไม่ทราบว่าคุณเรียกเรามาทำไม?" นายจอห์นถาม เชอร์รี่จึงตอบไปทันที
	"ฉันสงสัยว่าคนใดคนหนึ่งในพวกคุณทั้งสามคนเป็นฆาตกร!" เมื่อกล่าวจบ ทั้งสามคนนั้นสะดุ้งขึ้นมาทันที
	"จจะฆ่าบ้าอะไรล่ะ? ก็เห็นอยู่แล้วว่า คุณมาเบิลฆ่าตัวตาย" นางบราวน์เถียง
	"งั้นก็ลองดูบริเวณศีรษะสิคะ ทำไมมันถึงไม่มีรอยเขม่าดินปืนล่ะ" เชอร์รี่กล่าว
	ทั้งสามคนมองหน้าผากของนายมาเบิล ซึ่งเป็นไปตามที่เชอร์รี่พูด
	"ก็ได้ ถ้าคุณสงสัยพวกเรานักล่ะก็ เชิญสอบปากคำได้สบายเลย คุณตำรวจหญิง" นายจอห์นพูด
	"ฉันไม่ใช่ตำรวจ เป็นแค่ครูประถม และเป็นลูกสาวของนายเจสัน มาเบิลด้วย!" เชอร์รี่พูดเสียงหนักแน่น ทำให้ทั้งสามคนตกใจ ก่อนที่นายสกินนี่จะพูดขึ้นมาว่า
	"เข้าใจแล้ว เธอคงจะแก้แค้นให้พ่อสินะ" คำพูดนั้น ทำให้เชอร์รี่หน้าซีด
	ข้าพเจ้าได้ตามเชอร์รี่ และคนทั้งสามเข้าไปในห้องรับแขก      
	"ผมมาคุยกับคุณมาเบิล ตอน 10 โมงครึ่งพอดี เรื่องที่ผมถูกโกง เรื่องการซื้อรถที่ผมเป็นเจ้าของกิจการ เราคุยกันถึง 2 โมง" นายจอห์นกล่าว เชอร์รี่นั่งคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง จึงเรียก นางบราวน์มาบ้าง
	"ฉันมาจ่ายเงินเรื่องที่คุณมาเบิลไปช่วยฉันไปพูดในชั้นศาล ตอนนั้นฉันถูกกล่าวหาว่าขโมยแหวนไปตอน สองโมงครึ่ง เพราะช่วงนั้น ฉันติดธุระทำให้มาช้าไปครึ่งชั่วโมง" เชอร์รี่ได้ฟังดังนั้นจึงคิดหนักเข้าไปใหญ่
	"ผมมาขอนาฬิกาข้อมือเงินที่คุณมาเบิลเอาไปมาคืน"  นายสกินนี่พูดพิกล เชอร์รี่ได้ฟังจึงแปลกใจ "มาขอคืน?" เชอร์รี่ถาม "ครับคุณมาเบิลเอานาฬิกาไปโดยไม่บอกสักคำ ผมจึงต้องมาทวง" เขาตอบ "แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกคะ?" เชอร์รี่ถามต่อ "คุณมาเบิลบอกว่า จะเอานาฬิกานี้ไปจำนำ แล้วถ้ามีเงินเมื่อไร จะเอามาคืนให้ครึ่งหนึ่ง" เชอร์รี่ได้ฟังจึงทำหน้าไม่สบายใจ  แล้วสามคนนั้นก็เดินออกไปพักผ่อนกันที่ระเบียง
	"ถ้าคุณเจสันฆ่าตัวตายจริง ๆ ฉันว่าคุณสกินนี่นี่แหละที่น่าสงสัยที่สุด เพราะการที่พ่อเธอเอานาฬิกาของเขาไปจำนำ อาจทำให้นายสกินนี่โกรธ จึงฆ่าเขา อีกอย่างก็คือนายสกินนี่เป็นคนมาคุยคนสุดท้ายด้วย" ข้าพเจ้าพูด
	"ใช่ ฉันก็คิดอย่างนั้น คุณพ่อเป็นคนมีเงิน แต่งก ฉันจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ฉันจะเอาตุ๊กตา แต่พ่อไม่ซื้อให้ โดยอ้างว่า ตุ๊กตาไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย" เชอร์รี่เงียบไปพักหนึ่ง
	"เธอกำลังคิดอยู่ว่าคุณพ่อเธอเป็นคนขี้โกงงั้นเหรอ?" ข้าพเจ้าถาม
	"ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนั้น แต่ไม่เข้าใจว่าคุณสกินนี่จะบอกทำไม เพราะถ้าหากเขาเป็นคนร้ายจริง เจาก็น่าจะปิดเรื่องนี้ไว้ เพื่อไม่ให้ใครรู้" เชอร์รี่ว่า ไม่นานนักสารวัตรโดนัลก็เข้ามา
	"ว่าไง สืบไปถึงไหนแล้วคุณเชอร์รี่?" เชอร์รี่เห็นสารวัตรเข้ามาจึงรีบถามทันที
	"ไม่ทราบว่าคุณพ่อเสียชีวิตช่วงไหนคะ?"
	"19.30 น. โดยประมาณ" สารวัตรตอบ แล้วพูดอีกว่า "อีกสองชั่วโมง นักข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทม์ในอังกฤษจะมาทำข่าวของนายมาเบิล ระวังตัวไว้ให้ดีนะ คุณเชอร์รี่ คุณอาจจะถูกพวกนักข่าวลุมก็ได้"
	"ค่ะขอบคุณที่เตือน" เชอร์รี่พูดเสร็จก็เดินออกมาในที่ที่พ่อตายทันที
	ข้าพเจ้าเห็นว่าแววตาของเชอร์รี่มีน้ำตาคลออยู่เมื่อได้มองหน้าพ่อ ข้าพเจ้ารู้มาว่าคุณพ่อ และคุณแม่ของเชอร์รี่ได้หย่ากัน เมื่อเชอร์รี่อายุ 12 ปี เชอร์รี่ไม่พอใจ จึงไปอยู่กับป้าที่ชิคาโก้
	"เมื่อสามวันก่อนที่ฉันเล่าให้ฟัง พ่อโทรมาหาฉัน ฉันดีใจที่ได้ยินเสียงพ่ออีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้พบกันมา 11 ปี และไม่นึกว่าฉันได้มาพบหน้าพ่อในสภาพของคนไร้ลมหายใจ!" เชอร์รี่พูด และร้องไห้
	"ฉันต้องสืบเรื่องนี้ให้ได้!" เธอพูด แล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
	ในขณะที่เชอร์รี่อยู่ในสภาพที่เฉยชา ข้าพเจ้าได้เดินมาที่นายมาเบิลซึ่งนั่งตายอยู่ หน้าซบโต๊ะ เขามีเลือดออกศีรษะมากทีเดียว เลือดที่ไหลออกมาแข็งตัวแล้ว มือข้างขวาถือปืนไว้ ส่วนมือข้างซ้าย
	"เชอร์รี่ มือซ้ายของพ่อเธอ อยู่ในกระเป๋ากางเกง" ข้าพเจ้าร้อง "มันอาจเป็นอะไรบางอย่างที่พ่อเธอต้องการจะบอกก็ได้นะ เชอร์รี่" เชอร์รี่ได้ฟังดังนั้นจึงรีบเดินมาทันที เธอนำมือข้างซ้ายของพ่อเธอออกมา ตอนนี้มือของพ่อเธอแข็งตัว ตายมามากกว่า 7 ชั่วโมงแล้ว
	"นนี่มันนาฬิกา!" เชอร์รี่ร้องเสียงดัง ทำให้ผู้ต้องสงสัยทั้งสามคนของพวกเรา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ วิ่งมาถามทันที
	"เกิดอะไรขึ้นหรือ?" นางบราวน์ถาม
	"นั่นมันนาฬิกาของผมนี่นา!" นายสกินนี่ร้อง
	"อ้อ! นี่คงจะเป็นหลักฐานยืนยันก่อนตายสินะว่าคุณเป็นฆาตกร คุณสกินนี่" สารวัตรโดนัลพูดพลางหันไปมอง ทำให้นายสกินนี่ปฏิเสธ ก่อนที่เชอร์รี่จะถามว่า
	"ไม่ทราบว่าคุณพ่อนัดกับคุณไว้หรือเปล่าว่าท่านจะนำเงินมาจ่ายในวันไหน?"
	"เขาบอกว่าวันที่ 16 กรกฎาคม วันนี้แหละ" นายสกินนี่พูด "แล้วเขาก็เซ็นใบเสร็จให้ผมด้วย" เขานำใบเสร็จให้ดู "ผมนึกว่าที่คุณเรียกมาก็เพื่อจะให้ผมมารับเงิน แต่ที่ไหนได้" นายสกินนี่ก้มหน้า แล้วเชอร์รี่ก็คว้าใบเสร็จนั้นมา
	"1,000 ดอลล่า?" เชอร์รี่ร้อง
	"แล้วไม่ทราบว่าคุณมาเบิลได้จดรายรับ-รายจ่ายไว้หรือเปล่าครับ?" ข้าพเจ้าถามบ้าง
	"โธ่เอ๊ยคุณ มันก็ต้องเก็บอยู่แล้วหละ อยู่ในลิ้นชักข้างซ้ายนั่นแหละ" นายจอห์นพูด
	เชอร์รี่ไปหาดู แต่ไม่พบเลย
	"งั้นคุณก็เป็นฆาตกรล่ะสิ คุณสกินนี่?" นางบราวน์กล่าว ก่อนที่นายสกินนี่จะปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง แล้วเชอร์รี่ก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
	"คุณสกินนี่ไม่ใช่ฆาตกรหรอกค่ะ" เชอร์รี่พูด "ลายมือในใบเสร็จนั่นเป็นลายมือของคุณพ่อจริง ๆ ตอนที่ฉันอยู่ที่ชิคาโก้ตอนมัธยมต้น คุณพ่อชอบเขียนมาฉันเป็นประจำทำให้ฉันจำลายมือของคุณพ่อได้"
	"งั้นก็ตัดคุณสกินนี่ออกไปได้เลยสินะ" ข้าพเจ้าพูด เชอร์รี่พยักหน้า
	"แล้วเธอมีหลักฐานแล้วเหรอ ว่าคุณมาเบิลไม่ได้ตัวตาย" สารวัตรโดนัลแทรกขึ้นมา เชอร์รี่จึงรีบพูดทันที
	"ใช่ค่ะ มือขวาของคุณพ่อถือปืน แต่มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋า ทำให้เราพบกับนาฬิกานี่ วันคงเป็นเม็จเซสชี้ตัวคนร้าย" เชอร์รี่พูด นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ข้าพเจ้าสังเกตว่าเชอร์รี่ได้รับสายเลือดพ่อมาร้อยเปอร์เซ็นต์
	"งั้นเราก็ต้องตรวจลายนิ้วมือที่ปืนนั่น นอกจากมือของคุณมาเบิลแล้วหละ" สารวัตรพูด
	"ไม่ต้องหรอกค่ะ คนร้ายคงไม่โง่ ใช้มือเปล่า ๆ ยิงคุณพ่อหรอก คนร้ายน่าจะใส่ถุงมือยิงตอนที่คุณพ่อง่วนอยู่กับงานอยู่ พ่อฆ่าได้แล้วก็นำมือข้างขวาจัดในท่าถือปืน" เชอร์รี่พูด "ฉันขอตัวไปพักผ่อนสักครู่นะคะ" เชอร์รี่พูด แล้วมานั่งเงียบอยู่บนโซฟา ข้าพเจ้าคิดว่าเชอร์รี่คงยังเศร้าอยู่ จึงไม่พูดอะไร
	เวลา 2.00 น. ตำรวจนายหนึ่งมาบอกว่าตอนนี้นักข่าวหนังสือพิมพ์ไทม์มาแล้ว เชอร์รี่จึงเดินลงไปช้าๆ ระหว่างลงมาเชอร์รี่มองนาฬิกาข้อมือเรือนนั้น เมื่อเธอเห็นนักข่าวกำลังซักไซ้ถามสารวัตรและผู้ต้องสงสัยของเรา เกี่ยวกับเรื่องนี้ เชอร์รี่ยิ้มและรีบวิ่งลงมา ทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจมาก
	"นั่นไงคุณเชอร์รี่ คุณเป็นลูกสาวของนายมาเบิลใช่ไหมครับ? แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปครับ? เมื่อขาดคุณพ่อ" นักข่าวชาวอังกฤษหลายคนของหนังสือพิมพ์ไทม์ถามเชอร์รี่มากมายก่อนที่เชอร์รี่จะพูดมาว่า
	"ยังไม่มีการสัมภาษณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น" เธอพูด "ขอให้ฉันได้คลี่คลายคดีนี้ออกมาก่อนเถอะ" 
	เธอทำให้ทุกคนตกใจ สารวัตรโดนัลยิ้มอย่างพอใจ เมื่อรู้ว่าเชอร์รี่คลี่คลายคดีออกมาได้แล้ว
	"งั้นก็บอกมาเลยสิ ว่าใคร" สารวัตรพูด
	"ก็ได้ค่ะ คนร้ายก็คือ คุณนั่นแหละ คุณ จอห์น เทเยอร์ !" เชอร์รี่ร้อง ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
	"คุณได้มาคุยกับคุณพ่อเรื่องที่คุณถูกโกงเรื่องที่คุณขายรถให้กับคุณพ่อใช่ไหมคะ? ที่คุณไม่พูดออกมาเพราะกลัวว่าฉันจะจับคุณได้ คุณพ่ออาจจะจ่ายเงินไม่ครบ อาจเป็นเพราะว่าคุณพ่อต้องจ่ายเงินค่านาฬิกาเงินให้กับคุณสกินนี่ ทำให้คุณโกรธ ตอนนั้นคุณยังไม่ฆ่าคุณพ่อ แล้วออกไปก่อน รอจนกระทั่ง คุณพ่อได้คุยกับคุณบราวน์และคุณสกินนี่เสร็จ แล้วคุณก็สวมถุงมือ ถือปืน เข้ามาหาคุณพ่อซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะ ตอนนั้นคุณพ่อคงรู้อยู่แล้วว่าจะถูกฆ่าจึงนำนาฬิกาเงินใส่กระเป๋าเพื่อให้เป็นเม็จเซสโดยที่คุณไม่รู้ตัว แล้วคุณก็ยิงศีรษะคุณพ่อ จากนั้นก็นำมือขวาของคุณพ่อมาจัดในท่าถือปืนเหมือนฆ่าตัวตาย เผอิญตอนนั้นคุณไปหาเอกสารที่คุณพ่อซื้อรถของคุณมา แต่ไปเจอรายรับ-รายจ่าย จึงทำลายมันซะ ทำให้คนอื่นๆ พุ่งความสงสัยไปที่คุณสกินนี่อยู่คนเดียว"
	"ววิธีนี้ ใคร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น ทำไมต้องเป็นผมด้วยล่ะ?" นายจอห์นถาม
	"ก็ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าใบเสร็จที่คุณสกินนี่มีอยู่ เป็นลายมือของคุณพ่อ และเรื่องที่คุณบราวน์มาจ่ายเงินให้ ก็เพราะคุณพ่อได้ช่วยคุณบราวน์ไว้ แล้วคุณบราวน์มีเหตุผลอะไรจะฆ่าคุณพ่อล่ะ?" เชอร์รี่พูด
	"แล้วมีหลักฐานไหมล่ะ?" นายจอห์นถามอีก
	"หลักฐานเหรอ? มีสิ นาฬิกานี่ยังไงล่ะ ตอนแรกฉันเข้าใจว่าคุณพ่อหมายถึงเจ้าของนาฬิกา ก็คือคุณสกินนี่ แต่พอได้เห็นใบเสร็จที่มีลายมือคุณพ่อจึงรู้ว่าไม่ใช่ และเมื่อฉันได้เห็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทม์มาจึงรู้ทันที คุณพ่อเป็นทนายที่โด่งดังในอังกฤษ จึงถูกสัมภาษณ์บ่อยครั้งจากหนังสือพิมพ์ไทม์ และคำว่า "ไทม์" ในหนังสือพิมพ์ก็คือเวลา คุณพ่อจึงใช้นาฬิกาซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกเวลามาใช้เป็นเม็จเซส คือ เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทม์ หรือคุณ จอห์น วอลเทอร์ คุณพ่อคงหมายถึง คนที่มีชื่อเหมือนเจ้าของหนังสือพิมพ์ไทม์ หรือนั่นก็คือ คุณนั่นแหละ คุณจอห์น เทเยอร์" เชอร์รี่พูด ทำให้นายจอห์นล้มตัวลง
	"คคุณรู้ได้อย่างไร คุณเริ่มจับผิดผมตอนไหน?" เขาถาม
	"ตอนที่คุณบอกว่า รายรับ-รายจ่าย ของคุณพ่ออยู่ในลิ้นชักข้างซ้าย ตอนนั้นคุณไปหาเอกสารทั่วโต๊ะ แล้วไปเจอ บัญชีรายรับ-รายจ่าย ในลิ้นชักข้างซ้าย ฉันจึงสงสัยว่าตอนที่เช็นถามคุณ คุณรู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่ในลิ้นชักข้างซ้าย!" เชอร์รี่พูด
	นายจอห์นรับสารภาพแต่โดยดี ข้าพเจ้าและเชอร์รี่เดินออกมา
	"แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป" ข้าพเจ้าถามเธอ
	"ฉันฉันจะออกจากการเป็นครูแล้วมาทำงานที่นิวยอร์ก เป็นนักสืบ ฉันจะเดินรอยตามคุณพ่อ ฉันคิดว่าฉันทำได้" เชอร์รี่ มาเบิลพูดก่อนที่จะเข้าไปในรถ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟNonmin
Lovings  Nonmin เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟNonmin
Lovings  Nonmin เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟNonmin
Lovings  Nonmin เลิฟ 0 คน
  Nonmin
ไม่มีข้อความส่งถึงNonmin