25 กันยายน 2548 14:00 น.

ตั้งแต่วันที่ฉันรักเธอ

Nonmin

คุณคิดบ้างไหม? ว่าคนเรานั้นเกิดมาเพื่อเรียนรู้อะไรมากมาย ได้รับรู้ความรู้สึก ทั้งรัก ชอบ โกรธ เกลียด ฯลฯ ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีความรู้สึกทุกๆ อย่าง แต่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาเนี่ย มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยได้รู้มาก่อนเลย จนกระทั่งได้พบกับเขาคนนี้
          เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปอ่านเรื่องของฉันกันเลยดีกว่า 
          อ้อ! ต้องบอกไว้ก่อน ว่าเรื่องนี้มันก็แค่เรื่องบ้าๆ ของเด็กผู้หญิงบ้าๆ คนหนึ่ง และเด็กบ้าๆ คนนี้ก็ต้องขอบอกไว้ก่อนเช่นกันว่าเรื่องนี้มันก็เหมือนไดอารี่ระบายความรู้สึกนั่นแหละ
          อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกก็คือ
          เขาไม่รู้จักฉันเลยแม้แต่น้อย

          
          ฮือๆๆๆ T__T ฮือๆๆๆ T__T มันไม่เคยบอกฉันเลยไม่เคยบอกเลยว่ามันมีแฟนแล้ว ToT ฟองด์เพื่อนของฉันกำลังร้องไห้พลางงึมงัมอยู่กับเสื้อของเพื่อนอีกคนที่ชื่อทิพย์ ฉันว่าหลังจากฟองด์ร้องไห้เสร็จแล้ว จะแนะให้ทิพย์เอาเสื้อไปซักโดยด่วน เห็นคราบเหนียวๆ แล้วรู้เลยว่ามันคืออะไร -_-
          ฟองด์หยุดร้องไห้เหอะ จะไปร้องไห้ให้มันทำไม มันก็แค่ไอ้เบื๊อก ฉันว่า พยายามเต็มที่ที่จะให้ฟองด์หายเศร้า แต่ฉันปลอบคนไม่ค่อยเก่งนัก และนี่คงเป็นสาเหตุให้ทิพย์มองฉันอย่างไม่ค่อยพอใจ
          แกปลอบให้มันดีกว่านี้หน่อยจะได้มั้ยไอ้มิน ทิพย์กระซิบกับฉันพลางลูบหลังฟองด์ ฉันพยักหน้า -_-
          ฟองด์ ไม่ต้องไปเสียใจนะ เรื่องรักๆ อะไรเนี่ยอย่าไปสนเลย สนเรื่องอื่นดีกว่า ฉันไม่เข้าใจเลยทำไมถึงอยากมีแฟนกันตั้งแต่อายุแค่นี้วะ รีบลืมๆ ไอ้เบื๊อกนั่นไปซะ แล้วไปเที่ยวกันให้สะใจไปเลย ร้องไห้ก็เท่านั้น ถ้าจะมานั่งเสียใจ ฉันว่าไปกวาดขี้ไก่ยังเข้าท่ากว่า
          ไอ้มิน! ทิพย์พูดแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ฉันมองหน้าทิพย์อย่างงงๆ ไปไกลไกล
          ฉันลุกขึ้นแล้วเดินไปไกลๆ ทันที -_- ปกติถ้าใครไล่ฉันคงต้องเตะไอ้คนนั้นกลับไปแล้ว แต่เรื่องนี้ขอทีเถอะ! ฉันไม่เคยคิดอยากเข้าไปสนเรื่องรักๆ อะไรเลย ถึงแม้จะรู้สึกสงสารเพื่อนก็เถอะนะ เฮ้อ ไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงอยากมีรักกันตั้งแต่อายุแค่นี้นะ  ก็อายุ 15  16 ยังเด็กอยู่เลย แก่แดดวุ้ย

          คุณอาจมองว่าฉันมันเป็นคนแข็งกระด้างใจแคบหัวโบราณ แต่ถึงแม้ฉันจะแข็งกระด้างใจแคบหัวโบราณ ฉันก็เป็นคนที่ชอบดนตรีมากๆ หากไม่มีดนตรีชีวิตของฉันคงมีแต่คนเกลียดขี้หน้าล่ะมั้ง (ฮ่าๆๆ) เพราะดนตรีมันฟังแล้วมีความสุข และมันช่วยทำให้จิตใจอ่อนโยนขึ้นมาเยอะ ลดความแข็งๆ ในตัวฉันออกไปได้มากมายทีเดียว และดนตรีนี่เองที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับเขาคนนี้
          ฉันไปเรียนดนตรีทุกวันเสาร์ที่โรงเรียนสอนดนตรี แต่วันนี้ฉันมาสายกว่าปกติ (คืนก่อนอ่านการ์ตูนจนดึก) ฉันเลยรีบวิ่งขึ้นบันไดอย่างเหน็ดเหนื่อย T_T ขณะที่วิ่งขึ้นฉันได้ยินเสียงเพลงจากเปียโน และมีใครคนหนึ่งกำลังร้องเพลงอยู่ เสียงเพลงที่กำลังบรรเลงทำให้ฉันหยุดวิ่ง แล้วฟังเพลงนั้น
          มันเป็นเพลงรักที่เพราะมากๆ
          ฉันเดินไปที่ห้องที่มีเสียงเปียโนออกมา ก่อนจะแง้มประตูเข้าไปดู แล้วเห็นผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 20 กำลังเล่นเพลงรักเพลงนั้น บรรยากาศรอบตัวของเขาช่างเข้ากันได้ดีกับเพลงเหลือเกิน สีหน้าของเขาไปตามกับอารมณ์ของดนตรี และภาพที่ผู้ชายคนนั้นกำลังเล่นเปียโนอยู่กลางห้อง ช่างเป็นภาพที่น่าบันทึกเอาไว้
          อ้าว มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ ใครคนหนึ่งทักทำเอาฉันสะดุ้งแล้วตื่นจากภวังค์ จะได้เวลาเรียนแล้วนะ
          คค่ะ ครู ฉันตอบรับก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบๆ เสียงเพลงนั้นยังคงบรรเลงอยู่เหมือนไล่หลังตามฉันมา จนทำให้ฉันต้องเปิดปากถามครู ใครเล่นดนตรีอยู่หรือคะ
          อ๋อ นั่นน่ะเหรอ เขาเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยน่ะจ้ะ วันนี้เขามาสอนดนตรีเป็นพิเศษให้กับเด็กๆ ทุกวันเสาร์แทนครูคนเดิมที่ลาหยุดไปน่ะ ถ้าเธอเรียนเสร็จแล้วก็ไปดูเขาสอนดนตรีก็ได้นะจ๊ะ
          อีกชั่วโมงต่อมา หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการออกเสียงตามโน้ตเพลง ฉันก็รีบลงมาที่ชั้นสามแล้วแง้มประตูเข้าไปดูที่ห้องเรียนเปียโนทันที แล้วฉันก็ได้พบกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้พลางสอนเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ อย่างสนุกสนาน จริงๆ แล้วดูเหมือนเล่นมากกว่าสอนนะ ฉันมองหน้าเขาชัดๆ ผู้ชายคนนี้จัดได้ว่าเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่ง แต่ดูน่ารักมากกว่าหล่อนะ แล้วพอมองหน้าเขาโดยเฉพาะยามยิ้มนั้น ฉันก็รู้สึกดี
          ปี๊ปี๊ป่อปิ๊ดปิ๊วเปี๊ยวเปี๊ยว! (เสียงมือถือ) ว้าก!!! ตกใจหมดเลย ใครโทรมาเนี่ย! O_O ฉันรีบวิ่งมาที่ระเบียงแล้วรับโทรศัพท์ ฮาโหล?
          นี่ เลิกเรียนนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่กลับบ้านเสียทีล่ะ จะได้มาช่วยส่งขนมหน่อย วันเสาร์นี้ออเดอร์เพียบเลยนะ กลับมาเร็วเข้า! แม่พูด -_- ฉันตอบรับก่อนจะกลับบ้าน ทั้งที่ใจนั้นอยากจะดูผู้ชายคนนั้นอีก แบบว่ามันรู้สึกเสียดายจังเลย

          แล้วทุกวันเสาร์หลังจากเรียนเสร็จฉันก็จะแอบมาดูเขาสอนทุกครั้ง หลายครั้งฉันอยากจะเข้าไปทำความรู้จักเขาเสียหน่อย แต่ฉันไม่กล้าพอ เพราะจริงๆ แล้วฉันเป็นคนขี้อายมากๆ ฉันได้แต่มองเขาอยู่ข้างเดียว และซึ้งไปกับบทเพลงของเขาเสมอ บางคืนฉันฝันเห็นเขากำลังเล่นเปียโน และเพลงรักของเขานั้นฉันจำมันได้อย่างขึ้นใจเขาทำให้ฉันเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ฉันได้ถามๆ เรื่องของเขากับครูหลายคน ได้รู้ชื่อของเขา ได้รู้ว่าเขาเล่นดนตรีในโบสถ์แห่งหนึ่ง และรู้ว่าเขาป๊อปแค่ไหนในหมู่สาวๆ ฉันเขียนไดอารี่และบันทึกความรู้สึกของตัวเองลงไป ผู้ชายคนนั้นฉันประทับใจตัวเขามากๆ และฉันคิดว่าฉันชอบเขา แต่ก็ไม่ถึงขั้นรักหรอกนะ ฉันไม่คิดว่าตัวเองรักเขาเลย
          วันเสาร์ต่อมาฉันก็มาเรียนดนตรีตามปกติ แล้วหลังจากเรียนเสร็จฉันก็ไปห้องเปียโนเหมือนเดิม แต่ฉันไม่พบเขาคนนั้นแล้ว ฉันพบกับครูสอนเปียโนคนเดิมที่เคยสอนมาก่อนหน้าเขา ทำให้ฉันพอจะเดาความจริงได้ แต่ก็เดินเข้าไปถามครูสอนเปียโนให้แน่ใจอีกครั้งว่าเขาไม่ได้มาสอนพิเศษอีกแล้วใช่มั้ย
          แล้วก็จริงเสียด้วย
         ฉันเสียใจมากๆ ทำไมฉันถึงได้ปล่อยให้อะไรๆ มันสายไปแบบนี้ ฉันเสียใจจนฉันรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมต้องเสียใจอะไรแบบนี้ ฉันไม่ได้รักเขาเสียหน่อย และฉันก็ไม่อยากมีความรักในอายุขนาดนี้ด้วย ฉันพร่ำบอกตัวเองว่าฉันไม่ได้รักเขา ฉันแค่ชอบชอบเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่อาจจะลืมเขาได้เลยไม่มีสักวันที่ฉันจะลืมหน้าเขา บทเพลงของเขา และรอยยิ้มนั้นยิ่งคิดถึงเขามาก ฉันก็ยิ่งรู้สึกถึงบางอย่างและเกือบจะยอมรับออกมาว่าฉันรักเขาฉันปฏิเสธใจตัวเองแต่ใจของฉันมันไม่ฟัง มันทำให้ฉันรู้ว่าฉันรักเขาจริงๆ

          หลายเดือนต่อมา ในคืนหนึ่ง ฉันได้มาซื้อของกับพ่อแม่ ฝนตกเฉอะแฉะ ท้องฟ้าไม่มีดาวเลยสักดวง ฉันกำลังฟังเพลงๆ หนึ่งที่บรรเลงออกมาจากเทปในรถ แล้วฉันก็นึกถึงเขาผู้นั้นขึ้นมาอีกครั้ง รถของเราวิ่งไปอย่างช้าๆ แล้วผ่านโบสถ์แห่งหนึ่ง ขณะที่ฉันมองในผู้คนที่กำลังเดินออกมาจากโบสถ์ฉันก็เห็นเขา
          ไฟแดงพอดี รถจึงหยุดลง ฉันไม่อาจละสายตาจากเขาไปได้ และมองเขาด้วยความทึ่ง เพราะได้เจอกับเขาอีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้รถหยุด ฉันจึงคิดที่จะลงจากรถไปหาเขา แต่เสียงขี้ขลาดในหัวกระซิบว่า เธอจะบ้าเหรอ! จะเดินเข้าไปบอกเขาว่าเธอรักเขาทั้งที่เขาไม่รู้จักเธอเลยเนี่ยนะ เขาได้คิดว่าเธอเป็นบ้ากันพอดี
          ฉันบอกเสียงในหัวว่าถึงเขาจะมองว่าฉันบ้า แต่มันจะสำคัญอะไร ก็แค่เดินลงไปหาเขาก็แค่นั้น ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไปแต่แม้ใจมันจะพูดร่างกายมันก็ไม่ฟัง ฉันเกาะกระจกรถพลางมองเขาเขาที่ฉันเฝ้ารอตอนนี้ที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากฉันบ้าเอ๊ย! เดินลงไปสิ อย่ากลัวสิ!
          ก็แค่เดินลงไปบอกเขาว่าฉันรักเขาก็แค่เดินลงไปบอกว่าฉันคิดถึงเขาแค่ไหนก็แค่เดินลงไปบอกเขาว่าคนที่รักเขามากอยู่ตรงนี้แค่บอกเขาบอกเขาว่ารักคำเดียวแค่เดินลงไปแค่เดินลงไป
          ฉันได้แต่พูดพร่ำกับตัวเองเหมือนคนบ้า และในที่สุดรถก็วิ่งไปตามถนนแฉะๆ นี้อีกครั้ง
          วิ่งผ่านเขา
          น้ำตาของฉันไหลออกมา สายตาของฉันยังคงมองเขา แต่ในที่สุดเขาก็หายไปจากเส้นทางมืดๆ นั้น ฉันเคยคิดมาว่าถ้าได้พบเขาอีกครั้งโลกนี้มันคงสวยงาม เห็นอะไรก็เป็นสีชมพู มีดอกไม้แห่งความรักเหมือนที่ใครบางคนเคยพรรณนาให้ฟังแต่มันกลับตรงกันข้าม
          บางทีถ้าเขารู้จักฉันสักนิดฉันอาจจะกล้าลงไปหาเขาและฉันต้องมีความกล้ามากพอโดยไม่สนว่าเขาจะมองฉันอย่างไรแปลกดีนะ ก็แค่คำว่ารักคำเดียวแค่พูดมันไม่ยากเลย แต่ฉันกลัวที่ต้องพูดออกไป
          ฉันขอท้องฟ้าในคืนนี้ขอให้ฉันได้พบกับเขาอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลานั้นฉันจะมีความกล้ามากกว่าเดิม กล้าที่จะเข้าไปบอกเขาคำที่ถูกเก็บไว้และเป็นคำแรกที่ฉันจะให้เขาผู้นี้คนเดียว
          คำว่ารัก				
20 มิถุนายน 2548 20:07 น.

+++คำที่บอกไม่ได้+++

Nonmin

          "จิน! พี่ซื้อซาลาเปาจากฝั่งนู้นมาให้แล้วนะ ^o^" เด็กชายคนหนึ่งวิ่งตรงมาหาฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 
          "ขอบคุณนะคะพี่อาร์ท" ฉันพูดพร้อมกับรับซาลาเปามาด้วยความยินดี "เจ้าไข่เค็มที่อยู่ฝั่งนู้นมันเห่าหรือเปล่าคะ"
          "ก็เห่า แต่มันไม่กัดหรอก จินไม่ต้องไปกลัวมันหรอกนะ แต่ถ้าจินอยากกินซาลาเปาอีก พี่จะไปซื้อมาให้เอง ^__^" เด็กชายพูด ฉันมองหน้าเขาพลางยิ้มก่อนจะกัดกินซาลาเปาที่กำลังร้อนๆ รู้สึกเป็นสุขเหลือเกินที่ได้อยู่กับเขา เขาคอยปกป้องฉันเสมอ ฉันรักเด็กผู้ชายคนนี้มากที่สุดเลย
          เขาคือพี่ชายของฉัน

          ความจริงแล้วเราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ หรอก พ่อของพี่อาร์ทกับแม่ของฉันแต่งงานกันเมื่อฉันอายุ 4 ขวบ แม่หย่ากับพ่อแท้ๆ ของฉัน ส่วนแม่แท้ๆ ของพี่อาร์ทนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว
          ตอนแรกที่เราได้รู้จักกันนั้น พ่อแม่ของพวกเราพามาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ภาพที่เห็นคือเด็กชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉัน เขาอายุมากกว่า 2 ปี รูปร่างสูง ผิวขาว หน้าตาน่ารัก ครั้งแรกที่เห็นฉันก็รู้สึกชอบเขาขึ้นมาทันที ก็เขาคล้ายๆ กับเจ้าชายในหนังสือนิทานเลย! แต่แม่บอกว่าเขาจะมาเป็นพี่ชายของฉัน และฉันก็ต้องเป็นน้องสาวของเขา
          ฉันกับแม่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพ่อพี่อาร์ท ที่บ้านนี้อบอุ่นและน่ารักมาก พ่อเลี้ยงมักจะซื้อของเล่นมาเอาอกเอาใจฉันสารพัด ฉันก็มักจะชวนพี่อาร์ทเล่นเสมอ แต่พี่ชอบอ่านหนังสือภาพเด็กหรือนิทานให้ฉันฟังมากกว่า

          ตอนที่ไปโรงเรียนใหม่ครั้งแรกนั้น ฉันเข้าเรียนที่อนุบาลสอง ส่วนพี่อาร์ทก็เรียนอยู่ชั้น ป.1 ที่นี่มีทั้งเด็กหญิงและเด็กชายเยอะแยะไปหมดเลย ฉันเข้าไปผูกมิตรกับเด็กผู้หญิงจำนวนหนึ่งแล้วเราก็มักจะเล่นตุ๊กตากันเสมอ พอตอนกลางวันพี่อาร์ทก็จะมาหาฉันทุกวัน ความเป็นห่วงเป็นใยของพี่ชายทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจเหลือเกิน ฉันเชื่อว่าพี่อาร์ทรักฉัน
          วันหนึ่งในตอนกลางวันหลังจากที่กินข้าวแล้ว มีพวกเด็กผู้ชายเข้ามาแกล้งฉัน ทั้งดึงผมเปีย ทั้งเอาปากกาเมจิกเขียนหน้าจนฉันร้องไห้เสียงดัง พอพี่อาร์ทเห็นก็รีบจัดการเด็กพวกนั้นจนไม่กล้ามายุ่งกับฉัน พอพวกนั้นหนีไปแล้วพี่อาร์ทก็จะกอดฉันเอาไว้พร้อมกับพูดอย่างอบอุ่นว่า "จินไม่ต้องกลัวนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรพี่จะปกป้องจินเองนะ"
          แล้วพี่อาร์ทก็ทำตามอย่างที่บอกจริงๆ ทั้งไปซื้อซาลาเปาฝั่งตรงข้ามบ้านมาให้ฉัน เพราะฉันกลัวหมาที่อยู่ฝั่งนู้น แล้วถ้ามีใครมาแกล้งฉันอีกพี่อาร์ทก็จะจัดการทุกราย พี่ทำแบบนี้เป็นเวลาหลายปี

          คืนหนึ่งตอนที่ฉันเข้านอน พี่อาร์ทวิ่งเข้ามาในห้องฉันพร้อมกับหนังสือนิทาน "จิน! พี่ได้หนังสือนิทานอันใหม่ล่ะ ^o^ พี่จะอ่านให้จินฟังก่อนนอนนะ"
          "เรื่องอะไรเหรอคะ"
          "เรื่องซินเดอเรลล่า" พี่อาร์ทบอกก่อนจะอ่านเรื่องนี้ให้ฉันฟังอย่างสนุกสนาน เนื้อเรื่องช่างสนุกเหลือเกิน ฉันตื่นเต้นไปกับเรื่องนั้นมากจริงๆ จนกระทั่งพี่อาร์ทเล่าจบ "แล้วซินเดอเรลล่ากับเจ้าชายก็อยู่กันอย่างเป็นสุขชั่วนิรันดร์"
          "สนุกจังเลยค่ะ ^o^ พี่อาร์ทคะ! พี่อาร์ทเป็นเจ้าชายนะคะ แล้วจินจะเป็นซินเดอเรลล่าเอง! เราสองคนจะอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุขชั่วนิรันดร์น้า!" ฉันพูดพร้อมกับชูนิ้วก้อย พี่อาร์ทเห็นแล้วจึงยิ้มกว้างก่อนจะเกี่ยวก้อยสัญญากับฉัน
          "พี่สัญญา"

         แม้ว่าจะนานเท่าไหร่ความรู้สึกที่ฉันมีต่อพี่อาร์ทก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งตอนที่พี่อาร์ทเรียนอยู่ ม.ปลาย มักจะคุยโทรศัพท์บ่อยมาก สีหน้าของพี่ตอนที่คุยนั้นดูเป็นสุข พอคุยเสร็จฉันก็เข้าไปถามพี่อาร์ททันที "คุยกับใครเหรอคะ"
          พี่อาร์ทหน้าแดงขึ้นมา ก่อนจะยิ้มแล้วบอกว่า "อ๋อ เพื่อนของพี่น่ะ ^__^"
          แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะวันหนึ่งพี่อาร์ทก็พาผู้หญิงคนหนึ่งมาที่บ้าน เธอชื่อแก้ว เธอแนะนำตัวว่าเป็นแฟนกับพี่อาร์ทนั่นทำให้หัวใจของฉันแตกสลาย
          ฉันรู้สึกโกรธพี่อาร์ท และรู้สึกเศร้า จนต้องไปร้องไห้ในห้องน้ำ
          พี่อาร์ทรักฉันแบบน้องสาว
          น้องสาวคนหนึ่ง
          แม้ว่าฉันจะมีผู้ชายมาจีบเหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่สนเลย ฉันรักพี่อาร์ทอยู่คนเดียว แม้จะรู้ว่าพี่อาร์ทไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันกับฉัน แต่หัวใจของฉันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

          พอพี่อาร์ทเรียนจบ ม.6 แล้วก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ฉันรู้ว่ามีสาวๆ มากมายมาจีบพี่อาร์ท แต่ดูเหมือนพี่อาร์ทจะไม่สนใจเท่าไหร่ จนกระทั่งตอนที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยนั้นเอง ฉันก็มีเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อนุ่น เธอเป็นคนสวย เราสนิทกันเร็วแล้วเธอก็มักจะมาเที่ยวบ้านฉัน วันหนึ่งพอเธอกลับไปหลังจากมาเที่ยวที่บ้านแล้ว พี่อาร์ทก็เข้ามาคุยกับฉัน
          "จิน ช่วยเป็นแม่สื่อให้พี่กับนุ่นหน่อยสิ"
          "อะไรนะ!"
          "ก็นุ่นเขาน่ารักมากเลยนี่นา ช่วยหน่อยน้าาา น้องพี่! ^o^"
          ฉันไม่อยากทำเลย รู้สึกเสียใจเหลือเกิน แต่ฉันรักพี่อาร์ทมาก ไม่อยากขัดใจ ฉันจึงตอบตกลงไปพร้อมรอยยิ้มทั้งที่ภายในใจของฉันมันแหลกเหลวไปหมดแล้วฉันต้องคอยเอาจดหมายของพี่อาร์ทไปให้นุ่น บางทีก็มีของขวัญ การที่ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำนั้นมันทรมานเหลือเกิน จนในที่สุดทั้งสองคนนั้นก็ได้เป็นแฟนกัน
          ฉันหึง แต่ก็ทำใจยอมรับแต่ไม่ใช่เพราะเพื่อนสนิทที่เป็นแฟนกับพี่ชาย
          แต่เพราะเพื่อนสนิทเป็นแฟนกับคนที่ตัวเองรักรักมากที่สุดในโลกนี้
          พอทำใจยอมรับได้แล้ว ฉันจึงได้ยอมเป็นแฟนกับผู้ชายที่เข้ามาจีบบ้าง ฉันรู้ว่าฉันชอบเขา แต่ไม่ได้รักเขาเลย พี่อาร์ทนั้นพอเห็นฉันมีแฟนก็หึง แต่ฉันรู้ดีว่าเขาหึงฉันแบบน้องสาว
          ฉันมักจะคิดอยู่บ่อยๆ ในตอนกลางคืนถ้าเรารักเขาเราก็น่าจะบอกเขาไปเลย แต่ฉันทำไม่ได้ เพราะเราเราเป็นพี่น้องกันคำว่ารักของฉันรักที่ฉันมีต่อเขาฉันไม่สามารถที่จะเอ่ยได้เลยตลอดชีวิตนี้

          พอพี่อาร์ทเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ก็ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอเมริกา พ่อแม่และฉันไปส่งพี่อาร์ทที่สนามบิน ฉันร้องไห้ที่ต้องจากกับพี่ พี่เองก็ร้องไห้เหมือนกันก่อนจะกอดฉันแน่น "เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีกนะ อย่าห่วงเลยนะจิน! พี่รักจินนะ" พี่บอก
          "จินก็รักพี่" ฉันบอก แต่พี่อาร์ทคงเห็นว่าฉันพูดรักในฐานะน้องสาวเหมือนกับที่เขาพูดในฐานะพี่ชายนั่นแหละ พี่ไม่รู้หรอกว่าคำพูดเมื่อกี้ของฉันคือสิ่งที่อยู่ภายในหัวใจ แต่ฉันไม่อาจจะบอกได้ว่า ฉันรักเขาอย่างไร 
          พอพี่อาร์ทไปแล้ว พี่ก็ส่งจดหมายมาเสมอ บอกว่าอยู่ที่นั่นเป็นอย่างไร มีความสุขแค่ไหน แม้จะมีจดหมายมาแต่พี่อาร์ทก็ไม่ได้กลับมาเลย ฉันคิดถึงพี่อาร์ทเหลือเกิน พอพี่อาร์ทจบปริญญาโทแล้วก็ฝึกงานอยู่ที่อเมริกาเหมือนเดิม
          วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ก็เห็นบุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายมาไว้หน้าบ้าน ฉันจึงรีบวิ่งออกไปเอาทันที รู้ว่าเป็นจดหมายของพี่อาร์ทแน่ๆ!
          แต่พอฉันแกะออกดูฉันก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
          มันเป็นบัตรเชิญงานแต่งงาน

          พี่อาร์ทรู้จักกับผู้หญิงคนนั้นตอนที่เรียนอยู่อเมริกา เธอเป็นลูกครึ่งไทย - อเมริกัน พอพ่อแม่และฉันบินไปที่อเมริกาเพื่อร่วมงานแต่งงานแล้ว ฉันก็เห็นพี่อาร์ทที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและดูดีขึ้นในชุดเจ้าบ่าว กับผู้หญิงที่สวยมากที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา
          งานเลี้ยงในงานแต่งงานนั้นช่างหรูหราเหลือเกิน พอพี่อาร์ทเต้นรำกับเจ้าสาวแล้ว ก็มาชวนฉันเต้นรำต่อ ฉันจินตนาการว่านี่คืองานแต่งงานของฉันกับพี่อาร์ทแต่มันไม่ใช่
          "ยินดีด้วยนะคะพี่" ฉันพูด
          "ขอบคุณนะจิน ^__^" พี่อาร์ทบอก
          แล้วพี่อาร์ทก็ได้อาศัยอยู่ในอเมริกากับผู้หญิงคนนั้น เวลาผ่านไปหลายปีจนฉันอายุสามสิบกว่าแล้วฉันก็ยังไม่แต่งงานทั้งๆ ที่เคยมีคนมาสู่ขอแต่ฉันไม่อยากจะฝืนใจตัวเอง ฉันไม่เคยรักใครเลยจริงๆไม่เคยรักใครเลยนอกจากพี่อาร์ทพี่ชายของฉัน

          อีกหลายปีผ่านไปจนฉันอายุ 40 แล้ว ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาที่บ้าน แล้วพูดกับฉันด้วยสำเนียงที่ไม่ชัดนัก "คุณอาจินใช่มั้ยครับ"
          "เอ่อจ้ะ เธอเป็นใครกันจ๊ะ"
          "ผมชื่อพอลครับ เป็นลูกชายของคุณพ่ออาร์ทครับ เอ้อ! สวัสดีนะครับคุณอา!" เด็กคนนั้นพูดพลางยกมือไหว้ แล้วก็มีชายรูปร่างสูงคนหนึ่งเดินมาข้างหลังเขา
          ฉันรู้ทันทีเลยว่าใคร
          "พี่อาร์ท"
          "ไม่เจอกันนานเลยนะจิน ^__^"
          แม้พี่จะอายุ 42 แล้วแต่ก็ยังดูดีอยู่ พี่เล่าให้ฟังว่าภรรยาของพี่ป่วยและเสียชีวิตแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน แล้วตอนนี้ก็กลับมาเยี่ยมพ่อแม่และฉันเพราะรู้สึกคิดถึง พี่บอกว่าจะค้างที่นี่สักวันหนึ่ง แล้วจะกลับไปอเมริกาในวันพรุ่งนี้
          วันต่อมาที่สนามบินฉันก็ไปส่งพี่อาร์ทและพอล ก่อนไปพี่อาร์ทกอดฉันไว้เหมือนกับเมื่อ 20 ปีก่อนไม่มีผิด ฉันร้องไห้ออกมา ส่วนพี่อาร์ทก็น้ำตาซึม ก่อนจะส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ฉัน "จดหมายนี่ไปอ่านตอนที่กลับไปบ้านแล้วนะพี่เขียนไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน อยากจะให้จินอ่านมาตลอด"
          ฉันรับจดหมายนั้นก่อนมองหน้าพี่ "ค่ะ"
          เครื่องบินที่พี่อาร์ทนั่งอยู่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉันมองมันก่อนจะโบกมือจนมันลับตาไป

          พอกลับมาบ้านแล้วฉันก็เปิดจดหมายออกอ่านทันที กระดาษนั้นแม้จะนานแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับเปื่อย กลิ่นหอมเก่าๆ ของมันทำให้ฉันนึกถึงอดีต ฉันเริ่มต้นอ่าน
          "วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2528
          จิน พี่ไม่รู้ว่าจะให้จดหมายกับจินนี้เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้พี่ยังไม่มีความกล้าพอที่จะให้เราต่างก็เป็นพี่น้องที่รักกันมาก พี่รู้ว่าจินรักพี่มากแต่ก็รักแบบพี่ชายเท่านั้นจินรู้มั้ยว่าพี่รักจินไม่ใช่น้องสาว แต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
          พี่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เราสองคนจะรักกัน พี่รู้สึกหึงเมื่อจินมีแฟน รู้สึกเจ็บเมื่อจินเสียใจ แต่พี่ก็แค่ทำหน้าที่ของพี่ชายที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น พี่รักจินมาตลอดเลยนะรู้มั้ยที่พี่มีแฟนเพราะอยากจะให้ตัวเองเลิกรักจิน แต่พี่ก็ทำไม่ได้ ตอนที่พี่ขอให้จินเป็นแม่สื่อนั้น ความจริงพี่ก็แค่อยากทดสอบว่าจินคิดเหมือนพี่หรือเปล่า มันงี่เง่ามากใช่มั้ยล่ะแต่จินก็ไม่ได้ทำท่าทางที่พี่หวัง จินแค่ยิ้มให้พี่เท่านั้น
          ก่อนที่พี่จะมาอเมริกา รู้มั้ยว่าตอนที่พี่บอกว่ารักจินนั้นพี่พูดออกมาจากใจจริงใจที่รักจิน รักเหลือเกิน แต่จินคงฟังเป็นว่ามันเป็นคำที่พี่ชายพูดกับน้องเท่านั้นเองสินะพี่อยากรู้เหลือเกินว่าจินเคยคิดเหมือนพี่บ้างมั้ย
          จินจำได้มั้ยตอนนั้นที่จินบอกว่าจะให้พี่เป็นเจ้าชายและจินเป็นซินเดอเรลล่า เราเกี่ยวก้อยสัญญากันใช่มั้ยว่าเราจะอยู่กันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์ พี่อยากจะให้มันเป็นจริงเหลือเกิน
          หวังว่าสักวันหนึ่งจินคงจะได้อ่านจดหมายนี้ หลังจากที่อะไรๆ มันคงจะไม่สายเกินไป หากว่าพี่มีความกล้าพอกล้าที่จะเปิดเผยความในใจออกไปให้รู้
          จากคนที่รักเธอ"

          ฉันเก็บจดหมายนั้นลงในตู้ลิ้นชัก น้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนจะไม่มีวันหมดฉันไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าพี่เองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับฉันแต่เราต่างก็พูดออกมาไม่ได้ไม่ใช่เพราะเราเป็นพี่น้องกัน ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เพราะสิ่งนี้แต่เป็นเพราะเราต่างก็ไม่มีความกล้าพอ
          และทุกสิ่งทุกอย่างมันก็สายเกินไป				
29 มีนาคม 2547 00:45 น.

ตัดบัวยังเหลือใย ตัดใจยังเหลือรัก

Nonmin

          ฉันกับชินรู้จักกันมาตั้งแต่ปี 1 ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ฉันเรียนคณะนิเทศศาสตร์ ส่วนชินเรียนคณะศึกษาศาสตร์ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเราไปด้วยกันไม่ได้ แต่เราก็ยังดื้อรั้น เราคิดที่จะพยายามทำให้ถนน 2 สายเป็นสายเดียวกัน
          ทำไมถึงงี่เง่าแบบนี้นะ
          ชินตั้งใจที่จะไปเรียนต่อที่อเมริกาเมื่อจบการศึกษา ส่วนฉันยังคงอยู่ที่ประเทศไทย ฉันสัญญากับเขาว่าจะรอ จนกว่าเขาจะกลับมา
          ในระหว่าง 2 ปีนี้ที่ได้รอเขา เราติดต่อหากันเสมอ แต่ระยะหลังๆ กลับค่อยๆ หายไป ชีวิตฉันนอกจากการทำงานนั้น ฉันละทิ้งแทบทุกอย่างที่ผ่านมา แต่พยายามทำทุกอย่างขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะมีชีวิตใหม่กับเขา ใครๆ ก็คิดว่าฉันโง่ ฉันไม่สนหรอกว่าใครจะว่ายังไง
          เมื่อเวลาผ่านไป ฉันจึงได้รู้ว่าที่ทำมาตลอด 2 ปีไม่มีความหมายอะไรเลย
          ฉันไปซื้อของที่ห้างแห่งหนึ่ง เมื่อเดินผ่านร้านอาหาร ฉันพบกับผู้ชายคนหนึ่งที่คุ้นหน้ามาก เขาทานอาหารกับหญิงสาว ทั้งคู่ดูสนิทสนมกัน เรียกได้ว่าเป็นคู่รักกัน ฉันเริ่มค่อยๆ จำใบหน้านั้นได้
          "ชิน"
          เขามองกลับมา และคงรู้ว่าเป็นฉัน เพราะแววตาของเขาแสดงออกถึงความตกใจและคาดไม่ถึง
          คืนนั้น เตียงของฉันรับด้วยน้ำหนักจากร่างกายของฉัน หมอนที่ฉันหนุนทุกคืนชุ่มไปด้วยน้ำตา ฉันเสียใจมาก เมื่อชินได้แสดงแววตาแบบนั้น ฉันจึงรู้ว่าเขาไม่อยากเจอฉัน ก็เขามีผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว
          ตัดใจในสมองฉันคิดแต่เรื่องนี้
          "ตรู๊ดตรู๊ด" เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ฉันเช็ดน้ำตา น้ำมูก พยายามทำเสียงให้เป็นปกติแล้วรับโทรศัพท์
          "ฮัลโหล"
          "เดเหรอ?" ชินเสียงของชิน "คือขอโทษนะ ที่ฉันไม่ได้รักษาสัญญา เดเรามาพบกันที่สวน XXX ได้มั้ย"
          ตอนนั้นฉันพูดอะไรไม่ออกแล้ว จึงตอบเหมือนคราง อืออือ ไปเบาๆ เขาคงอยากพูดอะไรกับฉัน ฉันคิดว่าพรุ่งนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่เราได้พบกัน ฉันต้องไปไปพบเขา
          เมื่อเรามาพบกัน เขาก็ได้แต่พูด ขอโทษ ขอโทษ ที่ฉันทำแบบนี้ จนฉันทนไม่ไหว
          "พอเถอะ!" ฉันพูดแล้วยิ้ม "ฉันเข้าใจ อย่าคิดมากอีกเลย! ถ้าไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงคนนั้น เราคงไปกันไม่ได้อยู่แล้ว เรามีทางคนละทาง เธอไปทางนั้น ฉันไปทางนี้ มันอยู่ที่จุดหมายปลายทางของเราตะหาก เราอย่าโทษใครเลยนะมันเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเหมือนคนทั่วๆ ไป เราพบกันเพื่อจากกัน เฮ้อ พอเถอะนะลาก่อน! เราจากกันตรงนี้แหละ!" เรายิ้มให้กันอีกครั้งก่อนจะเดินแยกกันไป
          รอยยิ้มของฉันค่อยๆ เลือนหาย กลายเป็นน้ำใสๆ อุ่นๆ ที่ไหลลงมาจากตา ฉันรู้ สักวันหนึ่งฉันต้องมีชีวิตที่เป็นของตัวเอง ไม่ขึ้นอยู่กับใคร แต่ถึงจะตัดใจกับรักในครั้งนี้ ถึงคำว่า "รัก" ที่เคยมีให้เขาจะลดน้อยลง ยังไง มันก็คงเหลืออยู่ ฉันตัดความรักออกไปหมดไม่ได้ เหมือนที่โบราณบอกไว้ "ตัดบัวยังเหลือใย ตัดใจยังเหลือรัก"
          ฉันขอให้รักที่เหลืออยู่นั้น กลายเป็นรักที่ดีแบบมิตรภาพของเพื่อน ขอให้มันเป็นแบบนั้นสักวัน
				
3 มีนาคม 2547 22:10 น.

รักสามเส้า ระหว่างเราสามตัว…

Nonmin

           ในฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่น นกเอี้ยงตัวเมียสีดำ ตาใสแป๋วตัวหนึ่งได้บินมาที่ทุ่งนาแห่งหมู่บ้านดึ๊กดึ๋ย หล่อนได้มาหาแมลงกินอย่างสุขใจ แต่แล้วก็เห็นแมลงตัว ห-ญ่-า-ย-! กำลังเกาะอยู่บนหลังของกระบือตัวผู้ผู้งามสง่า นกเอี้ยงของเราจึงได้บินไปกินแมลงบนหลังของกระบือผู้งามสง่า พลางส่งสายตาหวานแหววให้ 
 และในทุกๆ วัน นกเอี้ยงก็จะมาหาแมลงกินที่ทุ่งนานี้เป็นประจำ และเธอก็จะคุยจ้อกับกระบือผู้งามสง่าอย่างสุขใจ วันหนึ่งกระบือตัวนี้ได้กล่าวชมออกมาว่า
          "น้องเอี้ยง รู้มั้ยว่าเดี๋ยวนี้น้องดูสวยขึ้นนะ"
          นกเอี้ยงหน้าแดง หัวใจเต้นตึกตักตึกตักตึกตัก "เราเป็นอะไรไปนะ ทำไมหัวใจถึงได้สั่นเช่นนี้" นกเอี้ยงรำพึงในใจ และเธอได้เก็บไปฝันทุกคืนและในที่สุด เธอก็ได้รู้ว่า เธอหลงรักกระบือผู้งามสง่าไปเสียแล้ว! โอ๊วหม่ายก๊อด!!!!!
          นกเอี้ยงจึงได้มาระบายความในใจให้ตุ๊ดเห็บแห่งทุ่งนานี้ฟัง เมื่อตุ๊ดเห็บได้ฟัง จึงร้องออกมา
          "อ๊า! เธอเธอมาชอบคุณกระบือของฉันไม่ได้นะ เพราะว่าเพราะว่าฉันรักคุณกระบือมาตั้งนานแล้ว!!!!!!!" สิ้นเสียงร้องอันดังโหวกเหวกไม่เข้ากับตัว กระบือผู้งามสง่าหันขวับมา เขาเดินมาหานกเอี้ยงและตุ๊ดเห็บ เมื่อไถ่ถามจึงได้รู้ความจริง
          "นี่!" กระบือพูด พลางก้มหน้า "เราจะให้มันเกิดรักสามเส้าไม่ได้นะ ฉันไม่อยากจะให้ใครแตกคอกัน เข้าใจม๊าย!!!!!!!!!!!!!" กระบือผู้งามสง่าว่าพลางวิ่งหนีไป นกเอี้ยงกับตุ๊ดเห็บมองไปที่กระบืออย่างเศร้าใจ พอหันหลับมามองกันอีกที ก็
          "เชอะ!" 
          วันแล้ววันเล่ากระบือก็ยิ่งห่างเหิน หมางเมิน ไปเรื่อยๆ จนนกเอี้ยงและตุ๊ดเห็บเกิดความรู้สึกเศร้า จึงได้มาปรึกษากันใต้ต้นขนุน
          "เราจะทำยังไงกันดี ฉันนึกไม่ออกเลย!" ตุ๊ดเห็บว่า
          "นั่นสิ ฮึ คุณกระบือเขาไม่สนใจเราเลย ฮือๆๆๆ ฉันกลัวว่าเขาจะไปหลงรักนังควายที่มาใหม่จังเลย ฮือๆๆ" นกเอี้ยงร้อง ตุ๊ดเห็บก็ร้อง ทั้งสองกอดกัน (ได้ไงฟะ) เพื่อทำใจ
          ปิ๊ง!
          โอ๊ะ อยู่ๆ ทั้งนกเอี้ยงและตุ๊ดเห็บก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นเมื่อได้สัมผัสกันเช่นนี้ "เห็บ" "เอี้ยง"
          วันต่อมาทั้งสองได้เดินกอดกันไปพบกระบือผู้งามสง่าซึ่งกำลังกินหญ้าอย่างสุขใจ กระบือหันมามองทั้งที่ยังเคี้ยวหญ้าอยู่ พอเขาเห็นดังนั้นเขาถึงกับชะงัก
          "เราแก้ปัญหาได้แล้วนะจ๊ะ พี่กระบือ เราสองคนรู้ว่าถึงอย่างไรพี่กระบือก็คงจะไม่สนใจเรา" นกเอี้ยงพูด
          "ใช่แล้ว" ตุ๊ดเห็บว่าโอ้ ไม่สิ ต้องเรียกคุณเห็บต่างหาก ตอนนี้เขาไม่ใช่ตุ๊ดแล้วนะ!
          "ตกลงเราสองคน เอ๊ย สองตัวเป็นแฟนกันแทนจ้า~!" ทั้งสองร้องพร้อมกัน 
          "อ้วก!!" กระบืออ้วกออกมาทันทีทันใด
          จบ!!! แต๊นแตนแตนแต่น 
          Spacial Thanks  
          ต่อง & ทิพย์ = ขอบคุณที่ช่วยคิดเรื่องขึ้นมานะ ทำให้เรามีเรื่องสั้นขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถึงยังไงความดีความชอบก็เป็นของพวกเธอเพราะพวกเธอคิด ไม่ใช่เรา อืมไม่รู้คนอื่นจะว่าไง แต่สำหรับเราเรื่องนี้น่ารักดีนะ ฮิฮิ
          เพื่อนๆ แห่งห้อง ม.2/8 ร.ร. สตรีฯ ตราด = ขอบคุณที่อ่านตรงที่เราเรียบเรียง เพราะพวกเธอช่วยชมติเตียน เพื่อให้เราแก้ไขเนื้อเรื่องก่อนจะมาเอามาลงที่นี่ และการที่ทำให้เราเรียบเรียงเรื่องของต่องกับทิพย์ได้ดีขึ้นนี้แหละ ทำให้เจ้าสองคนนั่นภูมิใจเมื่อได้ฟังที่เราอ่านอะนะ ขอบคุณแทนต่องกับทิพย์ด้วยละกันนะ เพื่อนเอ๋ย!
          และขอบคุณคุณ ใช่! คุณนั่นแหละ! คุณที่อ่านเรื่องที่เราพิมพ์นี้นี้ และคุณที่อ่านและลงความคิดเห็นให้แก่หน้านี้ เพื่อให้พวกเราพยายามคิดๆๆๆ ต่อไป ขอบคุณมากๆ ค่ะ =^/I^=				
3 มีนาคม 2547 22:09 น.

ขอแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด...

Nonmin

           เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่ฉันอยู่ ม.4 ฉันเป็นเด็กที่หัวไม่ค่อยดีนัก แต่ค่อนข้างขยันและเอาใจใส่ในเรื่องของการเรียน เมื่อขึ้นมาอยู่ ม.ปลายนี้ ฉันจึงต้องเตรียมตัวหนักขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะต้องเข้ามหาวิทยาลัยในอีกไม่ช้านี้ และในตอนนั้นเองที่แม่ของฉันแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของท่านและลูกชาย ซึ่งโตกว่าฉัน 4 ปี กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย
          เมื่อแรกที่ฉันได้เจอ ฉันก็รู้สึกชอบผู้ชายคนนี้ขึ้นมาทันที เรียกว่า Love at first sight นั่นแหละ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก หน้าตาคมเข้ม พอได้พูดคุยฉันก็รู้สึกว่าคนนี้แหละ ใช่เลย เขามักจะติวหนังสือให้ฉันตอนที่ใกล้สอบ และยิ่งเราใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองรักผู้ชายคนนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าเขามีแฟนแล้ว เป็นสาวสวย ดาวมหาวิทยาลัย แต่ไม่เป็นไร ขอได้อยู่ใกล้กันแค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว
          และเมื่อปีก่อนนี้เอง ที่ฉันต้องเจอเรื่องนี้
          ตอนนั้นพ่อแม่ฉันและพ่อแม่เขาไปงานเลี้ยงกัน และฉันก็มาที่บ้านเขาตอนสามทุ่มเพื่อเอาหนังสือที่ขอยืมไปมาคืน ฉันกดกริ่งแต่ไม่มีใครออกมา จึงถือวิสาสะเดินเข้าไป แล้วฉันก็มาเจอเขานั่งทำหน้าเศร้าอยู่บนเตียงในห้อง ฉันเดินเข้าไปช้าๆ และถามว่า
          "เฮ้! เป็นอะไรไปเหรอ" เขาหันมามองฉัน แล้วดึงฉันนั่งลงข้างๆ 
          "เธอเคยอกหักมั้ย" เขาถามเสียงเบาๆ ฉันส่ายหัวทันที อ้อ รู้แล้วว่าเป็นอะไร ฉันตบหลังเขาเบาๆ พลางพูดเป็นกำลังใจให้เขา
          "อย่าไปคิดมากเลยนะ ทำใจให้สบายๆ ดีกว่า คุณยังมีเพื่อนๆ และคนอื่นๆ อีกตั้งเยอะแยะไป" เมื่อเขาได้ฟังก็หันมาทางฉัน แล้วอยู่ๆ ก็เอ้อ มันเป็นเพียงการเริ่มต้นน่ะ ศีรษะของเขามาอยู่บนอกฉัน เขาโอบมือรอบเอวฉัน ตอนนั้นฉันรู้ว่าฉันขัดขืนไม่ได้ และยิ่งรู้ว่าเขาเศร้าฉันจึงกอดเพื่อปลอบใจ โดยไม่คิดว่าจะมีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ แต่เขาก็
          แต่ฉันก็ไม่ได้กรีดร้องหรือขัดขืนออกมา หวังว่าคุณคงเข้าใจนะ ต่อให้เรารักเขามากแค่ไหน แต่เราไม่อยากทำให้เขาเสียความรู้สึกน่ะจริงๆ นะ
          ฉันตื่นขึ้นมาในตอนตี 3 แล้วรีบแต่งตัวกลับบ้านทันที รู้สึกดีที่ตอนนั้นพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้น ฉันคงเดือดร้อนแน่ๆ แต่ถึงยังไงฉันก็เดือดร้อนอยู่แล้ว เพราะ 2 เดือนหลังจากนั้น ฉันก็คลื่นไส้อาเจียนบ่อยๆ ฉันลูบท้องตัวเองและเดินทางไปโรงพยาบาล
          "ยินดีด้วยค่ะ คุณกำลังจะมีเด็ก" 
          เมื่อฉันได้ฟังก็ไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ เพราะฉันคิดไว้อยู่แล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ได้บอกพ่อแม่ จนท้องได้ 4 เดือน พ่อแม่จึงสังเกตว่าท้องของฉันมันใหญ่ขึ้น ฉันจึงยอมบอก พ่อกับแม่ตกใจมาก และในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งรู้สึกว่าฉันผิด ฉันไปพบเขาและเล่าเรื่องให้ฟัง ตอนนั้นเกิดปัญหาวุ่นวายกันใหญ่ เพราะฉันยังเรียนไม่จบ และเขาก็ยังเรียนอยู่ ตอนนั้นแม่ฉันและแม่เขาบอกว่าจะให้ฉันเอาเด็กออก ฉันกับเขาถึงกับน้ำตาซึม ฉันทำไม่ได้หรอก ฉันว่าว่ามันเท่ากับเป็นการฆ่าคนชัดๆ และเด็กคนนี้ก็คือลูกของฉันกับคนที่ฉันรัก ถึงใครจะว่ายังไง ฉันก็จะเลี้ยงลูกของฉันให้ดีที่สุด และในที่สุดทั้งครอบครัวฉันและครอบครัวเขาก็ตัดสินใจให้เราสองคนเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการหลังจากที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย
          และในเวลาต่อมา ฉันก็รู้สึกดีขึ้น ตอนนี้ฉันเลี้ยงลูกอายุ 8 เดือนที่ชื่อว่าน้องแฟง เขาคนนั้นตอนนี้เพิ่งเรียนจบและเริ่มทำงาน เขารักฉันและลูกของเรามาก คอยดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ ทั้งพ่อทั้งแม่ของเราสองคนก็เข้าอกเข้าใจเราดี พวกเขารักหลานคนนี้กันมาก มีบางครั้งที่ฉันรู้สึกแย่เมื่อนึกถึงวันเก่าๆ แต่เขากลับบอกให้ฉันเข้มแข็งเสมอ และเตือนว่าอดีตนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างมัน เราทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว 
          ฉันเชื่ออย่างนั้น จริงๆ ไม่ใช่แค่อดีตที่มันผ่านพ้นไป แต่อนาคตเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ฉันขอให้คุณจงทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะนึกเสียดายกับอะไรบางสิ่งที่เสียไป				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟNonmin
Lovings  Nonmin เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟNonmin
Lovings  Nonmin เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟNonmin
Lovings  Nonmin เลิฟ 0 คน
  Nonmin
ไม่มีข้อความส่งถึงNonmin