25 กันยายน 2549 16:50 น.

...โค้งดาบวงพระจันทร์...ภาคสอง

prajanyimm

โรงเตี๊ยม... ณ สุดขอบทางช้างเผือก 

ภายนอกดูโดดเดี่ยว หลังคาและผนังไม้บางส่วนก็ดูทรุดโทรมและผุพังไปตามกาลเวลา 
แต่กลับกลมกลืนกับทิวป่าไผ่ที่รายล้อม และแสงจันทร์ที่ไร้ดวงจันทร์ในยามนี้ 
ประตูทางเข้ายังมีร่องรอยแห่งการเข้าออกอย่างโชกโชน 
หนทางข้างหน้าทอดยาวไป คงยังอีกไกลพอๆกับความสับสนวุ่นวาย 
ช่างมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางเสียเหลือเกิน...อย่างน้อยก็ในห้วงเวลานี้ 

พายุฝนคงจะเริ่มเหนื่อยอ่อน เหลือเพียงเม็ดฝนยังร่วงหล่นมาเป็นริ้วๆ 
ร่างกายที่เปียกปอนถือโอกาสนำพาความคิดและดาบวงพระจันทร์คู่กายเข้ามายังโรงเตี๊ยม 
ก่อนที่มันจะยิ่งสับสนและสั่งการอะไรไปมากกว่านี้ 

ภายในกลับแตกต่างสิ้นดี ส่วางไสวราวกับจะประชดประชันแสงจันทร์ภายนอก 
ผู้คนหลากหลายอารมณ์ ระเบียงชั้นบนประดับประดาไปด้วยผ้าไหมและโคมไฟหลากสี 
โต๊ะนั่งไม้เนื้อแข็งถูกแกะสลักลวดลายมังกรและหงส์ด้วยช่างไม้ฝีมือดี 
ดอกไม้นานาพรรณในในแจกันเนื้อดีถูกจัดวางไว้ทุกโต๊ะ 
ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล เย้ายวนใจ จนแม่นางในชุดบางพริ้วต่างอดคิดอิจฉาไม่ได้ 

ข้ามิได้ชื่นชอบสุราดอก เพียงแต่ชอบบรรยากาศในการร่ำสุรามากกว่า 
พูดได้ดี พูดได้ดี เชิญดื่มอีกจอก.. แต่ข้าว่าท่านชอบแม่นางชุดแดงนั่นมากกว่ากระมัง.. 
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า... 
บุรุษที่มิชื่นชอบความงามของอิสตรี ย่อมมีเพียงบุรุษพิการตาบอดเท่านั้น... 
เชิญดื่ม..ดื่มแด่สหายผู้รู้ใจ 

สายลมยามราตรีพัดโชยผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วผ่านเลยไปยังบุรุษหนึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ผู้เดียว 
ร่างนั้นโงนเงนไปมา บ่นงึมงำ ราวกับกำลังต่อรองกับแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ 
สายลมแรกมิทันโชยสุดสาย พลันมีสายลมกระโชกรุนแรงตามมาอีกระลอก พร้อมกับใบไผ่สามสี่ใบ 
สายลมที่สองยังมิทันพัดสุดสายเช่นกัน ใบไผ่กลับแยกออกเป็นหลายส่วน พริ้วกระจายร่วงลงพื้น 
สิ่งหนึ่งกระทบแสงจันทร์วาบ แล้วพลันกระทบอีกสิ่งหนึ่งดังทึบ.... 

ฝนหยุดแล้วเหลือเพียงหยดหยาดฝนที่ทยอยหยดลงมาจากหลังคา..นอกหน้าต่างบานนั้น 
ใยหยดฝนจึงไม่ใสสะอาด ใยสีขุ่นข้นคล้ายสีโลหิตสดๆของมนุษย์ 
คงมีบางสิ่งสงบแน่นิ่ง ท่ามกลางแสงจันทร์อยู่บนหลังคาเป็นแน่... 

 ใยยังมีผู้มิชื่นชอบการร่ำสุรา กลับชื่นชอบความตาย.... เจ้าคงรู้ดีกว่าข้าซินะ 
 เพราะเจ้ามิชอบการร่ำสุรา ชื่นชอบรสชาติของความตายเช่นกัน.... ต่างกันที่เจ้าไม่มีวันตาย 
 ข้าอยากรู้นัก ขณะที่เจ้าบินไปในอากาศ เพื่อลิ้มรสมัน เจ้าจะรู้สึกต่างกับข้าในยามนี้สักเพียงใด 
 ยามไร้สติเช่นนี้ สัญชาติญาณกลับยิ่งแจ่มชัด หรือเป็นเพราะข้าคิดถึงนางมากเกินไป 
บุรุษโงนเงนผู้นั้นบ่นงึมงัมอีก พลางลูบไล้แผงห่อผ้าขนาดฝ่ามือที่วางอยู่ข้างไหสุรา 

เสียงเตร็ง..เต็ง ...แว่วมา แม่นางผู้หนึ่งกำลังปลดปล่อยมันออกมาจากกู่เจิ้งคู่กาย 
ราวกับ..ใช่..ราวกับเพื่อลิ้มรสจริตของผู้คนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ทุกๆคน...เช่นกัน 
น้องชาย...ขอหมั่นโถวสองลูก ผัดผักเจจานนึง......เอ่อ แล้ว..ช่วยเรียกแม่นางชุดแดงมาหาข้าด้วย 
 				
3 ตุลาคม 2547 01:56 น.

PUR-EM-US...กาลครั้งหนึ่ง...ปิรามิด ภาค " ปิรามิด"

prajanyimm

Peramis หรือ ปิรามิด ที่คนทั่วไปใช้เรียกกันมาตลอด คำคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ หลักฐานที่ถูกจารึกไว้ในกระดาษปาปิรุส ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมหรือตำนานของเทพเจ้า เช่น โอสิริส รา แต่มีอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ที่มาของคำว่า Peramis ซึ่งมีที่มาจากภาษากรีกว่า Pyramis และเชื่อกันว่าชาวกรีกโบราณถอดเสียงอ่าน มาจากเสียงที่แท้จริงของชาวอิยิปต์มากที่สุด จากกระดาษปาปิรุสเล่มที่มีชื่อว่า คณิตศาตร์ของราห์ย ที่ปัจจุบันเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษในกรุงลอนดอน จากบันทึกนั้นถอดออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า    Pur-Em-Us

Pur = พีร์ = เปลวไฟ
Em = อาม = โอม , อุม (การเปล่งเสียงในบทสวดโบราณ เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในการสังวัธยายมนตรา อันหมายถึงพลังสูงสุด)
Us = อีส , อัส , อุส , ซุส = การพุ่งขึ้นสู่ที่สูง

จากคำที่มีความหมายเหล่านี้ พีร์อามอีส หรือ..ปีรามิส คล้ายๆจะแปลได้ว่า เปลวไฟแห่งพลังที่พุ่งตรงขึ้นไปบนฟ้า
แต่พลังงานที่ว่ามาจากไหน และเกิดขึ้นได้อย่างไร..?

ปิรามิดจะทำงานร่วมกับสนามแม่เหล็กโลก และรังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์ พลังงานเหล่านี้จะสั่นสะเทือนเข้าไปยังใจกลางของปิรามิดที่ตำแหน่ง 1/3 ของความสูงในตัวปิรามิดเองตรงจุดนี้เองที่จะทำหน้าที่เป็นโพรงสั่นสะเทือน เหมือนกับเลนส์นูน ที่รวบรวมพลังมาไว้ที่จุดเดียวและปล่อยพลังงานออกมาที่จุดยอดนูนในรูปของพลังงานไฟฟ้าหรือแม่เหล็ก และในโพรงสั่นสะเทือนนี้จะมีคุณสมบัติในการรีดน้ำอย่างดี และมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีบางอย่างที่สัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของอนุภาคประจุไฟฟ้าลบ

กระบวนการนี้เริ่มจากปิรามิดจะรวบรวมเอาพลังงานจากสนามแม่เหล็กโลกและรังสีจากดวงอาทิตย์ ทำให้อากาศเปล่าๆ หรือ อะไรก็ตามที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ เกิดการสั่นสะเทือนและหมุนอย่างรวดเร็วของโมเลกุลขั้วคู่ของน้ำเสียดสีกันจนเกิดความร้อน (คล้ายกับการทำงานของเตาไมโครเวฟ) และถ้าหากวัตถุนั้นยิ่งแห้งสนิท (แม้แต่อากาศในท้องทะเลทราย) การสั่นสะเทือนนี้จะยิ่งรีดประจุไฟฟ้าสถิตย์ประเภทประจุลบจากวัตุถุนั้นออกมา (เหมือนหวีผมในหน้าหนาว) จนกระทั่งเกิดไฟฟ้าสถิตย์ และเมื่อมันสะสมอยู่อย่างมากมายภายในตัวปิรามิดและหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะเกิดแรงเคลื่อนประจุอันเนื่องมาจากศักย์ไฟฟ้า และไหลวนขึ้นไปข้างบนฟากฟ้าเป็นเกลียววนขนาดมโหฬาร ที่มีรัศมีเป็นสิบๆเท่าของรัศมีฐานปิรามิด

การขนย้าย หินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมหาศาลไม่ต่ำกว่า 2 ตันครึ่งเป็นจำนวนหลายล้านก้อน แต่ละก้อนนักที่วิชาการปัจจุบันหาวิธีขนย้ายไม่ได้ แน่นอน ถ้าพวกที่ก่อสร้างใช้แค่เครนหรือปั้นจั่นธรรมดาคงสร้างไม่ได้แน่ๆ เรามาคิดถึงพลังเกลียววน (เราเรียกมันว่าเกลียวก้นหอย) มันเป็นพลังงานที่วนขึ้นที่สูงและมีความถี่สูงมากๆ และถ้ายิ่งมีการผสานพลังที่มาจาก 2 ทางในทิศที่ตั้งฉากด้วยแล้วละก็..แรงลัพท์ที่ได้จะเป็นพลังงานเกลียววนในทิศทางใหม่ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ที่ว่านี้เป็นปกติอยู่แล้วในธรรมชาติ และตอนนี้ก็รู้กันอยู่แล้วว่า สนามแม่เหล็กจากแท่งแม่เหล็กก็ดี หรือสนามแม่เหล็กโลกก็ดี ไม่ได้เกิดจากที่แม่เหล็กส่งแรงอะไรไปดึงดูดวัตถุรอบๆตัวมันหรอก แต่เป็นเพราะ วัตถุเหล่านั้นไหลไปตามสนามแรงแม่เหล็กที่กระจายออกมาจากแท่งแม่เหล็กเอง

สนามแม่เหล็กที่กระจายออกมา มีลักษณะเป็นเกลียวเล็กๆเมื่อวัตถุตกอยู่ภายใต้เกลียวก้นหอยนี้ก็จะเกิดการสั่นสะเทือน และถ้ามันสั่นสะเทือนด้วยความถี่เท่ากันกับสนามพลังแม่เหล็ก วัตถุนั้นก็จะเริ่มไหลไปตามสนามแม่เหล็กจนกระทั่งเข้าไปประกบติดกับตัวมัน ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
เหมือนกับที่ฟาราเดยค้นพบมาจากความบังเอิญที่เขาหมุนขดลวดในสนามแม่เหล็กเข้า นั่นเอง เพราะเมื่อแม่เหล็กส่งพลังที่เป็นเกลียววนออกมา พลังงานความถี่นี้จะพุ่งเป็นระนาบที่มีทิศทางคงที่อันหนึ่ง สมมุติ ให้หน้าระนาบดังที่ว่านี้มีทิศทางเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวา จากนั้น เมื่อฟาราเดย์หมุนขดลวดทองแดงในทิศทางจากบนลงล่าง ซึ่งจะทำให้แนวของขดลวดกวาดไปตามหน้าระนาบของสนามแม่เหล็ก และเราจะเห็นเป็นขดลวดทองแดง ฟาดลงไปเฉียงๆลงบนแนวคลื่นก้นหอยของสนามแม่เหล็ก 

และการฟาดครั้งนี้จะทำให้หน้าระนาบของพลังในทิศทางจากหลังไปหน้า ซึ่งจะทำให้เกลียวก้นหอยมีศักย์เป็นเกลียวใหญ่ขึ้น ร้อยเอาเกลียวก้นหอยของพลังงานสนามแม่เหล็กมีศักย์เป็นเกลียวเล็กอันมีหน้าระนาบจากซ้ายไปขวาเข้ามาล้อมรอบตัวมันไปจนตลอดการหมุน เมื่อพลังงานอยู่ในสภาพที่สมดุลย์ แรงลัพท์ที่เป็นเกลียวก้นหอยแนวใหม่เกิดขึ้นทันทีในทิศทางตั้งฉากกับระนาบพลัง 

กล่าวคือ..จะเป็นพลังที่มีระนาบเคลื่อนที่จากล่างขึ้นบน ซึ่งก็คือทิศทางการใหลของกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นภายในขดลวดทองแดงนั่นเอง นี่คือการทำงานของพลังงานที่อยู่ในปิรามิด แนวก้นหอยเล็กก็คือรังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์โดยปกติจะมีระนาบตามแนวตะวันออกและตก ส่วนเกลียวก้นหอยใหญ่ก็คือสนามแม่เหล็กโลก ก็จะมีระนาบปกติในแนวเหนือใต้และแรงลัพท์ที่เกิดขึ้นก็จะเป็นแนวล่างบน คือพุ่งขึ้นจากพื้นทะเลทราย ทีนี้พอจะทราบหรือยังว่า พวกเขายกหินหนัก 2 ตันครึ่งกันยังงัย..? นี่เป็นความคิดเห็นที่เราคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ ปิรามิดที่อยู่คู่กันข้างๆกีซา  มีไว้ทำไม ก็พลังงานจากปิรามิด สร้างปิรามิด วนเวียนกันไปเรื่อยๆ จากกำแพงยักษ์ ป้อม คู ประตู ค่าย กระจายกันอยู่ตลอดเส้นทางหลายร้อยหลายพันไมล์ตั้งแต่เอล กวาดอร์ ไปจนจรดชิลี เหล่าอารชนที่สร้างพวกนี้ ใช้วิธีใดกันแน่ที่ทำมันขึ้นมา หินหนักสองตันครึ่งตัดเรียบสนิทเอามาต่อเรียงกันขึ้นไปสูงเป็นร้อยๆฟุตโดยไม่ต้องใช้วัสดุผสานรอยต่อ และแม้แต่ลิ่มที่บางที่สุดก็ยังไม่อาจแทรกเข้าไปได้ อารยธรรมที่คาร์บอน 14 พิสูจน์ออกมาว่าผ่านมาเป็น 10,000 ปีแล้ว (กีซา) 

นิยามของมหาปิรามิด 

อาร์คิเมดิส นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก

ผลรวมระยะทั้ง 4 ด้านของฐานหารด้วย 2 เท่าความสูง = 3.1416 (ค่าไพ = 3.1428)
ค่าการวัดเป็นนิ้ว (Pyramidal Inch) สามารถคำนวณออกมาเป็นขนาดใกล้เคียงกับขนาดของโลกเช่น
50 นิ้วปิรามิด = 1 ใน 10 ล้าน ของแกนขั้วโลก
ผลรวมของด้านฐาน = จำนวนวันใน 1 ปี หรือ 365.240
สองเท่าของความสูงปิรามิดคูณด้วย 10,000,000 = ความยาวระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์โดยประมาณ
1 นิ้วปิรามิดคูณด้วย 10,000,000 = ค่าใกล้เคียงกับระยะทางของวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ (ค่าแตกต่างเพียงเล็กน้อยอธิบายได้ว่าความกว้างวงโคจรตอนที่สร้างกับตอนนี้แตกต่างกัน)
สองเท่าของความยาวด้านทั้งสี่ = 1 ลิปดา หากวัดเป็นเมตรจะได้ 1,824.92 แต่ปัจจุบันวัดได้ 1,842.78 (ต่างกัน0.14)
ความยาวรวมของเส้นทแยงมุมของฐาน = 25,826.6 (ใกล้เคียงกับปีครบรอบของแกนขั้วโลกที่กลับเข้าตำแหน่งเดิมในทุกๆ 25,827 ปี)
น้ำหนักของปิรามิดประมาณ 600,000 ตัน คูณด้วย 100,000,000,000,000 = น้ำหนักของโลกโดยประมาณ

---------------------------------------------------------------

ชาร์ล เพียซซี สมิธ นักดาราศาสตร์แห่งราชสำนักสก็อตแลนด์ ปี ค.ศ. 1865
ความยาวรอบฐาน หารด้วย ความกว้างของหินขัดโดยเฉลี่ย = 365 : เท่ากับจำนวนวันใน 1 ปี
ความยาวนิ้วปิรามิด = ความยาว 1 ใน 25 ส่วนของหินลาดปูพื้นฐานทางยกพื้นจากปิรามิดไปวิหารต่ำ หรือ 1 ใน 10,000,000 ของความยาวรัศมีโลก
ทางเดินเข้าไปภายในลาดเอียง 26 องศา 17 ลิปดา ทางเข้าปิรามิดตรงกับตำแหน่งดาว อัลฟา ดราโคนีส ทางขั้วโลกเหนือทุกประการ
และสันนิษฐานว่า จุดประสงค์ในการสร้างปิรามิดแห่งนี้คือการสร้างอภินิหารของพระเจ้าให้ปรากฏแก่ชาวโลก
และนอกจากนี้ยังได้ค้นพบวิธีคำนวณอายุของโลกในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ แต่นักวิชาการปัจจุบันไม่ยอมรับ

---------------------------------------------------------------

ดร.หลุยส์ อัลวาเรซ (รางวัลโนเบิลไพรซ์ สาขาฟิสิกส์ 1968)
ได้เดินทางไปทดสอบพลังบางอย่างในมหาปิรามิดพร้อมทีมงาน ผลปรากฏว่า เครื่องมืออันทันสมัยพร้อมกับแมกเนติกเทปที่ใช้บันทึกข้อมูลเสียหายหมด แม้จะทดลองซ้ำก็ไม่เป้นผลทั้งๆที่ก่อนทดสอบได้ตรวจสภาพและทดลองใช้มาก่อนอย่างดีแล้ว ข้อมูลต่างๆที่ได้ เลอะเลือนไปจนหมด
สรุปว่ามีแรงกระทำบางอย่างภายในที่มีคุณสมบัติเหนือกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ของโลกปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง


แผนที่ดวงดาว โดยนายโรเบิร์ต โบวัลกับนายเอเตรียม กิลเบิร์ต ได้ช่วยกันเขียนหนังสือ เรื่อง "ความลึกลับแห่งหมู่ดาวโอเรียน" ขึ้นมาเพื่อแจกแจงว่าบรรดาตำแหน่งที่ตั้งของบรรดาปิระมิดในทะเลทรายกิเซนั้น บังเอิญไปสอดคล้องกับตำแหน่งของหมู่ดาวโอเรียนบนท้องฟ้าเมื่อ 10,500 ปีก่อน ค.ศ. !!! โดยทั้งสองยืนยันว่าสิ่งก่อสร้างโบราณที่เรียงรายริมฝั่งแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ แผนผังหลัก (master plan) ของบรรดาดวงดาวบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น และแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ ตัวแทนของทางช้างเผือก (Milky Way) นั่นเอง 

โดยจะเห็นได้จากความสัมพันธ์ของจุดที่ตั้งมหาปิระมิดทั้งสามแห่งกิเซ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับตำแหน่งของดวงดาว 3 ดวง ที่ส่องสว่างที่สุดของแถบดาวโอเรียน ซึ่งในอียิปต์นั้นถือว่าเป็นดาวประจำตัวของเทพโอซิริส นอกจากนี้โบวัลกับกิลเบิร์ตยังชี้ให้เห็นว่าแกน "ระบายลม" ในปิระมิดก็มีมุมที่มีนัยสำคัญ นั่นก็คือ แกนทิศใต้ของห้องกษัตริย์จะชี้ตรงไปยังแถบดาวโอเรียน ในขณะที่แกนระบายลมของห้องราชินีจะชี้ไปยัง "กลุ่มดาวซิรีอุส" ดาวประจำตัวของเทพีไอซิส มเหสีของเทพโอซิริสนั้นเอง และเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า หลังจากองค์ฟาโรห์ทรงสิ้นพระชนม์ ดวงวิญญาณของพระองค์จะล่องลอยไปสถิตอยู่กับเทพโอซิริสในดวงดาวนั้น เพราะเทพโอซิริสมีพลังอำนาจในการกลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้งหลังความตาย 

Peramis องค์ใหญ่แห่งกีซา มีต้นกำเนิดคลื่นรังสีไมโครเวฟ หรือ นาโนเวฟ จากมุมทั้ง 5 ของโครงสร้าง เป็นการแผ่ขยายรังสีจากโมเลกุลหรืออะตอมของมวลสารภายใน พุ่งเป็นลำตัดตรงไปยังกึ่งกลางของแต่ละด้าน จุดกึ่งกลางที่ตัดกันนั้นคือจุดศูนย์กลางแห่งพลังงานอันมหาศาลที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้าง Peramis นั่นเอง

พลังงานจากปิรามิดที่เกิดขึ้นภายในจากมุมทั้ง 5 นั้น มีความสัมพันธ์กันกับดาวนพเคราะห์ด้วย ดวงดาวต่างๆ แรงดึงดูดของโลก และมวลสารทุกชนิดในจักรวาล พลังงานทั้งหมดนี้จะรวมกันที่จุดศูนย์กลางหรือบริเวณพื้นที่ที่สร้างเป็นห้องฟาโรห์ภายในปิรามิดนั่นเอง โมเลกุลหรืออะตอมภายในบริเวณนี้จะดูดพลังเหล่านี้ โดยระบบการถ่ายเทพลังซึ่งกันและกันตลอดเวลา ขณะที่มีพลังเพิ่มขึ้น วงโคจรของกระแสอิเล็กตรอนก็จะเริ่มขยายออก และยิ่งพลังถูกดึงดูดเก็บไว้ก็จะยิ่งเพิ่มกำลังขยายออกไปมากขึ้น ในบางครั้งมันคงจะมีอยู่จุดหนึ่งซึ่งถ้าพลังถูกดึงดูดเก็บไว้มากเกินไปแล้ว อะตอมภายในมวลสารคงจะสลายตัวแตกออกเป็นส่วนๆ และอิเล็กตรอนก็คงจะกระจัดกระจายออกไป ทำให้พลังงานถ่ายเทออกไปจากโครงสร้างปิรามิดไกลเกินกว่าที่จะดึงดูดไว้ได้
พลังงานลึกลับที่เกิดขึ้นนั้นเป็นพลังงานแบบเดียวกันกับพลังงานชี่ (Chi) ตามที่ชาวจีนโบราณเข้าใจ หรือพลังลมปราณ (Prana) ที่ชาวอินเดียโบราณรู้จัก หรือพลังงานอะตอม ตามแนวคิดของไอน์สไตน์ หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์และนัดคิดในปัจจุบันยังตีความไม่ออก แต่ก็ยังคงค้นคว้า และพยายามทดลองกันอย่างไม่ลดละโดยมีแนวความคิดเป็นสมมุติฐานใหม่ออกมา เป็นการเปิดประเด็นใหม่ ซึ่งพอจะแตกประเด็นได้ดังนี้


ประเด็นที่ 1  เฮนรี่ มอนทัต แห่งศูนย์ปฏิบัติการค้นคว้าซานเดีย เมือง อัลบูเควอร์เคว นิวเมกซิโก สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า พลังของปิรามิดอาจเกิดจากโครงสร้างของผลึกทางเรขาคณิตภายในองค์ปิรามิด แปรเปลี่ยนจากรูปแบบที่คงที่ (Static Geometry) ไปสู่รูปแบบที่ไม่คงที่ (Dynamic Geometry)  เขาให้เหตุผลว่า สสารและพลังงานต่างๆนั้นจะมีโครงสร้างของผลึกทางเรขาคณิตอยู่ 2 แบบ คือแบบคงที่และแบบไม่คงที่

ประเด็นที่ 2  ดร. นิโคไล โคเซอร์เอฟ นักฟิสิกส์แห่งรัสเซีย พลังเร้นลับอันนี้น่าจะเกิดจากพลังงานไทม์ พลังนี้จะก่อให้เกิดผลปฏิกริยาทางแม็คคานิก และทางเคมีต่อวัตถุได้ เป็นพลังงานที่ปรากฏได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นที่ใดภายในโลกหรือในห้วงจักรวาล ถือว่าเป็นพลังงานที่มีความสำคัญ และมีค่าทางธรรมชาติมากที่สุด และ ดร. การ์ดเนอร์ เมอร์ฟี่ ประธานสมาคมวิจัยพลังจิตแห่งอเมริกา ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า เมื่อเรามีความเข้าใจในพลังงานใหม่นี้แล้ว เราอาจเข้าใจพลังจิต ESP และพลังลึกลับได้ดีขึ้น ปฏิกริยาพลังงานอันนี้มีคุณสมบัติในการรักษาอินทรีย์สารให้คงรูปไม่เน่าเปื่อยได้อีกด้วย นอกจากนี้ พลังงานไทม์ยังทำงานสัมพันธ์กับพลังงานไบโอพลาสมาด้วย เป็นพลังที่ช่วยในการส่งเสริมและรักษาระบบของสสารทุกชนิด กล่าวคือ เพิ่มพลังงานให้มากขึ้นได้ เป็นพลังงานที่ตรงข้ามกับนิวเคลียร์ ดร. วิลเฮล์ม รีคซี ได้ทดลองพลังงานดังกล่าวแล้วพบว่า ไบโอพลาสมามีปฏิกริยาโต้ตอบรุนแรงกับสารกัมมันตรภาพรังสี

ประเด็นที่ 3  แมกซ์ ท็อต และ เกร็ก นีลเซน นักค้นคว้าพีรามิดชาวอเมริกันกล่าวว่า เกิดจากคลื่นไมโครคอสมิคจากดวงอาทิตย์ พลังแม่เหล็กโลก พลังแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ภายในโครงสร้างของพีระมิดนั่นเอง

ประเด็นที่ 4  ศาสตราจารย์ แอล. ดูเรนเน วิศวกรของฝรั่งเศษ พลังปิรามิดเกิดจากรูปทรงของมันเอง กล่าวคือ รูปทรงเป็นสิ่งเร่งพลังแห่งความสัมพันธ์ อันเกิดจากพลังงานชนิดต่างๆที่อยู่รอบๆ มารวมกันเข้า


ประเด็นที่ 5  กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาบอกว่า ปิรามิดเหมือนเลนส์ขนาดใหญ่ ดึงดูดเอาพลังลึกลับต่างๆไว้ทั้งหมด

ประเด็นที่ 6  เชื่อกันว่า รูปทรงของปิรามิดคล้ายคลึงกะรูปโครงสร้างแบบผลึกที่มีอยู่ในโมเลกุลของสสาร ซึ่งมีคุณสมบัติเกะยึดเหนี่ยว และเมื่อมันสลายตัว จะเกิดพลังงานขึ้น (อันนี้เป้นประเด็นใหม่สุดที่กำลังค้นคว้าและทดลองกันอยู่นะเจ้าคะ)

ประเด็นต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ยังหาเหตุผลและความหมายที่แท้จริงของกลุ่มพลังงานไม่ได้ ยังไม่มีใครพิสูจน์ออกมาได้ว่า มันคืออะไรกันแน่??? 

พลังงานอนันต์...
สามเหลี่ยมตั้งขึ้น หมายถึงโลก
สามเหลี่ยมคว่ำลง หมายถึง จักรวาล
ลากเส้นตรงมาจากมุมทุกมุม
จุดตัด
พลังงาน...สูงสุด
ขาดไปอย่างเดียวเท่านั้น..ตัวเชื่อมระหว่าง
ดินและฟ้า...

เรา เท่านั้นที่จะรู้....				
3 ตุลาคม 2547 01:45 น.

PUR-EM-US...กาลครั้งหนึ่ง...ปิรามิด ภาค " เรา "

prajanyimm

ณ แห่งใดแห่งหนึ่งในกาลเวลา เรา เคยไปสถานที่แห่งนั้น ล้วนเป็นสีขาวทั้งหมด คนแต่งชุดขาวหน้าตาสวยงามหมดจด และทุกคนให้เกียรติกัน เคารพยกย่องกัน ทุกคนมีสีหน้าที่มีความสุข และเขากำลังหันหน้าเข้าหาสถานที่นึง ดูๆ คล้ายปิรามิดและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านบน ทุกสิ่งเป็นสีขาว....

เรา...จำได้แม้กระทั่งกลิ่น คล้ายกลิ่นไม้ หอมแปลกๆ หรือจะคล้ายเครื่องเทศ ที่แห่งนั้นท้าทายกาลเวลามานเนิ่นนาน มีผู้คนเวียนเกิดเวียนตายมาเป็นหมื่นๆปีแล้ว ผู้คนใส่ชุดขาวคลุมยาวๆ มีกระดุมเป็นแถวๆด้านหน้า บางคนรวบผูกเอวด้วยเชื่อกหนังหรือสายถักใส่ลูกปัด ทุกคนสวดมนตร์ กระหึ่มกังวาล

ชาย หญิง ที่นั่นเป็นแค่เพศเท่านั้น ความเท่าเทียมเจิดจรัส วัดกันด้วยจิตเท่านั้น ในที่อีกที่หนึ่ง เค้าไม่ถามหรอกว่า "เจ้าเป็นหญิงเจ้าเป็นชาย ทำไมทำเช่นนั้น" เค้าจะถามว่า "ในความเป็นมนุษย์ทำไมเจ้าจึงทำเช่นนั้น"

แล้วเราก็วูบถอยกลับมาที่ปัจจุบันขณะ กลิ่นหอมนั้นยังหอมอวลกระอวลอกอยู่เลย

เราไปที่นั่นด้วยความรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไป ไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธีอันนั้น ทำหน้าที่เป็นผู้เชิญโองการแห่งพระบิดร ภาพนั้นคือเรา..เราเอง...สังกัดเพศชาย ณ ขณะนั้น จริงๆแล้วเราถูกคลุมหมดด้วยลินินขาว เหลือแต่ตา สัญลักษณ์บนผ้าคลุมนั่นบอกถึงระดับ นี่คือสัญลักษณ์ของว่านเครือกษัตริย์ จำไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ลำดับไหนเหมือนกัน รู้แต่ว่าเป็นนักบวชด้านอาลักษณ์ เวลาเค้าทำพิธี จะมีพลังแรงกล้ามาก เคยได้ยินกันบ้างไหม พลังแบบเดียวกันนี้ที่จะเรียกหากันและกัน ณ แห่งใดแห่งหนึ่งในจักรวาล พลังงานนั้นยังคงทำหน้าที่อยู่ เป็นหนทางให้ เรา ได้เดินทางกลับบ้านที่แท้จริงกัน
 
ณ ที่แห่งนั้น..อยากไปอีกทุกคราที่นึกถึง..สุขสงบ อบอุ่น ไร้ขอบเขต กลับเชื่อมโยงกันทุกอณูแห่งจิต  น้ำตาแห่งความปิติหลั่งรินทุกครั้ง หลังจากมาสู่ปัจจุบัน...
อีกหลายครั้งที่เราได้กลับไปที่นั่น เสียงสวดมนตร์อันนั้นเรียกเราไป และ ไล่เรากลับ ทุกครั้งไป พอไขความลับได้ว่า เรา เป็นใคร ก็..ไม่เคยเห็นภาพแบบนั้นอีกเลย

แต่ทว่า...หลังจากนั้นไม่นาน เรา คงเป็นเพราะมนตราที่สวดพร่ำบ่นอย่างดื่มด่ำ เราถูกดูดเข้าไปอีกครา  ต่างกันก็เพียงว่าในครั้งนี้. 

พอเห็นช่วงแรกๆก็เป็นสีธรรมดาและรู้สึกว่ามีพลังในขณะนั้นค่อนข้างแรงมาก จากนั้นก็ตามรู้ถึงภาพนั้นและพลังนั้นๆไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าปิระมิดนั้นมันเปลี่ยนจากสีขาวหรือสีอื่นๆจนเป็นสีโปร่งใส ในลักษณะเรืองแสงออกมา และที่ไม่เคยเห็นหรือเคยสัมผัสมาก่อน ก็คือพลังงานของปิรามิดในขณะที่เห็น กำลังจะบอกว่าพอรับรู้พลังของปิรามิดในขณะที่เป็นลักษณะโปร่งใสแล้ว พลังงานที่ออกมาจะหมุนวนกระจายออกมารอบๆและตัวปิรามิดเองก็เริ่มหมุน ไม่นานก็เกิดปิรามิดโปร่งแสงอีกอันขึ้นมา แต่กลับหัวอยู่ติดกับปิรามิดอันเดิม กลายเป็นปิรามิด 2 อันประกบกัน และเริ่มหมุนเร็วขึ้นๆ พลังงานยิ่งแรงขึ้นจนรู้สึกมันอัดเราเต็มไปหมด  ช่างสวยงามมากเกินบรรยายจริงๆ จนกระทั่งเรารู้สึกจะทนกับแรงนั้นไม่ไหวแล้ว... 

...จงอย่าไปยึดติดกับรูปภายนอกของปิรามิดหรือสิ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ให้รับรู้สึกถึงพลังงานของเค้าไปเรื่อยๆ ปิรามิดเองก็มีจิตวิญญาณเหมือนกันและพลังจิตวิญญาณเป็นพลังที่มากมายมหาศาล เชื่อมโยงกับพลังงานหลุมดำในอวกาศ...

เสียงก้องๆ คงจากจิตวิญญาณของครูบาอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งที่สถิตย์อยู่ในห้วงเวลานั้น แนะนำ เรา ได้ทันเวลา...

ในขณะที่พลังงานยิ่งแรงขึ้นๆจนจะทนไม่ไหวจริงๆแล้ว..อีกครั้ง... ทันใดนั้นเองรูปปิรามิดโปร่งแสงที่หมุนติ้วอยู่ก็ผอมลงๆจนกลายเเป็นเส้นตรงแนวตั้ง จากนั้นก็รู้สึกเป็นกลุ่มก้อนพลังงานคล้ายๆหมอกแต่บางกว่า เริ่มหมุนวนอยู่ข้างหน้าเรา จำไม่ได้ว่าหมุนจากไหนไปไหน และหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่ามันดูดพลังต่างๆดูดความรู้สึกของเราเข้าไปและเหมือนกับมันจะดูดตัวเราทั้งตัวเข้าไป เราก็พยายามตั้งจิตรับรู้ดูมันอยู่เฉยๆ แต่มันก็ยังดูดเราเข้าไปและยิ่งแรงขึ้นๆ จนใจมันหวิวมาก ไม่เคยเจอลักษณะนี้มาก่อน ทนไม่ไหวแน่ๆ เลยรีบลืมตาออกจากสมาธิในทันที... 

ขณะลืมตามันยังรู้สึกว่าที่กลางหน้าผากยังหมุนเป็นวงอยู่พักใหญ่ คราวนี้รู้สึกได้ชัดว่ามันหมุนวนที่หน้าผาก จากซ้ายไปขวา รู้สึกมันมึนๆในหัวตลอดเวลา...

วันรุ่งขึ้น...วันที่14/5/2003 ในขณะที่กำลังพิมพ์อธิบายถึงประสบการณ์เรื่องปิรามิดนี้เก็บไว้ อยู่ๆก็รู้สึกมีอาการเหมือนเหตุการณ์ในวันนั้นที่เข้าสมาธิแล้วรับรู้ถึงพลังของปิรามิดขึ้นมา จากนั้นก็เลยรีบหยุดพิมพ์ มาดูคลื่นพลังงานที่เกิดขึ้นทั้งๆที่ลืมตาอยู่นั่นเอง...

มันหมุนวนอยู่ในหัวค่อนข้างแรงมาก จนรู้สึกมึนหัวมาก โดยเฉพาะช่วงปลายๆท้ายทอย และครั้งนี้รับรู้ได้ว่ามันหมุนวนจากซ้ายไปขวา ชัดเจน และรู้สึกว่าภายในของเรามันสั่นแบบน้อยๆแต่ก็สะเทือนออกมาถึงข้างนอก มือก็ถึงกับสั่นน้อยๆและรู้สึกว่ามันสั่นอยู่ข้างใน รู้สึกคล้ายกับตื่นเต้นอะไรสักอย่างภายใน ก็พยายามไม่คิดอะไร คิดว่าคงมีใครคิดถึงเรา ประมาณนั้น

จากนั้นก็เริ่มนั่งพิมพ์งานต่อไป แต่ก็รู้สึกหมุนๆมึนๆอยู่ตลอดเวลา และรู้สึกหิวน้ำขึ้นมา ชนิดที่เรียกว่าปากคอแห้งผาก เหมือนกับคนไม่สบาย มันแบบแห้งผากจริงๆ คิดว่าสงสัยจะเริ่มร้อนใน แต่มันก็ไม่เคยแห้งขนาดนี้ เลยรีบกินน้ำ ยังจำได้ว่าจนถึงช่วง 5 โมงเย็น กินน้ำเปล่าไปประมาณ 3 ขวดลิตร เพื่อนคนนึงถึงกับทักว่าที่บ้านไม่มีน้ำกินเหรอ..??  ตอนนั้นก็ไม่คิดอะไร กินน้ำเยอะๆก็ดีเหมือนกัน แต่ก็สงสัยตัวเองว่าทำไมมันยังคอแห้งผากเหมือนเดิม...

ในระหว่างนั้นก็รับรู้ได้ถึงกระแสพลังงานมันพุ่งทะลุกระหม่อมขึ้นไปเป็นระยะๆด้วย ก็ไม่ได้คิดอะไรอีก แค่แปลกๆดี จนถึงช่วง 5 โมงเย็น ก็ยังรู้สึกว่าข้างในมันหมุนอยู่และก็มึนหัว เหมือนเดิม และก็ยังปากคอแห้งเหมือนเดิม นึกได้จึงรีบเข้าเน็ตหาข้อมูลเรื่องปิรามิดทันที เพียงอึดใจ ก็เจอเป็นกระดานสนทนาของสมาคมดาราศาสตร์ ( code 1113 ) เป็นการถามตอบเกี่ยวกับปิรามิด ก็มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นอีก...อ่านข้อความช่วงแรกๆเกี่ยวกับการสร้างปิรามิด อ่านยังไม่ทันหมดดี อยู่ดีๆน้ำตาก็คลอเบ้าไม่รู้ตัวเลย ถ้าไม่เกรงใจคนข้างๆคงหยดออกมาแล้ว ตอนนั้นมันรู้สึกบอกไม่ถูก ก็ไม่รู้สึกเศร้า ไม่รู้สึกเสียใจ ดีใจ อะไรเลย ดูแล้วข้อความมันก็เป็นเกร็ดความรู้เท่านั้น สงสัยจริงเกิดอะไรขึ้นหนอ...

ระหว่างทางกลับบ้านก็เลยพิจารณาอาการที่เกิดขึ้น กลุ่มพลังงานหมุนวนอยู่ตลอดเวลา มึนข้างในมากๆ กระแสพลังงานก็วิ่งทะลุหัวขึ้นไปตลอดเวลา บอกไม่ถูกว่าไปถึงไหน แต่รู้ว่ามันจะตรึงตั้งแต่หัวเรื่อยมาตามแนวสันหลังถึงก้นกบเลย แต่ก็ไม่มาก แค่พอให้รู้ได้ และเกิดความร้อนภายในตัวมากกว่าปกติโดยเฉพาะแนวสันหลัง ร้อนแผ่วๆถึงผิวหนังเลย แต่หัวไม่ร้อน และก็ไม่รู้สึกปวดหัว หรือเวียนหัว มันแค่มึนๆอยู่ข้างใน ทดลองเดินลมปราณปรับกระแสให้สมดุลก็ไม่ได้ เหมือนกับพลังปราณของเราไม่พอ ลองไม่รับรู้กับมันดู เลยส่งจิตไปเรื่องอื่น ยิ่งไปกันใหญ่ พลังมันมากระจุกที่สมองซีกขวา และหมุนแบบไม่เป็นระเบียบ ยิ่งแย่ใหญ่ เหมือนกับมันจะบอกว่า "อย่ามายุ่งกะข้า" ประมาณนั้น เลยรีบกำหนดจิตรับรู้ตามมันไป ก็ค่อยยังชั่ว มันหมุนเป็นระเบียบกลับมาเหมือนเดิมแบบหน้าตาเฉย แต่..คราวนี้หมุนจากขวาไปซ้าย เอากะพี่เค้าสิ ลองแก้ไขตั้งหลายทีก็เหมือนเดิม ทำยังไงดี.. ก็ปล่อยให้มันหมุนๆมึนๆได้แต่รับรู้ เฝ้าดู ติดตามมันไปเฉยๆ 

คืนนั้นเวลา ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งกว่าๆ ก็ยังรู้สึกว่ามึนอยู่ ใจนึงก็กลัว ใจนึงก็อยากรู้ ใจนึงก็อยากลองสู้กันสักตั้ง....

ไม่รู้จะใช้วิธีอะไรแล้ว นวดกดจุดมันซะเลย พอนึกได้ปุ๊บ ก็ใช้วิชาฝ่ามือกดจุดรักษาโรค  เป็นวิชาติดตัวพื้นฐานเก่าแก่ พออธิษฐานจิตปั๊บ นิ้วชี้และนิ้วกลางก็เลื่อนมาประกบกันทั้งสองมือ แล้วอ้อมกลับไปกดที่บริเวณท้ายทอย กดนิ่งสักประมาณ 10 วินาที พอปล่อยมือลงมาวางที่น่าตัก ไม่น่าเชื่อเหมือนเปิดจุกก๊อกถังบ่มไวน์ออกมายังไงยังงั้นเลย กระแสพลังงานมันไหลพรูออกมาจากตำแหน่งที่กดเมื่อกี้ ทะลักออกมาอย่างกับฟ้ารั่ว สักประมาณ 1 - 2 นาที  จากนั้น..อาการต่างๆค่อยๆกลับคืนสู่ภาวะปกติ ก็เลยเดินลมปราณปรับสมดุลอีกครู่นึง เหลือแค่ตึงๆท้ายทอย คงสบักสบอมน่าดู ไม่รู้อะไรๆที่เก็บไว้ไหลมาด้วยรึเปล่า ดีใจที่รู้จักแก้ไขตัวเองได้...ง่ายๆ..แค่นี้เองหรือ....

วันรุ่งขึ้น ได้หยุดพักผ่อนอยู่บ้าน พอดีฟังเพลงเรื่อยๆซึ้งๆก็นึกถึงเรื่องราวปิรามิดที่เกิดกับเราขึ้นมาว่า เออ..มันช่างแปลกดี พลังก็มาก มันมาจากไหน.. พอเพลินๆก็เลยแบบทำท่าจะหลับ  มีความรู้สึกร่างกายมันหลับ ไม่อยากดุกดิกเลย คอพับไปข้างแต่ข้างในยังรู้ตัวอยู่ก็ดูตัวเองไป คงเหนื่อยมาหลายวัน เป็นแบบนี้บ่อย โดยเฉพาะตอนที่เพลียมากๆ เหมือนกายหลับแต่จิตยังตื่นอยู่ พักเดียว มีบางอย่างผุดขึ้นมา...

..กลางคืน..ความมืดรอบด้าน..ไอเย็นประมาณทะเลทรายกลางคืน ในปิรามิด "เรา"อยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยม...คล้ายๆพรม..ปูไว้..แต่มันหมุนได้...แต่แปลกมากๆ "เรา" ใส่ชุดดำ..ความรู้สึก ยากจะบรรยาย..พรมลอยขึ้น หมุนคว้างขึ้นไปท่ามกลางความมืด..สามเหลี่ยมที่นั่ง..ขึ้นไป..หมุน..อากาศเย็น..มืดสนิท มีแสงเฉพาะแผ่นสามเหลี่ยม..พลังงานมาจากไหนไม่รู้..เริ่มสัมผัสได้..หมุนไปหมุนมาพักใหญ่..แล้วก็...ลงมา..สงบ นิ่ง..ที่เดิม แสงอุ่นๆ..บอกไม่ถูกว่าอบอุ่นแบบใดเข้ามาห่อหุ้มตัว สงบแน่นิ่งสักพักจึงเห็นเป็นเหมือนลายเส้นสีดำรูปทรงเรขาคณิตประมาณนั้น ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ารูปอะไร  คือ จะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขีดจากมุมซ้ายบนไปขวาล่างและขวาบนไปซ้ายล่างอยู่ในสี่เหลี่ยม และก็มีรูปกลมๆขนาดไม่ใหญ่ทับอยู่ที่แต่ละมุมของรูปสี่เหลี่ยมนั้น และกลมๆอีกอันทับอยู่บนจุดตัดของเส้นกากบาทตรงกลางของรูปสี่เหลี่ยม ทั้งหมดเป็นลายเส้นธรรมดาๆ เหมือนตอนที่เราเรียนวิชาเรขาคณิต ก็ยังงงๆว่ามันคืออะไร ชั่วแว๊บจึง นึกขึ้นได้... 

มันเหมือนกับเวลาเราดูปิรามิดจากด้านบนลงมา แบบ bird eye view หรือ top view แต่..แล้ววงกลมๆและเส้นกากบาทนี่มันอะไร กำลังงงๆอยู่ได้ไม่นาน...

คราวนี้คล้ายกับรูปนั้นมันค่อยๆยกขึ้นมาในแนวกึ่งๆ 45 องศาให้เราดู แต่คราวนี้มันไม่ใช่ลายเส้นแล้ว มันเหมือนกับปิรามิดจริง ลอยตะแคงๆในอากาศให้เราดู แต่แปลกตรงที่บริเวณมุมของปิรามิด ตรงมุมยอดสุด และมุมที่ฐานทั้งสี่ มันเหมือนกับมีพลังงานห่อหุ้มอยู่บางๆเป็นคล้ายๆหมอกกลมๆ แล้วปิรามิดก็ค่อยๆหมุนช้าๆ เท่านั้นเองมีลักษณะเหมือนฟ้าผ่าลงมายังยอดปิรามิด ถือว่าเป็นลำสายฟ้าค่อนข้างใหญ่ เมื่อเทียบกับขนาดของปิรามิด เกิดเป็นแสงว๊าบ ลักษณะกลมๆ ณ จุดยอดของปิรามิด จากนั้นบริเวณมุมที่ฐานของปิรามิดก็สว่างวูบขึ้นมาเช่นกัน

จากนั้นขณะที่ปิรามิดยังหมุนช้าๆและสายฟ้ายังคงผ่าลงมาที่ยอดอย่างต่อเนื่องอยู่  ตอนนั้นไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่รู้สึกถึงความสว่างจ้าของสายฟ้าได้ ปิรามิดนั้นก็ค่อยเข้ามาให้ดูใกล้ขึ้นๆ ใกล้ขึ้นจนเห็นเพียงผนังของปิรามิดทีละด้าน สังเกตุเห็นว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งลงมาเป็นแนวระนาบกับผนังของปิรามิดจากยอดเรื่อยลงมาถึงฐานปิรามิดเป็นช่วงๆ ที่มุมของแต่ละฐานก็สว่างวูบ  จากนั้นปิรามิดก็เริ่มลอยห่างออกแต่ยังคงหมุนช้าๆอยู่  สังเกตุเห็นว่าที่สันขอบของผนังแต่ละข้างมาบรรจบกันก็มีกระแสไฟฟ้าวิ่งลงมาจากยอดจดปลายมุมที่ฐานด้วย มีกระแสไฟฟ้าวิ่งลงมาทุกสันข้างเลย 

ขณะนั้นร่างกายรู้สึกปกติ อยู่ในสมดุลทุกอย่างไม่เข้าไม่ออก....สงบนิ่งอีกครา
 
ท้องทะเลทรายสว่างเรืองๆ ท้องฟ้ามืดครามๆ เห็นลอนทรายเป็นระยะๆ เห็นดาวบนท้องฟ้าประปราย ท้องฟ้ามีดาวเหนือทะเลทรายช่างสวยงามเหมือนเคย รู้สึกว่า"เรา" ค่อยๆลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ตามองไปยังกลุ่มดาวกลุ่มนึงที่สว่างกว่ากลุ่มอื่น ลอยขึ้นไป ลอยขึ้นไป จนรอบตัวเรามันเริ่มมืด ดาวโน้นดาวนี้ผ่าน"เรา" ไป เป็นช่วงๆ สักสิบกว่าดวง แต่ละดาวมันก็สีแปลกๆ มีดาวเล็กๆมีแสงในตัวอยู่กระจัดกระจาย สักพักก็กลับลงมาอยู่ที่ทะเลทราย แต่คราวนี้ที่ท้องทะเลทรายไม่มีแสงเรืองเหมือนครั้งแรก มองไปรอบๆก็เห็นปิรามิดเล็กๆ กระจายอยู่สัก สาม สี่ จุด บรรยากาศรู้สึกได้เลยว่ามันสงบแบบเศร้าๆบอกไม่ถูก  มีปิรามิดหลังหนึ่งปรากฏว่ารู้สึกมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่รอบๆปิรามิด มันเป็นแค่รู้สึกว่ามีเฉยๆ แต่ไม่เห็นว่าเป็นคนหรือเป็นรูปร่างของอะไร แค่รู้ว่ามันเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น...

พอเข้าไปใกล้ๆดู ปิรามิดนั้นคล้ายโครงเหล็กแบบกลวงๆ แต่ก็เป็นโครงรูปร่างปิรามิด ขนาดของปิรามิดก็ไม่ใหญ่เลย สูงสักประมาณ ตึก 3 -4 ชั้น แต่เป็นแค่โครง ตัวโครงก็ดูคล้ายๆเหล็กแต่ก็ไม่ใช่ สีจะเหลือบๆคล้ายสีปรอท รู้สึกว่า พอเข้าไปใกล้ๆอีก เจ้าสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่มันเริ่มพุ่งความสนใจมาหาเรา...ต่างจึงหยุดนิ่ง

จากนั้น"เรา" ก็มองไปรอบๆอีกทีก็เห็นทะเลทรายเวิ้งๆและมีปิรามิดเล็กๆอยู่เลยไปอีกไม่ไกล...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟprajanyimm
Lovings  prajanyimm เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟprajanyimm
Lovings  prajanyimm เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟprajanyimm
Lovings  prajanyimm เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงprajanyimm