PUR-EM-US...กาลครั้งหนึ่ง...ปิรามิด ภาค " ปิรามิด"

prajanyimm

Peramis หรือ ปิรามิด ที่คนทั่วไปใช้เรียกกันมาตลอด คำคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ หลักฐานที่ถูกจารึกไว้ในกระดาษปาปิรุส ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมหรือตำนานของเทพเจ้า เช่น โอสิริส รา แต่มีอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ที่มาของคำว่า Peramis ซึ่งมีที่มาจากภาษากรีกว่า Pyramis และเชื่อกันว่าชาวกรีกโบราณถอดเสียงอ่าน มาจากเสียงที่แท้จริงของชาวอิยิปต์มากที่สุด จากกระดาษปาปิรุสเล่มที่มีชื่อว่า คณิตศาตร์ของราห์ย ที่ปัจจุบันเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษในกรุงลอนดอน จากบันทึกนั้นถอดออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า    Pur-Em-Us
Pur = พีร์ = เปลวไฟ
Em = อาม = โอม , อุม (การเปล่งเสียงในบทสวดโบราณ เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในการสังวัธยายมนตรา อันหมายถึงพลังสูงสุด)
Us = อีส , อัส , อุส , ซุส = การพุ่งขึ้นสู่ที่สูง
จากคำที่มีความหมายเหล่านี้ พีร์อามอีส หรือ..ปีรามิส คล้ายๆจะแปลได้ว่า เปลวไฟแห่งพลังที่พุ่งตรงขึ้นไปบนฟ้า
แต่พลังงานที่ว่ามาจากไหน และเกิดขึ้นได้อย่างไร..?
ปิรามิดจะทำงานร่วมกับสนามแม่เหล็กโลก และรังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์ พลังงานเหล่านี้จะสั่นสะเทือนเข้าไปยังใจกลางของปิรามิดที่ตำแหน่ง 1/3 ของความสูงในตัวปิรามิดเองตรงจุดนี้เองที่จะทำหน้าที่เป็นโพรงสั่นสะเทือน เหมือนกับเลนส์นูน ที่รวบรวมพลังมาไว้ที่จุดเดียวและปล่อยพลังงานออกมาที่จุดยอดนูนในรูปของพลังงานไฟฟ้าหรือแม่เหล็ก และในโพรงสั่นสะเทือนนี้จะมีคุณสมบัติในการรีดน้ำอย่างดี และมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีบางอย่างที่สัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของอนุภาคประจุไฟฟ้าลบ
กระบวนการนี้เริ่มจากปิรามิดจะรวบรวมเอาพลังงานจากสนามแม่เหล็กโลกและรังสีจากดวงอาทิตย์ ทำให้อากาศเปล่าๆ หรือ อะไรก็ตามที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ เกิดการสั่นสะเทือนและหมุนอย่างรวดเร็วของโมเลกุลขั้วคู่ของน้ำเสียดสีกันจนเกิดความร้อน (คล้ายกับการทำงานของเตาไมโครเวฟ) และถ้าหากวัตถุนั้นยิ่งแห้งสนิท (แม้แต่อากาศในท้องทะเลทราย) การสั่นสะเทือนนี้จะยิ่งรีดประจุไฟฟ้าสถิตย์ประเภทประจุลบจากวัตุถุนั้นออกมา (เหมือนหวีผมในหน้าหนาว) จนกระทั่งเกิดไฟฟ้าสถิตย์ และเมื่อมันสะสมอยู่อย่างมากมายภายในตัวปิรามิดและหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะเกิดแรงเคลื่อนประจุอันเนื่องมาจากศักย์ไฟฟ้า และไหลวนขึ้นไปข้างบนฟากฟ้าเป็นเกลียววนขนาดมโหฬาร ที่มีรัศมีเป็นสิบๆเท่าของรัศมีฐานปิรามิด
การขนย้าย หินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมหาศาลไม่ต่ำกว่า 2 ตันครึ่งเป็นจำนวนหลายล้านก้อน แต่ละก้อนนักที่วิชาการปัจจุบันหาวิธีขนย้ายไม่ได้ แน่นอน ถ้าพวกที่ก่อสร้างใช้แค่เครนหรือปั้นจั่นธรรมดาคงสร้างไม่ได้แน่ๆ เรามาคิดถึงพลังเกลียววน (เราเรียกมันว่าเกลียวก้นหอย) มันเป็นพลังงานที่วนขึ้นที่สูงและมีความถี่สูงมากๆ และถ้ายิ่งมีการผสานพลังที่มาจาก 2 ทางในทิศที่ตั้งฉากด้วยแล้วละก็..แรงลัพท์ที่ได้จะเป็นพลังงานเกลียววนในทิศทางใหม่ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ที่ว่านี้เป็นปกติอยู่แล้วในธรรมชาติ และตอนนี้ก็รู้กันอยู่แล้วว่า สนามแม่เหล็กจากแท่งแม่เหล็กก็ดี หรือสนามแม่เหล็กโลกก็ดี ไม่ได้เกิดจากที่แม่เหล็กส่งแรงอะไรไปดึงดูดวัตถุรอบๆตัวมันหรอก แต่เป็นเพราะ วัตถุเหล่านั้นไหลไปตามสนามแรงแม่เหล็กที่กระจายออกมาจากแท่งแม่เหล็กเอง
สนามแม่เหล็กที่กระจายออกมา มีลักษณะเป็นเกลียวเล็กๆเมื่อวัตถุตกอยู่ภายใต้เกลียวก้นหอยนี้ก็จะเกิดการสั่นสะเทือน และถ้ามันสั่นสะเทือนด้วยความถี่เท่ากันกับสนามพลังแม่เหล็ก วัตถุนั้นก็จะเริ่มไหลไปตามสนามแม่เหล็กจนกระทั่งเข้าไปประกบติดกับตัวมัน ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
เหมือนกับที่ฟาราเดยค้นพบมาจากความบังเอิญที่เขาหมุนขดลวดในสนามแม่เหล็กเข้า นั่นเอง เพราะเมื่อแม่เหล็กส่งพลังที่เป็นเกลียววนออกมา พลังงานความถี่นี้จะพุ่งเป็นระนาบที่มีทิศทางคงที่อันหนึ่ง สมมุติ ให้หน้าระนาบดังที่ว่านี้มีทิศทางเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวา จากนั้น เมื่อฟาราเดย์หมุนขดลวดทองแดงในทิศทางจากบนลงล่าง ซึ่งจะทำให้แนวของขดลวดกวาดไปตามหน้าระนาบของสนามแม่เหล็ก และเราจะเห็นเป็นขดลวดทองแดง ฟาดลงไปเฉียงๆลงบนแนวคลื่นก้นหอยของสนามแม่เหล็ก 
และการฟาดครั้งนี้จะทำให้หน้าระนาบของพลังในทิศทางจากหลังไปหน้า ซึ่งจะทำให้เกลียวก้นหอยมีศักย์เป็นเกลียวใหญ่ขึ้น ร้อยเอาเกลียวก้นหอยของพลังงานสนามแม่เหล็กมีศักย์เป็นเกลียวเล็กอันมีหน้าระนาบจากซ้ายไปขวาเข้ามาล้อมรอบตัวมันไปจนตลอดการหมุน เมื่อพลังงานอยู่ในสภาพที่สมดุลย์ แรงลัพท์ที่เป็นเกลียวก้นหอยแนวใหม่เกิดขึ้นทันทีในทิศทางตั้งฉากกับระนาบพลัง 
กล่าวคือ..จะเป็นพลังที่มีระนาบเคลื่อนที่จากล่างขึ้นบน ซึ่งก็คือทิศทางการใหลของกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นภายในขดลวดทองแดงนั่นเอง นี่คือการทำงานของพลังงานที่อยู่ในปิรามิด แนวก้นหอยเล็กก็คือรังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์โดยปกติจะมีระนาบตามแนวตะวันออกและตก ส่วนเกลียวก้นหอยใหญ่ก็คือสนามแม่เหล็กโลก ก็จะมีระนาบปกติในแนวเหนือใต้และแรงลัพท์ที่เกิดขึ้นก็จะเป็นแนวล่างบน คือพุ่งขึ้นจากพื้นทะเลทราย ทีนี้พอจะทราบหรือยังว่า พวกเขายกหินหนัก 2 ตันครึ่งกันยังงัย..? นี่เป็นความคิดเห็นที่เราคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ ปิรามิดที่อยู่คู่กันข้างๆกีซา  มีไว้ทำไม ก็พลังงานจากปิรามิด สร้างปิรามิด วนเวียนกันไปเรื่อยๆ จากกำแพงยักษ์ ป้อม คู ประตู ค่าย กระจายกันอยู่ตลอดเส้นทางหลายร้อยหลายพันไมล์ตั้งแต่เอล กวาดอร์ ไปจนจรดชิลี เหล่าอารชนที่สร้างพวกนี้ ใช้วิธีใดกันแน่ที่ทำมันขึ้นมา หินหนักสองตันครึ่งตัดเรียบสนิทเอามาต่อเรียงกันขึ้นไปสูงเป็นร้อยๆฟุตโดยไม่ต้องใช้วัสดุผสานรอยต่อ และแม้แต่ลิ่มที่บางที่สุดก็ยังไม่อาจแทรกเข้าไปได้ อารยธรรมที่คาร์บอน 14 พิสูจน์ออกมาว่าผ่านมาเป็น 10,000 ปีแล้ว (กีซา) 
นิยามของมหาปิรามิด 
อาร์คิเมดิส นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก
ผลรวมระยะทั้ง 4 ด้านของฐานหารด้วย 2 เท่าความสูง = 3.1416 (ค่าไพ = 3.1428)
ค่าการวัดเป็นนิ้ว (Pyramidal Inch) สามารถคำนวณออกมาเป็นขนาดใกล้เคียงกับขนาดของโลกเช่น
50 นิ้วปิรามิด = 1 ใน 10 ล้าน ของแกนขั้วโลก
ผลรวมของด้านฐาน = จำนวนวันใน 1 ปี หรือ 365.240
สองเท่าของความสูงปิรามิดคูณด้วย 10,000,000 = ความยาวระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์โดยประมาณ
1 นิ้วปิรามิดคูณด้วย 10,000,000 = ค่าใกล้เคียงกับระยะทางของวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ (ค่าแตกต่างเพียงเล็กน้อยอธิบายได้ว่าความกว้างวงโคจรตอนที่สร้างกับตอนนี้แตกต่างกัน)
สองเท่าของความยาวด้านทั้งสี่ = 1 ลิปดา หากวัดเป็นเมตรจะได้ 1,824.92 แต่ปัจจุบันวัดได้ 1,842.78 (ต่างกัน0.14)
ความยาวรวมของเส้นทแยงมุมของฐาน = 25,826.6 (ใกล้เคียงกับปีครบรอบของแกนขั้วโลกที่กลับเข้าตำแหน่งเดิมในทุกๆ 25,827 ปี)
น้ำหนักของปิรามิดประมาณ 600,000 ตัน คูณด้วย 100,000,000,000,000 = น้ำหนักของโลกโดยประมาณ
---------------------------------------------------------------
ชาร์ล เพียซซี สมิธ นักดาราศาสตร์แห่งราชสำนักสก็อตแลนด์ ปี ค.ศ. 1865
ความยาวรอบฐาน หารด้วย ความกว้างของหินขัดโดยเฉลี่ย = 365 : เท่ากับจำนวนวันใน 1 ปี
ความยาวนิ้วปิรามิด = ความยาว 1 ใน 25 ส่วนของหินลาดปูพื้นฐานทางยกพื้นจากปิรามิดไปวิหารต่ำ หรือ 1 ใน 10,000,000 ของความยาวรัศมีโลก
ทางเดินเข้าไปภายในลาดเอียง 26 องศา 17 ลิปดา ทางเข้าปิรามิดตรงกับตำแหน่งดาว อัลฟา ดราโคนีส ทางขั้วโลกเหนือทุกประการ
และสันนิษฐานว่า จุดประสงค์ในการสร้างปิรามิดแห่งนี้คือการสร้างอภินิหารของพระเจ้าให้ปรากฏแก่ชาวโลก
และนอกจากนี้ยังได้ค้นพบวิธีคำนวณอายุของโลกในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ แต่นักวิชาการปัจจุบันไม่ยอมรับ
---------------------------------------------------------------
ดร.หลุยส์ อัลวาเรซ (รางวัลโนเบิลไพรซ์ สาขาฟิสิกส์ 1968)
ได้เดินทางไปทดสอบพลังบางอย่างในมหาปิรามิดพร้อมทีมงาน ผลปรากฏว่า เครื่องมืออันทันสมัยพร้อมกับแมกเนติกเทปที่ใช้บันทึกข้อมูลเสียหายหมด แม้จะทดลองซ้ำก็ไม่เป้นผลทั้งๆที่ก่อนทดสอบได้ตรวจสภาพและทดลองใช้มาก่อนอย่างดีแล้ว ข้อมูลต่างๆที่ได้ เลอะเลือนไปจนหมด
สรุปว่ามีแรงกระทำบางอย่างภายในที่มีคุณสมบัติเหนือกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ของโลกปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
แผนที่ดวงดาว โดยนายโรเบิร์ต โบวัลกับนายเอเตรียม กิลเบิร์ต ได้ช่วยกันเขียนหนังสือ เรื่อง "ความลึกลับแห่งหมู่ดาวโอเรียน" ขึ้นมาเพื่อแจกแจงว่าบรรดาตำแหน่งที่ตั้งของบรรดาปิระมิดในทะเลทรายกิเซนั้น บังเอิญไปสอดคล้องกับตำแหน่งของหมู่ดาวโอเรียนบนท้องฟ้าเมื่อ 10,500 ปีก่อน ค.ศ. !!! โดยทั้งสองยืนยันว่าสิ่งก่อสร้างโบราณที่เรียงรายริมฝั่งแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ แผนผังหลัก (master plan) ของบรรดาดวงดาวบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น และแม่น้ำไนล์นั้นก็คือ ตัวแทนของทางช้างเผือก (Milky Way) นั่นเอง 
โดยจะเห็นได้จากความสัมพันธ์ของจุดที่ตั้งมหาปิระมิดทั้งสามแห่งกิเซ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับตำแหน่งของดวงดาว 3 ดวง ที่ส่องสว่างที่สุดของแถบดาวโอเรียน ซึ่งในอียิปต์นั้นถือว่าเป็นดาวประจำตัวของเทพโอซิริส นอกจากนี้โบวัลกับกิลเบิร์ตยังชี้ให้เห็นว่าแกน "ระบายลม" ในปิระมิดก็มีมุมที่มีนัยสำคัญ นั่นก็คือ แกนทิศใต้ของห้องกษัตริย์จะชี้ตรงไปยังแถบดาวโอเรียน ในขณะที่แกนระบายลมของห้องราชินีจะชี้ไปยัง "กลุ่มดาวซิรีอุส" ดาวประจำตัวของเทพีไอซิส มเหสีของเทพโอซิริสนั้นเอง และเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า หลังจากองค์ฟาโรห์ทรงสิ้นพระชนม์ ดวงวิญญาณของพระองค์จะล่องลอยไปสถิตอยู่กับเทพโอซิริสในดวงดาวนั้น เพราะเทพโอซิริสมีพลังอำนาจในการกลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้งหลังความตาย 
Peramis องค์ใหญ่แห่งกีซา มีต้นกำเนิดคลื่นรังสีไมโครเวฟ หรือ นาโนเวฟ จากมุมทั้ง 5 ของโครงสร้าง เป็นการแผ่ขยายรังสีจากโมเลกุลหรืออะตอมของมวลสารภายใน พุ่งเป็นลำตัดตรงไปยังกึ่งกลางของแต่ละด้าน จุดกึ่งกลางที่ตัดกันนั้นคือจุดศูนย์กลางแห่งพลังงานอันมหาศาลที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้าง Peramis นั่นเอง
พลังงานจากปิรามิดที่เกิดขึ้นภายในจากมุมทั้ง 5 นั้น มีความสัมพันธ์กันกับดาวนพเคราะห์ด้วย ดวงดาวต่างๆ แรงดึงดูดของโลก และมวลสารทุกชนิดในจักรวาล พลังงานทั้งหมดนี้จะรวมกันที่จุดศูนย์กลางหรือบริเวณพื้นที่ที่สร้างเป็นห้องฟาโรห์ภายในปิรามิดนั่นเอง โมเลกุลหรืออะตอมภายในบริเวณนี้จะดูดพลังเหล่านี้ โดยระบบการถ่ายเทพลังซึ่งกันและกันตลอดเวลา ขณะที่มีพลังเพิ่มขึ้น วงโคจรของกระแสอิเล็กตรอนก็จะเริ่มขยายออก และยิ่งพลังถูกดึงดูดเก็บไว้ก็จะยิ่งเพิ่มกำลังขยายออกไปมากขึ้น ในบางครั้งมันคงจะมีอยู่จุดหนึ่งซึ่งถ้าพลังถูกดึงดูดเก็บไว้มากเกินไปแล้ว อะตอมภายในมวลสารคงจะสลายตัวแตกออกเป็นส่วนๆ และอิเล็กตรอนก็คงจะกระจัดกระจายออกไป ทำให้พลังงานถ่ายเทออกไปจากโครงสร้างปิรามิดไกลเกินกว่าที่จะดึงดูดไว้ได้
พลังงานลึกลับที่เกิดขึ้นนั้นเป็นพลังงานแบบเดียวกันกับพลังงานชี่ (Chi) ตามที่ชาวจีนโบราณเข้าใจ หรือพลังลมปราณ (Prana) ที่ชาวอินเดียโบราณรู้จัก หรือพลังงานอะตอม ตามแนวคิดของไอน์สไตน์ หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์และนัดคิดในปัจจุบันยังตีความไม่ออก แต่ก็ยังคงค้นคว้า และพยายามทดลองกันอย่างไม่ลดละโดยมีแนวความคิดเป็นสมมุติฐานใหม่ออกมา เป็นการเปิดประเด็นใหม่ ซึ่งพอจะแตกประเด็นได้ดังนี้
ประเด็นที่ 1  เฮนรี่ มอนทัต แห่งศูนย์ปฏิบัติการค้นคว้าซานเดีย เมือง อัลบูเควอร์เคว นิวเมกซิโก สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า พลังของปิรามิดอาจเกิดจากโครงสร้างของผลึกทางเรขาคณิตภายในองค์ปิรามิด แปรเปลี่ยนจากรูปแบบที่คงที่ (Static Geometry) ไปสู่รูปแบบที่ไม่คงที่ (Dynamic Geometry)  เขาให้เหตุผลว่า สสารและพลังงานต่างๆนั้นจะมีโครงสร้างของผลึกทางเรขาคณิตอยู่ 2 แบบ คือแบบคงที่และแบบไม่คงที่
ประเด็นที่ 2  ดร. นิโคไล โคเซอร์เอฟ นักฟิสิกส์แห่งรัสเซีย พลังเร้นลับอันนี้น่าจะเกิดจากพลังงานไทม์ พลังนี้จะก่อให้เกิดผลปฏิกริยาทางแม็คคานิก และทางเคมีต่อวัตถุได้ เป็นพลังงานที่ปรากฏได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นที่ใดภายในโลกหรือในห้วงจักรวาล ถือว่าเป็นพลังงานที่มีความสำคัญ และมีค่าทางธรรมชาติมากที่สุด และ ดร. การ์ดเนอร์ เมอร์ฟี่ ประธานสมาคมวิจัยพลังจิตแห่งอเมริกา ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า เมื่อเรามีความเข้าใจในพลังงานใหม่นี้แล้ว เราอาจเข้าใจพลังจิต ESP และพลังลึกลับได้ดีขึ้น ปฏิกริยาพลังงานอันนี้มีคุณสมบัติในการรักษาอินทรีย์สารให้คงรูปไม่เน่าเปื่อยได้อีกด้วย นอกจากนี้ พลังงานไทม์ยังทำงานสัมพันธ์กับพลังงานไบโอพลาสมาด้วย เป็นพลังที่ช่วยในการส่งเสริมและรักษาระบบของสสารทุกชนิด กล่าวคือ เพิ่มพลังงานให้มากขึ้นได้ เป็นพลังงานที่ตรงข้ามกับนิวเคลียร์ ดร. วิลเฮล์ม รีคซี ได้ทดลองพลังงานดังกล่าวแล้วพบว่า ไบโอพลาสมามีปฏิกริยาโต้ตอบรุนแรงกับสารกัมมันตรภาพรังสี
ประเด็นที่ 3  แมกซ์ ท็อต และ เกร็ก นีลเซน นักค้นคว้าพีรามิดชาวอเมริกันกล่าวว่า เกิดจากคลื่นไมโครคอสมิคจากดวงอาทิตย์ พลังแม่เหล็กโลก พลังแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ภายในโครงสร้างของพีระมิดนั่นเอง
ประเด็นที่ 4  ศาสตราจารย์ แอล. ดูเรนเน วิศวกรของฝรั่งเศษ พลังปิรามิดเกิดจากรูปทรงของมันเอง กล่าวคือ รูปทรงเป็นสิ่งเร่งพลังแห่งความสัมพันธ์ อันเกิดจากพลังงานชนิดต่างๆที่อยู่รอบๆ มารวมกันเข้า
ประเด็นที่ 5  กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาบอกว่า ปิรามิดเหมือนเลนส์ขนาดใหญ่ ดึงดูดเอาพลังลึกลับต่างๆไว้ทั้งหมด
ประเด็นที่ 6  เชื่อกันว่า รูปทรงของปิรามิดคล้ายคลึงกะรูปโครงสร้างแบบผลึกที่มีอยู่ในโมเลกุลของสสาร ซึ่งมีคุณสมบัติเกะยึดเหนี่ยว และเมื่อมันสลายตัว จะเกิดพลังงานขึ้น (อันนี้เป้นประเด็นใหม่สุดที่กำลังค้นคว้าและทดลองกันอยู่นะเจ้าคะ)
ประเด็นต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ยังหาเหตุผลและความหมายที่แท้จริงของกลุ่มพลังงานไม่ได้ ยังไม่มีใครพิสูจน์ออกมาได้ว่า มันคืออะไรกันแน่??? 
พลังงานอนันต์...
สามเหลี่ยมตั้งขึ้น หมายถึงโลก
สามเหลี่ยมคว่ำลง หมายถึง จักรวาล
ลากเส้นตรงมาจากมุมทุกมุม
จุดตัด
พลังงาน...สูงสุด
ขาดไปอย่างเดียวเท่านั้น..ตัวเชื่อมระหว่าง
ดินและฟ้า...
เรา เท่านั้นที่จะรู้....				
comments powered by Disqus
  • อัลมิตรา

    3 ตุลาคม 2547 23:32 น. - comment id 77701

    เรา ..ใคร่จะรู้หรือเปล่า ?
  • prajanyimm

    4 ตุลาคม 2547 11:09 น. - comment id 77708

    ขอบคุณมากครับคุณอัลมิตรา
    ครับ เรา..ใคร่จะรู้หรือเปล่า  สรรพสิ่งใดๆล้วนเชื่อมโยงกันจากจิตวิญญาณภายในสู่ขอบจักรวาล  จาก ณ แห่งนั้นสู่อนันตกาล...
  • tiki

    5 ตุลาคม 2547 03:18 น. - comment id 77729

    มาอ่านเมื่อวานแล้วลืมตอบขออภัย

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน