PUR-EM-US...กาลครั้งหนึ่ง...ปิรามิด ภาค " เรา "

prajanyimm

ณ แห่งใดแห่งหนึ่งในกาลเวลา เรา เคยไปสถานที่แห่งนั้น ล้วนเป็นสีขาวทั้งหมด คนแต่งชุดขาวหน้าตาสวยงามหมดจด และทุกคนให้เกียรติกัน เคารพยกย่องกัน ทุกคนมีสีหน้าที่มีความสุข และเขากำลังหันหน้าเข้าหาสถานที่นึง ดูๆ คล้ายปิรามิดและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านบน ทุกสิ่งเป็นสีขาว....
เรา...จำได้แม้กระทั่งกลิ่น คล้ายกลิ่นไม้ หอมแปลกๆ หรือจะคล้ายเครื่องเทศ ที่แห่งนั้นท้าทายกาลเวลามานเนิ่นนาน มีผู้คนเวียนเกิดเวียนตายมาเป็นหมื่นๆปีแล้ว ผู้คนใส่ชุดขาวคลุมยาวๆ มีกระดุมเป็นแถวๆด้านหน้า บางคนรวบผูกเอวด้วยเชื่อกหนังหรือสายถักใส่ลูกปัด ทุกคนสวดมนตร์ กระหึ่มกังวาล
ชาย หญิง ที่นั่นเป็นแค่เพศเท่านั้น ความเท่าเทียมเจิดจรัส วัดกันด้วยจิตเท่านั้น ในที่อีกที่หนึ่ง เค้าไม่ถามหรอกว่า "เจ้าเป็นหญิงเจ้าเป็นชาย ทำไมทำเช่นนั้น" เค้าจะถามว่า "ในความเป็นมนุษย์ทำไมเจ้าจึงทำเช่นนั้น"
แล้วเราก็วูบถอยกลับมาที่ปัจจุบันขณะ กลิ่นหอมนั้นยังหอมอวลกระอวลอกอยู่เลย
เราไปที่นั่นด้วยความรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไป ไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธีอันนั้น ทำหน้าที่เป็นผู้เชิญโองการแห่งพระบิดร ภาพนั้นคือเรา..เราเอง...สังกัดเพศชาย ณ ขณะนั้น จริงๆแล้วเราถูกคลุมหมดด้วยลินินขาว เหลือแต่ตา สัญลักษณ์บนผ้าคลุมนั่นบอกถึงระดับ นี่คือสัญลักษณ์ของว่านเครือกษัตริย์ จำไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ลำดับไหนเหมือนกัน รู้แต่ว่าเป็นนักบวชด้านอาลักษณ์ เวลาเค้าทำพิธี จะมีพลังแรงกล้ามาก เคยได้ยินกันบ้างไหม พลังแบบเดียวกันนี้ที่จะเรียกหากันและกัน ณ แห่งใดแห่งหนึ่งในจักรวาล พลังงานนั้นยังคงทำหน้าที่อยู่ เป็นหนทางให้ เรา ได้เดินทางกลับบ้านที่แท้จริงกัน
 
ณ ที่แห่งนั้น..อยากไปอีกทุกคราที่นึกถึง..สุขสงบ อบอุ่น ไร้ขอบเขต กลับเชื่อมโยงกันทุกอณูแห่งจิต  น้ำตาแห่งความปิติหลั่งรินทุกครั้ง หลังจากมาสู่ปัจจุบัน...
อีกหลายครั้งที่เราได้กลับไปที่นั่น เสียงสวดมนตร์อันนั้นเรียกเราไป และ ไล่เรากลับ ทุกครั้งไป พอไขความลับได้ว่า เรา เป็นใคร ก็..ไม่เคยเห็นภาพแบบนั้นอีกเลย
แต่ทว่า...หลังจากนั้นไม่นาน เรา คงเป็นเพราะมนตราที่สวดพร่ำบ่นอย่างดื่มด่ำ เราถูกดูดเข้าไปอีกครา  ต่างกันก็เพียงว่าในครั้งนี้. 
พอเห็นช่วงแรกๆก็เป็นสีธรรมดาและรู้สึกว่ามีพลังในขณะนั้นค่อนข้างแรงมาก จากนั้นก็ตามรู้ถึงภาพนั้นและพลังนั้นๆไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าปิระมิดนั้นมันเปลี่ยนจากสีขาวหรือสีอื่นๆจนเป็นสีโปร่งใส ในลักษณะเรืองแสงออกมา และที่ไม่เคยเห็นหรือเคยสัมผัสมาก่อน ก็คือพลังงานของปิรามิดในขณะที่เห็น กำลังจะบอกว่าพอรับรู้พลังของปิรามิดในขณะที่เป็นลักษณะโปร่งใสแล้ว พลังงานที่ออกมาจะหมุนวนกระจายออกมารอบๆและตัวปิรามิดเองก็เริ่มหมุน ไม่นานก็เกิดปิรามิดโปร่งแสงอีกอันขึ้นมา แต่กลับหัวอยู่ติดกับปิรามิดอันเดิม กลายเป็นปิรามิด 2 อันประกบกัน และเริ่มหมุนเร็วขึ้นๆ พลังงานยิ่งแรงขึ้นจนรู้สึกมันอัดเราเต็มไปหมด  ช่างสวยงามมากเกินบรรยายจริงๆ จนกระทั่งเรารู้สึกจะทนกับแรงนั้นไม่ไหวแล้ว... 
...จงอย่าไปยึดติดกับรูปภายนอกของปิรามิดหรือสิ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ให้รับรู้สึกถึงพลังงานของเค้าไปเรื่อยๆ ปิรามิดเองก็มีจิตวิญญาณเหมือนกันและพลังจิตวิญญาณเป็นพลังที่มากมายมหาศาล เชื่อมโยงกับพลังงานหลุมดำในอวกาศ...
เสียงก้องๆ คงจากจิตวิญญาณของครูบาอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งที่สถิตย์อยู่ในห้วงเวลานั้น แนะนำ เรา ได้ทันเวลา...
ในขณะที่พลังงานยิ่งแรงขึ้นๆจนจะทนไม่ไหวจริงๆแล้ว..อีกครั้ง... ทันใดนั้นเองรูปปิรามิดโปร่งแสงที่หมุนติ้วอยู่ก็ผอมลงๆจนกลายเเป็นเส้นตรงแนวตั้ง จากนั้นก็รู้สึกเป็นกลุ่มก้อนพลังงานคล้ายๆหมอกแต่บางกว่า เริ่มหมุนวนอยู่ข้างหน้าเรา จำไม่ได้ว่าหมุนจากไหนไปไหน และหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่ามันดูดพลังต่างๆดูดความรู้สึกของเราเข้าไปและเหมือนกับมันจะดูดตัวเราทั้งตัวเข้าไป เราก็พยายามตั้งจิตรับรู้ดูมันอยู่เฉยๆ แต่มันก็ยังดูดเราเข้าไปและยิ่งแรงขึ้นๆ จนใจมันหวิวมาก ไม่เคยเจอลักษณะนี้มาก่อน ทนไม่ไหวแน่ๆ เลยรีบลืมตาออกจากสมาธิในทันที... 
ขณะลืมตามันยังรู้สึกว่าที่กลางหน้าผากยังหมุนเป็นวงอยู่พักใหญ่ คราวนี้รู้สึกได้ชัดว่ามันหมุนวนที่หน้าผาก จากซ้ายไปขวา รู้สึกมันมึนๆในหัวตลอดเวลา...
วันรุ่งขึ้น...วันที่14/5/2003 ในขณะที่กำลังพิมพ์อธิบายถึงประสบการณ์เรื่องปิรามิดนี้เก็บไว้ อยู่ๆก็รู้สึกมีอาการเหมือนเหตุการณ์ในวันนั้นที่เข้าสมาธิแล้วรับรู้ถึงพลังของปิรามิดขึ้นมา จากนั้นก็เลยรีบหยุดพิมพ์ มาดูคลื่นพลังงานที่เกิดขึ้นทั้งๆที่ลืมตาอยู่นั่นเอง...
มันหมุนวนอยู่ในหัวค่อนข้างแรงมาก จนรู้สึกมึนหัวมาก โดยเฉพาะช่วงปลายๆท้ายทอย และครั้งนี้รับรู้ได้ว่ามันหมุนวนจากซ้ายไปขวา ชัดเจน และรู้สึกว่าภายในของเรามันสั่นแบบน้อยๆแต่ก็สะเทือนออกมาถึงข้างนอก มือก็ถึงกับสั่นน้อยๆและรู้สึกว่ามันสั่นอยู่ข้างใน รู้สึกคล้ายกับตื่นเต้นอะไรสักอย่างภายใน ก็พยายามไม่คิดอะไร คิดว่าคงมีใครคิดถึงเรา ประมาณนั้น
จากนั้นก็เริ่มนั่งพิมพ์งานต่อไป แต่ก็รู้สึกหมุนๆมึนๆอยู่ตลอดเวลา และรู้สึกหิวน้ำขึ้นมา ชนิดที่เรียกว่าปากคอแห้งผาก เหมือนกับคนไม่สบาย มันแบบแห้งผากจริงๆ คิดว่าสงสัยจะเริ่มร้อนใน แต่มันก็ไม่เคยแห้งขนาดนี้ เลยรีบกินน้ำ ยังจำได้ว่าจนถึงช่วง 5 โมงเย็น กินน้ำเปล่าไปประมาณ 3 ขวดลิตร เพื่อนคนนึงถึงกับทักว่าที่บ้านไม่มีน้ำกินเหรอ..??  ตอนนั้นก็ไม่คิดอะไร กินน้ำเยอะๆก็ดีเหมือนกัน แต่ก็สงสัยตัวเองว่าทำไมมันยังคอแห้งผากเหมือนเดิม...
ในระหว่างนั้นก็รับรู้ได้ถึงกระแสพลังงานมันพุ่งทะลุกระหม่อมขึ้นไปเป็นระยะๆด้วย ก็ไม่ได้คิดอะไรอีก แค่แปลกๆดี จนถึงช่วง 5 โมงเย็น ก็ยังรู้สึกว่าข้างในมันหมุนอยู่และก็มึนหัว เหมือนเดิม และก็ยังปากคอแห้งเหมือนเดิม นึกได้จึงรีบเข้าเน็ตหาข้อมูลเรื่องปิรามิดทันที เพียงอึดใจ ก็เจอเป็นกระดานสนทนาของสมาคมดาราศาสตร์ ( code 1113 ) เป็นการถามตอบเกี่ยวกับปิรามิด ก็มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นอีก...อ่านข้อความช่วงแรกๆเกี่ยวกับการสร้างปิรามิด อ่านยังไม่ทันหมดดี อยู่ดีๆน้ำตาก็คลอเบ้าไม่รู้ตัวเลย ถ้าไม่เกรงใจคนข้างๆคงหยดออกมาแล้ว ตอนนั้นมันรู้สึกบอกไม่ถูก ก็ไม่รู้สึกเศร้า ไม่รู้สึกเสียใจ ดีใจ อะไรเลย ดูแล้วข้อความมันก็เป็นเกร็ดความรู้เท่านั้น สงสัยจริงเกิดอะไรขึ้นหนอ...
ระหว่างทางกลับบ้านก็เลยพิจารณาอาการที่เกิดขึ้น กลุ่มพลังงานหมุนวนอยู่ตลอดเวลา มึนข้างในมากๆ กระแสพลังงานก็วิ่งทะลุหัวขึ้นไปตลอดเวลา บอกไม่ถูกว่าไปถึงไหน แต่รู้ว่ามันจะตรึงตั้งแต่หัวเรื่อยมาตามแนวสันหลังถึงก้นกบเลย แต่ก็ไม่มาก แค่พอให้รู้ได้ และเกิดความร้อนภายในตัวมากกว่าปกติโดยเฉพาะแนวสันหลัง ร้อนแผ่วๆถึงผิวหนังเลย แต่หัวไม่ร้อน และก็ไม่รู้สึกปวดหัว หรือเวียนหัว มันแค่มึนๆอยู่ข้างใน ทดลองเดินลมปราณปรับกระแสให้สมดุลก็ไม่ได้ เหมือนกับพลังปราณของเราไม่พอ ลองไม่รับรู้กับมันดู เลยส่งจิตไปเรื่องอื่น ยิ่งไปกันใหญ่ พลังมันมากระจุกที่สมองซีกขวา และหมุนแบบไม่เป็นระเบียบ ยิ่งแย่ใหญ่ เหมือนกับมันจะบอกว่า "อย่ามายุ่งกะข้า" ประมาณนั้น เลยรีบกำหนดจิตรับรู้ตามมันไป ก็ค่อยยังชั่ว มันหมุนเป็นระเบียบกลับมาเหมือนเดิมแบบหน้าตาเฉย แต่..คราวนี้หมุนจากขวาไปซ้าย เอากะพี่เค้าสิ ลองแก้ไขตั้งหลายทีก็เหมือนเดิม ทำยังไงดี.. ก็ปล่อยให้มันหมุนๆมึนๆได้แต่รับรู้ เฝ้าดู ติดตามมันไปเฉยๆ 
คืนนั้นเวลา ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งกว่าๆ ก็ยังรู้สึกว่ามึนอยู่ ใจนึงก็กลัว ใจนึงก็อยากรู้ ใจนึงก็อยากลองสู้กันสักตั้ง....
ไม่รู้จะใช้วิธีอะไรแล้ว นวดกดจุดมันซะเลย พอนึกได้ปุ๊บ ก็ใช้วิชาฝ่ามือกดจุดรักษาโรค  เป็นวิชาติดตัวพื้นฐานเก่าแก่ พออธิษฐานจิตปั๊บ นิ้วชี้และนิ้วกลางก็เลื่อนมาประกบกันทั้งสองมือ แล้วอ้อมกลับไปกดที่บริเวณท้ายทอย กดนิ่งสักประมาณ 10 วินาที พอปล่อยมือลงมาวางที่น่าตัก ไม่น่าเชื่อเหมือนเปิดจุกก๊อกถังบ่มไวน์ออกมายังไงยังงั้นเลย กระแสพลังงานมันไหลพรูออกมาจากตำแหน่งที่กดเมื่อกี้ ทะลักออกมาอย่างกับฟ้ารั่ว สักประมาณ 1 - 2 นาที  จากนั้น..อาการต่างๆค่อยๆกลับคืนสู่ภาวะปกติ ก็เลยเดินลมปราณปรับสมดุลอีกครู่นึง เหลือแค่ตึงๆท้ายทอย คงสบักสบอมน่าดู ไม่รู้อะไรๆที่เก็บไว้ไหลมาด้วยรึเปล่า ดีใจที่รู้จักแก้ไขตัวเองได้...ง่ายๆ..แค่นี้เองหรือ....
วันรุ่งขึ้น ได้หยุดพักผ่อนอยู่บ้าน พอดีฟังเพลงเรื่อยๆซึ้งๆก็นึกถึงเรื่องราวปิรามิดที่เกิดกับเราขึ้นมาว่า เออ..มันช่างแปลกดี พลังก็มาก มันมาจากไหน.. พอเพลินๆก็เลยแบบทำท่าจะหลับ  มีความรู้สึกร่างกายมันหลับ ไม่อยากดุกดิกเลย คอพับไปข้างแต่ข้างในยังรู้ตัวอยู่ก็ดูตัวเองไป คงเหนื่อยมาหลายวัน เป็นแบบนี้บ่อย โดยเฉพาะตอนที่เพลียมากๆ เหมือนกายหลับแต่จิตยังตื่นอยู่ พักเดียว มีบางอย่างผุดขึ้นมา...
..กลางคืน..ความมืดรอบด้าน..ไอเย็นประมาณทะเลทรายกลางคืน ในปิรามิด "เรา"อยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยม...คล้ายๆพรม..ปูไว้..แต่มันหมุนได้...แต่แปลกมากๆ "เรา" ใส่ชุดดำ..ความรู้สึก ยากจะบรรยาย..พรมลอยขึ้น หมุนคว้างขึ้นไปท่ามกลางความมืด..สามเหลี่ยมที่นั่ง..ขึ้นไป..หมุน..อากาศเย็น..มืดสนิท มีแสงเฉพาะแผ่นสามเหลี่ยม..พลังงานมาจากไหนไม่รู้..เริ่มสัมผัสได้..หมุนไปหมุนมาพักใหญ่..แล้วก็...ลงมา..สงบ นิ่ง..ที่เดิม แสงอุ่นๆ..บอกไม่ถูกว่าอบอุ่นแบบใดเข้ามาห่อหุ้มตัว สงบแน่นิ่งสักพักจึงเห็นเป็นเหมือนลายเส้นสีดำรูปทรงเรขาคณิตประมาณนั้น ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ารูปอะไร  คือ จะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขีดจากมุมซ้ายบนไปขวาล่างและขวาบนไปซ้ายล่างอยู่ในสี่เหลี่ยม และก็มีรูปกลมๆขนาดไม่ใหญ่ทับอยู่ที่แต่ละมุมของรูปสี่เหลี่ยมนั้น และกลมๆอีกอันทับอยู่บนจุดตัดของเส้นกากบาทตรงกลางของรูปสี่เหลี่ยม ทั้งหมดเป็นลายเส้นธรรมดาๆ เหมือนตอนที่เราเรียนวิชาเรขาคณิต ก็ยังงงๆว่ามันคืออะไร ชั่วแว๊บจึง นึกขึ้นได้... 
มันเหมือนกับเวลาเราดูปิรามิดจากด้านบนลงมา แบบ bird eye view หรือ top view แต่..แล้ววงกลมๆและเส้นกากบาทนี่มันอะไร กำลังงงๆอยู่ได้ไม่นาน...
คราวนี้คล้ายกับรูปนั้นมันค่อยๆยกขึ้นมาในแนวกึ่งๆ 45 องศาให้เราดู แต่คราวนี้มันไม่ใช่ลายเส้นแล้ว มันเหมือนกับปิรามิดจริง ลอยตะแคงๆในอากาศให้เราดู แต่แปลกตรงที่บริเวณมุมของปิรามิด ตรงมุมยอดสุด และมุมที่ฐานทั้งสี่ มันเหมือนกับมีพลังงานห่อหุ้มอยู่บางๆเป็นคล้ายๆหมอกกลมๆ แล้วปิรามิดก็ค่อยๆหมุนช้าๆ เท่านั้นเองมีลักษณะเหมือนฟ้าผ่าลงมายังยอดปิรามิด ถือว่าเป็นลำสายฟ้าค่อนข้างใหญ่ เมื่อเทียบกับขนาดของปิรามิด เกิดเป็นแสงว๊าบ ลักษณะกลมๆ ณ จุดยอดของปิรามิด จากนั้นบริเวณมุมที่ฐานของปิรามิดก็สว่างวูบขึ้นมาเช่นกัน
จากนั้นขณะที่ปิรามิดยังหมุนช้าๆและสายฟ้ายังคงผ่าลงมาที่ยอดอย่างต่อเนื่องอยู่  ตอนนั้นไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่รู้สึกถึงความสว่างจ้าของสายฟ้าได้ ปิรามิดนั้นก็ค่อยเข้ามาให้ดูใกล้ขึ้นๆ ใกล้ขึ้นจนเห็นเพียงผนังของปิรามิดทีละด้าน สังเกตุเห็นว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งลงมาเป็นแนวระนาบกับผนังของปิรามิดจากยอดเรื่อยลงมาถึงฐานปิรามิดเป็นช่วงๆ ที่มุมของแต่ละฐานก็สว่างวูบ  จากนั้นปิรามิดก็เริ่มลอยห่างออกแต่ยังคงหมุนช้าๆอยู่  สังเกตุเห็นว่าที่สันขอบของผนังแต่ละข้างมาบรรจบกันก็มีกระแสไฟฟ้าวิ่งลงมาจากยอดจดปลายมุมที่ฐานด้วย มีกระแสไฟฟ้าวิ่งลงมาทุกสันข้างเลย 
ขณะนั้นร่างกายรู้สึกปกติ อยู่ในสมดุลทุกอย่างไม่เข้าไม่ออก....สงบนิ่งอีกครา
 
ท้องทะเลทรายสว่างเรืองๆ ท้องฟ้ามืดครามๆ เห็นลอนทรายเป็นระยะๆ เห็นดาวบนท้องฟ้าประปราย ท้องฟ้ามีดาวเหนือทะเลทรายช่างสวยงามเหมือนเคย รู้สึกว่า"เรา" ค่อยๆลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ตามองไปยังกลุ่มดาวกลุ่มนึงที่สว่างกว่ากลุ่มอื่น ลอยขึ้นไป ลอยขึ้นไป จนรอบตัวเรามันเริ่มมืด ดาวโน้นดาวนี้ผ่าน"เรา" ไป เป็นช่วงๆ สักสิบกว่าดวง แต่ละดาวมันก็สีแปลกๆ มีดาวเล็กๆมีแสงในตัวอยู่กระจัดกระจาย สักพักก็กลับลงมาอยู่ที่ทะเลทราย แต่คราวนี้ที่ท้องทะเลทรายไม่มีแสงเรืองเหมือนครั้งแรก มองไปรอบๆก็เห็นปิรามิดเล็กๆ กระจายอยู่สัก สาม สี่ จุด บรรยากาศรู้สึกได้เลยว่ามันสงบแบบเศร้าๆบอกไม่ถูก  มีปิรามิดหลังหนึ่งปรากฏว่ารู้สึกมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่รอบๆปิรามิด มันเป็นแค่รู้สึกว่ามีเฉยๆ แต่ไม่เห็นว่าเป็นคนหรือเป็นรูปร่างของอะไร แค่รู้ว่ามันเคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น...
พอเข้าไปใกล้ๆดู ปิรามิดนั้นคล้ายโครงเหล็กแบบกลวงๆ แต่ก็เป็นโครงรูปร่างปิรามิด ขนาดของปิรามิดก็ไม่ใหญ่เลย สูงสักประมาณ ตึก 3 -4 ชั้น แต่เป็นแค่โครง ตัวโครงก็ดูคล้ายๆเหล็กแต่ก็ไม่ใช่ สีจะเหลือบๆคล้ายสีปรอท รู้สึกว่า พอเข้าไปใกล้ๆอีก เจ้าสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่มันเริ่มพุ่งความสนใจมาหาเรา...ต่างจึงหยุดนิ่ง
จากนั้น"เรา" ก็มองไปรอบๆอีกทีก็เห็นทะเลทรายเวิ้งๆและมีปิรามิดเล็กๆอยู่เลยไปอีกไม่ไกล...				
comments powered by Disqus
  • rain..

    3 ตุลาคม 2547 08:58 น. - comment id 77683

    ..เรน ..ขออนุญาต ..ก๊อปไปอ่าน นะคะ..
    
  • tiki

    3 ตุลาคม 2547 22:18 น. - comment id 77698

    ใช่เวลาประมาณ 5 นาทีกว่า จะอ่านจบค่ะ แต่ยังจะต้องมาอ่านอีกรอบหนึ่ง
  • อัลมิตรา

    3 ตุลาคม 2547 23:31 น. - comment id 77700

    เราเคยฝัน ในฝันมีสี มีกลิ่นกำยาน มีผู้คนแต่งกายไม่ใช่ปัจจุบัน รวมทั้งเรา
    
    ฝันที่รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปให้มองเห็นภาพต่างๆ ภาพผู้คนที่นั่น บ้างก็คุ้นตา 
    
    
  • ผู้นั่งนิ่ง

    4 ตุลาคม 2547 01:06 น. - comment id 77703

    แนวทางพลังอันลี้ลับ อยากประจักษ์กับตาให้เห็น 
    หาหนทางลำบากก็ยากเย็น ทำยังไงก็ไม่เห็นสักกะที เริ่มเบื่อหน่ายเริ่มท้อหมดหนทาง ได้แต่นั่งรออาจารย์ให้มาสอน 
    นั่งนิ่งๆนานๆพาลใจคอ รอร๊อรอมาสักที สิอาจารย์
  • prajanyimm

    4 ตุลาคม 2547 10:58 น. - comment id 77707

    คุณ rain ขอบคุณครับ ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ
    
    คุณtiki ครับ สรุปแล้วใช้เวลาอ่านสิบกว่านาที ผมจะขอบคุณดี..หรือขอโทษดีครับ...เป็นว่า ขอยิ้มให้คุณ tiki แล้วกันนะครับ
    
    คุณอัลมิตราครับ ขอบคุณมากครับ
    ...ทุกดวงวิญญาณย่อมผ่านกาลเวลานั้นมาด้วยกัน แล้ว\"เรา\"เดินตามทางแห่งกาลเวลามาพบกัน....
    
    คุณผู้นั่งนิ่ง ขอบคุณครับ ขออนุญาตครับ
    ยิ่งหา ยิ่งไม่พบ...
    อยากเห็น ยิ่งไม่เห็น...
    
    จงมองด้วย \"ตา\" 
    แล้วปล่อยให้ \"ปัญญา\" เป็นผู้วินิจฉัย 
    จงใช้ตานอกสำหรับ \" ดู\" 
    แล้วจงใช้ตาในสำหรับการ \" เห็น \"
    
    เพียงเพราะต่างก็เชื่อใน \" สิ่งที่ตาดู\" 
    เราจึงติดอยู่ใน \"ภาพลวงตา\" อันเป็นมายาคติ 
    พลอยทำให้หลงลืม \" ความจริง \" 
    ที่เป็นจริงอีกด้านหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย 
    
    
  • อัลมิตรา

    5 ตุลาคม 2547 03:52 น. - comment id 77730

    บางท่านใช้เวลาตลอดชีวิตในการบำเพ็ญเพียร แต่มิอาจรู้ มิอาจเห็น
    บางท่าน เพียงสัญญาเดิมมาทวง ตัวรู้จักตาม

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน