23 เมษายน 2547 10:39 น.

พึ่งพระธรรม

sun strom

ไม่เคยคิดว่าจะหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ หลุดพ้นจากทิฐิมานะที่มี แต่เหมือนกับเราเคยสร้างสมบุญมาบ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีอะไรชักนำให้มาเจอสิ่งที่เราคิดว่า ไม่จำเป็นไม่สำคัญ เราเคยคิดเสมอว่า การทำบุญ แค่ตักบาตร ทำทาน ก็คงได้บุญ จริง ๆ แล้วไม่ใช่หรอกนะคะ การทำบุญหากสักแต่ทำ ทำตามกระแสสังคม ทำเพื่อมีหน้า มีตา มีชื่อเสียงในสังคม นั่นเหมือนเราทำบาป บาปเพราะอยากได้บุญ มันไม่หักล้างกันได้ เคยอ่านหนังสือเจอเกี่ยวกับเรื่องการนับคะแนนของการทำบาปทำบุญ เช่น ถ้าฆ่านก 1 ตัว เราจะติดลบเท่าไหร่ ให้เงินคนหนึ่งบาทเราจะได้บุญเท่าไหร่ นั่นเป็นเหมือนอุบายให้เราทำบุญ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำเผยแพร่เพื่อให้คนทำบุญค่ะ
         การทำบุญหากเราทำด้วยใจจริง ๆ มันสุขมาก เรามี 1 บาท เราทำบุญ 1 บาท ไม่ฝืนใจ เต็มใจที่จะทำบุญ ไม่คำนึงถึงว่าเงินที่เราทำบุญเค้าจะเอาไปใช้ตรงจุดประสงค์หรือเปล่า เราจะมีสุข สุขก็คือได้บุญ เพราะหากเราเกิดห่วง หรือกังวลตรงนี้ก็เหมือนกับเราไม่สบายใจแล้ว นั่นก็หมายถึงว่า เราไม่ได้บุญ  นี่ก็นอกเรื่องมากอะ เข้าเรื่องดีกว่านะคะ
         เช้าวันหนึ่ง แม่เรียกให้ไปใส่บาตร ก็อิดออดอยู่นั่น ยังไม่แต่งตัวบ้าง ยังไม่อาบน้ำบ้าง สารพัดที่จะอ้าง เพราะไม่มีใจจะไปใส่บาตร คนเราหากมีเรื่องขุ่นมัวในใจ ให้อย่างไรก็ไม่มีจิตใจจะทำอะไร จริงป่าวคะ
         สุดท้ายวันนั้นก็ไม่ได้ใส่บาตรเหมือนวันก่อน ๆ ที่ผ่านมา แต่.ห้าโมงตรง(ห้าโมงเช้านะคะ) ก็มีพระรูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน แม่ก็จัดการต้อนรับอย่างดี  มาทราบที่หลังว่าแม่นิมนต์ท่านมาฉันท์เพลที่บ้าน เพื่อให้ท่านเทศน์ให้ฟัง เราเองตอนนั้นก็ออกนอกห้องมาเพื่อทำธุระชั้นล่าง แม่ก้อเลยจับนั่ง บอกว่าให้เรารอแป๊บหนึ่ง เพราะสิ่งที่เราอยากได้มันวางอยู่ด้านหลังพระท่าน ให้ท่านฉันเพลเสร็จก่อน ค่อยเข้าไปเอา เราก็นั่งลง ฟังท่านเทศน์ ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อยอะ เข้าหูซ้าย ทะลุหัวขวา ออกปากบ้าง (ก็มันออกมากับการหาวของเราน่ะ) เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ในใจคิดรำคาญ เมื่อไหร่ ท่านจะเสร็จเสียที คือตัวต่อต้านมันเยอะค่ะ (ทิฐิมานะ)  กว่าท่านจะเทศน์เสร็จก็กินเวลาตั้งเกือบชั่วโมง ท่านค่อยได้ฉันท์เพล ก่อนกลับท่านหันมามองเรา เหมือนกับทราบว่าเราต้องการอะไร ท่านบอกว่าโยมยังอยากจะได้อยู่รึ เข้าไปเอาน๊ะ อาตมา กลับก่อน เนี่ยก็มานั่งเสียนาน เข้าไปหยิบแล้วก็ขึ้นข้างบนเถอะ คงเห็นเรานั่งกระสับกระส่าย ไร้จิตไร้ใจกระมัง ไม่ได้คิดอะไรมากตอนนั้น หยิบของเสร็จก็เข้าห้อง ตอนที่นั่งเขียนหนังสือ มันแว็บเข้ามา เอรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเข้าไปหยิบของ ทีนี้เสียงเว้ด ๆ ก็ดังก้องบ้าน แม่จ๋าาาาาาาาาาาาาาา แม่อยู่ไหน  แม่จ๋าาาาาาาาาาา คุณแม่เจ้าคะ ไปไหนก็ไม่รู้ เลยไม่ได้คำตอบ เพราะในใจกะจะถามแม่ว่า แม่บอกท่านหรอว่าหนูจะเข้าไปเอาของ
         วันรุ่งขึ้นท่านก็มาอีกเหมือนเดิมค่ะ ที่นี้เราสนใจ ถามแม่ไม่ได้ ถามพระนี่แหละ ดูรึจะตอบเราอย่างไร เหมือนเดิม ท่านก้อเทศน์ไปตามเรื่องเราก็ยังไม่มีโอกาสจะถามเพราะญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านนั่งกันเต็มบ้าน ท่านฉันท์เพลเสร็จก่อนจะกลับท่านบอกเราเลยว่า สิ่งที่จะถาม ไม่ต้องถาม หากอยากจะทราบคำตอบจะมาตอบวันพรุ่งนี้ ยังคงเหลือกิจที่บ้านหลังนี้อีก 1 วัน  เออแนะท่านทราบอีกแฮะว่าเราจะถาม พระรูปนี้ยังไง ๆ ยังหวา
         วันที่สาม แม่มาหาที่ห้องแต่เช้าบอกว่า วันนี้เป็นวันสุดท้าย แม่อยากให้เราตั้งใจฟังซักหน่อย ลูกคงไม่ทราบ ที่แม่นิมนต์ท่านมาที่บ้านเราไม่ใช่เพื่อแม่ เพื่อญาติพี่น้อง หรือเพื่อนบ้าน แต่แม่ทำเพื่อเราน๊ะ พรุ่งนี้ท่านจะธุดงค์แล้ว ตั้งใจฟังหน่อยน๊ะลูก เราก็รับปาก เพราะไหน ๆ ก้อแค่วันเดียว
         วันนี้ค่อนข้างสนใจเอาใจใส่ เพราะความที่ยังมีเรื่องคั่งค้างในใจอยากจะถามท่าน อยากจะทราบว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราต้องการหยิบของข้างหลังท่าน อยากจะทราบว่า ท่านทราบได้อย่างไรว่าเราจะถามท่านเรื่องวันก่อน ๆ คำที่ท่านเทศน์วันนี้ไม่ทะลุหูขวาอีกแล้ว เข้าหูซ้ายผ่านกระบวนการกลั่นกรอง ผ่านเข้าใปในความคิด ไม่ทะลุปากเพราะไม่ได้หาวเหมือนวันก่อน ๆ เราแค่สุขนิด ๆ ที่ได้ยินได้ฟัง ท่านบอกว่า  อดีต เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง อย่าไปคิดถึง จงอยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้  เราได้แต่ถามตัวเราว่า เราเป็นแบบที่ท่านพูดหรือเปล่า คำถามที่ต้องการจะถามเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ไม่ได้ถามในสิ่งที่อยากรู้ ไม่ได้ถามในสิ่งที่ข้องใจ แต่ถามท่านว่า ท่านมาจากไหน และจะไปที่ใด ท่านตอบว่า หากโยมพอมีเวลาว่าง ไปที่วัดป่าช้า ไปหาหลวงพ่อ......น๊ะ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเอง ตอนนั้นคิดในใจว่า ทำไมท่านพูดนุ่มนัก ทำไมท่านเดินเบานัก ทำไมท่านถึงได้สำรวมกิริยาอาการได้ดีนัก
คำพูดท่านแม้จะเหน่อ ๆ พูดทำนองอีสานเหนือ เรายังพอฟังเข้าใจ 
         อืมม..ทุกสิ่งที่ค้างในใจ เราจะลองไป อยากไป ความอยากมันวิ่งพล่านเต็มสมองอะที่นี้
         ผ่านมาอีกช่วงหนึ่งแล้วนะคะ นี่เป็นเพียงสาเหตุที่ทำให้เราหันหน้าเข้าหาพระธรรม และตอนต่อไปเราจะเล่าถึงเรื่องที่เราไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าช้าให้ฟัง เป็นความรู้สึกจริง ๆ สัมผัสจริง ๆ ที่เกิดขึ้นตอนนั้น แม้จะนานก็ยังจำได้ ไม่ลืม ทุกวันนี้ก็ปฏิบัติบ้างแต่ห่าง ๆ สิ่งแวดล้อมมันค่อย ๆ กลืนเราน่ะ				
22 เมษายน 2547 14:58 น.

อยู่ในความมืด

sun strom

หลังจากที่ผ่านพ้นเหตุการณ์ร้าย ๆ นั้นมา เราก็กลับไปเรียนต่อ แต่น่าเสียดาย เกรดที่เคยนำลิ่วมาตลอดหล่นฮวบฮาบ สุดท้ายเราเรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ย 2.95 ซึ่งถือว่าเป็นเกรดที่น้อยหากมองย้อนกลับในระดับคะแนนที่ผ่านมา ไม่เคยได้เกรด 1 ก้อได้ เนื่องจากไม่ได้สนในการเรียนเท่าที่ควร ทุกเย็น จะนั่งเหม่อ ข้าวปลาไม่แตะต้อง ร่างกายที่เคยสวยงาม ดูซีดเซียว ผ่ายผอม เพราะความไม่เอาใจใส่ตัวเอง ตลอดเวลาสามปีสิ่งที่ปฏิบัติเป็นกิจวัตร คือการนั่งเขียนหนังสือ ไม่รู้ว่าเขียนอะไรไปบ้าง มาเปิดอ่านทีไร นั่งร้องไห้ทุกที(ปัจจุบันปะป๋าเอาไปเผาทิ้งแล้วค่ะ) กำหนดกรอบให้ตัวเองอยู่ในวงแคบ ๆ ไม่ไปไหน กิจวัตรที่ทำก็ซ้ำซากจำเจ ไม่เที่ยวเตร่ อยู่กับบ้านตลอดไม่บ้านแม่ ก็บ้านปะป๋า แม่เป็นคนหาข้าวหาปลาให้ทาน แม่เล็กบ้าง ปะป๋าบ้าง ทุกคนล้วนเอาใจใส่ แต่ก้อเหมือนขาด  ไม่มีใจที่จะทำอะไร เหมือนคนไร้ค่า หากจะเปรียบก็คือเหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีชีวิต จิตใจที่ทำอะไรซักอย่าง ในจิตใจนั้น สุดแสนเบื่อ แต่ไม่ทราบว่าเบื่ออะไร เบื่อทำไม  หนักเข้าปะป๋าพาเข้าโรงพยาบาล เพื่อฟื้นฟูจิตใจ  เราไม่ทราบน๊ะว่าความรักทำลายคนได้ขนาดนี้ หากทราบเราจะไม่รักใคร
               ด้วยความที่เป็นลูกคนโต ครอบครัวตั้งความหวังไว้มาก อยากให้สานต่อทุกอย่างที่พ่อแม่สร้างขึ้น จากคนที่ร่าเริงสดใส กลายเป็นคนเจ้าทุกข์ คิดมาก กังวล หงุดหงิดง่าย ช่วงนั้นเราไม่นึกหรอกนะคะว่า เราสร้างความเดือดร้อนให้คนรอบข้างขนาดไหน ใครทำอะไรไม่พอใจก็แว้ด ๆ ใส่เค้า ใครมายุ่งที่โต๊ะเขียนหนังสือเป็นต้องโดนด่า เรานิสัยเสียมาก แม้แต่ปากกาที่เราใช้เขียนหนังสือ หากวางผิดจากที่เคยวาง ก็จะเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับครอบครัว ก็เราคิดของเราตลอดว่า เราจะอยู่แบบนี้ อยู่ในโลกของเรา โลกข้างนอกมันโหดร้ายนัก คนข้างนอกน่าชิงชัง เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร คิดแบบนี้ตลอดเวลา ไม่ทราบหรอกนะคะว่าตัวเองทุกข์ เพราะไม่รู้สึกตัวเสียเลย ห้องสี่เหลี่ยม แม้จะดูกว้างขวาง มีห้องน้ำที่สะอาด ผนังทาด้วยสีฟ้าอ่อน ๆ มีรูปดอกกล้วยไม้ที่ตัวเองชอบนักชอบหนา ติดไว้ให้ดูงามตา มีเตียงที่นุ่มนอนสบาย มีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ เราก็ไม่สงบ มันไม่เคยหลุดไปสู่ที่โล่งเอาเสียเลย ในใจเหมือนกับมีอะไรหนัก ๆ ให้เราแบกไว้ตลอดเวลา ความคิดสับสน วุ่นวาย ไม่เคยหยุดนิ่ง ความคิดเหมือนลิง เดี๋ยวคิดนั่นคิดนี่ คิดไปได้เรื่อย ๆ เราก็หยุดความคิดไม่เป็นด้วยซิ 
               มาทราบที่หลังว่า เราหลงในเขาวงกตตั้งสามปี.เฮ้ออออออออ เหนื่อยจังอะ
               นั่นซิ แล้วทำไมหลุดออกมาได้หละ.อ่านต่อ ช่วง พึ่งพระธรรมนะคะ				
22 เมษายน 2547 09:55 น.

บางช่วงของชีวิต

sun strom

อายุ 19 ปี เรียนปีสามของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ความที่เป็นคนสวย (สวยจริง ๆ นาไม่ได้โม้) จึงขาดไม่ได้ที่จะมีเหล่าภมรมาบินด้อม ๆ มอง ๆ    แต่ก็ไม่สามารถบินเข้ามาใกล้ ๆ ได้ เนื่องจากดอกไม้ดอกนี้เป็นที่หวงแหนของปะป๋ามาก ตามรับตามส่งทั้งเช้าเย็น และเหตุนี้จึงทำให้มองคนในแง่ดีไปเสียทั้งหมด ไม่คิดหรอกว่าจะมีคนไม่ดี คนอื่นก็คงเหมือนปะป๋าเรา 
                     ถึงแม้จะหวงก็ยังมีคนเข้ามาจนได้ ปะป๋าชอบเค้า ความที่เค้าเป็นคนดี มีฐานะทางสังคมพอประมาณ และที่สำคัญ เขารู้จักกับครอบครัวเราด้วย ความสนิทสนมเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขต อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ จะมีบ้างที่เดินจูงมือกันข้ามถนน นอกนั้นไม่มีอะไรเกินเลย(สมัยนั้น การจับมือถือแขนยังถือเป็นเรื่องสำคัญ คนอื่นไม่รู้น๊ะว่าจะคิดแบบนี้ป่าว) ไปเที่ยวไหนกันทีก็ไปกันทั้งครอบครัว และจะมีเค้าติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกครั้ง อนาคตวาดเอาไว้สวยหรู เรากับเค้าคงได้แต่งงานกันแน่ เพราะผู้ใหญ่เห็นชอบทั้งสองฝ่าย และตัวเราเองก็ไม่ได้รังเกียจเค้า ซ้ำจะรักเค้ามาก และรักมากขึ้นทุกวันที่คบกัน เขาดีกับเราเสมอต้นเสมอปลาย 
                      ปลายปีก่อนเรียนจบ เรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิด ช่วงนั้นปิดเทอม กลับไปหาแม่ที่ต่างจังหวัด ปะป๋าพร้อมกับเค้าก็ไปส่งด้วย เค้าเองก็เป็นคนพื้นเพเดียวกับแม่ เป็นคนจังหวัดเดียวกันกับแม่ และครอบครัวเค้าส่วนใหญ่เล่นการเมือง เป็น สส. เป็นครอบครัวที่แม้เอ่ยชื่อแล้วมีน้อยนักที่จะไม่รู้จัก มีบ้านอยู่ทั้งต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ เค้าบอกกับเราว่า อยากกลับไปหาลุง แล้วไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วย เราเองก็อุ่นใจที่อย่างน้อยปะป๋ายังไปด้วยคงไม่มีอะไร แต่. ในความอบอุ่นใครเลยจะคิดว่าจะมีสิ่งแอบแฝงมาด้วย 
                       รุ่งขึ้นเป็นวันพระ แม่ไปวัด ปะป๋าไปด้วย เราอยู่บ้านกันสองคน ไม่คิดว่าเค้าจะเป็นคนไม่มีสติ ตอนนั้นเค้าเป็นเหมือนคนไม่มีสติ น่ากลัว เรานั่งดูทีวีอยู่ชั้นล่าง เค้าเดินลงมาจากชั้นบน ตรงเข้ามาหาเรา จับที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง เล็บที่เขาไว้ยาวจิกลงไปที่เนื้อ .เจ็บใจจจะขาด แต่.ยังไม่เท่าความตกใจที่มีทั้งหมด เค้าเป็นอะไรไป ..เราเองไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น ก็ไม่ได้ระวังตัว ร้องได้คำเดียวว่า ปะป๋าาาาา
                        หลังจากนั้นอะไรเกิดขึ้นเราไม่ทราบ เพราะรู้สึกตัวอีกที่ก็อยู่ที่โรงพยาบาล ไม่อยากคิดว่าสิ่งที่เราหวังไว้ ความสุข ความฝัน ดับมืด ไม่มีแสงสว่างส่องให้เห็น ทราบแต่ว่ามีการแจ้งความ มีการวิ่งเต้นเพื่อให้คดีมันจบสิ้น ดีหน่อยตรงที่เราไม่ได้โดนข่มขืน เพียงแต่ความรู้สึกที่มีหลังจากนั้นไม่เหมือนเดิม ..ชีวิตคนเรามีเท่านี้เหรอ ตัณหา หน้ามืด 
	หลังจากที่จบคดีเนื่องจากผู้ใหญ่คุยกันและสรุปผลออกมาว่า เราไม่ได้เสียหายอะไร ตัวเค้าเองก็ทำไปด้วยขาดสติ หากจะเอาเรื่องกันไปก็รังแต่จะเสียชื่อเสียงทั้งสองฝ่าย ให้เลิกแล้วต่อกัน หรือจะให้ทั้งสองคนแต่งกัน
ซึ่งตรงนี้เราเสียใจมากเมื่อเค้าบอกกับเราว่า ไม่แต่งด้วยเพราะเราเป็นคนผิดปกติ น่ากลัว เราไม่ทราบหรอกน๊ะว่าตอนที่เราตกใจ สลบไปนั้น อาการเป็นอย่างไรบ้าง แต่เค้าบอกว่า เราน่ากลัว หากอยู่กันไปแล้วเราเป็นแบบนี้ชีวิตเค้าคงไม่มีความสุข โอววววววววววว ..เรา.ช๊อคอีกครั้ง.รอบข้างมีแต่ความมืดมิด
	จบภาคนี้ หากสนใจ  อ่านต่อในช่วงอยู่ในความมืด				
21 เมษายน 2547 11:28 น.

ผู้หญิงคนหนึ่ง…กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง(ภาคจบ)

sun strom

ตลอดหลายปีที่ครอบครัวเรา ต้องอยู่แบบหวานอมขมกลืน มัทไม่เคยเห็นใครอดทนเท่าแม่ 
            แม่บอกเสมอว่า การะทะเลาเบาะแว้งกันไม่ใช่สิ่งดี หากไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ก็ให้ทิ้งกันไปเสีย ไม่ต้องมาทรมานรับรู้ในสิ่งที่ตัวเองรับไม่ได้ การฝืนใจเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เราเกิดความเครียด
มัทไม่เข้าใจแม่เหมือนกันว่า ทำไมถึงทนได้ เห็นท่านทำงานหนักตลอด ไม่เคยปริปากบ่น ปะป๋าก็กลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง ท่านก้ไม่เคยบ่น แล้วผู้หญิงของปะป๋าก็ไม่เคยเข้ามาก้าวก่าย ไม่เคยเข้ามายุ่งกับครอบครัวของเรา ต่างคนก็ต่างอยู่ แรก ๆ มัทไม่เชื่อหรอกนะคะว่าเค้าจะเป็นคนดี เพราะลงได้มีความสัมพันธ์ กับสามีคนอื่นได้นั้น ก็เข้าข่ายถูกมองแล้วว่าเป็นคนไม่ดี 
            มาเห็นใจและเข้าใจเค้าก็เมื่อแม่มาล้มเจ็บ ช่วงนั้นปะป๋างานยุ่งมาก ไม่มีเวลามาดูแลครอบครัว ส่งเงินให้อย่างเดียว มัทเองก็ยังไม่สามารถทำงานแทนคุณแม่ได้ งานส่วนใหญ่ก็หนัก ๆ ทั้งนั้น ไหนจะติดต่อกับลูกค้าข้างนอก จะสั่งของ เช้คของ อีกอย่างก้เป็นช่วงที่เรากำลังเริ่มสร้างฐานะ เริ่มค้าขาย ก็มีเค้านี่แหละเข้าไปช่วย เค้าเป็นคนกล้า ไม่ค่อยพูด แต่ทำงานเก่ง ในช่วงที่แม่นอนป่วย เขามาทำงานแทน ดูแลร้าน ดูแลมัทกับน้อง  ไปส่งไปรับเวลาที่น้องไปโรงเรียน เขาทำแทนปะป๋าได้ทุกอย่าง ทำกับข้าว ทั้ง ๆ ที่เค้าอายุไม่ห่างจากมัทมากนัก บางวันที่มัทไม่ว่าง เค้าจะเป็นคนเข้าไปดูแลแม่มัท ไปเช็ดตัวให้ ทำความสะอาดที่นอน ป้อนยา หาน้ำอุ่นไปตั้งไว้ให้  แม่เองก็อาการดีขึ้นมาก คงยอมรับได้ในจุดหนึ่ง แม่เคยบอกมัทว่า มีบางเรื่องที่มัทไม่เข้าใจ จนถึงวันนี้ วันที่มัทโตจนแก่ ถึงทราบความหมายของคำคำนั้น
            ไม่มีใดที่ไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากที่แม่หายป่วย ครอบครัวเรา เริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง ในที่นี้เป็นการรวมเอาความสุขของครอบครัวมาด้วยนะคะ เพราะทุกอย่างลงตัว  แม่กลับมาทำงานเหมือนเดิม ส่วนปะป๋าให้แม่เล็กกลับบ้านที่กรุงเทพฯ มัทเองแม่สร้างบ้านให้ที่ขอนแก่นเพื่อจะได้อยู่ใกล้ทีทำงาน และมีหน้าที่ดูแลน้อง ๆ แม่เล็ก(ขออนุญาตเรียกผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแม่เล็กนะคะ) เค้าก็ต้องกลับไปดูแลปะป๋า  ลืมบอกไปช่วงที่มัทเล่านี้อ่านแล้วอาจจะมองว่าใช้เวลาแป๊บเดียว แต่จริง ๆ แล้วกว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้กินเวลายาวนานค่ะ แม่เล็กเองก็มีน้องสาวน่ารัก ๆ ให้มัทเลี้ยง 1 คน มัทรักน้องมาก เพราะได้เลี้ยงเค้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ เรามีพ่อคนเดียวกัน หน้าตาก็คล้าย ๆ กัน แม้ขณะนี้น้องยังอยู่ในความดูแลของมัทค่ะ สุขใดหรือจะเท่าสุขใจ
            ผู้หญิงคนหนึ่งดำรงชีวิตเรียบง่ายที่กรุงเทพฯพร้อมปะป๋าของมัท ด้วยวัยเพียง 41 ปี ของเค้า แม้เค้าจะเป็นคนดี แต่ปะป๋ามัทอายุมากแล้ว จะอยู่คู่กันไปได้นานหรือไม่  ใคร่วิงวอนให้ท่านทั้งสองมีอายุยืนนานตลอดไป
            ส่วนผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้ถอยมาอยู่ในจุดที่สมควรพักผ่อน อยู่กับบ้าน กับร้านค้า พร้อมด้วยญาติพี่น้องที่รายล้อมท่านอยู่ ด้วยวัยที่ขึ้นต้นด้วยเลย 5 เฉียด ๆ เลข 6 ใคร่วิงวอนให้ท่านหลุดพ้นจากวงการเมือง(แม่เป็นนักการเมืองค่ะแต่ปัจจุบันเลิกเล่นแล้ว)ให้ตลอดไป และมีความสุขตามอัตถภาพที่ท่านเป็นอยู่ 
            สำหรับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ยังคงต้องสู้ต่อไปด้วยวัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 พร้อมภาระรับผิดชอบมากมาย ที่บุพการีได้ถ่ายโอนมาให้ จะอีกนานไหมที่เราต้องโลดลิ่วในเส้นทางแห่งนี้ อย่างโดดเดียว  เข้มแข็ง.........จนกว่าชีวิตจะหาไม่				
20 เมษายน 2547 13:38 น.

ผู้หญิงคนหนึ่ง…กับผุ้หญิงอีกคนหนึ่ง(ภาคแรก)

sun strom

รูปร่างอวบ ขาว ผมยาว  นัยตาเศร้าเป็นนิจ นับเป็นคนสวยคนหนึ่ง ที่เดินเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้า แต่ก่อนไม่เคยชอบหน้าเพราะถือว่ามาแย่งความรักไปจากเรา  แม่เองก็ไม่เคยชอบเค้า แต่ไม่เคยปริปากบ่นว่าปะป๋าซักคำ อะไรที่เราจะมีความสุข แม่จะสรรหาและส่งเสริมให้เราได้ทำกัน การไปวัดก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ครอบครัวของเราทำเป็นประจำ  มัดหมี่เอ้ย วันนี้หนูจะไปกับม้าไหมลูก วันไหนตื่นทันก็จะไปกับแม่เสมอ จริง ๆ แล้วการไปวัดทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ที่มองเห็นได้ชัดก็คือ  ได้รู้จักการระมัดระวังกริยา มารยาท ทั้งการเดิน การนั่ง การยืน รวมไปถึงการสำรวมอริยาบถอื่น ๆ ด้วย  
	อะไรที่เรานึกไม่ถึง มักจะเกิดขึ้นเสมอ  พระท่านเคยเทศน์ให้เราฟังหลายเรื่อง เราในฐานะปุถุชน ก็ทำตามได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ประพฤติ ปฏิบัติตามเอาเสียเลย หนึ่งในนั้นคือ ความไม่ประมาท ซึ่งหมายถึงความไม่ประมาททุกด้าน  ตรงนี้พระท่านขยายความไปถึง ความไม่ประมาทด้านอารมณ์ด้วย การเกิดของอารมณ์ การตายของอารมณ์ นั้น ท่านให้เราระวังไว้เสมอ ระวังการเกิดอารมณ์ที่ไม่ดีต่อตัวเรา ให้หลีกเลี่ยงอารมณ์ร้ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ให้รู้จักการกำจัดอารมณ์ร้ายเหล่านั้นด้วย นั่นคือทำให้มันตายไปจากจิตใจเรา การปฏิบัติตรงนี้ค่อนข้างยาก เพราะกว่าเราจะตามอารมณ์ทัน มันเกิดก่อนเราแล้ว ตามมันไม่ทันซักที  กว่าเราจะตามอารมณ์ทันว่าทำไมเราโกรธ มันก็โกรธไปก่อนแล้ว หากจะพูดเรื่องอารมณ์  3 วันคงไม่จบ ยกเว้น ให้เราไปปฏิบัติธรรม วันเดียวรู้เรื่องค่ะ แต่ต้องตั้งใจนะคะและ ในความตั้งใจเราต้องรู้จักปล่อยวาง ทำให้เราว่างจริง ๆ ไม่ใช่ตั้งใจจนกลายเป็นสิ่งที่เรายึดติด แบบนั้นก็จะทำให้เราไปไม่ถึงไหนอีกค่ะ อืมมก็ไม่ทราบว่ามัดหมี่สื่อให้ท่านเข้าใจได้ดีหรือเปล่า
	แล้วมันเกี่ยวกันผู้หญิงคนหนึ่งอย่างไร.
	มีคำถามมากมายว่าทำไมผู้หญิงถึงชอบเป็นอนุภรรยาของผู้ชายที่เขามีภรรยาแล้ว เอหากใช้คำว่าชอบ คงไม่ถูกต้องนัก เอาเป็นว่า มีเหตุให้ตกไปเป็นอนุภรรยาของผู้ชายแล้วกันนะคะ หากไม่สวนกระแสสังคมมากเกินไป ก็ใคร่เรียนตอบคำถามตรงนี้ไว้อย่างนี้นะคะ จริง ๆ มัดหมี่เองไม่ใช่ผู้เชียวชาญ แต่เท่าที่ประสบพบเห็นมาก็ไม่ไกลเกินกว่าที่จะเอ่ยถึง  การที่ผู้หญิงเข้าไปสู่เหตุการณ์แบบนั้น มีหลายสาเหตุ แต่ที่มองเห็นเหตุใหญ่ ๆ สามารถแยกได้ดังนี้
	ความรัก นี่ถือเป็นสิ่งสำคัญ หากเรารักใครก็อยากอยู่กับคนคนนั้น  จริง ๆ แล้วผู้หญิงมีน้อยนักที่พอทราบแล้วว่าเขามีภรรยาแล้วยังดื้อดึงที่จะอยู่เป็นของชายคนที่รัก ยกเว้นมีเหตุต้องตกไปเป็นของเขาแล้ว ท้องกับเค้าแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ผู้หญิงไม่สามารถไปจากเข้าได้ ก็เลยต้องแลยตามเลย
	ความอยากเนี่ยก็เป็นสาเหตุหนึ่งเหมือนกันค่ะ ตรงนี้ใคร่ขยายความไว้ดังนี้ ความอยากคนเรามีหลายสาเหตุ และต่างคนก็อยากไม่เหมือนกัน เพื่อสนองความอยากเหล่านี้ ผู้หญิงบางคนจึงได้เลือกวิธีนี้เพื่อเป็นบรรไดไปสู่การดับความอยากดังกล่าว
	ไม่โทษใครเพราะ แต่ละคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง และเหตุผลของแต่ละคนก็ไม่จำเป็นต้องถูกต้องในสายตาของคนอื่น เหตุผลของคนคนหนึ่งอาจจะถูกมองว่าเป็นปัญหาของสังคม ก่อให้เกิดการร้าวฉานในครอบครัว แต่หากท่านทราบว่า ที่เขาทำเพราะเขาจำเป็น หากไม่ทำแล้วเขาอยู่ไม่ได้ ท่านจะช่วยเขาหรือไม่ เพราะฉะนั้น เรื่องแบบนี้ ใครไม่เคยเจอก้ไม่ควรไปดูหมิ่นเขา
	ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามาในครอบครัวของข้าพเจ้า พร้อมด้วยรอยร้าวฉาน .แม่เหมือนถูกฟ้าผ่า ปะป๋าก็ปฏิบัติตัวลำบาก ยิ่งเราซึ่งเป็นลูก ๆ ไม่ต้องพูดถึง .อยากจะทำทุกอย่างให้หล่อนกระเด็นไปไกล ๆ      แล้วเหตุใดเล่า.เราจึงไม่ทำและกลับยอมรับผู้หญิงคนหนึ่ง..แล้วผู้หญิงอีกคนหนึ่งหละ เขาทำอย่างไรอยู่อย่างไร.อ่านต่อภาคสองนะคะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงsun strom