22 กรกฎาคม 2551 01:06 น.

รอยเท้าควาย

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ตาวันคล้อยต่ำ ปรากฏลูกไม้สุกแดงส้มไหวๆปลายยอดไม้สุดสายตา ที่ซึ่งขอบฟ้าบรรจบพสุธา ก่อนความมืดจะผสานเส้นแบ่งขอบฟ้าและผิวดินเป็นหนึ่งเดียวกัน ยินเสียงหรีดหริ่งบรรเลงเพลงรับวันใหม่ของมวลสรรพสัตว์ในท้องทุ่ง ขณะที่ชาวนามุ่งสู่เคหะสถานเพื่อพักผ่อน ก่อนรุ่งสางของมนุษย์จะเวียนมา

	แสงไฟนีออนดวงเล็กกระพริบไหวท่ามกลางความมืดมิดที่ห่อหุ้มอาณาบริเวณนี้ ยามลมพัดโชย ชายเสื้อของเด็กน้อยก็สะบัดปลิวอย่างอิสระ ท้องทุ่งยามค่ำคืนให้มากกว่าความหวาดกลัว ความเหน็บหนาวแห่งทิวากาลช่างซาบซ่านใจ หรีดหริ่งเรไรผสานเสียงเป็นบทเพลงอันไพเราะ  ดุจบรรเลงจากสรวงสวรรค์ ประสาทสัมผัสของเด็กน้อยวางเปล่า เพื่อดูดด่ำกับความสุขที่เขาค้นพบ ราวกับอยู่คนเดียวในโลกกว้างใบนี้  

	เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที  แต่เหมือนจักรวาลหยุดโคจร ดารากรไม่เคลื่อนคล้อย มีเพียงเด็กน้อยที่กำลังล่อยลอยในเวิ้งน้ำ ปีนป่านปุยเมฆบางเบา และท่องไปในเอกภพอันลี้ลับเท่าที่จินตนาการของเขาจะเนรมิตขึ้น ชั่วประเดี๋ยวเหมือนบทเพลงของคนธรรพ์ค่อยๆเงียบลงไปพร้อมกับสายลม บรรยากาศแสนสบายแปรเปลี่ยนเป็นความอบอ้าวอย่างหน้าร้อนเดือนเมษา เหงื่อกาฬของเขาผลุดขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วพอๆกับหัวใจที่เต้นเป็นรัวกลองเพล  

	แสงสีส้มปรากฏแทนที่ไฟนีออนตอนหัวค่ำ แสงนั้นค่อยๆเด่นชัดขึ้น เด็กน้อยเพ่งสายตามอง ทุกครั้งที่แสงไฟดวงนั้นดับไป จะปรากฏลูกไฟที่ใหญ่กว่าขึ้นมาแทน เสียงยายผู้ล่วงลับก้องกังวานในโสต
	ท้องนาตอนกลางคืนมันไม่ได้เป็นของเราหรอกนะ ดำ ยายบอกดำขณะที่เขาจะหนีพ่อไปในนาตอนดึกคืนหนึ่ง 
	ท่ามกลางความมืดมิด มีสิ่งที่เรามองไม่เห็นมากมายสถิตอยู่ พวกมันรวมตัวกันเป็นหมู่บ้านและอยู่อย่างสงบตามวิถี ตราบที่ไม่มีใครรบกวนหรือลบหลู่ดูหมิ่นพวกเขา เราก็จะอยู่กันด้วยดี 
	เคยมีคนไปลบหลู่พวกเขาไหมยายดำถามอย่างสนใจ
	ตาของหลานไง
	วันนั้นควายของเพื่อนบ้านหายไป พวกผู้ชายก็ออกตามหากัน ทุกคนแยกย้ายไปตามจุดที่สงสัยว่าควายจะซ่อนอยู่ ตาเดินไปคนเดียวเป็นเวลานาน กระทั่งรู้ตัวว่าตนเองมาถึงดอนทึบกลางทุ่ง ตาลังเลว่าจะเข้าไปดีไหม ระหว่างตัดสินใจนั้น ตาก็เหลือบเห็นแสงรำไรในดอน ตาคาดว่าจะเป็นคณะที่ออกมาตามควายด้วยกันจึงตามเข้าไป ดอนนี้รกมาก พุ่มไม้เล็กๆทึบไปหมด ตาพยายามวิ่งให้ทันพวกเขา แต่ยิ่งตามก็เหมือนกลุ่มแสงนั้นยิ่งห่างออกไป และในที่สุดแสงไฟกลุ่มนั้นก็หายไป    ตาจึงรู้สึกถึงความวังเวงของสถานทีแห่งนี้ในบัดดล เสี้ยววินาทีที่ตาตัดสินใจหันหลังกลับ ก็ปรากฏลูกไฟห้าดวงต่อหน้าต่อตา แทนที่ตาจะโล่งอก กลับทำให้ตาเกือบร้องไห้ เพราะสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่คน
แล้วเป็นอะไรหรือยาย ดำสนใจยิ่ง

ผีกระสือยายพูดเสียงเรียบๆ แต่ชวนให้ขนในกายดำลุกชัน 
แสงไฟดวงนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ หากเป็นกระสืออย่างที่ยายเล่า เขาจะทำอย่างไรดี ยายเล่าเรื่องตากับผีกระสือยังไม่จบ เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และเขาไม่มีโอกาสถามยายอีกแล้ว เด็กน้อยพยายามบังคับจิตใจตัวเองมาสนใจในความงามของท้องทุ่ง ดวงดาว หรีดหริ่ง กระสือ สายลม น้ำค้าง กระสือ และกระสือ 
ไม่กี่เมตรข้างหน้า ดวงไฟลอยเวียนวนไปมา แน่แล้วเด็กน้อยคิด เขาโดนดีเข้าแล้ว อึดใจเดียวแสงนั้นจะมาถึง ใจเขาอยากจะวิ่งหนีแต่ขากลับขยับเขยื้อนไม่ได้  ในที่สุดแสงนั้นก็ปรากฏตรงหน้า ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เด็กน้อยจึงวิ่งเข้าหาลำแสงพร้อมกำปั้นสุดแรงเกิด ไม่มีแรงปะทะเหมือนชกอากาศ เขาถลำลงจากคันนา  ดวงแสงนั้นอยู่ข้างหลังเขา เสี้ยวสมองของเด็กน้อยพยายามอย่างหนักที่จะบอกให้เขาวิ่งหนี แต่ช้าไปแล้ว เขาวิ่งไม่ได้เพราะมีมือมารั้งบ่าเขาไว้ 
ดำเป็นอะไรไหม นี่พ่อเองนะ
ทันทีที่เขาได้ยินเสียง เลือดในกายดำก็อุ่นขึ้นอย่างฉับพลัน  เขาอยากเข้าไปกอดพ่อเหลือเกิน มีอะไรมากมายที่จะบอกพ่อ กระนั้นก็มิได้ยินเสียงจากริมฝีปากของดำเลย 
ผมมาเดินเล่นครับดำตอบพ่อหลังถูกยิงคำถาม ซึ่งเป็นคำตอบที่ไม่เข้าท่าเลย พ่อก็ทำเป็นเข้าใจ ประดุจว่าเขาถูกที่สุด
งั้นตอนนี้ก็ได้เวลากลับแล้วใช่ไหมพ่อพูดต่อ
ครับดำจำใจตอบ 


รุ่งขึ้นเสียงไก่ขันระงม ดำดึงผ้าห่มผืนเก่าขึ้นคลุมหัว เท้าจึงโผล่รับแสงยามอรุณแทน อันที่จริงดำอยากจะลุกมาดูพระอาทิตย์รุ่งอรุณ แต่สัญญาณไม่ดีบังเกิดขึ้นในบ้านอีกแล้ว ไม่รู้ว่าแม่เป็นนักโต้วาทีหรืออย่างไร ถึงพูดเก่งชั้นเลิศ เรื่องโน้นที เรื่องนั้นที ดำเคยชอบที่แม่พูดเก่งนะ เพราะมันทำให้ครอบครัวเขามีชีวิตชีวา ถึงบางครั้งคำพูดเหล่านั้นก็เรื่องเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวของเขาก็ตาม แต่เวลานี้ในครอบครัวมีนักพูดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน คือพ่อ หลังจากพ่อกลับมาจากกรุงเทพครั้งล่าสุด พ่อก็เปลี่ยนไป แต่ไหนแต่ไรพ่อเชื่อฟังแม่ทุกอย่าง แม่ว่าอะไรพ่อไม่เคยขัด ทุกวันนี้พ่อต่อคำแม่ได้ทุกคำ และที่ดำกลัวยิ่งก็คือแนวมองของทั้งคู่มักขัดแย้งกันเสมอ เช่นว่าแม่ทำน้ำพริกกะปิ พ่อก็อยากกินน้ำพริกแมงดา พ่ออยากไปสวน แม่ก็ไปนา บัดนั้นมาดำไม่ได้ยินว่าพ่อเรียกแม่ว่าแม่เหมือนก่อน แม่ก็ไม่เอ่ยคำว่าพ่อให้ดำได้ยินอีกเลย สิ่งที่ดำไม่ปรารถนากลับเป็นสิ่งที่ดำต้องได้ยิน แม่กับพ่อปะคารมกันประจำ บางวันก็เริ่มตั้งแต่ไก่โห่จนหรีดหริ่งบรรเลงเพลงกล่อมราตรี


สายแล้ว พ่อกับแม่ออกไปนา ดำลุกออกมากินข้าว แม่จัดเตรียมให้เขาหลายอย่าง นั้นแปลว่ารวมถึงมื้อเที่ยงด้วย ขณะนั่งกินข้าว เขาเพ่งสายตาไปไกลในท้องทุ่ง เขารู้ว่าแม่และพ่อทำงานเพื่อใคร ยามแม่เหนื่อยแม่ยิ้มเมื่อเห็นเขา พ่อล้าพ่อหายยามเขาอยู่ใกล้  เขารู้ว่าพ่อและแม่รักเขา แต่ท่านก็รักการปะคารมด้วย ดำพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ไม่เคยเป็นผล เหมือนกับแก้วที่แตกนั่นเหละ ต่อให้เราใช้กาวที่ดีมีคุณสมบัติเหนียวทนทานมากที่สุดในโลกนี้มาต่อเข้าไว้เหมือนเดิม มันก็ไม่มีทางเหมือนเดิมได้เลย 
บ่ายมากแล้วตาวันคล้อยต่ำในทิศตรงกันข้ามกับทิศที่มันขึ้นมา แดดอ่อนสุริยการ ดำออกไปวิ่งเล่นตามท้องนาเช่นเคย เขาเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์มา สองคันนามียอดหญ้าโอนไหว เขาเก็บดอกหญ้าสวยๆเหล่านั้นได้เต็มกำมือ จึงไปนั่งไต้ร่มหว้าใหญ่ เขาแบ่งดอกไม้ออกเป็นสองกอง แล้วเอาเถาวัลย์มัดเข้าด้วยกันเป็นช่อเล็กๆ ดำยกช่อดอกไม้ขึ้นดูอย่างพินิจ มันยังไม่ถูกใจเขาเลย เขาครุ่นคิดสักครู่ จึงลุกไปเด็ดใบหญ้ามาหนึ่งกำ มือน้อยๆบรรจงแซมใบหญ้าลงไปในช่อดอกไม้ ยิ้มละไมแย้มงามแต่งแต้มใบหน้าแสดงว่าเขาพอใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว 


เงาตะคุ่มไหวๆแน่วทางมา ภาพสลัวในความมืดค่อยๆหายลับไปพร้อมทินกร แสงไฟในหมู่บ้านจึงสว่างขึ้น ในมือน้อยที่กำลังมุ่งสู่แสงไฟนั้นมีช่อดอกไม้ที่ทำจากดอกหญ้าสองช่อ แต่พอมาถึงรั้วบ้าน ดอกไม้ทั้งสองช่อจำต้องลงไปสัมผัสพื้นดินโดยไม่ตั้งใจ เบื้องหน้าคือภาพพ่อตบหน้าแม่ แม้นเสียงปะคารมจะหายไป แต่เสียงสะอื้นของแม่ช่างเสียดแทงถึงขั้วหัวใจเขายิ่งกว่าหลายเท่า ช่อดอกไม้ถูกลมพัดพากระจัดกระจาย สายฝนสาดเทกระทั้งรุ่งเช้า  


แม่ประหลาดใจที่เห็นดำลุกแต่เช้า จึงพยายามเลี่ยงใบหน้าพกช้ำมิให้ดำเห็น ส่วนพ่อนั้นไม่อยู่เสียแล้ว ดำเดินเข้าไปใกล้แม่ก่อนจะเอ่ยถาม
แม่ครับ เจ็บมากไหม
แม่ชะงักแล้วหันมาหาดำ รอยช้ำเด่นชัดบนใบหน้า เขาสงสารแม่เหลือเกิน ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนไหนสาปแช่งครอบครัวเขา ระยะเวลาอันสั้นถึงทำให้พ่อเปลี่ยนไป จากพ่อคนที่ยอมแม่ทุกอย่าง จากพ่อที่สุภาพไม่มีคำหยาบโลนจากวาจา กลายมาเป็นพ่อที่ดูแข็งกร้าว และรุนแรงเพียงนี้ น้ำตาของแม่ไหลรินอาบแก้มดำเป็นทาง แม่บรรจงวางนิ้วแผ่วเบาไต้ดวงตาของดำ เขาจึงรู้ตัวว่าตนเองกำลังร้องไห้
แม่ไม่เป็นไรหรอกดำ เจ็บแค่นี้เอง ดำน่ะต้องเข้มแข็งรู้ไหม


ไกลออกไป สายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องสองแม่ลูก เส้นเอ็นทุกเส้นในผิวกายกำยำปรากฏชัด เขาวิตกกังวล ทั้งเรื่องเมื่อคืนนี้ และเส้นทางอนาคตที่รอเขาอยู่ ทางสองแพร่งข้างหน้าเขาจะเลือกทางไหน ทางหนึ่งคือลูกเมีย ทางหนึ่งคือเพื่อนพ้อง ซึ่งทั้งสองทางล้วนแล้วแต่สำคัญ จดหมายจากเพื่อนส่งมาถึงเขาเมื่อวานนี้ เพื่อแจ้งกำหนดการเข้ากรุงเทพเหมือนก่อน แต่คราวนี้ถูกเมียห้ามไว้ เธออ้างว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปกรุงเทพ สู้เอาเวลามาทุ่มกับการงานในนาในไร่เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับลูกจะดีกว่า อย่างไรเขาก็ยังยืนการที่จะเข้ากรุงเทพพร้อมกับเพื่อน จึงเกิดปากเสียงขึ้น เขารู้ว่าทำไมเธอห้ามเขา ไม่ใช่เหตุผลที่เธออ้างหรอก เพราะที่จริงแล้วเธอพยายามจะเอาชนะเขาต่างหาก 
คุณห้ามผมไม่ได้หรอก มันเป็นอุดมการณ์ของพวกผม เขาแย้ง
อุดมการณ์อะไรก็ช่าง แต่คุณต้องดูแลฉันกับลูก
ผมรู้หน้าที่ของผมดี คุณไม่ต้องมาบอก มาสอนผม ที่ผมไปก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ไปเพื่อพวกเราทุกคน
ไม่เสียหายหรอก ทำเพื่อเราทุกคนด้วย ฉันว่ามันก็เป็นเพียงข้ออ้างละมั่งภรรยาแย้ง
พอเหอะ ยังไงเราก็ไม่มีวันมองตรงกันในเรื่องนี้ และผมจะไป ใครก็ห้ามไม่ได้
ถ้าคุณไป ก็ไม่ต้องกลับมาอีก ฉันจะดูแลลูกเองภรรยาพูดเสียงกร้าว
คุณมันไร้เหตุผลเขาพูดก่อนจะมุ่งสู่หมู่บ้านอย่างหัวเสีย 
ค่ำวันนั้น ภายใต้แสงไฟในบ้าน สองแม่ลูกนั่งกินอาหารอย่างเงียบกริบผิดวิสัยเดิม ดำไม่ชอบบรรยากาศนี้เลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาเพรียกหา หากแต่รูปการที่เขาวาดมิใช่แบบนี้  ครอบครัวเขาควรอยู่พร้อมหน้า บัดนี้พ่อไม่อยู่แล้ว แต่นี้ไปคงเหลือเพียงความเงียบและความเหงาที่จะดำเนินต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด
	พ่อไปแล้วนะลูก ต่อไปนี้ก็เหลือเพียงเราสองคนเท่านั้นนะแม่ทำลายความเงียบลง
	แม่ครับ อย่าห่วงเลยยังไงผมต้องดูแลแม่อยู่แล้ว ดำแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง
	แม่ดีใจที่ลูกเข้มแข็ง แต่ตอนนี้ลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือ อาทิตย์หน้าก็จะเปิดเทอมแล้ว
	แต่ผมอยากช่วยแม่ทำงาน
	เอาไว้ลูกโตกว่านี้ก่อนนะ แล้วแม่จะให้ลูกทำ
	ดำได้ยินเสียงสะอื้นของแม่ในคืนนั้น ทำให้เขาเกลียดพ่อเหลือเกิน พ่อเลือกอุดมการณ์ของพ่อ พ่อทิ้งแม่ พ่อทิ้งเขา และเขาก็เกลียดอุดมการณ์ของพ่อ 

	ดำกับแม่มุ่งสู่ท้องนาแต่เช้าตรู่ โดยมีแม่ควายกับลูกแหง่นำหน้า พอถึงดอนที่เลี้ยงควายแม่ก็ผูกเชือกตัวแม่ไว้กับตอไม้ที่ปักไว้ในดินเช่นเคย 
	แม่ครับ ทำไมไม่ผูกลูกควายด้วยล่ะ
	มันไม่หนีจากแม่มันหรอก เพราะมันติดแม่จะตายแม่ตอบ
	ผมจะเฝ้ามันเองนะแม่ดำอาสา
	แม่ควายบดเอื้องเนืองๆ นานครั้งจึงใช้หางปัดแมลงหวีที่ตอมตามเนื้อตามตัว ขณะที่ลูกแหง่ก็วิ่งซุกซน เดี๋ยวไปโน่น เดี๋ยวมานี่ แม่ควายต้องร้องเตือนเป็นระยะๆ เพื่อให้ลูกระแวดระวังภัยต่างๆ ความสดใสของลูกควาย ทำให้จิตใจดำเบิกบานขึ้น หลังจากครอบครัวเขาต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้าย ดำจ่อมจมในห้วงความคิด เขารู้ว่าแม่รักเขา และจะปกป้องเขาได้เป็นอย่างดี แต่จะไม่ดีกว่าหรือหากพ่อกลับมาอยู่กับเขาอีก แม่จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่ออยู่ที่ไหน พ่อจะรู้ไหมหนาว่าเขาคิดถึงพ่อแค่ไหน และเขาปรารถนาที่จะเห็นพ่อกลับมามากเพียงใด 


	เสียงร้องของแม่ควายปลุกเขาจากภวังค์  มันไม่ใช่เสียงปรกติ แต่เป็นเสียงร้องเร็วรัวและรุ่มร้อน แม่ควายพยายามสลัดเชือกที่พันธนาการให้หลุด จึงทำให้บริเวณจมูกที่สนตะพายแดงกร่ำ ดำยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ก็มาถึง และวิ่งไปที่ป่าทึบข้างดอน ดำจะตามเข้าไป แต่แม่บอกให้เขาไปตามลุงกล้ากับเพื่อนสักสามสี่คน เมื่อเขากลับมาก็เห็นพวกผู้ใหญ่มุงดูอะไรในหลุม พอดำเข้าไปแม่ก็บอกว่า อย่าดูเลยลูก และก็จูงมือเขาออกมาพร้อมกับลุงกล้า แม่กับลุงพยายามดึงแม่ควายให้กลับเข้าหมู่บ้าน โดยที่เสียงร้องของแม่ควายยังเป็นระยะๆ และในที่สุดก็แผ่วลงไป ดำจึงเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เวลาผ่านไปหลายเดือนแล้ว ท้องทุ่งเป็นสีทองอร่ามรองเรือง แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวของพ่อเลย ไม่มีใครรู้ว่าพ่อไปอยู่ไหน ดำได้แต่ภาวนาว่า ครอบครัวของเขาคงมิได้สูญเสียลูกแหง่ไปจริงๆหรอก

						
20 กรกฎาคม 2551				
16 กรกฎาคม 2551 01:10 น.

รักษ์โลก แล้วโลกจะรักษ์เรา

กฤตศิลป์ ชินบุตร

กว่าเป็นโลกย่อมผ่านกาลเวลา		
สรรพสิ่งเกิดมาด้วยรังสรรค์
แล้ววันนี้โลกเราป่วยลงพลัน			
จะมีใครเหลียวหันมาแลดู


ยามคนป่วยมีหมอเฝ้ารักษา		
แล้วโลกป่วยใครหนาจะรับรู้
ไม่รักษ์โลกภัยร้ายจึงพรั่งพรู			
กวาดศัตรูของโลกให้สิ้นไป


                    ในสภาวการณ์โลกในปัจจุบัน  เราจะเห็นได้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม สภาพภูมิอากาศที่ผันผวนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ฝนฟ้าก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล  ภัยธรรมชาติต่างๆก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อภัยเหล่านั้นอุบัติมาย่อมคร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก และยังทำลายทรัพย์สินบ้านเรือนให้ย่อยยับอย่างไม่ปราณี ทุกคนอาจเข้าใจว่าภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม โคลนถล่ม แผ่นดินไหว ภัยแล้ง ซึนามิและพายุ ล้วนเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างปกติ โดยหารู้ไม่ว่าสองมือของคุณต่างหากที่สร้างมันขึ้นมา


	ปัญหาหลักที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือภาวการณ์ที่ปรากฏการณ์เรือนกระจกธรรมชาติถูกรบกวน กล่าวคือในชั้นบรรยากาศโลกเรานี้มีสารเรือนกระจกตามธรรมชาติ ซึ่งทำหน้ารักษาอุณหภูมิภายในโลกมิให้แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน เมื่อแสงอาทิตย์ผ่านเข้ามาในโลกก็จะสะท้อนกลับสู่บรรยากาศ และมีบางส่วนที่ถูกเก็บไว้ภายในโลกเพื่อรักษาอุณหภูมิของโลกในเวลากลางคืน แต่ขณะนี้ก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปริมาณความร้อนที่สะท้อนกลับออกไปจากโลกน้อยลง อุณหภูมิของโลกจึงสูงขึ้น และเกิดเป็นภาวะโลกร้อนอย่างปัจจุบันนี้


	เมื่อโลกร้อนขึ้นอย่างฉับพลันย่อมกระทบต่อสมดุลของระบบต่างๆ เช่นน้ำแข็งขั้วโลกละลาย  ปริมาณน้ำทะเลที่สูงขึ้น อัตราการเกิดภัยธรรมชาติถี่ขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งมนุษย์ทุกมุม โลกต่างเป็นผู้รับโทษภัยเหล่านั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น พายุ แผ่นดินไหว      ซึนามิ น้ำท่วม ภัยแล้ง เมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก


	การเสียสมดุลของโลกในขณะนี้เทียบได้ว่าโลกกำลังป่วย ระบบต่างๆกำลังรวนจนไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ด้วยสาเหตุเดียวกันกับการป่วยของคนยามร่างกายอ่อนแอ เชื้อโรคสามารถเข้าไปทำลายระบบต่างๆร่างกายได้  เช่นเดียวกันโลกก็ป่วยด้วยมลภาวะต่างๆที่มนุษย์ผลิตออกมา ทั้งจากโรงงานอุตสาหกรรม 40 เปอร์เซ็นต์  ตึกรามบ้านช่อง 31 เปอร์เซ็นต์  ยวดยานพาหนะ 22 เปอร์เซ็นต์ และการเกษตร 4 เปอร์เซ็นต์  มลพิษเหล่านั้นเป็นเหมือนเชื้อโรคที่แทรกซึมในร่างกาย โลกเราจึงวิกฤตดังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ และกำลังรอการรักษาเยียวยาเพื่อคืนสมดุลในระบบต่างๆ 


	จึงเป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องร่วมกันรักษาโลกใบนี้ให้หายป่วย ด้วยสองมือน้อยๆของทุกคนที่จะร่วมลดการสร้างมลภาวะต่างๆ ลดการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย และเยียวยาโลกด้วยการปลูกต้นไม้ คงไม่นานโลกโสภณใบเดิมจักกลับมา และสถิตอยู่ตราบเท่าที่เราทุกคนยังรักษ์โลก โลกและเราก็จักเกื้อกูลกัน ภัยร้ายต่างๆที่เผชิญในปัจจุบันย่อมลดน้อยลง หากวันนี้เรารักษ์โลก พรุ่งนี้โลกจักรักษ์เรา ถ้าวันนี้เรารักโลก แสดงว่าวันนี้เรารักตัวเองและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 

	 
ร้อยดวงใจน้อยใหญ่ทุกดวงมาน		
รวมผสานพันธกิจพิชิตหมาย
รู้รักษ์ประจักษ์มั่นจวบวางวาย			
เร่งป้องภัยทำร้ายโลกโสภณ 


รักษ์โลกเถอะแล้วโลกจะมอบรักษ์	
ป้องโลกเถอะโลกจักชโลมฝน
รักโลกแล้วแพร้วเพริศในกมล			
โลกรักษ์คนคนรักษ์โลกอกาลิโกฯ

16 กรกฏาคม 2551 เวลา 1.09 น.				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกฤตศิลป์ ชินบุตร
Lovings  กฤตศิลป์ ชินบุตร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกฤตศิลป์ ชินบุตร