สงฆ์เอย

ตราชู

สงฆ์เอย
(แรงบันดาลใจจากบทกวี ไหว้ ประพันธ์โดย ท่านคมทวน คันธนู ในหนังสือ กำสรวลโกสินทร์ ครับผม)
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
	สงฆ์ใดพีรผยุงผดุงสุจริยา
คือธุชพระพุทธา					ถกล
	สงฆ์ใดมุ่งวรมรรคอนรรฆมนอจล
ย่อมชวนประมวลชน					ชุลี
	สงฆ์ใดเพียรปฏิบัติพิพัฒน์พุฒิวิธี
สรรเสริญเจริญศรี					พิศาล
	สงฆ์ใดโลภวสุลาภ, ประภาพ, ธนอุฬาร
คือหมู่ริปูมาร					ทมิฬ
	สงฆ์ใดแปลงนิติสัจจ์ตระบัดพุทธ์ระบิล
ไร้ค่าเลอะราคิน					มิควร
	สงฆ์ใดย่างทวิบาทลิลาศจรขบวน
ย่อมแผลงตะแบงผวน				พิการ
	โอ้.....เอกสาศนพุทธิ์พิสุทธิ์ชุติชวาล
ร้อนเร่าแหละร้าวราน					ฤไร???
ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒
ประเทืองทิพย์ประทีปถ้วน
กระเจิดป่วนกระเจิงไป
พระพุทธ์ศาสน์ประภาสใส
สลัวแผ่มิแลเพ็ญ
	ทลายหลัก ทุลักษณ์ล้น
เพราะพราหมณ์ปนสะพรั่งเป็น
ระโยงข่ายขยายเข็ญ
ขยับเคลื่อนเขยื้อนคลุม
	แหละหลายสงฆ์ก็หลงไส-
ยศาสตร์ใช้อสูรชุม
มุสาซ้องมุส้องสุม
ประดาทรัพย์ประดับสิน
	ประนังยาวระนาวเหยียด
ตระกองเกียรติตะกายกิน
ผนึกจิตผนิดจิน-
ตโดยใจมิได้จาง
	ประชิดพล่า ประชาพล่าน
ก็คลั่ง, ร่าน กะเครื่องราง
แอร่มสุนทร์อรุณสาง
ฤสาดส่องระรองแสง
	สยองยามสยามยุค
ระทวยทุกข์ระทมแทง
เพาะเขลาคลุ้มคละคลุมแคลง
วิบัติเคล้าบเบาคลาย
สัทธราฉันท์ ๒๑
	สงฆ์เอยเคยพร่ำพระธรรมปราย		มธุพจนระบาย
มานกสานติ์หมาย					พระนิพพาน
	สงฆ์เอยเคยจำพระธรรมจาร			พิพิธพหุประการ
เคยเฉลยขาน					ประคองชน
	สงฆ์เอยไยเวียนเฉวียนวน			กรณิยอกุศล
เจอเสมอจน					อุจาดตา
	สงฆ์เอยไยผิดตะบิดภา-			รสมณวฒนา
ธรรมมินำมา					ประมวลรวม
	มัวแต่ก่อกรรมกำกวม			คณะภิกขุประชวม
เดินขบวนสวม					ประสมรอย
	ใช่กิจของสงฆ์จะหลงพลอย			สหพลวทะยอย
ถั่งประดังทอย					ณ มณฑล
	กิจสงฆ์คือดับ, ระงับรน			กระอุอุณหประจญ
ธรรมทำงน					สงบงาม
	เพื่อสัมพุทธ์ศาสน์พิลาสคาม-			ภิรรุจิระสยาม
เรื้องเมลืองราม					นิรันดร
(๒๔ ถึง ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐)				
comments powered by Disqus
  • คนบนเกาะ

    26 เมษายน 2550 20:54 น. - comment id 688120

    36.gifสงฆ์เอย  อย่าโศกเลย  ไม่เหมือนแม้น
    เพราะผืนแผ่น  พสุธา  โลกาเปลี่ยน
    โลกวันนี้  เหมือนกงจักร  มักหมุนเวียน
    มนุษย์เพี้ยน  ตามที่เห็น  ความเป็นไป
    
    โบราณว่า  ก็น่าคิด  ไม่ผิดหรอก
    เห็นกงจักร  เป็นบัวดอก  บานไสว
    กงจักรอยู่  ในร่างคน  ป่นปี้ไป
    ดูจิตใจ  คนทุกวัน  มันหนักแรง
    
    ยอมปล่อยไป  เถิดพระสงฆ์  องคเจ้า
    แม้ปวดร้าว  ในฤดี  เปลี่ยนสีแสง
    ประเทศไทย  บทเรียนหนา  ราคาแพง
    อย่างที่แจ้ง  ทุกคนเห็น  ความเป็นไป
    
    ต่อแต่นี้  คงไม่มี  ศาสนา
    แสดงว่า  สถาบัน  อันผ่องใส
    เคยมีชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์ไทย
    ต่อนี้ไป  มีแค่ชาติ  กษัตรา
    
    ธงไตรรงค์   ก็จะเหลือ  แค่สองสี
    ถึงชอกช้ำ  ในฤดี  เป็นหนักหนา
    เคยมองธง  ปลิวไสว  ในนภา
    หลั่งน้ำตา  ที่คับแค้น  ลงแผ่นดิน
    
    อย่าไปคิด  อย่าไปหวัง  อะไรมาก
    ทนลำบาก  ไร้สุขขี  มิมีสิ้น
    คอรัปชั่น  มันคอยจ้อง  ครองแผ่นดิน
    ต่างยลยิน  คละคลุ้งคลั่ว  ทั่วเมืองไทย
    
    สงสารคน  สร้างความดี  พลีเพื่อชาติ
    แต่มักขาด  คนชี้ทาง  สว่างใส
    เหมือนตาบอด  มาคลำช้าง  ต่างว่าไป
    ขออภัย  เถอะพระสงฆ์   จงปล่อยวาง
  • ฉางน้อย

    26 เมษายน 2550 21:34 น. - comment id 688140

    46.gif46.gif46.gif
  • เพียงแพรว

    27 เมษายน 2550 13:56 น. - comment id 688336

    รู้สึกเหมือนคุณตราชูเลยค่ะ  ประเทศไทยเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ค่ะ
  • ฟา0000000000

    28 เมษายน 2550 04:10 น. - comment id 688611

    ตราบใดที่คุณยังห่วงเรื่อง
    จะไว้ผมทรงไหนสระด้วยยาสระผมยี่ห้ออะไร ใส่เจล หรือ มูด ดี
    จะใส่เสื้อสไตล์ไหน สีอะไร ผ้าแบบไหน
    กางเกงสีอะไร กระโปรงสีอะไร สไตล์ไหน
    จะทาเล็บสีอะได้
    จะกินอาหารร้านไหน ปรุงด้วยอะไร 
    จะซื้อเฟอร์นิเจอร์อันไหน ประดับบ้านดี ทีวีสี คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น พัดลม เครื่องปรับอากาศ โคมไฟสไตล์ไหนดี
    
    ฯลฯ
    
    หรือแม้แต่จะเขียนอะไรดีให้คนสนใจอ่านของเรา
    
    ถ้ายังมีอย่างใดอย่างหนึ่ง อยู่ในสมองคุณอยู่ 
    ก็อย่าได้ไปละลาบละล้วงติเตียนพระสงฆ์ที่คุณมองท่านว่า ไม่ได้เรื่องเหล่านั้นเลย 
    เอาตัวเองให้รอดจากกองกิเลสก่อนค่อยริไปสั่งสอนท่าน 
    ไม่อย่างนั้นเค้าจะเรียกว่า ไม่เจียม
    
    บทสวดมนต์ท่องให้ได้ซักบทก่อนก็ยังดี 
    ค่อยไปอ้าปาก จรดปลายปากกา ด่าว่าท่าน
    
    สงฆ์ที่ดีก็มีมาก ทำไมไม่หามาเขียนบ้าง
    ไปเอาคนไม่ดีบางคนมาเหมาว่าเป็นสงฆ์ซะหมดแบบนี้
    
    คุณคิดว่า คุณมีความเป็นมนุษย์มากพอจะ อ้าปาก / จรดปลายนิ้วพิมพ์คำด่ากราด "สงฆ์" ได้ขนาดนั้นเลยหรือ
    
    คุณตราชู
  • ตราชู

    28 เมษายน 2550 09:30 น. - comment id 688637

    สวัสดีครับทุกท่าน
    	ความเห็นที่ต่างกัน เป็นเรื่องปกติครับ ผมเองยอมรับว่ายังกิเลสหนา คงไม่เหมือนคุณฟา (ซึ่งผมคะเนว่าคงบรรลุขั้นโสดาบันไปแล้วอย่างน้อย) จึงสามารถวางเฉยได้  การเขียนงานเพื่อสะท้อนมุมอีกมุมหนึ่งของสังคม ขอเรียนให้ทราบเสียเลยในที่นี้นะครับว่าผมไม่ได้ใช้วิธีแบบ เหมาหมดแต่.... ความจริงที่เป็น (ถ้าคุณไม่หลอกตัวเอง) สังคมเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?  เราย่อมรู้กันอยู่ อ้อ! ถามว่าผมมีความเป็นมนุษย์เพียงพอที่จะไปผรุสวาสใครหรือ? ผมขอตอบว่า ผมยังใจต่ำทรามอยู่ครับ (มนุษย์ แปลว่า ผู้มีใจสูง) ทว่า สิ่งใดที่ผมเขียนตำหนิผู้อื่น ผมจะไม่กระทำในสิ่งนั้น บทสวดมนต์ผมจำได้มากกว่า ๑ บทครับ  แล้วตราบใดที่ผมยังเขียนงานต่อไป ผมยึดภาษิตท่านนายผีครับ
    	ใครใดในโลกนี้				เป็นไฉน
    ใช่พ่อนายผีไย					ขยาดเว้น
    ทำชั่วบ่ชอบใจ					จักด่า
    ทำชอบชมเชยเต้น					แต่งแกล้งกลอนสวย
     	(โคลงของท่านนายผี)
    	เพราะฉะนั้น ต่อให้ใคร หรือบุคคลกลุ่มใด สังคมจะยกย่องให้เป็น ทองนพคุณ แตะต้องไม่ได้ หากกระทำสิ่งอันไม่ควร ผมก็พร้อมที่จะแตะ และพร้อมที่จะเจ็บตัวทุกเมื่อครับผม
     	สุดท้ายนี้ ขออำนวยพรให้คุณฟา บรรลุพระนิพพานไวๆนะครับ
  • ฟา0000000000

    28 เมษายน 2550 14:44 น. - comment id 688736

    เรื่องบรรลุขั้นนั้นขั้นนี้ข้าพเจ้าไม่ประสีประสาดอก คุณตราชู 
    
    นั่นเป็นเรื่องของพระคุณเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้ายังเป็นปุถุชน
    
    เพียงแต่ไม่เคยเห็นประโยชน์ในการผรุสวาท
    
    นายผีเอง บั้นปลายชีวิตก็ใช่ว่าน่าเอาเยี่ยงอย่าง 
    
    น่าเห็นใจท่านด้วยซ้ำ
    
    น่าเวทนาที่สุด.....
    
    "ทองนพคุณ" เช่นองค์ในหลวงของเราก็ถูกกลุ่มคนที่คิดคล้ายคุณ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ.....
    
    .......................
    
    ดับไฟในใจเราทั้งคู่ได้ นั่นก็เป็นการบรรลุนิพพานอีกสถานการณ์หนึ่ง ของชีวิตเราทั้งคู่ 
    ถ้าคุณตราชูและข้าพเจ้าไม่ปล่อยให้เป็นเพียงแค่คำอวยพรหรู ๆ
    
    ใช่หรือไม่?
    
    ขอบคุณ คุณตราชู
  • ตราชู

    28 เมษายน 2550 15:48 น. - comment id 688785

    องค์ในหลวงของปวงชนชาวไทยนั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์เหนือกว่าทองนพคุณมากมายนักครับ พระราชกรณียกิจใดๆที่ทรงกระทำ ทศพิธราชธรรมที่ทรงบำเพ็ญ พระขันติอันไพบูลย์
    ตลอดจนพระมหากรุณาธิคุณไพศาลยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดๆในโลก ทำให้มิอาจหาสิ่งใดมาเสมอเหมือนได้ เพราะฉะนั้น อย่านำพระองค์มาอ้างเด็ดขาดครับ แล้วก็ขอให้คุณฟา กรุณาย้อนดูบทอาศิรวาทของผมที่เขียนด้วยจิตวิญญาณมุ่งถวายพระองค์ด้วยความจงรักภักดีเสียก่อน ก่อนที่จะเขียนถ้อยคำดังที่คุณเขียนมานี้  ถ้อยคำของผมที่ว่า ต่อให้บุคคลใดที่สังคมยกย่องให้เป็น ทองนพคุณ นั้น ผมหมายถึงบรรดาผู้มีตำแหน่งทางการเมือง ผู้มีอำนาจวาสนาซึ่งสร้างภาพลักษณ์ให้ดูผุดผ่องต่างหากเล่าครับ
    	ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เพื่อยืนยันอีกครั้ง ขอนำบางช่วงจากบทกวี ไหว้ ของ ท่านคมทวน คันธนู ในหนังสือ กำสรวลโกสินทร์ มาให้อ่านกัน ณ ตรงนี้เลยครับ เพื่อทุกท่านจะได้เชื่อว่าผมได้แรงบันดาลใจจากบทกวีดังกล่าวจริงๆ
    สรวมชีพเทิดชินบุตรบวรวิสชนา
    เผยศาสนาสบ
    สมัย
    
    สงฆ์ใดใฝ่อรหัตุมัคจริยะใส
    สมสมโณมัย
    มิหมอง
    
    ควรค่าคารวะสาธุการหทยปอง
    ทอดลง ณ ครรลอง
    นิรันดร์
    
    สงฆ์ใดใฝ่กิติลาภละโมบมุหมหันต์
    บอดใบ้บ่ล่วงบรร-
    ลุบถ
    
    ทิ้งบัญญัติจะตระโบมณอิสริยยศ
    ทิ้งคำตถาคต
    ขษัย
    
    ควรค่าแก่บริภาษประพฤติทุรวินัย
    ทั้งกายวจีใจ
    ประจำฯลฯ
  • สดายุ

    29 เมษายน 2550 06:45 น. - comment id 688983

    ตราชู...
    ผมตอบแล้วนะในบล็อคด้วย....
    
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2007&group=11&date=25&gblog=40
    
    ที่จริงประเด็นนี้ผมเขียนมาก่อนหลายครั้งแล้ว
    สงฆ์...ถือเป็นบุคคลสาธารณะ
    มีเครื่องแบบแสดงสถานภาพ
    ไม่ใช่ผู้ที่วิพากย์วิจารณ์ไม่ได้
    
    เราคนธรรมดา...รู้ตัวว่ายังไม่ดีพอ..
    มีรัก โลภ โกรธ หลง ครบครัน
    ก็ไม่ได้ลวงโลกโดยการแต่งเครื่องแต่งกายที่แสดง
    ต่อโลกว่า...ฉัน...เป็นคนดีนะ
    เราจึงมิใช่ผู้ลวงโลก...
    
    ทีนี้มาว่ากันถึงเครื่องแบบที่แสดงว่าฉันเป็นคนดี
    มีศีล ๒๒๗ ข้อ เป็นเครื่องควบคุมความไม่ดี
    เมื่อไม่ได้ปฏิบัติอะไรผิดไปจากข้อกำหนด
    เราจึงเรียกว่า...สงฆ์...ผู้แสวงหาความหลุดพ้น
    และส่วนใหญ่ ๙๙% ก็เป็นสมมุติสงฆ์....
    ( คือลูกชาวบ้านบวชเรียนนั่นแหละ....ไม่ได้บวชเพื่อการหลุดพ้น
    แต่เพื่อคติแบบโบราณ...ให้พ่อแม่เกาะชายผ้าเหลือง
    หรือบ้างก็อาจพอเข้าใจเรื่องราวได้บ้าง....บวชเพื่อ
    ฝึกฝนภาวะทางจิตใจให้เข้าใจถึงความรำงับ
    อะไรต่างๆ.....มีตั้งแต่ ๑๕ วัน ๑ เดือน ๑ พรรษา....
    หลังจากสึกมาก็ดื่มเหล้า
    เคล้านารีเหมือนเดิม....สังคมไม่ได้อะไรกับการบวช
    ประเภทนี้....)
    
    หากแต่ว่าในสังคมไทย
    เครื่องแบบนี้...ถูกสวมใส่โดยบุคคล ๒ ประเภท
    ประเภทหนึ่ง...สวมเพื่อการแสวงความหลุดพ้นจากโลกียวิสัย
    ประเภทหนึ่ง...สวมเพื่อพิธีกรรมอันชาวบ้านสร้างขึ้นภายหลังพุทธกาล
    
    เราเรียกว่า...พระปฏิบัติ  และ  พระบ้าน
    
    ที่เราวิจารณ์กันคือ พระบ้าน
    อันมีการสวดศพ...สวดขึ้นบ้านใหม่...เจิมรถยนต์
    เจิมหัวเครื่องบิน...เจิมป้ายบริษัท...
    ร่วมในงานบุญ...กฐิน...ผ้าป่า...แก้บน...
    หนักกว่านั้นอาจมี...ทำเสน่ห์มหานิยม...เป่ากระหม่อม
    อันเป็นเดรัจฉานวิชา....เป็นงานหลัก
    
    อันบ้างก็ยังยิ้มแยกปากจนเห็นไรฟัน...
    หัวร่อต่อกระซิก.....เคี้ยวหมาก...สักยันต์เต็มแขนเต็มหลัง
    สูบบุหรี่...อันเป็นสิ่งเสพติดชั้นต่ำที่ชาวบ้านเองผู้ไม่มีศีลครบแม้แต่ศึลห้า
    จำนวนมากยังละเว้นได้...
    
    พระสูบบุหรี่นี่ควรจำสึกให้หมด....สิ่งเสพติดชั้นต่ำ
    ยังละเลิกไม่ได้..จะไปหา..วิมุติภาวะเชียว....ฮะฮา
    
    พระพวกนี้...เป็นพระที่มักจะสร้างพฤติกรรม
    ในทางเสื่อมเสียแก่พระศาสนา...
    อันควรต้องถูกวิพากย์วิจารย์อย่างยิ่ง
    
    บทสวดมนต์ภาษาบาลี...ที่พล่ามสวดกันโดย
    ไม่เข้าใจความหมาย...ไม่มีประโยชน์อะไร
    ในแง่เนื้อหา....แต่อาจมีลีลาท่าทางในแง่ของรูปแบบให้
    มันสมองระดับหนึ่งคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรต้องใส่ใจ....
    และให้ความสำคัญ....
    พูดแล้วก็เหนื่อย....
    
    เราชาวบ้านที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบแสดงว่าตนเป็นคนดี
    เมื่อไม่ได้โพนทนา..ยกตน....อาจมีดีบ้างชั่วบ้าง
    ก็ไม่ได้หลอกลวงใคร...ไม่ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง...ไม่เบียดเบียนใครก็..โอเคแล้ว
    
    แต่หากมันผู้ใดแสดงตนในเครื่องแบบของคนดี
    แล้ว...ไม่ดีจริง....มันต้องถูกวิพากย์วิจารณ์
    และประจานอย่างเด็ดขาด
    
    ครั้งหนึ่ง...มีบัวใต้น้ำจำนวนมากเชื่อว่า..พระยันตระ
    เป็นอรหันต์...ฮิๆๆ....แล้วหนังสือพิมพ์ฉบับไหน
    นะที่ตีจนต้องเปลี่ยนไปนุ่งเขียว....เห็นเจ้าของ
    หนังสือพิมพ์ยังอยู่ปกติดี....ไม่ถูกธรณีสูบ...อัน
    เป็นความเชื่ออีกนะแหละว่า...การตำหนิติเตียน
    พระอริยะเจ้า....นั้นบาปมหันต์...
    
    แต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือ....ลาภยศสรรเสริญหายไป
    ในพริบตา...ขบวนการที่ปั้นแต่งกันขึ้นมา
    ก็ขาดผลประโยชน์กันมหาศาลทีเดียว
    
    ความงมงายอย่างไร้เหตุผลของสังคมนี้
    มีมากมาย....สาธยายกันไม่หมดสิ้น
    โดยเฉพาะเรื่องบุญนิยม....
    
    เราบอกว่า...ในเมื่อคุณแสดงตัวในเครื่องแบบ
    ของความดีงาม...อันเราเองไม่สามารถ....เราจึง
    ไม่แต่ง....ฉะนั้นพวกคุณต้องดีจริงตามที่
    เครื่องแบบกำหนด....หาไม่แล้ว...ถอดเครื่องแบบเสีย
    แล้วมาอยู่เป็นคนธรรมดาแบบเรา....เราก็จะไม่ว่า
    
    เพราะเราควรต้องช่วยกันทำให้เครื่องแบบนั้น
    เป็นเครื่องแบบของความดีงามอย่างแท้จริง
    
    การสวดอะไรที่เป็นภาษาบาลี....ที่ตัวเองผู้สวด
    ก็ยังไม่เข้าใจความหมาย...มันจะได้ประโยชน์อะไร
    นี่แสดงถึงความเป็นคนไร้เหตุไร้ผล....มองศาสนาอย่าง....สิ่งศักดิ์สิทธิ์...ที่จะแตะต้องไม่ได้....
    
    ในสังคมหนึ่งๆ
    เราจะมีคนหัวก้าวหน้าประมาณ ๕ %....และพวกล้าหลัง
    ๕ % เหมือนกัน...ที่เหลือจะเป็นอะไรก็ได้
    ตามแต่จะเรียก....และ
    พวกแรกกับพวกหลังนี่มักคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
    
    เวลาแมลงวันตอมอาหารที่กินอยู่....
    เราต้องเอามือโบกไล่..ใช่ไหม....
    
    แต่เราไม่ควรโกรธแมลงวัน...
    อาจรู้สึกรำคาญใจบ้าง...ก็คงต้องมี
    
    อันนี้เป็นความเห็นของผม
  • สดายุ

    29 เมษายน 2550 06:55 น. - comment id 688984

    บทนี้สำหรับ...บัวใต้น้ำ
    ที่คลั่งจตุคามรามเทพ...
    
    ๐ เพลงซอ..ที่รอสี ๐
    วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
    
    ๐ ศัพท์แสงแสดงทิฐิวิกฤต 
    ระบุมิจฉะมากมาย 
    ลูบคลำพระธรรมะอภิปราย 
    ระบุหมายเสมือนเห็น 
    
    ๐ กาลามะสูตระประการ 
    ธ ประทานเสมอเป็น 
    หลัดยึดประพฤติทศะประเด็น 
    ฤจะเร้นจะเลือนสูญ 
    
    ๐ เขาว่า..เพาะสาวกะสภาพ 
    ประลุคาบทวีคูณ 
    เหนี่ยวรั้งพลังฐิติวิทูร 
    กละกูณฑะมอดเชื้อ 
    
    ๐ เกรงว่าจะหายนะพระศาสน์ 
    เพราะประภาษะคลุมเครือ 
    ลุ่มหลงพะวงภพะอะเคื้อ 
    อรรถะเพรื่อสิพร่ำเผย 
    
    ๐ ไพศาลประการอริยะวาท 
    จะปลาตะล่วงเลย 
    เกรงเขลาคละเคล้าบทะเฉลย 
    นยะเปรยจะปลอมปน 
    
    ๐ ยากเย็นประเด็นอริยะสัจจ์ 
    ภวะวัฏฏะเวียนวน 
    เสกสรรคะคันถะอนุสน- 
    ธิวิกลวิการเขียน 
    
    ๐ กำจายสยายบุพะลิขิต 
    สุตะนิจะจำเนียร 
    เก่ากรรมะนำผลเสถียร 
    บ่จะเปลี่ยนจะปัดหาย 
    
    ๐ เห็นไกลกระไรนัยนะทิพย์ 
    กระแดะหยิบมุบรรยาย 
    เกรงว่าจะพาขยะขจาย 
    มรรคะปลายจะเปล่าเปลือง
    
    ๐ เหตุต้นเพาะผลกรรมะกระทบ 
    ถิระภพะรองเรือง 
    สัมผัสกระหวัดรสะเมลือง 
    ทะนุเนื่องเขษมสันต์ 
    
    ๐ การณ์เหตุและเจตนะผจง 
    อุปสงคะร่วมกัน 
    ก่อกรรมะนำทุกระทัณ- 
    ฑะผชันเผชิญชนม์ 
    
    ๐ กรรมเหตุและเดชะจะสลาย 
    ก็เพราะคลายระดับ..ตน.. 
    รู้วัตรขจัดอดุระผล 
    ละกมละพ้นหมอง 
    
    ๐ เพียงคุมผชุมจิตะสมา- 
    ธิสภาวะตามตรอง 
    ใคร่ครวญชนวนมุหะละออง 
    เฉพาะต้องจะตัดเตียน
    
    ๐ ติดหล่มเพราะสมมุติพิการ 
    วิญญาณะจำเนียร 
    สิ้นร่างบ่ร้างภวะเสถียร 
    จะผละเปลี่ยนและเวียนไป 
    
    ๐ ดวงเดียวจะเหนี่ยวอมระภาค 
    กระแหนะพากย์เพราะอำไพ 
    ลอยลิบกระพริบบทะไสว 
    ภพะใหม่ตะบึงมอง 
    
    ๐ แห่ตามเพราะพราหมณะประสิทธิ์ 
    นิรมิตะรับรอง 
    อวลอรรถเพาะปรัชญะสนอง 
    ผิวะต้องก็เป็นตาย 
    
    ๐ กาลล่วงก็ห่วงธรรมะพิสุทธิ์ 
    ทิฐิพุทธจะเปล่าดาย 
    แผกผันเพาะคันถะอภิปราย 
    อธิบายะเบี่ยงเบน 
    
    ๐ หลงมุขะยุคอุปนิษัท 
    พิเคราะห์อรรถะโอนเอน 
    หลงรสประพจน์อุตริเถร 
    ดละเวระแฝงไว้ 
    
    ๐ แยบคายอุบายมุสะประโยค 
    ระบุโลกะครรไล 
    พรางปมเพาะสมมุติพิสัย 
    ระบุให้พิกลเห็น 
    
    ๐ แปลกตอนสะท้อนรหัสะวา- 
    กยะพาหะแผกเพ็ญ 
    ข้ามภพบ่จบประทุษะเข็ญ 
    ตละ"เป็น"เพราะกรรมปรุง 
    
    ๐ เหตุนำเพราะคัมภิระกถา 
    อรรถะราชะอำรุง 
    ภาษปวงพระร่วงลิขิตะฟุ้ง 
    กละรุ้งจรัสเหลือ
    
    ๐ ต้นเงื่อนเสมือน.วิสุทธิ์มรรค 
    เพราะประจักษะจุนเจือ 
    คลี่คลายสยายภพะอะเคื้อ 
    ตละเหยื่อก็พร้อมยิน 
    
    ๐ เหตุร้อนณก่อนมรณะกาล 
    ฤจะผ่านทลายภินท์ 
    ย้อนสางมล้างภวะอจิน- 
    ตยะสิ้นจะได้หรือ 
    
    ๐ เมื่อเหตุเภทดละประภพ 
    ฤจะกลบซะด้วยมือ 
    รูปนามฤข้ามภพะกระพือ 
    ประลุรื้ออดีตกรรม 
    
    ๐ การณ์ใดกระไรดละเพราะเหตุ 
    บริเฉทะเนื่องนำ 
    ส่งผลทุรนอดุระล้ำ 
    ฤจะห้ำปหัตหาย
    
    ๐ ความดับระงับฤจะประสพ 
    ผิวะภพะวอดวาย 
    หนทางจะล้างทุระสลาย 
    ฤจะหมายจะมองไหน 
    
    ๐ เหตุ-ผล ณ บนระยะระหว่าง 
    ภพะต่างจะอย่างไร 
    หรือเพียงเผดียงทิฐิพิสัย 
    ระบุไว้เพราะสับสน 
    
    ๐ มืดมัวสลัวรัฐะไผท 
    มติไหนก็จำนน 
    แซ่ศัพท์สดับจิตะฉงน 
    เสนาะพ้นวิหคไพร 
    
    ๐ แม้นห้วงอรรณพนั้น...........ไพศาล 
    ใช่กักทุกข์ทรมาน................หมดสิ้น 
    แต่อบายจดพรหมสถาน.........ถ้วนหมู่ 
    จิตที่พ้นเดือดดิ้น..................ดั่งน้อยหนักหนา
  • ตราชู

    29 เมษายน 2550 12:30 น. - comment id 689051

    กราบขอบพระคุณครับคุณสดายุ กำลังใจจากคุณนั้นมีค่าต่อผมยิ่ง ผมได้กลับไปทบทวนแล้ว พบว่าตนเองมิได้เขียนงานชิ้นนี้โดยอกุศลจิตเลย เพียงแต่.... ต้องการแสดงทัศนะในอีกแง่หนึ่งเท่านั้น และกวีชั้นครูท่านก็เคยทำมาแล้ว ในงานกวีชุด มุมมอง ของ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ (สำนักพิมพ์สารคดีจัดพิมพ์) มีบทกวีชุดหนึ่ง ชื่อ อยุธยา ปรากฏข้อความในตอนต้นดังนี้
    	นั่งยานไปสู่ญาณ
    นั่งเข้าฌานจนเหน็บชา
    หลับตาแล้วลืมตา
    ไม่รู้ตัวแม้ตัวเอง
    	วางมาดขึ้นธรรมาสน์
    พลาดพลาดพล่ามไปตามเพลง
    เอาเคร่งไว้อวดเคร่ง
    แล้วเอาคนไว้คนคน
    	วงวนแห่งความรู้
    ต้องวนสู่ความไม่วน
    วนหมุนวุ่นสับสน
    ก็จะตั้งแต่สงสัย
    	เรียนธรรมไม่รู้ธรรม
    รู้ธรรมหามีธรรมไม่
    มีธรรมไม่นำใช้
    มาดับทุกข์ที่ตัวตน
    	ห้อยพ่อไม่เห็นพ่อ
    คอหยักหยักสักว่าคน
    ปากมีแต่เป่ามนต์
    ถึงเบิ่งตาก็บอดตา
    	หยุดเถิดลูกหยุดเถิด
    อย่าหลงเทิดแต่ศรัทธา
    เป็นอยู่ด้วยปัญญา
    อย่าเป็นอยู่เพียงปราณยัง
    	ปั้นพ่อด้วยปูนพอก
    เป็นภาพปั้นอันปรักพัง
    วอดว้างทั้งเวียงวัง
    แหละวัดวาก็วอดวาย
    	ศีลธรรมทุศีลทำ
    จึงฟ้าคว่ำเบิกอบาย
    ฉิบหายนะฉิบหาย
    นะลูกนะหยุดเถิดนะฯลฯ
    (บทนี้เขียนจากความทรงจำ หากมีข้อความใดคลาดเคลื่อนไปบ้าง ผมกราบขออภัยทุกท่านครับ)
    ท่านที่สนใจ ลองหาหนังสือเล่มนี้อ่านดูได้ครับ ยิ่งถ้าอ่านงานของท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ด้วยแล้ว รุนแรงกว่านี้อีกครับ ฉะนั้น สรุป การแสดงทัศนะถือเป็นสิทธิที่ประชาชนสามารถทำได้ ส่วนจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเขาเห็นด้วยเขาก็สนับสนุน เห็นต่างเขาก็อาจจะบริภาษ, ท้วงติง, คัดค้าน, (ด้วยวาจาที่หลากหลาย มีตั้งแต่สุภาพนุ่มนวล จนถึงกร้าวกระด้าง) ถ้าเขารู้สึกเฉยๆก็ไม่ออกความเห็นใดๆ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ก็เป็นสามัญวิสัยครับ
    	กล่าวจำเพาะตัวผม รักจะเขียนงานวิพากษ์สังคม ซึ่งก็แน่หละ เสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะอาจกระทบต่อความรู้สึกของผู้ไม่เห็นด้วย ทว่า ผมก็จะทำต่อไป เพราะดาวประจำชีวิตของผม คือบรรดาคุรุกวีหลายท่านได้กระทำถางทางไว้แล้ว และผมก็บูชาในแนวทางนี้ครับ
    
    b

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน