ฉันเสแสร้งแกล้งทำว่าฉ่ำชื่น
ขอเริงรื่นไร้ทุกข์สนุกสนาน
พลางดวงหน้ายิ้มแย้มแกมอาการ
เกินกล่าวขานสิ่งใดให้ใครฟัง
แท้จริงนั้นฉันคือผู้อยู่โดดเดี่ยว
สุดแลเหลียวหวนไห้ใจสิ้นหวัง
ระทมทุกข์หม่นไหม้ไร้พลัง
อยู่เพื่อยังชีพแพ้แก่ชะตา
หัวใจรักภักดีเคยมีนั้น
บัดนี้มันร่วงโรยให้โหยหา
รักร้าวรานร้อนรุ่มสุมอุรา
ไร้เธอมาปลอบจินต์เหมือนสิ้นใจ
ใช่ซิ ! ฉันต้องแสร้งแฝงทำสุข
ให้หวังทุกข์นั้นมากยากแก้ไข
ฝืนยิ้มแย้มแช่มชื่นฝืนความใน
ฝืนอาลัยทั้งที่ตรมขืนข่มทรวง
25 พฤษภาคม 2551 09:54 น. - comment id 853344
บทกวี คงเป็นรากเหง้าหนึ่งของวิถีไทยมานานนักแล้ว แน่นอนเรามิใช่คนรุ่นแรกที่ชื่นชอบชื่นใจกับบทกวี ผมก็มีคนคุ้นเคยที่เป็นคนรุ่นก่อนหน้าที่รู้สึกกับวิธีการจารถ้อยรสแบบนี้เช่นกัน บทกวีที่มาจากบันทึกเล่มแดง คนจารถ้อยคำบอกว่า เขียนต่างกรรมต่างวาระกัน บางอันจารคำเองบ้าง บางอันก็เป็นของมิตรสหายบ้าง ข้อความบางบทบางอันลงวันเวลาที่เขียนไว้บ้างเช่นปี พ.ศ. ๒๕๐๕ หรือ ๒๕๑๕ ผมความแล้วผมจึงคิดว่า คงเป็นถ้อยอารมณ์ และวิธีแสดงนัยที่น่าสนใจ ผมมิรู้ว่าถ้อยคำเหล่านี้สำหรับบางใครจะคิดเช่นไร แต่สำหรับผมน่าสิเน่หานัก หยิบมาแบ่งปัน สวัสดีครับ

25 พฤษภาคม 2551 13:58 น. - comment id 853394
เข้าใจงานคุณนะคะ เอาเป็นว่าแวะหอบเอากำลังใจมากฝากไว้ด้วยค่ะ

26 พฤษภาคม 2551 13:18 น. - comment id 853803
ฉันเสแสร้งแกล้งทำว่าฉ่ำชื่น กลบรอยขื่นแล่นลิ่วริ้วรอยร้าว ฉันเสแสร้งแกล้งทำจำเรื่องราว ครั้งเมื่อคราวรักร้าง .. ช่างคว้างนัก!

26 พฤษภาคม 2551 16:01 น. - comment id 853873
ฝืนความรู้สึกนี่เป็นอะไรที่ยากจังนะคะ

27 พฤษภาคม 2551 16:29 น. - comment id 854280
ที่สุดต้องยอมฝืน พาชีวิตผ่านวันคืนไร้จุดหมาย บนความหวังแหลกแตกตาย ตราบกำลังสุดท้ายจะพอมี... ... แม้ความหวังแหลกแตกตาย .. แค่เศษตังค์บาทสุดท้าย... ก็ยังดี.. (เอาไว้ซื้อน้ำเข็งเปล่า)
