แสงอรุณมารุ่งกลางดวงใจ (Sunrise in my Heart)

ลำน้ำน่าน

เมื่อสร้อยแสงแห่งชีวีมีปรากฏ
แจ่มจรดพริ้งพราวดาวบุหลัน
บ่งนิมิตด้วยแสงแห่งตะวัน
จักฝ่าไปเก็บฝันอันเรียงราย
เมื่ออุ่นไอแห่งรักประจักษ์มา
จะแสวงคุณค่าหาความหมาย
ดั่งสัญญาที่มั่นไว้ไม่คลอนคลาย
คือจุดหมายที่ปลายฟ้ายังยืนยง
เมื่อสวรรค์ยังซื่อตรงคงคำสัตย์
ปฏิพัทธ์ปีติธรรมดำรงหงส์
ตราบรวงแรงแห่งฝันยังมั่นคง
จะบินตรงเยือนอารยาแหล่งนาคร
เมื่อมวลชนดลใจให้ยินเสียง
ก้องสำเนียงเจนจบครบอักษร
จะทะยานลดเลี้ยวเทียวอาทร
ไปถมดอนฐานันดร์ชั้นวรรณา
เมื่อกางปีกลมบนจะวนว่อง
เคียงประคองป้องบังให้หยั่งฟ้า
จะท้าทายความชังอหังการ์
เหิรเมฆาไปเปิดทางถิ่นร้างไพร
เมื่อเด่นดาวทอแสงแหล่งนภา
จะหาญกล้าฝ่าดั้นไม่หวั่นไหว
กระโจนข้ามม่านฟ้าหาทางไกล
นำดวงใจไปหว่านเป็นทานคน
เมื่อเบื้องหน้าปราการธารสมุทร
จะเร่งฉุดใบเรือเพื่อล่องหน
ยอมหัวอกฟกร้าวหนาวกมล
เพื่อผองชนเกริกกล้านภาลัย
เมื่อยามใดอรุณรุ่งอาบคุ้งน้ำ
เพียงชั่วยามแสงเรืองรองส่องไสว
จะชื่นชมกับรางวัลกำนัลใจ
แม้นสิ้นไร้ผู้ใดรุมยินดี
หากวันนี้ปีกฝันเกรอะกรังดิน
หาใช่สิ้นวิญญาณผลาญศักดิ์ศรี
หน้าจะซบกายจะทาบอาบธุลี
ศรัทธามีหาญกล้ายังท้าทาย
เมื่อวันรุ่งพรุ่งนี้ที่รอคอย
ความต่ำต้อยจะถูกบดลดความหมาย
ความรังเกียจเดียดฉันท์จะพลันตาย
แอกความพ่ายจะถูกพรากจากคนจน

------------------------------
ชีวิตเป็นของน้อย  ย่อมรุกร่นเข้าไปหาความตายทุกที
เหมือนกับน้ำในรอยโค เมื่อถูกแสงพระอาทิตย์แล้ว
ก็มีแต่จะแห้งไปทุกวันฉะนั้น ฯ
ชีวิตอายุของเรา  ถึงแม้ว่าจะมีอายุอยู่ได้ตั้งร้อยปี
ก็นับว่าเป็นของน้อยกว่าสัตว์จำพวกอื่นๆ 
เช่นเต่าและปลาในทะเลเป็นต้น
ซึ่งเขาเหล่านั้นมีอายุตัวละมากๆ เป็นร้อยๆ ปี  
ตั๊กแตน  แมลงวัน เขามีอายุเพียง ๗๑๐ วัน
เขาก็ถือว่าเขามีอายุโขอยู่แล้ว   
แต่มนุษย์เราเห็นว่าเขามีอายุน้อยเดียว
ผู้มีอัปมาทธรรมเป็นเครื่องอยู่ เมื่อมาเพ่งพิจารณา
ถึงอายุของน้อย พลันหมดสิ้นไปๆ 
ใกล้ต่อความตายเข้ามาทุกที 
กิจหน้าที่การงานของตนที่ประกอบอยู่จะไม่ทันสำเร็จ
ถึงไม่ตายก็ทุพพลภาพเพราะความแก่ 
แล้วก็ได้ขวนขวายประกอบกิจหน้าที่ของตน
เพื่อยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่ตนเองและผู้อื่น
กาลเวลาจึงอุปมาเหมือนกับนายผู้ควบคุมกรรมกร
ให้ทำงานแข่งกับเวลา ฉะนั้นฯ

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
อุทิศแด่มวลชน ความศรัทธาที่กอปรด้วยปัญญา
และอาสาสมัครที่มีจิตสาธารณะฯ ทุกผู้ทุกนาม
วันพุธที่ ๑ เดือน ๑๐  

				
comments powered by Disqus
  • ช่ออักษราลี

    1 ตุลาคม 2551 02:04 น. - comment id 901040

    งดงามมากๆค่ะ เกินคำบรรยาย
  • ลำน้ำน่าน

    1 ตุลาคม 2551 02:08 น. - comment id 901043

    สวัสดีตอนดึกครับพี่ช่ออักษราลี
    นานๆ จะได้เข้ามาเยี่ยมบ้านกลอน
    
    เอาบทความมาฝากครับ
    
    ธรรมเทศนาพรรณาถึง คุณค่าของกาลเวลา
    แสดง ณ วัดเจริญสมณกิจ ภูเก็ต
    พระอาจารย์นิโรธรังสี
    วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ตอนเช้า
    
     
    
                        อจฺจยนฺติ อโหรตา   ชีวิตํ อุปรุชฺฌติ
    
                        อายุ ขียติ มจฺจานํ     กุนฺนทีนํว โอทกนฺติ ฯ
    
               วันนี้เป็นวันดิถีที่ ๑๔ ค้ำ แห่งกาฬปักษ์ ถ้าจะนับวันเข้าพรรษามาก็ได้เดือนครึ่งพอดี  พุทธบริษัทผู้ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าต่างก็พากันรีบเร่งปฏิบัติศีลธรรมแข่งกับเวลา ตามกำลังศรัทธาของตน ๆ กาลเวลาเป็นเครื่องเตือนสติของตนของผู้ไม่ประมาทได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น วันนี้จะได้แสดงธรรมมิกถาพรรณนาถึงเรื่อง คุณค่าของกาลเวลา ต่อไป 
    
                กาลเวลาเป็นของมิใช่จะให้ประโยชน์แก่โลกทั่วไปเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้อื่นมีปัญญาสนใจในธรรมปฏิบัติรีบเร่งฝึกหัดใจของตน ๆ ให้ทันกับเวลาอีกด้วย แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ต้องขึ้นอยู่กับกาลเวลาทั้งนั้น เช่น ดินฟ้าอากาศ ฤดู ปี เดือน ต้นไม้ ผลไม้ และธุรการงานที่สัตว์โลกทำอยู่ แม้แต่ความเกิด ความแก่ ความตาย  ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นประอยู่ตามหน้าที่ของเขาก็ตาม แต่ต้องอยู่กับกาลเวลาไม่ปรากฏแล้ว สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้จะไม่ปรากฏเลย จะมีแต่สูญเรื่อยไปนั้น
    
                กาลเวลาได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกนี้มิใช่น้อย ชาวกสิกรก็ต้องอาศัยวัสสันตฤดูปลูกพืชพันธุ์ในไร่นาของตน ๆ เมื่อฝนไม่ตกก็พากันเฝ้าบ่นว่า เมื่อไรหนอพระพิรุณจะประทานน้ำฝนมาให้ ใจละห้อย  ตาก็จับจ้องดูท้องฟ้า เมื่อฝนตกลงมาให้ต่างก็พากันชื่นใจระเริงด้วยความเบิกบาน แม้ที่สุดแต่ต้นไม้ซึ่งเป็นของหาวิญญาณมิได้ก็อดที่จะแสดงความดีใจด้วยอาการสดชื่นไม่ได้ ต่างก็พากันผลิตดอกออกประชันแข่งขันกัน ชาวกสิกรตื่นดึกลุกเช้าเฝ้าแต่จะประกอบการงานของตน  ๆ ตากแดดกรำฝน ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเย็นร้อนอนาทร ชาวพ่อค้าวาณิชนักธุรกิจก็คอยหาโอกาสแต่ฤดูแล้ง เพื่อสะดวกแก่การคมนาคมและขนส่ง เมื่อแล้งแล้วต่างก็พากันจัดแจงเตรียมสินค้าไม่ว่าทางน้ำและทางบก
    
                ฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาผู้มีศรัทธาตั้งมั่นอยู่ในบุญกุศล ก็พากันมีจิตใจจดจ่อเฉพาะเช่นเดียวกันว่า เมื่อไรหรอจะถึงวันมาฆะ-วิสาขะ-อาสาฬหะ เวียนเทียนประทักษิณนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย เมื่อไรหรอจะถึงวันเข้าพรรษา-ออกพรรษา-เทโวโรหณะตักบาตรประจำปี วันทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เนื่องด้วยกาลเวลาทั้งนั้นและเป็นวันสำคัญของชาวพุทธเสียด้วยเมื่อถึงวันเวลาเช่นนั้นเข้าแล้ว ชาวพุทธทั้งหลายไม่ว่าหญิงชายน้อยใหญ่ แม้จะฐานะเช่นไร อยู่เช่นไรก็ตาม จำต้องสละหน้าที่การงานของตน เข้าวัด ทำบุญ ตักบาตร อย่างน้อยวันหนึ่ง หากคนใดไม่ได้เข้าวัดทำบุญสังสรรค์กับมิตรในดังกล่าวแล้วถือว่าเป็นคนอาภัพ
    
                ส่วนนักภาวนาเจริญสติปัฏฐานย่อมพิจารณาเห็นอายุสังขารของตนเป็นของน้อยนิดเดียว เปรียบเหมือนกับน้ำตกอยู่บนในบัว เมื่อถูกแสงแดดพลันจะให้เหือดแห้งอย่างไม่ปรากฏ แล้วก็เกิดความสลดสังเวช ปลงปัญญาสู่พระไตรลักษณญาณกาลเวลาจึงว่าเป็นของดีมีประโยชน์แก่ทุก  ๆชั้นทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ดังพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้นนั้นว่า  อจฺจยนฺติ อโหรตา         ชีวิตํ อุปรุชฺฌติ  ดังนี้เป็นต้น แปลว่า โอ้ชีวิตเป็นของน้อย ย่อมรุกร่นเข้าไปหาความตายทุกที เหมือนกับน้ำในแม่น้ำน้อย เมื่อถูกแสงพระอาทิตย์แล้ว ก็มีแต่จะแห้งไปทุกวัน ฉะนั้นฯ โดยอธิบายว่า ชีวิตอายุของเรา ถึงแม้ว่าจะมีอายุอยู่ได้ตั้งร้อยปี ก็นับว่าเป็นของน้อยกว่าสัตว์จำพวกอื่น ๆ เช่น เต่าและปลาในทะเล เป็นต้น ซึ่งเขาเหล่านั้นมีอายุตัวละมาก ๆ เป็นร้อย ๆ ปี ตั๊กแตนแมลงวัน เขามีอายุเพียง ๗-๑๐ วัน เขาก็ถือว่าเขามีอายุโขอยู่แล้ว แต่มนุษย์เราเห็นว่าเขามีอายุน้อยเดียว
    
                ผู้มี อัปปมาทธรรม เป็นเครื่องอยู่ เมื่อมาเพ่งพิจารณาถึงอายุของน้อยพลันหมดสิ้นไป ๆ ใกล้ต่อความตายเข้ามาทุกที กิจหน้าที่การงานของตนที่ประกอบอยู่จะไม่ทันสำเร็จ ถึงไม่ตายก็ทุพพลภาพเพราะความแก่ แล้วก็ได้ขวนขวายประกอบกิจหน้าที่ของตนเพื่อให้สำเร็จโดยเร็วพลัน กาลเวลาจึงอุปมาเหมือนกับนายผู้ควบคุมกรรมกรให้ทำงานแข่งกับเวลา ฉะนั้น ฯ
    
                ทาน การสละวัตถุสิ่งของที่ตนมีอยู่ให้แก่บุคคลอื่น นอกจากผู้ให้จะได้รับอิ่มใจเพราะความดีของตนแล้ว ผู้รับยังได้บริโภคให้สอยวัตถุสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตนอีกด้วย นับว่าไม่มีเสียผลทั้งสองฝ่าย แต่กาลเวลาที่สละทั้งชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ไม่เป็นผลแกทั้งสองฝ่าย คือกาลเวลาก็หมดไป ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เสื่อมสูญไป ยังเหลือแต่ความคร่ำคร่าเหี่ยวแห้งระทมทุกข์อันใคร ๆ ไม่พึงปรารถนาทั้งนั้น นอกจากบัณฑิตผู้ฉลาดในอุบายน้อมนำเอาความเสื่อมสิ้นไปแห่งชีวิตนั้นเข้ามาพิจารณาให้เห็นสภาพสังขารเป็นของไม่เที่ยง จนให้เกิดปัญญาสลดสังเวช อันเป็นเหตุจะให้เบื่อหน่ายคลายเสียจากความยึดมั่นในสังขารทั้งปวง ฉะนั้น ทานการสละให้ปันสิ่งของของตนที่หามาได้ในทางที่ชอบให้แก่ผู้อื่นในเมื่อกาลเวลากำลังเอาฆ่าชีวิตของเราไปอยู่ จึงเป็นของควรทำเพื่อชดให้ชีวิตที่หมดไปนั้นให้ได้ทุน (คือบุญ) กลับคืนมา
    
                การรักษาศีลก็เป็นทานอันหนึ่ง เรียกว่า อภัยทาน นอกจากจะเป็นการ จาคะ สละความชั่วของตนแล้ว ยังเป็นการให้อภัยแก่สัตว์ที่เราจะต้องฆ่าและสิ่งของที่เราจะต้องขโมยเขาเป็นต้นอีกด้วย นี่ก็เป็นการทำความดี เพื่อชดใช้ชีวิตของเราที่กาลเวลาคร่าไปอีกด้วย ผู้กระทำชั่ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นผู้มีหนี้ติดตัว ผู้มีหนี้ติดตัวย่อมมีความทุกข์เดือดร้อน ฉะนั้น บาปกรรมชั่วเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ แต่ผู้ใดทำลงไปแล้วแม้คนอื่นทั้งโลกเขาจะไม่เห็นก็ตาม แต่ความชั่วที่ตนกระทำลงไป แล้วนั่นแล เป็นเจ้าของมาทวงเอาหนี้ (คือความเดือดร้อนภายหลัง) อยู่เสมอ ยิ่งซ้ำร้ายกว่าหนี้ที่มีเจ้าของเสียอีก
    
                เป็นที่น่าเสียดาย บางคนผู้ประมาทแล้วด้วยยศ ด้วยลาภก็ตาม ไม่ได้นึกคิดถึงชีวิตอัตภาพของตน กลัวอย่างเดียวแต่กาลเวลาจะผ่านพ้นไป แล้วตัวของเขาเองจะไม่ได้ทำความชั่ว ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของดีแล้ว เช่น สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร เป็นต้น นำเอาชีวิตของตนมรายังเหลืออยู่นั้นไปทุ่มเทลงในหลุมแห่งอบายมุขหมดบุญกรรมนำส่งมาให้ได้ดิบได้ดี มีสมบัติอัครฐานอย่างมโหฬาร เตรียมพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขัดสน แต่เห็นความเหล่านั้นเป็นเรื่องความทุกข์ไป สู่ความชั่วอบายมุขไม่ได้ กาลเวลาอายุเป็นของที่มีค่ามากเหลือไว้ แทนที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์และความสุข คนผู้ประมาทแล้วกลับนำไปใช้ในทางที่เกิดโทษทุกข์ จมดิ่งลงสู่อบายมุขอย่างน่าใจหาย สมกับพุทธภาษิตว่า เย ปมตฺตา ยถา มตา คนผู้ประมาทแล้วเป็นอยู่ก็เหมือนตายแล้ว ดังนี้ เพราะบุคคลผู้เช่นนั้น ถึงมีชีวิตอยู่นอกจากจะไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นสาระให้แก่คนแล้ว ยังจะเป็นภัยแก่สังคมเป็นอันเป็นอันมากอีกด้วย คนผู้ตายไปแล้วไม่เคยเป็นภัยแก่ใครเลย คนผู้ประมาทแล้วแล้วซิเป็นภัยแก่สังคมมาก ภัยเหล่านี้ย่อมเกิดจากผู้มีชีวิตอยู่แต่ประมาทแล้ว คือ ความโลภ ทะยานอยากได้ทำให้หน้ามืดไม่มีขอบเขตจนเป็นเหตุทำความเดือดร้อนให้แก่บุคคลอื่น ความโกรธ มุละทุ เหี้ยมโหด เพ่งแต่โทษ ของคนอื่น หาเรื่องทะเลาะค่าว่าฆ่าตีไม่มีดีกับใคร ๆ โมหะ ความหลงมัวเมาเข้าใจผิด คิดในสิ่งที่ดีว่าชั่ว สิ่งที่ชั่วว่าดี สิ่งที่ผิดเห็นเป็นถูก  แต่สิ่งที่ถูกหลับเห็นเป็นผิด ไม่เข้าใจความเป็นจริง ดันทุรังถือรั้นเอาแต่ใจของตน เหล่านี้ก็ดี ย่อมเป็นภัยแก่สังคม 
    
                คนประมาทดังกล่าวมานี้ เข้าในสังคมใดย่อมก่อความไม่สงบวุ่นวายขึ้นสังคมนั้น จนเป็นเหตุให้สังคมเขาเอือมระอา แต่ตัวเองเห็นว่าเป็นของเด่นอยู่เสมอ ภัยทั้งหลายเหล่านี้ย่อมเกิดจากคนประเภทดังกล่าวแล้วทั้งนั้น
    
                อนึ่ง ท่านเปรียบกิเลส สามกองนั้นไว้อย่างน่าฟังว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม้น้ำน้อยใหญ่ที่ไหลไปไม่มีเวลาหยุด เสมอด้วยความโลภทะยานอยากได้ของคนไม่มี นตฺถิ โทสสโม กลิ ความผิดของบุคคลผู้กระทำผิดอย่างร้ายแรง เสมอด้วยความโกรธไม่มี นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ ข่ายทั้งหลายที่ดักสัตว์ทุก ๆ ชนิด (ถึงแม้จะวิเศษและทันสมัยอย่างไรก็ตาม) เสมอด้วยความหลงไม่มี ดังนี้ 
    
                เมฆหมอกที่ปกคลุมแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ ถึงแม้จะมืดมิดสักปานใดก็ยังมีเวลาฉายจ้าออกมาได้เวลาหนึ่ง แต่กิเลสสามกองนี้ เมื่อได้เข้าจับหัวใจของใครแล้ว ต้องมืดมิดปิดบังอย่างน่ากลัว
    
                ความโลภความทะยานอยากได้มี่ขอบเขต เป็นกิเลส เหมือนน้ำฝนตกจากที่สูง ไหลท่วมท้นที่อยู่ของคนแล้วก็ไหลท่วมท้นที่อื่น ๆ ต่อไปจนเป็นอันตรายแก่พืชผลได้ ความโลภไม่รู้จักอิ่มของคนก็เหมือนกัน มีล้นเหลือแล้วไม่รู้จักพอ ยังอยากได้ของคนอื่นร่ำไป ทั้งที่ของตนมีอยู่มากมาย ถึงแม้ความหิวแทบตาย บางทียังไม่ยอมสละทรัพย์ออกใช้จ่ายไปยังเสียดาย เป็นทุกข์แทนเขา จนอดริษยาเขาไม่ได้ก็มี
    
                ความโกรธเป็นเหมือนกับไฟ ย่อมไหม้เชื้อไม่เหลือ แม้แต่ของสด ๆ ก็ไหม้ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นที่หัวใจของใครแล้วทำให้เหี้ยมโหดกักขฬะกล้าแข็งยิ่งนัก ไม่เลือกว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือผู้มีพระคุณอย่างไรก็ตาม มันโกรธได้ไม่เลือกหน้าหากมีศาสตราวุธอย่างวิเศษแล้วก็สามารถสังหารโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ให้แหลกเป็นจุณไปด้วยแรงฤทธิ์ของมันในชั่วพริบตาเดียว
    
                ความหลงที่เรียกว่าโมหะ มีลักษณะเหมือนเมฆหมอก ถึงแม้มันจะเป็นของเย็นก็ครอบคลุมได้ทั้งน้ำและไฟ แล้วไหลลอยไปตามลม  กล่าวคือ  เมื่อจิตทะยานอยากจนให้เกิดความโลภขึ้นมาแล้ว หลงก็พลอยสนับสนุน คิดเอาแต่ได้ ไม่เลือกหน้าว่าควรหรือไม่ควร ลักขโมย  ปล้นจี้ วิ่งราว ฆ่าเจ้าของทำได้ทั้งนั้น ไม่คิดถึงโทษทุกข์ทั้งของตนและของตนอื่น ปิดบังสติสัมปชัญญะ  มิได้คิดถึงคุณและโทษ ตั้งหน้าแต่จะกอบโกยเอาด้วยหน้าตามึนซาไม่มียางอายอย่างเดียว ถึงความหลงจะไม่แสดงความพิษร้ายแรงเจ็บแสบ แต่หลงก็ได้เข้าไปแทรกสนับสนุนให้ความโกรธเห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด ไปเข้าข้างตัวส่วนเดียวจนได้ ทำให้ความโกรธ มีกำลังแข็งกล้า ถึงกับหน้าเขียวเสียงสั่น ลบล้างศรัทธาปัญญาและศีลธรรมอันดีงามที่เคยได้อบรม มาหมด ในเมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้วก็ยังปรากฏอยู่อย่างเดียว นั่นคือ ตายักษ์หน้ามาร  อากัปกิริยาของปีศาจ  ความเกรี้ยวกราดของจอมพาล ความกล้าหาญอย่างโง่ ๆ ความหลงนี้ย่อมเข้าครอบคลุมได้ในที่ทุกสถาน ไม่ว่าบ้านหรือวัดรัฐสถาน แม้ราชสำนักมันก็ไม่กลัว ความหลงมันเข้าไปทรงอำนาจอิทธิพลเที่ยวป้วนเปี้ยนไปหมด
    
                กิเลส ๓ กองนี้ เมื่อเข้าไปหมักหมมดองอยู่ในใจของคนใดแล้ว ย่อมทำให้ใจของคนนั้นเสื่อมคุณภาพลงทุกที เหมือนสนิมเกิดขึ้นในเหล็กแล้วกัดเหล็กให้สึกกร่อนไป ฉะนั้น
    
                ด้วยเหตุนี้ทุก ๆ คน จึงควรคิดถึงกาลเวลาอันมีค่า  ที่เราอยู่ได้ไม่ตายเพราะกาลเวลายังเหลืออยู่ไว้ให้เราใช้ให้เป็นประโยชน์ และอย่าได้เข้าใจว่ามันยังเหลืออยู่มากนัก แท้จริง วันคืนเดือนปีที่เรานับกันว่าได้เท่านั้นเท่านี้นั้น มิใช่เรานับของที่ได้ แต่เรานับของที่เราหมดไป เหมือนกับคนเดินทาง ข้างหลังมีแต่จะยาวออกไป ข้างหน้าสั้นเข้า ๆ ทุกที  อายุที่เรานับอวดอ้างกันนักหนาว่า ข้าได้ ๕๐ -๖๐-๗๐   ปีนั้น เป็นการนับอายุที่หมดไปแล้ว ไม่ได้กลับคืนมาให้เรานับอีกส่วนที่ยังเหลืออยู่ไม่มีใครรู้สักคนว่ายังอีกมากน้อยเท่าไร โจรขึ้นขโมยของบนเรือน เจ้าของไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่แต่เฉพาะของที่หายไปเท่านั้น ส่วนที่ยังเหลือเจ้าขิงบ้านไม่เคยแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเลยฉันใด การนับอายุก็นับได้แต่ส่วนที่หมดไป ส่วนที่ยังเหลือไม่มีใครรู้เลยฉันนั้น
    
                ผผู้มาพิจารณาถึงอายุของตนว่าเป็นของมีประมาณน้อยและไม่มีเครื่องหมายไม่ทราบว่าจะตายวันไหน ย่อมเสื่อมสิ้นสูญไปกับ วัน คืน เดือน ปี แล้ว จึงควรเป็นผู้ไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย ดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้น 
    
                อนึ่ง ผู้มาพิจารณาถึงกาลเวลาอันกลืนกินอายุชีวิตของตนให้หมดสิ้นสูญไป ๆ อยู่เสมอ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เจริญมรณสติกัมมัฏฐาน หากปัญญาญาณยังไม่แก่กล้าสามารถจะถอนอุปาทานขันธ์ได้อย่างเด็ดขาด ก็ยังจะเป็นเครื่องบรรเทาความมัวเมาประมาท ให้ลดหย่อนลงบ้างตามโอกาสอันสมควร แล้วจะได้ปรารภถึงคุณงามความดี มีการทำทาน รักษาศีล ภาวนา เป็นต้น ละความชั่ว ความผิดทุจริตต่าง ๆ ที่เคยทำมาแล้วและกำลังทำอยู่ก็ดี ไม่สามารถจะทำต่อไป ตามวิสัยของผู้ไม่ประมาท ก็จะเป็นประโยชน์โสตถิผลทั้งแก่ตนและส่วนรวมตลอดทั้งโลกนี้และโลกหน้า ถ้าอาศัย อัปปมาทธรรม  คือความไม่ประมาทเจริญไม่ขาดจนให้ชำนาญ ปานประหนึ่งว่ายานพาหนะอันจะนำตนไปสู่มัคควิถีแล้ว จะมีจิตแกล้วกล้าสามารถต่อสู้มัจจุราชภัยอาจหวังได้ชัยชนะในที่สุด  เพราะผู้ย่อมสละทุกสิ่งแม้แต่ชีวิตก็ยอมพลีไม่มีอาลัยเพื่อความบริสุทธิ์ของใจแล้ว อารมณ์ทั้งหลายแหล่ก็ปราศจากไปไม่มีเหลือ ต่อแต่นั้นจิตก็จะตั้งมั่นเข้าถึงขั้นภาวนาสมาธิ 
    
    โดยนัยดังแสดงมาก็ควรแก่เวลา เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
  • ฉางน้อย

    1 ตุลาคม 2551 02:17 น. - comment id 901048

    35.gif35.gif46.gif65.gif74.gif
  • ช่ออักษราลี

    1 ตุลาคม 2551 02:34 น. - comment id 901050

    ขอบคุณมากค่ะ ที่นำบทความด้านธรรมะ
    มาเผยแพร่ให้อ่านกัน เพื่อยึดเป็นแนวทาง
    ปฏิบัติในการดำเนินชีวิตตามวิถีพุทธ
    หากทุกคนยึดถือปฏิบัติได้ดังนี้แล้ว 
    สามารถละเว้นกิเลสตามที่ได้กล่าวมา
    ก็ทำให้สังคมสงบ และสุข มิใช่น้อยค่ะ
  • เฮาชาวดอย

    1 ตุลาคม 2551 05:21 น. - comment id 901083

    สวัสดีครับกลอนเพราะนะครับ
    
    
    59.gif59.gif
  • รัมณีย์

    1 ตุลาคม 2551 07:00 น. - comment id 901090

    สาธุครับ
  • ดอกบัว

    1 ตุลาคม 2551 08:58 น. - comment id 901108

    ตื่นเถิดนะตื่นมาพบกับวันใหม่
    ตื่นมาพบแสงเช้าเช้าส่องรำไร
    ฉายลำแสงสุดโค้งฟ้าเฉิดไฉไล
    ดั่งทองทาทาบไว้โค้งฟ้านั้น
    
    เห็นไหมนั้นหมู่วิหคพาผกผิน
    โบกโบยบินระเริงลมมิปิดกั้น
    ร้องลำนำระบำเพลงบรรเลงกัน
    ผสมผสานพลิ้วลมห่มนภา
    
    สวัสดีค่ะ พี่ลำน้ำน่าน
    งดงามท่ามความรู้สึก
    และได้รับอรุ่ณแสงแห่งสายธาร 
    ขอบคุณค่ะที่นำสิ่งมีค่ามาให้อ่าน
    ให้มีแต่สุขทุกวันค่ะ
    36.gif46.gif
  • อินสวน

    1 ตุลาคม 2551 10:13 น. - comment id 901132

    สวัสดีครับ..ท่าน..ลำน้ำน่านที่คิดถึงตลอดมา
    นานๆจะได่พบกัน...มาเพื่อแบ่งปัน
    สิ่งดีงามและประทับใจ
    ดีใจมากครับ
  • เพียงพลิ้ว

    1 ตุลาคม 2551 11:55 น. - comment id 901180

    วันนี้ยังไม่เห็นแสงอรุณเลยค่ะ
    
    
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • สาวบ้านไร่

    1 ตุลาคม 2551 14:05 น. - comment id 901256

    กลอนเพราะมากค่ะ
  • ธันวันตรี

    1 ตุลาคม 2551 16:55 น. - comment id 901317

    บทกวีของลำน้ำน่าน สะกดใจตั้งแต่ต้นความที่ได้อ่าน
    
    เจียระไนถ้อยคำได้อย่างงดงาม รจนาภาษาด้วยลีลาที่เป็นเอกลักษณ์ยากหาใครเหมือน
    
    แฝงนัยให้ขบคิดลึกซึ้ง.....ภาพ..ภาษา..พรรณนาได้อย่างลงตัว
    
    นับว่าเป็นยอดฝีมือของบ้านวรรณกรรรมไทยอีกท่าน
    
    ขอชื่นชมจากใจจริง
    
    
    
    
    
    41.gif
  • นาคะพรรณ

    1 ตุลาคม 2551 18:33 น. - comment id 901338

    สวัสดีครับ
    งานเขียน ไพเราะมากครับ
    อิ่มอารมณ์ ลึกซึ้ง
    
    "ขอบคุณงานเขียนดีๆมากครับ"
    
    1.gif41.gif1.gif
  • เฌอมาลย์

    1 ตุลาคม 2551 19:12 น. - comment id 901371

    21-07-51-02.gif
    
    แวะมาอ่านบทกลอนที่งดงามค่ะ
    
    36.gif36.gif36.gif
  • ลำน้ำน่าน

    2 ตุลาคม 2551 01:43 น. - comment id 901459

    ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาให้กำลังใจครับ
    ได้เข้ามาบ้านหลังนี้ทีไรก็รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งครับ29.gif29.gif29.gif
  • แมงกุ๊ดจี่

    2 ตุลาคม 2551 08:40 น. - comment id 901515

    สวัสดีค่ะ   บุรุษแห่งสายน้ำ....
    
    "ชีวิตเป็นของน้อย"
    
    
    หายไปนานนะค่ะ
    กลับมาพร้อมความงดงามเช่นเคย...36.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน