ดั่งดวงมณีทองผ่องพรายทั้งแผ่นดิน..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
(สี่แผ่นดิน)


ดวง...
กำลังทอดตานิ่งนิ่ง...
ในท่าม..
ความสับสนวุ่นวายรายรอบของผู้คน 
*พสกนิกรไทย*ในวันนี้
ที่..
ดวงแสนโชคดี...ได้มีโอกาส
มายืนอยู่ตรงนี้ ที่มีทัศนียภาพแสนงาม
*คอนโดหรู ริมฝั่งฝันแม่น้ำเจ้าพระยา*
เพื่อ..
มาทอดทัศนา*ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค*


ดวง...หนีความวายวุ่น..
ไปนั่งปลีกวิเวกริมสระน้ำ
ใกล้กอโมกและ...พวงดวงดอกลีลาวดี
ที่...กำลังพลีพรมให้...หอมพร่าง
ทอดตา....อ้างว้าง...ไปยังตึกโบราณ
ที่...เคียงขนานริมชายชล
*สายน้ำใจเจ้าพระยา*
ที่ณ..บัดนี้...
คราคร่ำไปด้วยผู้คน
หากทว่า..
ยิ่งพิศดู..ยิ่ง..แสนงามกมล..
ให้ดวงแสนประทับใจ
เมื่อ..
ต่างพากันมาพลีพร้อมน้อมดวงใจ
หลอมรวมใจรวมพลังใจ
*มาถวายความจงรักภักดีที่แสนยิ่งใหญ่*..
อย่าง..พร้อมเพรียงกัน....


ใน...
เสื้อสีหลืองผ่องพรรณ...
ที่มีตราสัญญลักษณ์..เฉลิมฉลอง...
ครองราชครบ60ปี..
สีเหลือง...ทอง
ที่ดูผุดผลิผ่องพราว ราวแก้วมณีโกเมน
ราว..
เหลือง...ข้าวกล้า ในผืนนา 
ที่..
ยามลมล่องข้าวเบา
พรายพรมพัดพามาระบัดโบก
โยกไกว..ก็ยิ่งพาให้งามไสว
ดั่ง..
พรมแพรทองอาบไล้ไปทั่วทั้งผืนพสุธานี้
ที่ยังมีผืนดิน..อุดม...
ให้เราชาวนา..
ยังได้พรมพร่างหว่านโปรยข้าวกล้า
พาให้ผลิเรียวรวงระย้าระยับ
งามจับตาดั่งอัญมณีสีทองสุกปลั่ง
ไปทั้งแผ่นดินอันแสนเงียบงามสงบสุข...ไร้ทุกข์ร้อนใดใด
เพราะ..
มีหัวใจดวงทองวิถีไท
ให้ห่มหอมนวลพร่างสว่างไสวเฉกเช่นกัน..


เหลือง...
ใน..สีจีวรสงฆ์..จัดจ้าแจ่มจรัส
ที่สดใสสว่าง กระจ่างแจ่มชัดในยามอรุณรุ่ง 
ยาม..
สายแสงสีดั่งมณีรุ้งสาดส่องมาทอทอดโอบกอดรวงเรียวไว้
ไล้โลมไปทั่วทั้งผืนนาผืนหล้าฟ้าไกล
ไปจนทั่วถึง..
*ไพรพงพนาป่าใหญ่*
ที่ยังหลับไหล..


ให้ลุกฟื้นตื่นขึ้นมารับพลังหวานชื่นสดฉ่ำ
*พลังแห่งธรรมชาติ*
อันอ่อนเอื้อโอบอุ่นหมุนวนวงเป็นวัฏจักร
อัน..
คือความเป็นธรรมดานิรันดร์เช่นนั้นเอง...


สายแสงแดด
ที่มา..
พ้อเพลงบรรเลงพร่างพรายดั่งมนต์รักลูกทุ่ง
ได้มาทายทัก
เขียวข้าวเขียวไพลเขียวละออละอ่อนใสใส
ในท้องทุ่ง เคียงเถียงนาขนำนา
ที่...
กบเขียดจิ้งหรีด
ยังต่างพากันร้องประลองเสียงเถียงกันสนั่นก้อง
ไปทั่วทั้งท้องร่องโค้งคุ้ง


กับ..
ฟ้าเริ่มรุ่ง รำไรรำไร
ด้วยดวงดอกแดดระยิบๆ
ที่..
พากันพริบพรายทายทักน้ำค้างฟ้าน้ำค้างแก้ว
ที่หยาดแพร้วระยิบจับเรียวรวงพริบพราย
จับตามยอดไม้ใบหญ้าใบบัว
ดั่งเกร็ดเพชรกลมกลิ้งวะวับวาว
ราวรอเวลาทิ้งรอยระเหยหาย...


แล้ว...
ค่อยวนกลับมาใหม่ ....
มิมีวันสิ้นสุดหยุดสัจจธรรม ธรรมชาติ
อันแสนพิลาสพิไลแสนบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่เกินสิ่งใดทัดทาน...
ในการ*ให้*อย่างไร้ร้องขอ 
พ้อ..
เพียง...บางครั้ง
ด้วยพลังสายน้ำท่วมพายุกล้าสึนามี
ให้มวลมนุษย์ได้รู้หยุดทำลาย
หมายรู้พิทักษ์ธรรมดำรงค่า..
ให้แสนยั่งยืนนานเพื่อตามต่อลมหายใจให้..ยังชื่น...


เหลือง..
ยามเช้า...
ที่พระสงฆ์...
ต่างพากันเดินเรียงไปตามดงตาลคันนา
เพื่อไปบำเพ็ญศาสนกิจ
ให้ทุกชีวาชีวิตได้ต่อยอดบุญ 
*ใส่บาตรเป็นเสบียงบุญทุนธรรมทาน*
ให้..
ดวงชีวีได้พบหวังหวานเบ่งบานตระการ 
*ราวกับบัวน้อยลอยชูช่อรออรุณ
*รับสายแสงทองแสงธรรม*
เพื่อได้ ธำรงรักษ์ศาสนา 
และ...
ได้ฝากดวงชีวาชีวีไว้ใต้ร่มรัตน์ร่มฉัตรเพชร
ใต้..
ผืนหล้าร่มธงไท ที่ยังโบกปลิวไสวด้วยความอิสระเสรี


เหลือง....
แห่งจันทร์งามในท่ามราตรี
ที่เหนือนภาช่างแสนกระจ่างสว่างเย็น
ยาม..
พรายแสงพร่าง ทอไล้ลงมาอาบ
*ยอดพระปรางค์ปราเจดีย์ *
ให้เกิดแสงงามล้ำ
*ดั่งมณีเพชรพราวระยิบระยับ*งามจับจิตจับตา


และ
แสงนวลจากพรายพระจันทรา
ยังพร่างมาต้องจับ.งามพักตราน้อง
สะท้อนนวล..
สะท้อนหวาน..ให้แสนสะท้านใจ
ให้งามยิ่งเกินกว่าหญิงใดในพื้นปฐพี
ยามคนดี..ไปวัดเวียนเทียน
ให้..
พี่ชายที่แสนภักดิ์ได้หลงรักหลงรอ
ได้เฝ้าพ้อวนเวียนเพียรคอยเหลือบแลชะแง้หมาย
ดั่ง
*กระต่ายน้อยหลงคอยจันทร์*
ราวกับ
มนต์ขลังพลังจากสายแสงจันทร์ที่ทอดทอทับ
จับสไบนวลสไบนางนั้น
ยิ่ง..พร่างงาม
จนต้องเพ้อครางครวญ
หวนหาเพียงสไบแพรแทนใจกาย
ดั่ง..
ชายชาญโบราณ ยามพบรักภักดิ์พลี
ที่หามีไม่แล้ว..
ไหน...
ดวงทุติยมณี
ยังมิสิ้นเมตตาได้กรุณาสาดส่อง
ผ่านม่านมวลเมฆนวลนุ่มราวกลุ่มสายไหมแสนหวาน
สู่บานพระบัญชรประตูโบสถ์
มาโปรดตกต้องจับจีวรทองแห่งพระสงฆ์
ที่..
กำลังนั่งสวดมนต์สมาธิภาวนาในโบสถ์คร่ำ
ท่าม..
แสงเทียนทองทอมลังเมลืองเจรืองจรัสงามชัชวาลย์


แสงแห่งสงฆ์..
ที่ผ่องพราวพรรณรายฉายฉานโชติช่วง
ดั่งรวงแสงดาวเดือนในคืนเพ็ญ
ที่เป็นมณีโรจน์รัตน์
อัน..
จักนำทางทุกดวงใจ
ที่มีจิตดวงใสศรัทธามั่นในคำสอนแห่งพระบรมศาสดา
ที่..
พระองค์ทรงดำเนินรอยพระบาทยุรยาตรไปรอล่วงหน้าแล้ว
ให้ไป..พบ
*แดนขวัญแก้วสวรรค์สรวง..*
ล่วงพ้นพาพบบานประตูพระนิพพานไสว
หากจิตดวงใสใสเพียรมิพ่าย


ให้..ใจรู้วางว่าง ไว้
 ก็จักมิมีวันพบมืดบอดใด
หาก..
ตั้งมั่นในศรัทธา
ยึดยอดแห่งคำสอนจากพระศาสนายอดพระรัตนตรัย
ที่กำลังก้องหู
ที่...
กำลังคลอคู่แสงเทียน
เสียงธรรม มาน้อมพลี..ที่*ดั่งทางทองทอดรอ*
.....................


พบพุทธบุญเพรงสยาม..ลำน้ำน่าน
 
เหลือง...รวงพวงพุ่มข้าว            โพสพสรม
เหลือง...พัสตร์สงฆ์รงค์ลม         รุ่งคุ้ง
เหลือง...อรุณแรกขานขรม        ขมิ้นเพรียก 
เหลือง...บุปผาร่วงรุ้ง                 เรื่อแล้วลานสยามฯ
..................................


ดวง...
หลับตาลงช้าช้า..ช้าช้า...
แล้ว...
ราวกับได้ยินเสียงมโหรี
และ..
ภาพตรงหน้าย้อนรอยอาลัย..ให้จิตดวงไหวอาวรณ์
เสมือน..
เห็นร่างอรชรในมโนนึก
นั่งทอดร่างอยู่ตรงศาลาไทยท่าน้ำ
ในท่ามบ้านเรือนแสนสงบสุขสองฟากฝั่งคลอง


เพราะ...
ตรงข้าม
ที่*ดวง*นั่งนิ่งเงียบงามนั้น 
จะมีตึกโบราณ หลังหนึ่ง 
ราว..
คฤหาสน์ในฝันในจินตนาการอันงามตระการ 
ต้องตาต้องใจ ดวงอย่างที่สุด 
อดีตที่ผ่านมา...คงเรืองรุ่ง 
มีมโหรีขับกล่อมระทึก
ไปกับลำนำเจ้าพระยา ในยามค่ำ ที่มีงานเฉลิมฉลอง...


ดวง..
จึ่งหลับตาฝันว่า 
คงสุขนัก ถ้าได้เยือนย้อน หวนกลับไป
และ..
คงสุขล้ำ ถ้าดวงได้เป็นหนึ่งในนั้น 
นุ่งผ้าซิ่นไหมกรอมเท้า
ใส่เสื้อแขนกระบอก ปล่อยผมสยายยาว 
ทัดด้วยดอกไม้หอม เคลียแก้ม
ยามนั้น..
คงมีท่าเทียบเรือ ให้นั่งผ่อนพัก 
ทอดตาดูเรือพาย ดูสายน้ำใสไหลเย็น
ที่คงยังชื่นฉ่ำ สะอาดงาม 
และ..
อาจจะมีพระเอกในฝันก้าวขึ้นมาจากเรือเพื่อจุมพิต.....


หาก...
ลืมตาพลัน...
ฝันทั้งหลาย ก็แค่ฝัน ยากเป็นจริง 
ฝันทุกเรื่องราว 
มาบัดนี้...ทุกสรรพสิ่งแสนงาม
ถูกกาลเวลา กลืนหาย ให้มลายหายลับไปกับตา 
เหลือไว้..
เพียงตำนานใจตำนานตึกร้างราไร้ผู้คน
และ..
กับสายน้ำ เจ้าพระยาในวันนี้
ที่คงเคยเห็นความทรงจำอันหวานหอม..
และ
ในยามนี้...
มาตรแม้น..
 เจ้าพระยาเอง ยังครวญ คร่ำ ร่ำไห้ ขอรัก(รักษ์)..คืน
........................


น้ำตาดวงปริ่มๆริมเรียวตาตลอดเวลา
เมื่อ...
ดวง..รำลึกว่า.....
เหตุการณ์แห่งความงามงดนี้ 
เป็นความปลาบปลื้มปิติในดวงชีวี
ที่ยากยิ่งจะย้อนหวนคืน
เสมอเสมือน...
 สายน้ำใจเจ้าพระยาตรงหน้าดวง
ที่จำต้องไหลบ่าล่วง
ทิ้ง...
เพียงความทรงจำอันแสนฉายฉาน..


ฝากให้..
ผู้คนทั้งสองฟากฝั่งและที่ผ่านไปมา
ได้พึงรำลึกสำนึกค่าแลจดจำ
*สายน้ำรักนิรันดร์ *
ที่มาปันพลี แด่ผืนพสุธา
มา..
หล่อเลี้ยงข้าวกล้าพืชพรรณและผองชน
ให้ได้อาบดื่มกิน 
มาทายทักทุกสรรพสิ่ง 
แล้ว..
ลาลับไปกับกาลเวลา
แม้นกระทั่งร่างเรา
ก็...
จักมลายลาหายไปกับกระแสกาลใช่นาน เลย
ณ..ทุกคนดีที่รักแสนรักในกมล


และ....
ในงามเงียบกมลแห่งภวังค์ฝัน
ดวง..ราวได้ยินเสียง..
*ฟ้าดินแลสวรรค์กำลังกระซิบ...กันเหนือชั้นฟ้า..*
ปวงเหล่าทวยเทพเทวาอินทร์พรหม
ต่างพากัน
อธิษฐานจิตดั่งทิพยนิรมิต..
พลีพร้อมแสดงพลังพลานุภาพ
ที่อาบเอิบไปด้วยความปลาบปลื้มปิติเกษมโสมนัสยินดี
ที่ทรงมี..
แด่พระผู้ผ่านภพผ่านหล้าเหนือฟ้าไทย...
สำแดง...
ปาฏิหารย์ยิ่งใหญ่ประสิทธิ์ประสาทพร
ให้พลเมืองโลก ได้ประจักษ์..


จึ่ง..
พากันบันดาลบันดลพลัน..!
ให้เกิดพายุกล้า พัดแรง
แล้ว...
หลั่งสายพระสิโนทก
ให้ตกต้องปรายโปรยอวยพร
อาบไปทั่วทั้งผืนน้ำเจ้าพระยามหานทีทอง


ที่..
กำลังจะรองรับ*ขบวนเรือพยุหยาตรา 
ที่จักลีลามาอย่างพญาหงส์..
อันแสนทรงเกริกเกียรติเกรียงไกรยิ่งใหญ่อลังการ..
ให้...
ผองชนคนในสุวรรณภูมิพุทธิ์ไทย
ที่ณ..วันนี้ ต่างมีดวงจิตแสนพิสุทธิ์ใส
ได้มา..
นั่งน้อมสำนึกรำลึกรู้ ในพระมหากรุณาบุญญาธิคุณ
แห่งพระพ่อหลวง
พระในดวงใจแห่งกมลทุกคนไทยมาแสนยาวนานนัก
แลจักเป็นเช่นนี้..
ตราบชั่วนิจนิรันดร์...ตราบชั่ววันฟ้าดินสลาย
......................


หยาดน้ำค้างแก้วน้ำค้างฟ้า
จึง..
พรายพัดมากับพายุกล้าจากพยับโพยมบน
ที่ต่างพากันมาพัดสรรเสริญพระบารมี 
อย่างเป็นที่..
*มหัศจรรย์บันดาลบันดล..*
ไปทั่วเวหน..หาว..
ให้..
พราวฉ่ำราวหยาดน้ำทิพย์
น้ำทองจากคลองใจแห่งพระองค์ท่าน
ที่ทรงประทานแด่คนไทย
ให้วักจิบดื่มกิน มิสิ้นหยาดน้ำทิพย์จากจิตเกษมใส
อย่างมิมีวันสิ้นสุด..


แล..
ไม่นาน...
ม่านฟ้าสลัวที่มัวหม่นก็..พลันเปิด 
ให้ฟ้าไทยยิ่งใสว่างสว่างเย็น
ดั่ง..
สายน้ำใจเจ้าพระยาที่ยังคงไหลเย็นไหลละล่อง
พาไทยท่องผ่านทุกข์ทุกวิปโยค
มาสอนโศกสุข...
ที่ผ่านมาคลุกเคล้าหนาวร้อนทุกหย่อมหญ้า


ให้รู้ว่า...
ความรักแผ่นดินและการเสียสละ 
รู้หันหน้ามาปรองดองสมานฉันท์กัน
ให้รู้ยอมรับ รู้จักรู้จำทำใจ
เพียรแก้ไขในสิ่งผิด และรู้คิดดี พูดดี ทำดี
พลีให้กับ..
บ้านกับเมือง..ที่แสนสุขสงบร่มเย็น
จน..
ทั่วหล้าโลกต่างพากันอิจฉา
ที่เราคนไทยต่างได้พากันมาเกิด
ในผืนดินอุดม..
ใต้ร่มฟ้าร่มรัตน์ร่มเศวตรฉัตรเพชรกางกั้นเกศ
ที่ช่างแสนหายากเย็นในพื้นปฐพี
ที่จัก..
ได้พบสิ่งแสนดีแสนยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกัน


ราวกับ..
จักมาปันพลีมาสอนสัจจะใจ
ให้มวลมนุษย์ได้พบบทเรียนใจ
ว่าแท้เที่ยงแล้วไซร้
ความยิ่งใหญ่ที่จริงแท้
ก็คือ..
พลังแห่งธรรม ธรรมชาติ ที่จักสถิตสถาวร
พลังแห่งความรัก สามัคคี 
พลังแห่งความดีความงาม
เพื่อ..
พลีพร้อมรู้รักษ์ให้*โลกนี้จักเป็นหนึ่งเดียว*
ไม่เกี่ยวไม่เก่าไปกับกาลเวลา
และ..
ถึงมาตรแม้นว่า...
โลกอาจจะหมุนช้าลงก็คงจักดีกว่าขาดเกรียว
แลเหลียวไปพบเพียงความวิปโยค..โศกสะเทือน
.....................


สายน้ำใจเจ้าพระยาที่ดั่งมหานทีทอง
ไหลล่องผ่านครรลองบ้านเมือง
ย้อนยุคมาทุกสมัยรัชกาล
*อยุธยาโบราณ*
ยามบุญมาหนีทัพพม่า
ในคืนที่ฟ้าไทในกรุงศรีอยุธยาแดงโชติช่วงฉายฉาน
ปานประหนึ่งอาบท่วมไปด้วยเลือด เลือด..และเลือด..!!!!!
มีเพียงม่านควันไฟลุกโพลงโหมไหม้
ทำลายบ้านเรือนวัดวาอาราม
ที่แสนมลังเมลืองอลังการ
ปานทิพยวิมานสวรรค์สรวงมาเยือนหล้า...อย่างย่อยยับ..!!!!!
เหลือ...
เพียงทรากปรักหักพังในชั่วพริบตา.....!!!!


ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง
อันโหยหวน เสียงอาวุธ กระทบกัน ทั้ง  หอก ดาบ ปีนคาบศิลา
และ..
ที่ตามมา...คือ...กลิ่นคาวเลือด...และซากศพนับหมื่นพัน
ทั้งไทยพม่าที่ฟาดฟันกันอย่างไร้ปรานี..ปล่อยให้ชีวีหลุดลอยปลิดปลิว
ตายไปในสมรภูมิรบ..ราวใบไม้ร่วง
ถมซ้อนทับกัน..จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร..!!!!! 

ไหนจะเสียงร้องระงม...ตามหากันจ้าละหวั่น
เพื่อให้หนีภยันตรายอันหมายถึงชีวิตให้พ้นผองภัย
ทั้งเด็กผู้หญิงที่จักถูกเข่นฆ่าอย่างไร้ความปรานี 
อย่างที่มิสามารถจะปกป้องตนเองได้
ความโหดร้ายเหี้ยมเกรียม  ทารุณในสนามรบ .!
ไฟที่กำลังคุโพลง..!สว่างจ้า  ราวกลางวัน
 หากทว่าในดวงใจไททุกดวงราววัน*แห่งอาทิตย์อับแสง..!!! *
แฝงด้วยความโศกาอาดูรพูนเทวษ 
จนน้ำตาก็ไร้ค่ามิพอที่จะหลั่งรินสังเวย..ทั่วทั้งปฐพี!!!!


มีเพียงใจดวงหนาวร้าวระกำช้ำลึกอย่างยากที่จะเยียวยา..!!!!
ราวกับสิ้นทั้งโลกหล้า 
ฟ้า แล ดิน..สิ้นอินทร์พรหม ยมพญา
พลอยพากันวิปโยคโศกสะเทือน...โหยไห้..ร่ำหา..ครางครวญ
อวลกลบกลืนไปทั้งผืนฟ้า........อยุธยาธานี 
ที่ ณ..บัดนี้..ร้างไร้...
คล้ายเหลือเพียงจิตวิญญาณ
ที่ลอยล่อง อย่าง...เจ็บช้ำ เจ็บแปลบ แสบแสน ในโศกนาฎกรรมนี้
ที่มิอาจพลี จิตร่างรักษาเมืองไว้ให้ลูกหลานได้.....!!!!!
....................
..............................
และ
ใครอยากติดตามต่อก็ไปอ่านต่อที่ดวงได้พลีรจนาฝากไว้นะ
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem76049.html
(แผ่นดินของเรา)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem38124.html
(ฝันเศร้ากับเจ้าพระยา)


กลับมา....นาทีนี้....
ที่ดวงกำลังมีเวลาทอดทัศนา รายรอบ ..
จะมองเห็น วิวทิวทัศน์ วัดวา
ยอดหลังคาโบสถ์อร่ามเรือง เลื่อมพรายพราวดั่งทองทา
โน่น พระบรมมหาราชวัง 
และ....นั่น....
วัดพระแก้ว ในยามค่ำ จะมลังเมลือง
พราวพร่าง งามระยับจับนัยน์ตา 
ราวเมืองฟ้า เมืองสวรรค์ ที่ฟ้านี้ประทานให้
...................


ตะวันนวลด้วยพรายแดดอ่อนอุ่น ในทิวา 
รอนรอนล้าอ่อนอ่อนแสง 
ที่ใกล้ลาลับไปกับผืนน้ำสีทองของเจ้าพระยา..


และแล้ว..
พลัน...
นาทีแห่งปาฏิหารย์รักมหัศจรรย์รอ
อันคือ..
ความยิ่งใหญ่เหนือชีวิตจิตใจแห่งปวงพสกนิกรไทย
ที่ได้มารอเฝ้าดู
*ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค*
ก็ได้เริ่มต้น....
เรือพระที่นั่งลำแล้วลำเล่า..ที่ผ่านตาดวงไป
ความอลังการอันแสนงดงาม
เกินหาค่าคำใดมาเทียบเทียมได้
นอกจาก..
ต้องอัญเชิญบทกวีของบรมยอดกวีศรีแผ่นดินอยุธยา
*เจ้าฟ้ากุ้ง*มาบันทึกไว้ณ..ที่นี้


   ปางเสด็จประเวศด้าว           ชลาไลย
ทรงรัตนพิมานไชย                 กิ่งแก้ว 
    พรั่งพร้อมพวกพลไกร         แหนแห่ 
เรือกระบวนต้นแพร้ว             เพริศพริ้งพายทอง ฯ 
       ช้าลวะเห่ 
   พระเสด็จโดยแดนชล          ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย 
กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย          พายอ่อนหยับจับงามงอน ค 
    นาวาแน่นเป็นขนัด            ล้วนรูปสัตว์แสนยากร 
 เรือลิ่วปลิวธงสลอน                 สาครสั่นครั้นครื้นฟอง
    เรือครุฑยุดนาคหิ้ว              ลิ่วลอยมาพาผันผยอง 
พลพายกรายพายทอง              ร้องโห่เห่โอ้เห่มา 
      สรมุขมุขสี่ด้าน                   เพียงพิมานผ่านเมฆา 
ม่านกรองทองรจนา                 หลังคาแดงแย่งมังกร 
     สมรรถไชยไกรกาบแก้ว    แสงแวววับจับสาคร
เรียบเรียงเคียงคู่จร                ดังร่อนฟ้ามาแดนดิน
     สุวรรณหงส์ทรงภู่ห้อย         งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ 
เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์          ลินลาศเลือนเตือนตาชม
           เรือไชยไวว่องวิ่ง          รวดเร็วจริงยิ่งอย่างลม 
เสียงเส้าเร้าระดม                    ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน ฯ 
            
มูละเห่
      คชสีทีผาดเผ่น                   ดูดังเป็นเห็นขบขัน 
 ราชสีห์ทียืนยัน                       คั่นสองคู่ดูยิ่งยง
       เรือม้าหน้ามุ่งน้ำ               แล่นเฉื่อยฉ่ำลำระหง 
 เพียงม้าอาชาทรง                    องค์พระพายผายผันผยอง
        เรือสิงห์วิ่งเผ่นโผน          โจนตามคลื่นฝืนฝาฟอง 
ดูยิ่งสิงห์ลำพอง                         เป็นแถวท่องล่องตามกัน 
       นาคาหน้าดังเป็น               ดูขะเม่นเห็นขบขัน 
มังกรถอนพายพัน                    ทันแข่งหน้าวาสุกรี 
        เลียงผาง่าเท้าโผน            เพียงโจนไปในวารี 
นาวาหน้าอินทรีย์                     ที่ปีกเหมือนเลื่อนลอยโพยม 
         ดนตรีมี่อึงอล                   ก้องกาหลพลแห่โหม 
โห่ฮึกครึกครื้นโครม                 โสมนัสชื่นรื่นเริงพล 
        กรีฑาหมู่นาเวศ                จากนคเรศโดยสาชล 
เหิมหื่นชื่นกระมล                     ยลมัจฉาสารพันมี ฯ 
.........................


หันมาอีกที..
เมื่อ..
*ขบวนเรือแห่งความงามยิ่งใหญ่*
ที่ทำให้น้ำตาดวงซึมซึ้งด้วยตื้นตัน
อย่างแสนเกษมปลาบปลื้มปิติใจ
อย่างคน..
ที่มีนวลใจ..รักแสนรักซึ้งแสนซึ้ง..เข้าถึงแสนเข้าถึง
ในทุกวัฒนธรรมประเพณี 
ทุกราวเรื่องแสนงามแสนดี
ที่..
บรรพบุรุษไทยเราได้พลีมอบไว้
*ให้เป็นมรดกทางจิตวิญญาณ*
ผ่านกาลกัปป์สมัยมาหลายยุคสมัย


อัน..
คือวิถีไทยวิถีทองครรลอง
ให้สายเลือด
ที่หล่อหลอมให้เรายังมีดวงใจละไมละมุนละเมียด
รักความประณีตความสงบสุข
ไม่รุกเร้าเร่งร้อน
ไปด้วย..ไฟฟอนแห่งโลกโลกาภิวัฒน์
ที่..
กำลังลุกพร่างไหม้โหม
ให้มวลมนุษย์มนามากมาย
ต่างพากันเวียนว่ายพบทุกข์ 
ไร้สุขเกษมสมถะ รู้รักความพอดี 
พอใจ  พอเพียง เงียบงามอย่างในอดีต
เสียง..
เสภาบทเห่ชมเรือและพระบารมี
ยังก้องไพเราะ
พร้อม..
กรับบัณเฑาะว์เคาะขยับตาม
ยิ่ง..ให้งามเย็นงามฉ่ำงามล้ำลึกดื่มด่ำ
ด้วย..
พลังแห่งความรักชาติรักแผ่นดิน
ยิ่งแสนซาบซึ้งตระหนักสำนึกนักในนึกนวลใจ
ในค่าคำคนไทย ข้าแผ่นดิน..
อัน..แสนภาคภูมิใจเกินกล่าว..คำใดอธิบายได้แล้ว
นอกจาก..
พลีแพรวหยาดน้ำตาพร่างพรู
ให้ฟ้าดินรับรู้อย่างดายเดียว..


และ....
ในยามนี้...
ราตรีนี้ของเจ้าพระยา 
จะมีไฟพริบพริบ ระยิบระยับ
งามจับตา จากเรือลำน้อยลำใหญ่ 
และ..
มี*กระทงสายพรายพร้อย*นับพัน
พร้อมด้วยแสงเทียนทองทอ
ท่องเหนือสายน้ำสีทองงามพราวแพรวแจ่มจรัส
งามชัดบรรจงจิตดั่งทิพยนิรมิต
ในหอมห้วงแห่งหัวใจนิรันดร์กาล


และ
พร้อม*โคมลอย*นับร้อยพร่างแสงจะพากัน
แข่งขึ้นเหนือราวฟ้า 
ระบัดโบกวะวูบไหวไปตามแรงลมบน..ส่ง..
.................


ดวงตะวัน...กำลัง...จะลับลา 
ก็คงแค่ชั่วคืน ก็คงหวนกลับ มาชื่นฟ้าใหม่
มาทายทักปลอบประโลมใจพสกนิกรไทยทั่วหล้า
พร้อม..
สายน้ำใจเจ้าพระยา
ว่า ...
อย่าได้หวั่นไหว ให้กำลังใจ 
อย่าอ่อนแอ อย่ารอรา ด้วยยังไม่สิ้นหวัง
ว่า..
 สักวันหนึ่งคงมีคนรู้รักษ์ รู้คุณค่าเพิ่มมากขึ้น 
ของลำนำลำน้ำแห่งชีวิตนี้ 
ที่ชื่อเจ้าพระยา......


และ...
สำหรับดวงขอฝากบทเพลงแสนดี นี้
ไว้ในใจของทุกคนดีในดวงใจดวงด้วยนะคะ 
หวังว่า...
จะรู้รักสามัคคีสมานฉันท์
รู้คิดดี พูดดี ทำดี พลีเพื่อแผ่นดินไท
และ..
รู้รักกันไปไม่มีวันเสื่อมคลาย..
ดั่ง..
พระบรมราโชวาทที่ทรงฝากไว้
เพื่อ..เป็นดั่งมิ่งขวัญกำลังใจ


ดวงกราบวอนไหว้
เทพยดาฟ้าดิน
องค์พระบุรพกษัตริย์เจ้า
และ..
ทุกดวงวิญญาณบรรพชนคนไทยของชาติ
วีรบุรุษผู้กล้า
ผู้ยอมทอดร่างสละเลือดแลดวงชีวา
และ เพื่อพิทักษ์ปกป้อง
ให้เราลูกหลานไทย
ยังได้มีแผ่นดินธรรมผืนดินทอง
ได้หยัดยืน อย่างทรนงแลภาคภูมิในอิสราธำรง
ให้..
เรายังมีค่าคน ..ได้ดำรงลมหายใจไว้
เพื่อสร้างสรรเสียสละ
และ..
พร้อมพลีจะเป็น*ผู้ให้*
แด่ผองเพื่อนไทยผู้ยากไร้เสียยิ่งกว่า..
ที่เกิดมาร่วมแผ่นดินเดียวกันอย่างพร้อมปันพลี


และ..
ดวงขออธิษฐาน
ให้ทุกดวงใจสวยใสดั่ง
*สายน้ำใจแห่งเจ้าพระยา..*
ที่แสนมีมนต์ขลัง
ที่ประดุจดังคู่ใจ คู่ไทย เรามาเนิ่นนาน 
ให้ใจเรากล้าหาญ
ที่จะปองมั่นดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท
*ดั่งความฝันอันสูงสุด*
อย่างมิคลาดคลา นะทุกดวงใจที่รัก
แล..
จักเป็นปิติศรัทธาภักดิ์..ตราบชั่วนิจนิรันดร์...!
..........................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
(สี่แผ่นดิน)
คนมี ชีวิตและกายา
ถือ กำเนิดเกิดมา
เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย
ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่
กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน
เป็นแดน ที่ให้ชีวา
พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน
คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน
เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย
ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
ความทุกข์เยือน เรือนกาย
หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
ยามดี เราดีตาม
ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
ความทุกข์เยือน เรือนกาย
หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
ยามดี เราดีตาม
ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน...
.............

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
(ลุ่มเจ้าพระยา)

ลุ่มเจ้าพระยา เห็นสายธาราไหลล่อง
เพียงแต่มอง หัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เราเกิดมา ผูกใจรักกัน ดีกว่า
เพราะว่าชีวาแสนสั้น
เราอย่าได้กระเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอันสุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชยชิดมั่น
จงผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็นเหมือนเช่นนกไพร
ที่เหินบินคู่กันไป
หัวใจ....คู่กัน
				
comments powered by Disqus
  • ชัยชนะ

    13 มิถุนายน 2549 15:46 น. - comment id 583397

    มาทันเหตุการณ์เสมอ
    
    ปลาบปลื้มประทับใจจนไม่สามารถบรรยายเป็นตัวอักษรได้
    แม้จะนั่งดูจากหน้าจอทีวีแต่ก็มีบรรยากาศที่สุขใจเช่นเดียวกัน
    
    วันแห่งประวัติศาสตร์โลกเช่นนี้
    
    36.gif36.gif36.gif
  • อัสสุ

    13 มิถุนายน 2549 18:58 น. - comment id 583412

    พี่พุด..........น้าหญิง
    
    พี่ชั่งมีจินตนาการเยอะมากๆ ๆ 
    
    งามวรรณศิลป์จริงๆ ๆ ครับ
    
    อ่านบทรจนายามใด พาใจคล้อยยามนั้น
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif
  • พุด

    13 มิถุนายน 2549 17:49 น. - comment id 583427

    36.gif
    เรือนไทยริมน้ำ (Thai House by River Side)  ....ลำน้ำน่าน 
    
    ระฆังเหง่งหง่างขานแล้วแก้วกาลบุญ
    หอมละมุนดอกลำดวนมาด่วนหอม
    ริมเรือนไทยอวลบ่สิ้นกลิ่นพะยอม
    โอบล้อมชานพาไลทรายจันทรา
    
    สบวันพรุ่งเดือนแปดแรมหนึ่งค่ำ
    งามลึกล้ำคำขานนาคจันทร์เจ้าขา
    ข้าวออกรวงไหวว่ายตะเพียนปลา
    ข้าแผ่นดินร่มเย็นอยู่นิรันดร์
    
    เรือนริมน้ำแลระเบียงโบสถ์คร่ำคร่า
    แว่วเสียงมาซอสามสายคล้ายเสียงฝัน
    ท้องร่องสวนเรียงรายลดหลั่นกัน
    ลำน้ำนั้นทอดทุ่งสายสู่ปลายนา
    
    ปลูกเรือนใหม่ตามรอยอารยธรรม
    หวานน้ำคำไปสู่ขอเสน่หา
    สึกบวชเรียนสนองคุณพระศาสดา
    ออกพรรษากล้วยอ้อยจักยังงาม
    
    มีเรือนนอนหมอนมุ้งยุ้งฉางข้าว
    เรือนบุตรสาวบุตรชายทาสสยาม
    มีหอนั่งรับแขกเหรื่อขจรนาม
    สะท้อนข้ามเสียงมนต์สวดจากหอไตร
    
    แว่วไก่ขันมาปลอบปลุกพุทธมณฑล
    ดอกอุบลบึงบางเบ่งบานไสว
    หลังเรือนครัวสลัวบันลอยควันไฟ
    เรียวรำไรระแนงขัดแตะอรุณราง
    
    ฤาครุวนาดั่งทิพย์ทองของแสงไต้
    ค่าคบไม้งามอบอุ่นตราบรุ่งสาง
    เกล็ดน้ำค้างหยาดวนบนใบบาง
    สลัวลางเรือนตะเกียงสายมุ้งเลือน
    
    งามแสงทองวันพระลอดฟากฝา
    หอมข้าวปลาหวดหุงใหม่มะลิเหมือน
    ดุเหว่าหวานแว่วลับกับดาวเดือน
    เตือนสัญญาว่าขลุ่ยไม้ยังครวญคราง
    
    หอมพลับพลึงเทียนขาวสาวห่มตาด
    เก็บสไบใส่บาตรริมน้ำท่าขวาง
    จบขันข้าวเบญจรงค์บรรจงวาง
    พรางจวักตักถวายสำรวมใจ
    
    เกินเปรียบเปรยคุณงามความดี
    กุลสตรีนุ่งยกห่มผ้าไหม
    นั่งเก็บพกชายผ้าบนเรือนไทย
    สบกว่างามเยี่ยงนี้ไซร้ไป่มี
    
    หลังเรือนไทยปลูกเรือนทาสคลอเคียง
    สรมเสียงขูดมะพร้าวห้าวอึงมี่
    ดั่งตะแบงมานพาดพันกายชายชาตรี
    บ่าวไพร่มีหล่อพระเครื่องถมทอง
    
    ผันศกโศกเกษมสมัยอยุธยา
    สิ้นทาสข้าคหบดีสืบศรีสนอง
    นาฏนางในสไบมาลย์ม่านมาครอง
    ลอยข้าวของวังสวรรค์พังทะลาย
    
    อนิจจาเรือนริมน้ำแต่โบราณ
    ผกผ่านเพรงเวลาน่าใจหาย
    เก่าคร่ำคร่าสิ้นวิญญูชนวางวาย
    ร้างเรือนตายเสียกรุงศรีหลายปีแล้ว
    
    ---------------------------
    
    
    
    วันนี้วันว่าง ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มงามนาม เรือนมยุราอ่านอีกคราว
    ภาพอดีตเรือนไทยริมน้ำและวัดไชยวัฒนารามในเพรงกาล
    กลับมามีชีวิตขึ้นในห้วงสำนึกอีกคราว  แก้วเก้าได้บรรยายฉากหนึ่ง
    ได้อย่างงดงามจับจิตใจว่า
    
    แสงจันทร์ข้างขึ้นเกือบเต็มดวงสาดส่องต้องพระปรางค์วัดไชยวัฒนาราม
    ดูเปล่งปลั่งละม้ายเคลือบด้วยทองเนื้ออ่อน ทั้งยังแตะแต้มประกายเงิน
    ลงบนผิวน้ำอันนิ่งเรียบของแม่น้ำเจ้าพระยายามวิกาล 
    ที่บัดนี้รายรอบไปด้วยเรือนไทยโบราณริมน้ำ เงียบงามสมค่าแผ่นดิน
    
    ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ช่วยประคองสาวน้อยร่างระหงให้ก้าวขึ้นบรรไดอิฐ
    ซึ่งค่อนข้างชันและแคบไปสู่ลานชั้นบนซึ่งเมื่อเคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์ 
    บัดนี้ปลาสนาการไปแล้ว
    
    แสงสีเงินเป็นนวลใยสาดจับร่างในสไบและผ้านุ่งสีกลมกลืนกัน
    ดูผ่องใสราวกับมีแสงสว่างอยู่ในตัว หลังคากระเบื้องดินเผาหมู่เรือนไทย
    สะท้อนแสงจันทร์ดูงามเนียนในแววตา
    
    นานแสนนานในความรู้สึกของชายหนุ่มและหญิงสาว
    ตราบกลิ่นธูปเทียนถูกลมเย็นพัดหวนตลบ 
    หมุนวนอยู่ตรงหน้าเหมือนสัญญาณการรับรู้จากผู้ที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง
    โลกของอดีตกว่าสามร้อยกว่าปีมาแล้ว
    
    ภาพอดีตเรือนไทยริมน้ำ 
    และวิหารปรางค์ที่กลับมาฉายวนอยู่ตรงหน้า
    ก็ค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อมีลมอ่อนพัดมาวูบหนึ่ง**
    
    ข้าพเจ้าเสียดายนักที่ย้อนเวลากลับไปหาอดีตได้ไม่
    ยังเพียงจินตนาการและจิตที่งามสล้างเท่านั้นที่จะไปถึง
    แต่กระนั้นเรือนไทยริมน้ำและวังโบราณจะยังงดงามในหัวใจ
    ตราบจนแผ่นดินกลบหน้า ไร้บ่วงหลง โซ่ตรวนอวิชชานิรันดร์กาล
    
    
    จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว
    ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส
    นับวันแต่จะยับอับไป
    ที่ไหนจะคืนคงมา
    
    ------------------------------------------------------------
    ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
    แรม ๖ ค่ำเดือนสาม พุทธศักราช ๒๕๔๙ ปีจอ
    
    
    
    ด้วยรำลึกถึงค่ะ..
    กวีไทหัวใจทอง
    *ลำน้ำน่าน*
    ยอดนักรจนางามงามโบราณ
    คู่ขวัญราวผ่านภพค่ะ
    
    
    1.gif16.gif
  • ไรไก่

    13 มิถุนายน 2549 20:33 น. - comment id 583437

    เหลืองทองผ่องผุดสุกสกาว
    ดุจดวงดาวพราวฟ้าสดใส
    ประดั่งน้ำทิพย์ชะโลมใจ
    ไพร่ฟ้าประชาชนร่มเย็น
    ปลื้มใจเก็บนำตาไม่อยู่นั่งชมรายการตลอด
    ยามมีโอกาสน่าเสียดายไม่ได้ชมขบวนเห่เรือ
    ติดงานทำเลี่ยงไม่ได้.
    มาอ่านงานพี่พุดเหมือนได้เห็นด้วยตนเอง
    สวยงามจริงพี่พุดโชคดีได้ชมงานโดยตลอดนะคะ
    36.gif36.gif
  • เพียงพลิ้ว

    14 มิถุนายน 2549 08:18 น. - comment id 583497

    น้ำตาดวงปริ่มๆริมเรียวตาตลอดเวลา
    เมื่อ...
    ดวง..รำลึกว่า.....
    เหตุการณ์แห่งความงามงดนี้ 
    เป็นความปลาบปลื้มปิติในดวงชีวี
    ที่ยากยิ่งจะย้อนหวนคืน
    เสมอเสมือน...
    สายน้ำใจเจ้าพระยาตรงหน้าดวง
    ที่จำต้องไหลบ่าล่วง
    ทิ้ง...
    เพียงความทรงจำอันแสนฉายฉาน..
    
    น้องกานต์ดีใจค่ะพี่พุดที่ได้มีความทรงจำที่แสนดีร่วมกับดวงและคนไทยทั้งประเทศ
    
    
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • ดอกบัว

    14 มิถุนายน 2549 10:53 น. - comment id 583550

    สวัสดีค่ะ พี่พุด16.gif36.gif
    บัวเสียใจมากที่บัวได้ไปร่วมเมื่อวันที่ 9 
    บริษัทไม่หยุด แต่สิ่งที่บัวไม่ได้คิดฝันมาก่อน
    ก็เกิดขึ้นกับบัว วันที่ 10 บัวไปสวดมนต์ที่วัดพระแก้วโดยที่บัวไม่รู้เลยว่าพระองค์จะเด็จ
    ไปประกอบพระราชพิธีฉลองสิริราชฯ
    บัวได้ไปรับเด็จอยู่แถวหน้า บัวได้เห็นพระพักตร์พ่อหลวง แย้มพระโอษฐ โบกพระหัตถ์
    บัวร้องให้ออกมาโดยบัวไม่คิดอายเลย
    บัวไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เห็นพระองค์
    เป็นสิ่งที่บัวจะไม่ลืมตลอดชีวิตนี้
    และยังมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับบัวอีกก็คือ
    บัวยืนดูพลุอยู่ริมน้ำแล้วโดยบังเอิญมีพี่คนหนึ่งเค้ามาคุยกับบัวแล้วพี่เค้าบอกบัวว่า
    วันที่ 11 วันบวรจะทอดผ้าป่า บัวก็เลยไป
    บัวได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชได้กราบพระองค์ท่าน บัวดีใจเป็นที่สุดเพราะพระองค์อยู่แต่ในโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่บัวไม่เคยคิดมาก่อนเลยในชีวิต
    พอวันที่ 12 บัวก็เสี่ยงไปดูเรือไปถึงท่าบางกอกน้อยบ่าย 2 โมงเหมือนพระเจ้าจะกั้นที่ไว้ให้บัวได้ดูเรือ 52 เต็มตาบัวได้ไปยืนข้างหน้าเห็นชัดเจน พี่พุดค่ะคนอื่นเค้าไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลยค่ะ บัวไม่ได้เอาเปรียบนะค่ะ
    แต่เป็นเพราะบัวโชคดีมากกว่าค่ะ
    
    บัวอ่านงานพี่พุดตั้งหลายรอบค่ะ รักพี่พุดค่ะ
    16.gif16.gif16.gif36.gif
  • แก้วนีดา

    14 มิถุนายน 2549 14:33 น. - comment id 583594

    แวะมาอ่านงานของพี่พุดค่ะ
    เลยทำให้คิดถึงลำน้ำน่านด้วย
    36.gif
  • เด็กแนว(555)

    26 มิถุนายน 2549 11:17 น. - comment id 586325

    4.gif  จี๊ดมากเลย
    74.gif8.gif%
    10%  ซึ้งม๊ากมาก

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน