16 ตุลาคม 2548 12:57 น.

โดน..

กุ้งหนามแดง

สินิทรา...เพื่อนรัก..

เราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วตั้งแต่จบมอหก เอ็งจำได้ไหม น่าจะจำได้น่ะ มันเป็นเรื่องของเอ็งกับข้า..(หวังว่าคงชินน่ะ ขอเรียกสรรพนามอย่างเดิม มันได้อารมณ์ดี..)

ย้อนไปปี 25xx..
เหตุเกิดในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ในชั่วโมงหนึ่งของการสอน อาจารย์ประจำวิชาเข้ามาด้วยมาดนุ่มเช่นเคย ด้วยชุดกากีสีซีดจางที่เห็นจนชินตา.. เริ่มต้นด้วยการรับการคารวะจากนักเรียน (พวกเราไง)  นักเรียนเคารพ ไอ้ปอหัวหน้าชั้นพูดเสียงดัง พวกผู้หญิงนั่งไหว้อยู่ที่โต๊ะ ส่วนผู้ชายยืนคำนับ พร้อมกล่าวคำ สวัสดีครับ/ สวัสดีค่ะ คุณครู  ...เป็นเสียงเดียวกัน..

อาจารย์คำนับตอบ แล้วเริ่มการสอนด้วยการเขียนกระดานดำ นำเรื่องการทดลองของวันนั้น  บรรยายวัตถุประสงค์พร้อมทั้งแนะนำอุปกรณ์ที่ต้องใช้...ว่ามีอะไรบ้าง เท่าที่จำได้น่ะ..มีปรอทวัดอุณหภูมิ  ตะเกียงแอลกอฮอล์  ขาตั้งหนีบหลอดทดลอง หลอดแก้วฯ ในห้องเรียนจัดโต๊ะชนกัน โดยให้พวกเราหันหน้าเข้าหากัน (อิอิ เหมือนโฆษณาเบียร์ตอนนี้เลยว่ะ..)  แบ่งได้ ทั้งหมดหกกลุ่ม ส่วนอุปกรณ์อยู่ในตู้ ยังไม่ได้นำออกมาเลย  ซึ่งเป็นปกติทุกครั้ง อาจารย์ ต้องนำเรื่องก่อนแล้วจึงจัดอุปกรณ์ทีหลัง  ..(นับว่าโชคดีอีกหนึ่งเอ็งว่าไม๊....ยังนึกไม่ออกละสิ ปูนนี้แล้วข้าไม่โทษเอ็ง...ข้าก็เป็น..)

ก่อนที่อาจารย์ตาหวาน (ฉายานี้ไม่รู้ใครตั้งให้ว่ะ.. จำไม่ได้)  จะกล่าวอะไรต่อ  ตอนนั้นเราสองคนคุยจ๊อกแจ๊กเพราะติดพันไง ก่อนที่ตาหวานจะเข้ามา มันเป็นเรื่องกีฬาสีเดือนหน้า ซึ่งต้องทำให้ดีที่สุด เอ็งเป็นประธานสีตองอ่อน จะต้องรับผิดชอบหลายอย่างอยู่ทั้งทำหมวกทำพู่ ทำอัฒจรรย์ไม้ไผ่ อย่างพี่หวัน (ประธานคนเก่า) ทำเมื่อปีที่แล้ว  ต่อน่ะ..จัดหานักกีฬา จำได้เอ็งชวนข้า เดินไปจิกตามห้องเลย...แต่เอ็งไม่ค่อยเลือกเวลาคุยเลยผ่าเถอะ.. (ขอตำหนิเอ็งนิดนึง อย่าโกรธกันน่ะ)  อาจารย์ชำเลืองมองหลายครั้งเหมือนเป็นการตักเตือน เราสองคนก็ยังไม่หยุด  ตาหวานฯ แกก็พูดไปเรื่อยๆ เหมือนไม่สนใจเรา แกเดินไปที่แปรงลบกระดาน บรรจงลบเนื้อหาที่แกเขียนไว้เต็มไปหมด อย่างใจเย็น  เมื่อเห็นว่าลบไม่ค่อยจะออก  เพราะแปรงเกาะชอล์กเต็มที่แล้ว แกก็เคาะสักที โป๊ก โป๊ก ฝุ่นร่วงกราว...แกเอามือปิดจมูกด้วยน่ะ 

ฉับพลัน โดยไม่มีใครคาดคิด แกหันกลับมาที่เป้าหมาย  ก็จะใครซะอีกล่ะ เราสองคนน่ะสิ ว่าแล้ว  แกก็ เขวี้ยงหรือขว้างดี? ..แปรงมาที่กลุ่มเรา..แปรงสัมผัสกับพื้นโต๊ะดังโป๊ก  ข้า ไม่มีใครทันสังเกตว่าส่วนไหนลงก่อน ควันสีขาวกระจายฝุ่นคลุ้ง ก่อนที่แปรงกันนั้นจะกระดอนลงพื้นแล้วม้วนตัวอีกหลายตลบ   ทุกคนในห้องมองมาเป็นจุดเดียวกัน  สลับกับมองหน้าตาหวานว่าจะทำอะไร เพิ่มเติมอีกไหม เช่นด่าประกอบ  แต่แกไม่ยักกะทำ  เอ็งกับข้าหยุดพฤติกรรมจ้อทันที  สำรวจร่างกายว่ามีอะไรบกพร่องไหม.....ไอ้หมึกหยิบแปรงลบกระดานเก็บเข้าที่ ไม่กล้าสบตาแก  ไอ้ ..(ใครว๊า ผมบ๊อบนึกก่อน ที่เรียบร้อยๆ น่ะ )ไปหยิบผ้าขี้ริ้วที่ตากอยู่ข้างอ่างล้างอุปกรณ์มาช่วยกันเช็ดที่โต๊ะและพื้น ที่แปรงนั้นแสดงแสนยานุภาพ   ต่างก้มหน้าก้มตาเงียบ...แกก็ไม่ว่าอะไร เหมือนว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์ใดๆ ยังคงสอนจนจบ ในขณะที่ใจของพวกเราตุ๊มๆ ต๋อมๆ..จนหมดคาบเรียน..

- พวกเราไม่โทษตาหวาน...ที่อารมณ์ไม่หวานเหมือนดวงตา..
- พวกเราไม่โทษกันและกัน...ข้าเห็นใจเอ็งว่ะ ต้องรับผิดชอบเยอะแยะ  ใน สถานการณ์อย่างนั้น..ข้าคงลืมเรื่องเวลาเหมือนกัน..เอ็งก็อยากทำให้ดีที่สุดทุกหน้าที่ที่รับผิดชอบ นี่ข้ายังนึกไม่ออกเลยว่าตอนนั้นเอ็งเอาเวลาตอนไหนไปอ่านหนังสือ เอ็นทรานซ์..
- พวกเราจำได้ถึงทุกวันนี้...ว่าครั้งหนึ่งเราเคยเจอแปรงลบกระดานบินได้.. Amazing (ตอนนั้นใช้ คำว่า หยองว่ะ)  วันก่อนข้าเจอไอ้แป๋ว ถามมันมันบอกว่าติดตาว่ะ..

- โชคดีที่ไม่มีใครต้องไปห้องพยาบาลในวันนั้น....เนอะ  มหาโชคเลยเอ็งว่าไม๊  ที่ตาหวานแกไม่ขว้างตอนจุดตะเกียงแล้ว..ไม่งั้นเรื่องยาว..
- โชคดีที่ไอ้หมึก  มันไม่เป็นหิด จากเหตุที่มันเป็นคนเอาแปรงลบกระดานไปเก็บ..ข้าฯ นับถือมันจริงๆ ..
- โชคดีที่ไอ้แป๋ว (นึกได้แล้ว...:) ) มันเคลียร์พื้นที่ก่อนที่พวกเราบางส่วนจะไปย่ำให้มันเลอะห้อง มันจะเดือดร้อนถึงไอ้พวกทำเวรตอนเย็น...ซึ่งเราก็คงต้องไปช่วยเหลือมันอยู่ดี.. แต่ตอนหลังมันมาขอสบู่จากข้า  ข้าเลยสละให้มันไป (ก็ไอ้ก้อนที่เราเอามาล้างหน้ารักษาสิวกันไง..)  มันบอกว่าเอาไปล้างมือกับไอ้หมึก..(อ้อ! เหตุนี้เอง ไอ้หมึกมันเลยไม่เป็นหิดด้วยกัน.. ไอ้ข้าก็ลืมไป..ไม่รู้เอ็งรู้หรือเปล่า ข้าแอบจัดการไปว่ะ ..ไม่ได้บอกเอ็ง)

สรุปว่า ..มันอีกบทหนึ่งที่ทำให้เราจดจำได้มากกว่าน้ำเดือดที่อุณหภูมิ 100 องศา ซึ่งเป็นหัวข้อที่อาจารย์เขียนบนกระดานดำตัวโต๊ โต....

ด้วยรักและคิดถึง

ปิ่น..ผู้รับฟังสิ .. ซำเหมอ..
  
ปล.ข้าเขียนเรื่องนี้ เพราะตอนนี้ลูกสาวข้า กำลังได้เป็นประธานสีเหมือนเอ็งว่ะ....

.....................................................................................................................

ขอเขียนเป็นกลอน..เพราะตอนนี้ข้า..ได้ข่าวว่าเอ็ง ชอบเขียนกลอน ข้าเลยลองมั่ง เผื่อมีแวว...ถ้าเอ็งเห็นว่าควรแก้ไข..แนะนำข้าด้วย เพราะข้าเพิ่งหัดเขียนว่ะ  แบบนี้เขาเรียกว่ากาพย์สุรางค์นางค์ 28 ใช่หรือเปล่า ข้าเห็นชื่อมันเพราะดี เลยลองเขียน ดูให้ข้าด้วย..โทรฯ กลับมาก็ได้..


คาบวิทยาศาสตร์....ครูเดินอาดอาด....ประสาทวิชา
นักเรียนทั้งหมด....เปิดบทที่ห้า....ครูยืนอยู่หน้า....ตั้งท่าเขียนกระดาน

บททดลองนี้....จุดประสงค์มี....สี่ห้าข้ออ่าน
นักเรียนแบ่งกลุ่ม....สาวหนุ่มแตกพาน....ปฏิบัติการ....ทดสอบความร้อน

เราสองจุ๊กจิ๊ก....กระดุกกระดิก....ยุ๊กยิ๊กครูค้อน
พูดคุยไม่ฟัง....ครูยังเฉยก่อน....ตั้งใจจะสอน....ตอนต้นชั่วโมง

ครูหันหลังให้....ลบเพื่อเขียนใหม่....พูดไปผูกโยง
เคาะแปรงเบาเบา....ฝุ่นเก่าหลุดโล่ง....ในใจลุกโพลง....เด็กโกงลองดี

จำต้องลงโทษ....หรือครูจะโกรธ....ประโยชน์คงมี
ขว้างแปรงสั่งสอน....หยุดก่อนพาที....นับว่าโชคดี...ไม่มีอันตราย

ทิ้งรอยฝุ่นเขรอะ....พื้นห้องเปื้อนเปรอะ....เลอะเทอะฝุ่นขยาย
หยุดพฤติกรรม....สุดช้ำอับอาย....เพื่อนไม่ดูดาย....คลี่คลายเกื้อกูล

ตราไว้อีกบท....ดังเกิดสดสด....มิลดฤาสูญ
จุดเดือดของครู....เรียนรู้เพิ่มพูน....จำได้สมบูรณ์...ยิ่งกว่าทฤษฏี

..

				
15 ตุลาคม 2548 11:53 น.

รักกัน...เพียงฉันกับเธอ?

กุ้งหนามแดง

คุณเคยรักใครบ้างไหม...เชื่อได้ว่าทุกคนต้องเคยแน่ๆ อย่างน้อย ผู้ให้กำเนิดคือคนแรกที่ได้รับความรักนั้นจากคุณ..เช่นกันท่านก็รักคุณ..

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม อ่อนหวาน อบอุ่น ตามแต่คุณจะให้นิยามและจากมุมมองที่ต่างกันของแต่ละคน ดังนั้น จึงไม่มีใครอยากจะสูญเสียความรักไป ต่างเก็บงำ และโหยหา เพื่อให้ได้มาซึ่งการครองครอง

ถ้ารักบุคคล ก็อดไม่ได้ที่จะผูกพัน  และคาดหวังว่าเธอหรือเขาผู้นั้นคงไม่มีใจ ไปรักใครได้อีกแล้ว เป็นไปได้หรือที่ความรักจะไม่ต้องการ การต่อเติม ดังเคยกระทำสืบมาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์นั้น

แลบุคคลเพียงคนเดียว จะมีพลังพอฉุดรั้งให้ความรักหยุดลง ณ.ตรงนั้น เพียงที่เดียว

นอกจากความรักในรูปแบบนี้แล้ว เราคงไม่ปฏิเสธว่ายังมีความรักอื่นๆ ในโลก ที่รองรับความต้องการของเรา ความเกื้อกูล ความอาทร มิได้มีไว้เพียงเพื่อบุคคลเท่านั้น เรารักพื้นดินที่เรายืน รักธรรมชาติ ท้องฟ้าสีคราม ทะเลกว้างฯลฯ ความรักเช่นนี้ไม่เคยทำร้ายเรา แม้จะเกิดภัยธรรมชาติขึ้นบ้าง  เรายังโยนให้เป็นภาระของโชคชะตาที่กำหนดให้เป็น  ความจริงแล้วเราไม่เคยคาดหวังผลตอบแทนกับสิ่งเหล่านี้ เราไม่เคยหวังว่าวันนี้ท้องฟ้าจะสดใส  จะได้ยินเสียงนกกางเขนตัวเดิมร้องเพลงที่ริมหน้าต่างเหมือนวันวาน  มันเป็นความสุขอีกแบบที่โลกมอบให้เรา......

สำหรับใครสักคนที่เผลอคาดหวัง และผิดหวัง คงไม่ลงโทษตนเองให้เจ็บช้ำ หรือทำร้ายผู้ซึ่งทำให้ตนไม่สมหวังนั้นมันไม่มีประโยชน์กับใคร ต่างฝ่ายต่างเจ็บ ร้อนด้วยทุกข์ที่สุมใจทั้งสองฝ่าย  ต่างรู้รสชาติของมันดี....ทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องเจอกับสภาพเช่นนี้..

หากคุณมองอะไรไม่กระจ่างพอ ลองขึ้นไปที่สูงๆ แล้วมองลงมา ก็จะได้เห็นอะไรที่กว้างขึ้นกว่าที่คุ้นเคย  ความรักที่เคยมีอาจเป็นสิ่งเล็กๆ เท่านั้น ยังมีอีกมากที่ต้องการและพร้อมมอบความรักให้โดยไม่มีข้อแม้   ..

จะเลือกรักแบบไหน อย่างไรให้เหมาะสมกับชีวิตของเรา ให้เพียงพอและมีค่ากับเวลาที่กำลังบั่นทอนให้ชีวิตของเราสั้นลงทุกที..ทุกที

ความรักคงไม่ทำร้ายใครได้ ถ้าเรารักเป็น ขอทุกชีวิตจงอบอวลไปด้วยความรัก ความเข้าใจเถิด..
..


หากความรักคือปลูกการผูกมัด
คือสมบัติแห่งการแสวงหา
คือครอบครอบหนึ่งห้วงช่วงเวลา
คือคุณค่าเพียงครู่ร่วมชู้เชย

หากความรักต้องการตอบสนอง
เพียงคู่ครองร่วมเรียงเคียงเขนย
สองชีวิตเท่านั้นที่คุ้นเคย
ลองเดินเลยก้าวผ่านบานประตู

พ้นจากโต๊ะตู้เตียงทางเบี่ยงแคบ
ความรักแบบให้เปล่ายังรออยู่
พร้อมจะให้และรับปรับใจดู
ถ้าเธอรู้แสวงและแบ่งปัน

และความรักมิเคยจะทำร้าย
มิมุ่งหมายสนองตอบเพื่อปลอบขวัญ
มิตัดสินเสริมส่งหรือลงทัณฑ์
มิจาบัลย์ร่ำไห้ไร้ยินดี

เถิดมารักกับฉันในวันพรุ่ง
มิยากยุ่งจากเดิมเสริมวิถี
รักด้วยใจดวงเดิมที่เคยมี
เติมส่วนที่ขาดเหลือ..เกื้อกูลเธอ

ไม่ต้องการคำใดเพื่อแทนค่า
เพราะรู้ว่ายินยอมพร้อมเสนอ
เพียงรับไว้..หล่อเลี้ยง..ดวงใจเธอ
รักเสมอ..จนกว่า..เราจากกัน...

				
15 กันยายน 2548 15:28 น.

...พัง

กุ้งหนามแดง

มันเป็นการท่องเที่ยวครั้งหนึ่งที่น่าประทับใจ และสอนอะไรฉันได้หลายอย่าง ..

แนะนำตัวก่อนแล้วกัน ฉันชื่อแม่สี ทำงานอยู่บริษัทฯ นายหน้ารับประกันภัยแห่งหนึ่ง ขนาดขององค์กรไม่ใหญ่โตกว้างขวางอะไร มีพนักงานประจำไม่มากมายนับไปนับมา ได้ 10 คน แบ่งเป็นแผนกได้สักสามแผนกคือ บัญชีการเงิน รับประกันในประเทศ รับประกันต่างประเทศ ซึ่งแต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องความสามัคคีไม่ต้องพูดถึง บางคนอาจถามต่อว่าแล้วหน้าที่ของบริษัทฯ นายหน้าคืออะไร  อย่างหลักๆ ก็คือเป็นตัวกลางให้ทั้งสองฝ่ายได้พบกันคือบริษัท รับประกันภัยกับผู้ต้องการทำประกันภัย โดยเราไม่ได้เลือกที่จะส่งงานให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ซึ่งจะต่างกับตัวแทนประกันภัย ตรงนี้ ผลตอบแทนที่เราจะได้คือเปอร์เซนต์จาการขาย และเราต้องคอยส่งกรมธรรม์ให้ลูกค้า ติดตามหนี้เพื่อส่งบริษัทรับประกันภัย  ทีนี้ถามว่าลูกค้าไปติดต่อกับบริษัท รับประกันภัย เลยดีกว่าไหม ก็ตอบว่าได้ เพียงแต่เราอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าตรงที่ลูกค้าติดต่อกับเราที่เดียวได้ข้อมูลหลายๆ บริษัทฯ  มาประกอบกันมันจะดีกว่าไหม..อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ลูกค้าพิจารณาค่ะ

สิ้นปีที่ผ่านมาพวกเราจัดท่องเที่ยวขึ้นเหนือกัน โดยมีหัวหน้าทีมคือพี่นันทา รับผิดชอบโดยติดต่อนายวิทย์ซึ่งเป็นคนพื้นที่ให้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน-โรงแรม-รถตู้ทัศนาจร โดยพวกเราเดินทางขึ้นเครื่องบินไปลงที่เชียงใหม่ และนั่งรถตู้ไปไหว้พระ, ชมดอกไม้ ฯลฯ และขากลับจะมาส่งที่สนามบิน ทั้งนี้นายวิทย์มีหน้าที่ขับรถตู้ด้วย  การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนที่รถตู้จะพาเราไปส่งที่สนามบิน .

เช้าวันนั้นเรามีโปรแกรม ขึ้นดอยไหว้พระธาตุฯ ก่อน เมื่อเรียบร้อยจึงไปตลาดซื้อของฝาก อันได้แก่ แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม หมูยอฯลฯ ซึ่งก็มากพอสมควรสำหรับการจับจ่ายของทุกคนในรถตู้ เลยต้องไปหาซื้อลังกระดาษเปล่ามาบรรจุสิ่งของ  ก่อนที่จะไปรับประทานอาหารกลางวัน (น่าจะเรียกว่าบ่ายมากกว่า) รถตู้พาเราไปส่งที่บริเวณหน้าร้านอาหาร  พี่นันทาจัดแจงให้พวกลูกทัวรไปทานข้าวด้านใน ส่วนฉันอยู่กับนายวิทย์ ซึ่งตัวฉันคิดว่าจะต้องช่วยกันแพคแคปหมูลงกล่องใหญ่เพื่อความสะดวกในการนำของไปขึ้นเครื่องและประหยัดเวลา ช่างเป็นวันที่ฉุกละหุกซะจริงๆ ทั้งๆ ที่จริงไม่ใช่หน้าที่เลยแต่เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวที่ชอบเป็นธุระให้เพื่อนแท้ๆ ..

คุณวิทย์ ช่วยเปิดท้ายรถให้หน่อยค่ะ ขอเก็บเสื้อหน่อย ฉันหมายถึงเสื้อกันหนาวที่ใส่มาระหว่างนั่งรถ กลัวจะลืมไว้ในรถเลยเก็บใส่กระเป๋าก่อนดีกว่า  นายวิทย์ก็มาเปิดให้แล้วกลับไปง่วนกับของที่หน้ารถต่อ (ซึ่งฉันกะว่าจะไปช่วยหลังจากเก็บเสื้อเสร็จแล้ว)  ลังใส่ของดังกล่าววางไว้คู่กับคนขับ ส่วนพื้นที่ด้านหลังจะเป็นสัมภาระของพวกเราซึ่งแน่นเอี๊ยดแล้ว  เมื่อจัดแจงกับเรื่องส่วนตัวเรียบร้อย ก็เลยถือโอกาสวิสาสะปิดท้ายรถให้ซะเลย ในใจคิดว่าเรื่องนิดหน่อย ปิดได้อยู่แล้ว และนายวิทย์ก็ใช่ว่าจะว่างซะเมื่อไร   ประตูรถค่อนข้างสูงปิดทีแรกไม่ลงแฮะ เลยใช้ความพยายามอีกครั้งเขย่งเท้าแล้วโยกประตูลงมาเต็มแรง ได้ผลประตูยอมลงมาตามแรง แต่ทว่าไม่ลงมาทั้งบานตามสภาพที่มันควรเป็น กลายเป็นว่าประตูงอตั้งแต่โชคอัพที่เป็นส่วนค้ำยันประตู  โอ้! พระเจ้า ฉันไม่ได้เจตนาจริงๆ ที่จะทำของเขาพัง.แล้วจะทำไงละทีนี้..

ฉันเรียกนายวิทย์มาดู แกมองตาค้างแต่ยังไม่ว่าอะไร เนื่องจากไม่มีเวลา ต้องเอาของไปสนามบินก่อน แล้วเรื่องนี้ค่อยว่ากัน คุณแม่สี คุณช่วยดูของด้วยน่ะเผื่อของตก ฉันเลยต้องรีบขึ้นรถตู้ไปนั่งเบาะหลัง ส่วนนายวิทย์ใช้เชือกฟางที่เหลือผูกฝาท้ายกับกันชนไว้ รถแล่นออกไปฝาท้ายเปิดพะงาบ ๆ โดยมีฉันชะโงกเบาะคอยดูอยู่เป็นระยะๆ 

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด เสียงริงโทนฉันดังขึ้น  หน้าจอโชว์เบอร์พี่นันทา แม่สี อยู่ไหนน่ะ มากินข้าวได้แล้ว เสียงเรียกอย่างร้อนรนที่ปลายสาย ฉันตอบกลับไปว่า อยู่ที่สนามบิน ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกลับไปรับ เมื่อเราสองคนจัดการเรื่องของที่จะขึ้นเครื่องเสร็จ ก็ตีรถไปรับเพื่อนๆ ที่ร้านอาหาร เพื่อนๆ ที่ออกมาพากันงงว่าทำไมสภาพรถจึงเป็นเช่นนั้น ฉันก็เล่าให้ฟังพอสังเขป..

จะว่าโชคหรือเคราะห์ก็เหลือจะกล่าว รถคันนี้ทำประกันภัยด้วยโดยผ่านบริษัทฯ ของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องดูแลเรื่องเคลมประกันภัยให้ ซึ่งคงต้องเป็นวันต่อมาเพราะว่าติดวันหยุดและอยู่ต่างจังหวัดกันด้วย คุณวิทย์ ไม่ต้องห่วงน่ะ เดี๋ยวแม่สีจะรับผิดชอบเอง ฉันรับปากกับนายวิทย์ ซึ่งนายวิทย์ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนเพื่อนๆ ก็ถ่ายรูปรถอย่างละเอียด เพื่อไปประกอบการเคลมและแจ้งเคลมกับทางสำนักงานใหญ่ของบริษัท รับประกันภัยที่สำนักงานใหญ่ เพื่อจะได้เป็นหลักฐานไว้ดำเนินการเป็นลำดับต่อไป

หลายวันต่อมาพวกเราก็ติดตามเรื่องเคลม  ทางประกันแจ้งว่าวัตถุประสงค์ในการใช้รถคันนี้ตามที่ได้แจ้งไว้ในกรมธรรม์คือใช้เป็นรถส่วนบุคคล มิได้ใช้รับจ้าง ทางบริษัทฯ มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการจ่ายได้ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยทางเราซึ่งเป็นนายหน้ารับประกันภัย ได้ช่วยเจรจาต่อรองให้ จึงสรุปว่าทางประกันยอมที่จะจ่ายเคลมค่าสินไหมเพื่อซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมในราคา 7,500.- บาท ทางเราก็แจ้งนายวิทย์ไป ซึ่งนายวิทย์ก็ไม่ค่อยสะดวกที่จะพูดนักเนื่องจากกำลังขับรถรับลูกทัวร์อยู่ ขอติดต่อกลับ  ทางเรารับรู้มาว่าทางนายวิทย์ซึ่งอยู่ที่เชียงใหม่ ไม่สามารถรอการตอบรับจากประกันภัย (เนื่องจากทางประกันภัยจะใช้เวลาพิจาณาการจ่ายหลายวันอยู่เหมือนกัน)  เขานำรถไปซ่อมเอง โดยเปลี่ยนฝาท้ายใหม่ยกชุด (ใช้ของมือสองมาแทนที่) โดยอ้างว่าต้องทำเช่นนี้เพราะต้องใช้รถ เพื่อรับคณะทัวร์ในวันรุ่งขึ้น และราคาที่เขาแจ้งมาทางโทรศัพท์คือ 18,000.- บาท 

เขาไม่ยอมรับเรื่องที่ประกันภัยจ่ายให้เป็นจำนวนเงิน 7,500 บาท เพราะเขาจ่ายจริงไปมากกว่า อ้อ! ลืมบอกไป ระหว่างที่รอเคลมรายนี้ ฉันก็ได้โทรไปสอบถามกับบริษัทฯ ประกันภัยอื่นๆ และเล่าเหตุกาณ์คร่าวๆ ให้ฟังซ้ำๆ ซึ่งทุกที่จะตอบมาเหมือนกันคือ ชดใช้เป็นค่าซ่อมแซม เนื่องจากอุปกรณ์จะต้องมีการเสื่อมสภาพในตัวของมันเองอยู่แล้ว โดยให้ราคามาที่ 7,000  8,000.- บาท ยืนยันตรงกันว่าไม่เปลี่ยนชิ้นใหม่ให้เนื่องจากซ่อมได้ ตามหลักการ

วันรุ่งขึ้น ก็มีโทรศัพท์ติดต่อกลับมาจากนายวิทย์ อีกครั้ง  คุณแม่สี ผมไม่ยินดีน่ะ 7,500 บาทเนี่ย ผมจ่ายไปร่วมสองหมื่น ผมไม่ยอมนี่ผมยังไม่ได้คิดค่าทำสี ที่ผมไปทำเพิ่มมาเลยน่ะ เสียงตามสายดุดัน และจริงจัง ผิดกับตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องลิบลับ
 แม่สีไปสืบราคามาแล้ว ราคาที่ว่ามันเป็นของมือหนึ่งจากศูนย์เลยนี่ค่ะ ฉันตอบไป หยั่งเชิง เพราะนอกจากจะติดต่อประกันภัยแล้วฉันยังโทรไปเช็คที่ศูนย์รถยนต์ อีกทางหนึ่ง
คุณหาว่าผมจะมาหากินกับพวกคุณด้วยวิธีนี้หรือ เอาละถ้าคุณไม่ยอมเคลียร์ ผมจะฟ้องคุณและคณะว่ามาทำให้ผมเสียหายและไม่รับผิดชอบ ถ้ารถผมไม่ดีแล้ว คุณมารับประกันรถผมทำไม ดิฉันอึ้ง และงง เพราะไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้  ถ้าเป็นรถคุณ คุณจะยอมไหม ผมทำทัวร์ให้พวกคุณ ก็ได้ค่าตอบแทนนิดเดียวไม่คุ้มค่ากันเลย กับที่คุณมาทำของผมพัง ฉันได้ฟังแล้วก็เสียใจ นี่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำของเขาเสียหายเลย ทำไมฉันต้องมารับกรรมอย่างนี้ด้วย ต้องเสียทั้งความรู้สึก และเสียเงินเป็นหมื่น ๆ นี่    จะว่าไปเงินจำนวนนี้ถ้าไปซื้อของให้ตัวเอง น่าจะดีกว่ามาเสียด้วยเรื่องแบบนี้ฉันคิด .. เขาพูดจาไม่ดีอีกหลายๆ ประโยคเท่าที่จะสรรหามาได้ โดยมิได้พูดในเชิงขอร้องให้ช่วย ถ้าเขาพูดอย่างนั้นแต่แรกฉันคงยอมจ่ายไปนานแล้ว  คงไม่ต้องพูดยาวจนทำให้ฉันคิดมากขนาดนี้ ถ้าคุณไม่จ่ายเราจะได้เห็นดีกัน  และตบท้ายด้วยการส่งโทรสารค่าใช้จ่ายจำนวน 18,000 บาทมาให้  โดยแถมความกรุณาต่อท้ายด้วยว่าไม่คิดค่าทำสี

ฉันมาเล่าให้พี่นันทาและเพื่อนๆ ฟัง บางคนก็บอกว่าอยากฟ้องก็ฟ้องไป  ต่างให้ความเห็นว่าคงไม่คุ้มค่ากับการจ้างทนายมาฟ้อง คงแค่ข่มขู่มากกว่า แต่ฉันปรึกษาผู้ใหญ่ดูเพื่อขอความเห็นก็ตรงกับความเห็นในใจฉัน และอีกประการหนึ่งขณะนี้  ฉันไม่มีเงินสำรองอยู่เลยเพราะเงินเก็บก็ใช้ไปกับค่าเที่ยวไปหมดแล้ว จะรอสิ้นเดือนมันอีกตั้งไกล  ผู้ใหญ่ท่านก็ไม่ได้กล่าวอะไรเลย ยังเมตตาให้ยืมเงินมาเพื่อจัดการเรื่องทั้งหมด 

ฉันไตร่ตรองอยู่หลายเที่ยว ใจหนึ่งไม่ยอม เพราะเสียดายเงินที่ต้องจ่ายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ได้ประโยชน์ อะไร  แต่อีกใจก็ต้องยอมรับว่าเราผิด ตรงที่เราไปทำของเขาเสียหายจริงถึงสภาพรถมันจะเป็นเช่นไร แต่เพราะมือของเราของเขาเลยชำรุดใช่ไหม ฉันถามกับตัวเองย้ำอยู่หลายครั้ง และอีกเรื่องหนึ่งถ้าเขาฟ้องจริง เราจะต้องเสียเวลาอีกมากมาย จะว่าไปถ้ารถคันนี้ไม่ได้ทำประกันภัยไว้ ฉันคงต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนด้วยซ้ำ..
	
คุณวิทย์ ขอเบอร์บัญชี ด้วยน่ะ เดี่ยวจะโอนเงินไปให้ ขอโทษด้วย แม่สีไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องอย่างนี้เลย ขอเป็นช่วงบ่ายน่ะ เพราะเช้านี้คงไม่ทัน ฉันติดต่อไป   นี่คงต้องไปผ่อนชำระเงินที่ผู้ใหญ่ท่านนั้นให้หยิบยืมมาอีกตั้งหลายเดือน คนมีรถไม่ได้รวยหมดทุกคนน่ะ ทั้งผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ให้พ่อแม่ ฯลฯ  แต่สภาพทุกข์ของเขากับฉันคงไม่ต่างกันเท่าใดนัก..โดยเฉพาะเขาต้องตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่ว่าจะมีคนรับผิดชอบความเสียหายไหม  ฉันนอนไม่หลับหลายวันเพราะเรื่องนี้ ที่สุดแล้วคงต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
	
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีทั้งแนวร่วมและแนวต้าน จากความคิดเห็นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ได้รับรู้ถึงคำว่าเพื่อน แม่สี มีอะไรให้พี่ช่วยไหม พี่นันทาถามหลังจากที่เจรจากันเสร็จ
พี่ได้ช่วยหนูมากแล้ว อย่างน้อยๆ พี่ๆ ช่วยวิ่งเต้น ประกันภัยให้ หนูขอโทษที่ทำให้การท่องเที่ยวคราวนี้มันหมดสนุก ค่ะ  ฉันกล่าวกับพี่นันทา รับไว้เถิด ถือว่าพี่ช่วยเราแล้วกัน แม้มันจะเล็กน้อย แต่เราก็ไปด้วยกัน พี่นันทายัดธนบัตรจำนวนหนึ่งใส่มือ  ฉันมองด้วยความซาบซึ้ง ถ้าไม่รับ พี่จะโกรธน่ะ ขอบคุณค่ะ.... ฉันรับไว้ด้วยความตื้นตัน อย่างน้อยคงพอเยียวยาหัวใจที่บอกช้ำของตัวเองได้จากการกระทำของเพื่อนบางคน และคำว่ามิตรภาพในบางเวลา..

	***การติดดีบางทีมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร แต่อย่างน้อยผลของการทำความดี   มันก็ช่วยให้เราได้เห็นอะไรแจ่มชัดขึ้น จริงไหม***

เพื่อนคืออะไร..ยากนักเข้าใจ..ความหมายของคำ
ผู้ร่วมธุระ..พบปะประจำ..รักใคร่ลำนำ..เที่ยวพร่ำพรรณนา

และเพื่อนคือใคร..คนคอยห่วงใย..ให้คำปรึกษา
เป็นคนคุ้นเคย..เอื้อนเอ่ยคุ้นตา..ใคร่รู้หนักหนา..สรรหาบ่เจอ

เพื่อนอยู่ที่ไหน..ยามเราพลาดไป..ปล่อยให้เราเหวอ
อ้างว้างลำพัง..เซซังนั่งเซ่อ.ปัญหานั้นเหรอ..ของใครของมัน

อย่างไรคือเพื่อน..ถามตนคอยเตือน..เลอะเลือนดังฝัน
หรือแค่ร่วมสุข..ส่วนทุกข์แยกกัน..สุดแสนอัดอั้น..แบ่งปัน-อันใด


เสียเพื่อน.ไม่เท่าเราเสียใจ..

ณ.มุมหนึ่งของแม่สี19/9/2005..

..				
8 สิงหาคม 2548 09:02 น.

สองมือ..

กุ้งหนามแดง

อาหารฝีมือแม่ แม้จะกินบ่อยจนชิน แต่อยากบอกแม่ว่าอร่อยทุกครั้งที่แม่ลงมือ
0 เสื้อผ้าที่แม่เลือกให้ แม้จะไม่ถูกใจ แต่อยากบอกแม่ว่าลูกเต็มใจที่จะสวมใส่
0 บ้านที่เราอยู่ แม้จะคับแคบ แต่อยากบอกแม่ว่ามันอบอุ่นสำหรับลูกทุกคน
0 ยาทุกเม็ดที่แม่นำมาเยียวยาเมื่อลูกป่วย แม้มันจะขม แต่อยากบอกแม่ว่าลูกทุเลาตั้งแต่แม่ลุกไปหายาให้..

แม่จ๋า..

แม่ให้เลือดเนื้อและชีวิต 
แม่ชี้ถูกผิดตั้งจิตสอน
ขอคุณพระรัตนตรัยลูกไหว้วอน
คุ้มครองแม่ก่อนค่อยย้อนมา

แม่คือพระในบ้านที่เคารพ
น้อมนบก่อนออกจากเคหา
เป็นขวัญกำลังใจตลอดมา
พ่อจ๋าแม่จ๋าอยู่นานนาน

ร่มโพธิ์ร่มไทรที่แผ่กว้าง
สองข้างมือแม่แท้ประสาน
ร่มเย็น, สงบ ลูกพบพาน
ในที่เรียกว่า"บ้านของเรา"

สองมือลูกกราบแทบตักแม่
รู้คุณของแม่แต่ก่อนเก่า
สองมือสร้างคนพ้นสีเทา
สองมือนี้เล่าจักแทนคุณ..

รักแม่..
จากลูก..
กุ้งหนามแดง..				
15 กรกฎาคม 2548 11:36 น.

ทางที่ถูกเลือก..

กุ้งหนามแดง

ฝันเป็นจริง มันคือชื่อของสถานที่นี้ เท่าที่ตามองเห็น มันเป็นอาคารที่มีหลังคาเป็นรูปโค้ง ขนาดเกือบเท่าสถานีหัวลำโพง เพียงแต่ว่าผนังทั้งสี่ด้านปิดทึบ มีทางเข้าทางเดียว ซึ่งเปิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ปรากฏว่ามีประตู เมื่อสังเกตการณ์ดูรอบนอกเห็นผู้คนทยอยเข้าไปคนแล้วคนเล่า ทั้งชาย หญิง เด็ก คนชรา ไม่เว้นแม้แต่คนพิการ ดังว่าจะเข้าไปเก็บเกี่ยวฝันของตัวเองกระนั้น ไม่พบว่ามีผู้ใดเดินสวนออกมาจากทางนั้น  ฉันยืนมองด้วยความฉงนระคนกับความอยากรู้ว่า ข้างในนั้นมีอะไร ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป..

ภายในมืดมาก  จากมุมหนึ่งฉันเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเปิดไว้ กำลังประเมินผลอะไรสักอย่างตามลำดับ สักพักมีคำว่า Success!!  พร้อมแสดงรูปพลุบนจอนั้น คงเป็นเครื่องนับจำนวนคนเข้ากระมัง ฉันนึก อีกมุมหนึ่งเป็นร้านค้าขายอะไรสักอย่าง อาศัยแสงจากตู้แสดงสินค้า อืม! มีพนักงานประจำตู้คอยดูแล ชี้ชวนให้ดูสินค้าที่แสดงเชิญเลยครับ เพชรน้ำงามทั้งนั้น ชอบชิ้นไหนบอกได้เลยน่ะครับ ชายหญิงคู่หนึ่งที่เลือกชี้แหวนเพชร ขอดูวงนี้หน่อยครับ พนักงานคนเดิมก็กุลีกุจอหยิบเพชรออกมาตามคำสั่ง รับไปเลยครับ ทุกอย่างฟรี ไม่พูดเปล่าหยิบสร้อยเพชรที่เข้าชุดกันส่งให้  เขาและเธอยิ้มอย่างพอใจ ปากเขายังพร่ำว่า  ผมต้องเป็นคนโชคดีที่สุด ถ้าผมได้เป็นเจ้าของร้านและได้เป็นฝ่ายให้อย่างกับคุณ ชายเจ้าของร้านไม่กล่าวกระไร  ฉันไม่ได้สนใจนัก เพราะไม่ค่อยชอบเครื่องประดับที่มีค่าอย่างนี้ มันดูหรูเกินไปสำหรับคนอย่างฉัน จึงเดินมาอีกตู้หนึ่งซึ่งจัดแสดงของที่ระลึก มีพวงกุญแจดีบุกที่สลักตัวอักษรได้ตามใจ  ขอชมชิ้นนี้หน่อยน่ะค่ะ พนักงานหยิบให้ท่าทางเขาไม่ค่อยยิ้มแย้มนัก ตาเหลือบไปเห็นป้ายเขียนไว้ เลือกได้ตามใจหมาย ทุกอย่างฟรี ฉันถามเพื่อความแน่ใจ เขาพยักหน้า ใครหนอสร้างสถานที่เช่นนี้  ..

ความจริงฉันคิดว่าข้างในน่าจะกว้างกว่านี้ แต่ทำไมมีแค่สองร้าน ท่ามกลางความวังเวงนั้น พื้นห้องจากที่เป็นสีเทาดำ กลับกลายเป็นเรืองแสงสีฟ้า มันเลื่อนตัวออกอย่างรวดเร็ว วิ่ง ฉันคิดได้เท่านี้ ไม่งั้นตกลงไปเบื้องล่างแน่นอน ข้างหน้าพลันปรากฏพื้นเรืองแสงต่างระดับมารองรับ ฉันวิ่งสุดชีวิตไม่สนใจหนุ่มสาวคู่นั้น ท่ามกลางความตกใจและร้อนรน ฉันจึงทิ้งพวงกุญแจนั้นไป ไม่สนใจแล้วเอาชีวิตไว้ก่อน ฉันกระโดดข้ามมาทันเวลาพอดี ทันทีที่เท้าฉันสัมผัสกับพื้นสีแดงนั้น บรรยากาศโดยรอบก็กลับกลายเป็นอีกห้องหนึ่ง ลักษณะเหมือนแกลลอรี่ แสดงรูปภาพศิลปะ แสงสว่างยังคงน้อยเหมือนเดิม มีดวงไฟเล็กๆ เหนือรูปที่แสดงไว้เป็นระยะๆ   รูปภาพประดับไว้สี่ด้านในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้  บางภาพมีคำว่าจองแล้ว แต่ก็ยังมีบานว่างเปล่าที่วางพิงฝาไว้ มีคนชมอยู่ในห้องนี้สองสามคน

ฉันมองดูภาพวาดด้วยความสนใจ ปนกับความระแวงว่าพื้นมันจะเลื่อนไปเหมือนเมื่อครู่ไหม จึงค่อยๆ เดิน หนูรับสร้อยนี้ไว้ มันเป็นของหนู มีเสียงแว่วมาจากข้างหลัง มายังไงกันนี่ ฉันนึกในใจหันขวับกลับมา ความรู้สึกเหมือนว่าแกเดินทะลุกำแพงเข้ามาอย่างนั้นแหละ ยังไม่ทันกล่าวอะไรแกก็ใส่สร้อยนั้นให้ที่ข้อเท้า ท่าทางแกดูคล่องแคล่ว ขัดกับรูปร่างที่เหมือนซินแสทั้งหนวดเคราผมเผ้า ซึ่งเป็นสีขาวโพลน ยังไม่ทันกล่าวอะไร แกก็เดินจากหายไป ไวเหมือนตอนแกมา.. สร้อยที่แกให้มาดูเหมือนลูกประคำสีหยก ร้อยด้วยด้ายสีแดง แปลกแฮะทำไมแกไม่ใส่ให้ที่ข้อมือ  ฉันคิด..

สักพักหนึ่งพื้นห้องเริ่มมีการเคลื่อนตัว แลเห็นพื้นสีเขียวเรืองแสงข้างหน้าในขณะที่พื้นสีแดงนี้กระพริบ เป็นระยะเหมือนกับว่าหมดเวลาของห้องนี้แล้ว ฉันรีบวิ่งไปคราวนี้มีลมแรงมากพยายามดูดทุกอย่างไว้เบื้องหลัง จนทำให้ความพยายามสุดกำลังเพื่อวิ่งต้านนั้นแทบเสียเปล่า และแล้วลมก็ทำหน้าที่ของมันสำเร็จมันดูดกำไลข้อเท้านั้นทิ้งไป พื้นสีเขียวเบื้องหน้ายกตัวสูงขึ้นเกือบจะเท่าบันไดขั้นที่สอง ฉันถีบตัวกระโดดขึ้นไปเต็มกำลัง มันทันเวลาพอดี ฉันเสียเวลาหอบอยู่ตรงนั้นหลายนาที หัวใจเต้นตึกตัก อะไรกันนี่ นี่มันบ้าอะไรกัน ฉันต้องเจออะไรบ้าๆ แบบนี้อีกไหม ฉันดูรอบๆ ในห้องนี้ไม่มีการขายสินค้า มันมีแต่ความมืด อาศัยแสงสว่างจากพื้นที่ยืนอยู่ แทบไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน ฉันเคว้งคว้างอยู่ในนั้น สำรวจตัวเองบัดนี้นอกจากชุดเสื้อผ้าที่ใส่อยู่นอกนั้นก็ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเลย แต่!! ชุดที่สวมใส่อยู่นี้ไม่เหมือนกับตอนที่เข้ามา กลายเป็นชุดคลุมที่ตัดเย็บง่ายๆ แบบสวมหัว เจาะแขน แล้วก็เย็บตรงลงไปตลอดแนว สีขาวตุ่นๆ มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไรกัน มีหมายเลขตรงอกด้านซ้าย 22348 มันคืออะไรน่ะ ฉันไม่มีเวลาหาคำตอบ รู้แต่เพียงว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว จะต้องหาทางพาตัวออกไปให้เร็วที่สุด ฉันเดินไปเรื่อยๆ มีทางออก ใช่จริงๆ ฉันเห็นลิบๆ ตรงข้างหน้า พยายามตะเกียกตะกายออกมา ช่างไกลเหลือเกิน ระหว่างนี้สภาพแวดล้อมรอบๆตัว เปลี่ยนไป จากพื้นสีเขียวลื่นๆ กลายเป็นหยาบกระด้าง บรรยากาศรอบๆ กลายเป็นทุ่งหญ้าเมืองร้อน มีต้นหญ้าแห้งๆ เป็นแห่งๆ ความมืดมิดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเงาลางๆ คล้ายอาทิตย์กำลังจะขึ้น

พื้นดิน.. ใช่!! ฉันสัมผัสได้ถึงความหยาบนั้น..ข้างหน้านั้นคือเป้าหมาย มีทหารยามรักษาการณ์คอยคุมไว้ แต่ขณะนี้ที่เห็นยามสองคนนั้นกำลังทำความเคารพบุคคลคนหนึ่งอยู่คาดว่าน่าจะมีความสำคัญพอควร จังหวะนี้แหละ ฉันจึงวิ่งสวนออกไป เต็มกำลังเท่าที่แรงยังเหลือ ฉันผ่านมิตินั้นมาได้ ภายนอกช่างดูประหลาดนักเหมือนโรงเหล็กร้าง มีแท่นปั๊ม ขึ้นรูปงานซึ่งมีหยักไย่อยู่เต็ม.คุณพระช่วย! ป้ายนั้นเขียนว่าเลิกกิจการ ยกให้ฟรี..!!!

	พลันหูฉันแว่วเสียงตามสายประกาศว่า ภารกิจ xxx347 เสร็จสิ้น ..ชายหญิงที่คุ้นหน้าปรากฏขึ้นที่โรงงานร้างตรงหน้า ทำให้บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นร้อนอบอ้าว หยักไย่ที่เห็นเมื่อครู่กลับเลือนหายไป และตรงนั้นคงเคยเป็นเตาหลอม ปรากฏไฟลุกโชนที่เบื้องล่างนำความสว่างให้บริเวณรวมถึงความร้อนที่ทวีขึ้นกับอะไรสักอย่างทีหลอมเหลวอยู่ภายในภาชนะทรงกระบอกขนาดถังสองร้อยลิตรใบนั้นเหงื่อฉันรินไหลแทบเป็นสายน้ำ..
	
ฉันเริ่มประติดประต่อเหตุการณ์ ฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไม รูปภาพที่เขียนว่า"จองแล้ว"  จึงมีคนเป็นส่วนประกอบอยู่ในนั้นทุกภาพ และสองคนนี้ในชุดคนงานกอรปกับเสียงที่แว่วมาในมโนสำนึก.."ผมคงโชคดีมากถ้าได้เป็นเจ้าของกิจการ."  กับคำตอบว่าทำไม จึงไม่มีใครเดินสวนออกไปจากตึกหลังนี้.ฉันทรุดตัวนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยากก่อนที่ทั้งสองจะมาลากฉันโยนลงไปในเตาหลอม และก่อนที่สติสัมปัญชัญญะ จะขาดลง มโนภาพสุดท้าย ณ.ตรงนั้น จอคอมพิวเตอร์ที่มุมห้อง   กำลัง Run หมายเลข 22378 Success!!!....
..				
Calendar
Lovings  กุ้งหนามแดง เลิฟ 56 คน

วฤก

โคลอน

หมอกจาง

เชษฐภัทร วิสัยจร

เพียงพลิ้ว

อัลมิตรา

ฤกษ์ ชัยพฤกษ์

พี่ดอกแก้ว

แทนคุณแทนไท

แก้วประเสริฐ

แมงกุ๊ดจี่

ประภัสสุทธ

รการต์

บินเดี่ยวหมื่นลี้

ร้อยฝัน

หิ่งห้อยน้อยใจ

ลักษมณ์

ผู้หญิงช่างฝัน

ก้าวที่...กล้า

กวีปกรณ์

-ร้อยแปดพันเก้า-

เพรง.พเยีย

เฌอมาลย์

ครูพิม

คอนพูทน

ก่องกิก

ลานเทวา

อินสวน

พิมญดา

ยาแก้ปวด

กันนาเทวี

กิ่งโศก

ครูกระดาษทราย

แก้วประภัสสร

KIRATI

virismara

แกงเขียวหวาน

คนกรุงศรี

มวลภมร

ดาวศรัทธา

cicada

เปลวเพลิง

หญิงบ้า

เ ที ย น ห ย ด

din

สีเมจิก

นักสืบไร้ชื่อ

ชากร

บุญพร้อม

แย้ม ไกลวันเกิน

พระจันทร์แสงนวล

Jackie

ไผ่ลู่ลมม

ศรีปาด เฟสเก่าโดนระบบลบเฉยเลย

Prayad

Parinya

Lovers  1 คน เลิฟกุ้งหนามแดง
Lovings  กุ้งหนามแดง เลิฟ 3 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกุ้งหนามแดง