27 ธันวาคม 2550 19:56 น.

รุ้งทอฝัน#6

ฝากรักฟากฟ้า

ทิวต้นส้มที่เรียงรายสูงๆ ต่ำๆ ไล่ไปตามเนินเขา  ดูกว้างใหญ่ไพศาลเรื่อยขึ้นไปตามความสูงชันของไหล่เขา  ทำให้ทอรุ้งเกิดความสงสัยเสมอว่า  เวลาเก็บส้มคนงานจะทำอย่างไร  ตอนนี้ส้มยังไม่สุกเต็มที่  ยังเป็นสีเขียวเข้ม  คนงานสวนแบ่งกลุ่มกันไล่ตัดผลส้มทิ้งบางส่วนเพื่อช่วยลดปริมาณผลส้มในพวงและรักษาคุณภาพของรสชาด  ป้าพรรณมักจะเอาส้มนอกฤดูวางไว้ในตะกร้าผลไม้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อ  
        แต่ละต้นมีไม้ไผ่ที่ผ่าซีกค้ำยันประคองกิ่ง  ที่หนักไม่ให้หักลง  ส่วนหนึ่งของสวนเป็นเนื้อที่ของสวนลิ้นจี่ที่เพิ่งถูกเก็บผลผลิตหมดไปไม่นาน  ต้นลิ้นจี่สูงใหญ่  เป็นพุ่มหนา  จนทำให้บริเวณส่วนนั้นเป็นป่ากลายๆ  ร่มรื่น  โชคดีที่ในสวนมีลำธารเล็กๆ  ไหลผ่านจึงในทำให้มีน้ำใช้  แต่ปราชญ์เคยพูดให้เธอฟังอยู่ว่า  ต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาการใช้น้ำสำหรับสวนที่อยู่ถัดไป  เพราะเขาเองก้อไม่ใช่คนในพื้นที่โดยกำเนิด  ไม่อยากให้ถูกมองว่าเป็นนายทุน
         ทอรุ้งกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปตัวเล็กเก็บภาพสวนส้มและสวนลิ้นจี่อย่างเพลิดเพลิน  เธอไม่ได้เดินเข้าไปในส่วนของสวน  เพียงแต่เดินไปตามทางขึ้นเนินเขาจากด้านสนามหลังบ้าน  จุดที่เธอกำลังยืนอยู่เป็นจุดที่อยู่สูงสามารถมองลงเห็นบริเวณอาณาเขตสวนตลอดไปจนถึงทั่วหมู่บ้านสุดลูกหูลูกตา  เบื้องหลังเป็นเขาสูงสลับซับซ้อนกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่าด้านตะวันตกเฉียงเหนือ  บริเวณบ้านจะแยกอยู่คนละส่วนของสวนโดยมีลำธารเล็กๆ กั้นส่วนไว้  บ้านถูกบดบังด้วยต้นไม้หลากหลายที่นำมาปลูกประดับได้อย่างลงตัว  
        ที่ตรงนี้คุณปราชญ์มาซื้อไว้ก่อน  แล้วค่อยๆ ขยายไปซื้อที่สวนมาทำ  
        ป้าพรรณเคยเล่าให้ฟังเป็นความรู้พร้อมกับชี้มือกวาดไปให้ดูความกว้างใหญ่ของสวน 
         ช่วงที่เขาพ่นยาส้ม  ครูรุ้งก้ออย่าเพิ่งเข้าไปนะคะ  กลิ่นยามันเหม็น  เดี๋ยวจะไม่สบายเอา  
         กลิ่นสารเคมีที่ฉีดพ่นกลิ่นฉุน  รุนแรงจริงๆ  เมื่อครั้งแรกที่ได้กลิ่นเธอถึงกับรื้อค้นทุกซอกในเรือนพัก  ด้วยเข้าใจว่ามีอะไรมาเน่าเหม็นจนเด็กแสงจิ่งมาเฉลยนั่นแหละ  
          ทางเดินขึ้นเล็กๆ  ที่ไล่สูงขึ้นไปคล้ายไม่ค่อยมีใครเดินผ่านไป  แต่กลับชวนให้อยากเดินต่อ  บ่ายวันนี้เป็นวันว่างเพราะน้องฝันนอนหลับหลังมื้ออาหารกลางวัน  
         ในตอนแรกๆ ปราชญ์ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักแต่เธอยืนยันที่จะให้เด็กน้อยได้พักผ่อน  
         วัยนี้ต้องได้หลับกลางวัน  จะดีต่อสุขภาพค่ะ  ร่างกายแล้วก้อสมองเจริญเติบโตเต็มที่  
          แต่กว่าจะให้น้องฝันคุ้นเคยกับการหลับกลางวันก็ยากเอาการ   เธอต้องเปิดเพลงและเล่านิทานให้ฟังเสมอ   พัฒนาการของน้องฝันเป็นไปช้าๆ  หากเปรียบเทียบกับเมื่อเธอมาดูแลครั้งแรกน้องฝันนับว่าดีขึ้นเป็นลำดับ    
           พรุ่งนี้ปราชญ์ต้องพาน้องฝันไปพบหมอที่ศูนย์ฯ อีก  เธอได้จัดเตรียมรายงานพัฒนาการไว้เพื่อให้หมอประจำตัวของน้องฝันได้อ่าน  
          พรุ่งนี้ครูรุ้งคงต้องไปด้วยนะครับ  เพื่อหมออยากจะได้คุยกับครูด้วย  
           เขาสั่งไว้  เธอเองก็คิดอยู่ว่าจะขอตามไปในตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยเช่นกัน

           ทอรุ้งคิดเพลินขณะที่เดินขึ้นไปตามทางเล็กๆ นั้น  จนสุดทางเดินเป็นลานดินแคบๆ   รกเรื้อด้วยต้นไม้  คงจะสูงพอประมาณเมื่อมองลงไปจะเห็นหมู่บ้านไกลๆ  ได้ยินเสียงน้ำในลำธารไม่ดังนัก  เงียบสงบ  
           เธอยกกล้องคู่มือขึ้นเก็บภาพทิวทัศน์เบื้องล่างและต้นไม้  บริเวณนั้นจนลืมสังเกตกลุ่มเมฆสีเทาเข้มจากบนยอดดอย  จู่ๆ เม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาและมีท่าทีจะตกหนักขึ้น  ทอรุ้งรู้สึกละล้าละลังด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร  เธอหันไปมองหาที่ที่พอจะหลบฝน
            พลันเหลือบไปเห็นโพรงที่ถูกคลุมด้วยเถาวัลย์ที่ไม่ได้สังเกตแต่แรก  เธอจึงรีบแทรกตัวไป...คงพอหลบฝนได้บ้าง..
            เดินเข้ามาอีกหน่อยก้อได้ครับ  ครู  
             เสียงหนึ่งดังขึ้นจากส่วนที่ลึกเข้าไป  ทอรุ้งสะดุ้งเฮือก  มือไม้เย็นเฉียบ  เธอหันขวับไปจ้องมองฝ่าความมืดภายใน  สักครู่เธอจึงค่อยๆ  เห็นแสงสว่างที่เรื่อเรืองจากดวงไฟดวงเล็กๆ  ร่างหนึ่งลุกขึ้นยืนทะมึน  ทอรุ้งเซผงะถอยหลังออกไป  
            ผมเองครับครู  
             ร่างนั้นเคลื่อนตัวเข้าอย่างรวดเร็ว  สายตาที่ชินต่อความมืดจึงรู้ว่าเป็นเงาร่างที่คุ้นตา  
            ตกใจเหรอครับ 
             อ่ะ  เอ่อ   ...ค่ะ  ม่ะ..ไม่คิดว่าเป็นคุณปราชญ์  เธอพูดตะกุกตะกัก  ก้าวถอยหลังออกไปอีกอย่างไม่รู้ตัว   ปราชญ์เอื้อมมือมาคว้าแขนเธอดึงกลับเข้ามา  
           ระวังครับ  ฝนตก  ถนนลื่น  เขาไม่วายพูดหยอก
           เธอรู้สึกถึงลมหายใจที่รดบนเรือนผมจนต้องเบี่ยงตัวออกจากการจับกุมของเขา  หากเขาไม่ยอมปล่อยกลับเปลี่ยนเป็นจูงมือเธอเข้าไปด้านใน
           แท้จริงโพรงนี้อยู่ในชะง่อนผาที่ยากจะสังเกตจากภายนอก  ภายในไม่กว้างมาก  แค่พออยู่ได้สองคนสบายๆ  ด้านในสุดลึกพอจะหลบฝนได้  แสงสว่างที่เรื่อเรืองนั้นมาจากตะเกียงน้ำมันดวงเล็ก  พอให้เห็นภายใน
           ปราชญ์พาเธอมานั่งลงที่เก้าอี้สนามตัวเล็ก  ข้างเก้าอี้เป็นหีบใบเขื่องซึ่งน่าจะเป็นลังไม้  เขายกฝาขึ้นค้นหาอะไรกุกกักอยู่  ก่อนจะยกเก้าอี้สนามแบบพับอีกตัวนหนึ่งออกมากางนั่งอีกด้านหนึ่งของลังไม้  
          ที่ปลีกวิเวกของผมครับ  เขาพูดแบบชวนคุย  ไม่ค่อยมีใครรู้  นอกจากผมกับป้าพรรณ  
           เขาเปิดลังไม้อีก  คราวนี้ส่งผ้าผืนใหญ่  นุ่มให้เธอ  
           เอาคลุมตัวหน่อยครับ  ตัวเปียก  เดี๋ยวไม่สบาย  
           น้ำเสียงเชิงสั่งกลายๆ  ทอรุ้งกล่าวขอบคุณก่อนเอื้อมมือไปรับมาทำตามที่เขา  สั่ง  พลางเหลือบไปมองลังไม้ให้นึกสงสัยว่าจะมีอะไรอีก  ...รถยนต์มั้ง....   ดูเหมือนเขาจะมองเห็นความสงสัยของเธอในแววตา  
           ผมเอาสัมภาระแบบเดินป่ามาเก็บในลัง  บางทีผมอยากจะตัดความวุ่นวายบ้าง  ผมก้อแอบมาที่นี่  
           ค่ะ  
           ป้าพรรณจะไม่ให้ใครมายุ่งแถวนี้  
           ดิฉันเดินมาเที่ยวด้านหลัง  ไม่ได้ตั้งใจค่ะ  ทอรุ้งทำเสียงขุ่น  
           ครับ  ผมรู้  
            ...รู้ได้ไง....   
            ดูเหมือนปราชญ์จะชอบตอบคำถามในแววตาคู่นั้นเสมอ  
           ผมเห็นคุณเดินขึ้นมาแล้ว  ไม่คิดว่าจะขึ้นมาจนถึงข้างบน  
           ค่ะ  ทอรุ้งตอบเบาๆ  ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น  ปกติแล้วเธอกับนายจ้างหนุ่มใหญ่วัยไล่เลี่ยกันนี้  ยังไม่เคยอยู่ตามลำพังในที่คับแคบแบบนี้  เสียงฝนที่ตกข้างนอกยังคงกึก้องให้รู้ว่าตกหนักเพียงใด  โชคดีที่โพรงนี้ลึกพอไม่ให้ละอองฝนกระเซ็นเข้ามาได้
           มาอยู่เกือบสองเดือน  เริ่มคุ้นกับชีวิตในสวนรึยังครับ  ครู  เขายังคงชวนคุยไปเรื่อยๆ  
           ก้ออยู่ได้ค่ะ  ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ  ทอรุ้งยิ้มขณะที่ตอบ  ปราชญ์รู้สึกชอบมองกิริยานี้ของเธอเสมอ  
            ทุกคนใจดีกับดิฉันมาก  
            ผมด้วย  เขาโมเมตามหน้าตาเฉย  ทอรุ้งเหลือบมองอย่างนึกฉงน  ความจริงครูน่าจะเรียกชื่อตัวเองมากกว่านะครับ  อย่างเวลาคุยกับป้าพรรณ   
            แต่เธอไม่ตอบด้วยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร  
            บางคืนผมเห็นครูรุ้งทำงานดึกจัง  ไม่เหนื่อยเหรอครับ  
            ไม่หรอกค่ะ  ชินค่ะ  คือ..เขียนบทความส่งให้เพื่อนค่ะ  
            เป็นนักเขียนเหรอ  
            เปล่าค่ะ  แค่บทความเล็กๆ  เท่านั้นเองค่ะ  
            แล้วส่งยังไงครับ  ไม่เห็นครูเข้าไปเวียง  
            อ๋อ!  ส่งทางเมล์ค่ะ  
            ...ทันสมัยไม่เบาเลย  ครูคนนี้...  
            พรุ่งนี้เข้าเชียงใหม่  ครูจะไปธุระที่ไหนบ้างรึป่าวครับ  
            มีค่ะ  ดิ..เอ่อ  พอดีมีนัดค่ะ  ทอรุ้งบอกสั้นๆ  ละคำเรียกชื่อตัวเองไปเฉยๆ   
             ....สงสัยนัดเจ้าหมอแหง  ยังงี้ต้องให้น้องฝันประกบไว้ก่อนดีกว่า....  ปราชญ์รู้สึกไม่เข้าใจตนเองที่ทำไมจู่ๆ จึงคิดไปอย่างนั้น  
             เตรียมอะไรไปฝากคนเชียงใหม่รึป่าวล่ะครับ  
              เมื่อใจเกิดเกเร  น้ำเสียงของเขาจึงปิดไม่ค่อยมิด  แต่อีกฝ่ายยังมีท่าทีไม่รู้สึกรู้สมอย่างใด  
             ไม่หรอกค่ะ  แค่ไปเจอเท่านั้นก้อพอค่ะ  
             คนตอบตอบไปอย่างปกติ  แต่คนฟังกลับทำหน้าบึ้งอยู่ใต้หนวดเครานั้น  
            เขาคงดีใจนะครับ  
            ค่ะ  ไม่ได้เจอกันนาน  
            ...แม่คู้ณ  ดูจะดีใจจนปิดไม่ได้เชียวนะ....  
            ปราชญ์นั่งจ้องดูครูของลูกสาว  ผมที่เปียกฝนลุ่ยกรอบหน้าแฉล้ม  เจ้าตัวไม่ได้สนใจจะปัดหรือจะทำให้เรียบร้อยกว่านี้  ใบหน้าไร้เครื่องสำอางค์แต่ยังชวนให้มองไม่เบื่อตา  ต่างกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง  คนนั้นแทบไม่มีครั้งใดที่ปราศจากเครื่องสำอางค์  
           ดูเหมือนฝนจะหยุดแล้วค่ะ  เธอพูดอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับลุกขึ้นพับเก็บผ้าผืนนุ่มนั้น  ปราชญ์กลับลุกขึ้นเก็บของอย่างอ้อยอิ่ง  
           ป่านนี้น้องฝันคงตื่นแหละ  
           ครับ  
           เขาเก็บของลงไว้ในลังไม้เหมือนเดิม  ก่อนจะดับตะเกียงน้ำมัน   เขาบอกให้เธอออกไปรออยู่ที่ปากโพรง  สักครู่เขาจึงเดินตามออกมา  
          ทอรุ้งค่อยๆ  เดินลงทางเดินป่าแคบๆ   ซึ่งหลังจากฝนเพิ่งหยุดทางเดินที่เปียกชื้นยิ่งเพิ่มความเฉอะแฉะทำให้เดินลำบากยิ่งขึ้น  เธอคอยเหนี่ยวกิ่งไม้ข้างทางขณะลงทางลาดชัน  บางแห่งยังมีน้ำไหลลงมาเป็นทางเล็กๆ  ดินร่วนร่วงพรูตามเท้าที่ย่ำลงไป  
         ค่อยเดินลงนะครับ  ทางลื่น  
         ปราชญ์คอยบอกเตือนเป็นระยะ  บางครั้งเขาพยายามส่งมือไปให้จับแต่ครูทอรุ้งกลับคว้าเพียงกิ่งไม้ตามทาง  
         ...ท่าทางดื้อเอาการอยู่แฮะ....  
         เขามองดูทอรุ้งที่กำลังค่อยๆ ย่ำลงไปก้อนหินที่ดินรอบๆ  ถูกน้ำฝนชะร่วงไปไป  ตะไคร่น้ำที่คลุมเป็นเมือกลื่น  เธอขยับเท้าไปมาเพื่อหยั่งดูว่าดินรองรับนั้นจะอ่อนยุบตัวไปหรือไม่  ปราชญ์จึงส่งมือให้อีกครั้งเมื่อเธอเงยหน้าเหลียวมองหากิ่งไม้ที่จะเหนี่ยวพยุงตัว  
         จับมือผม  เดี๋ยวลื่น  
         ทอรุ้งเพียงหันมายิ้มบางๆ  แต่ยังคงไม่ส่งมือให้เหมือนเดิม  
         ขอบคุณค่ะ  ไม่เป็นไร  พอด่ะ......!!!!  
         อ๊ะ!  ทอรุ้ง  ระวัง!  
         ปลายมือเอื้อมไปคว้าไม่ทัน  ร่างอ้อนแอ้นนั้นลื่นไถลลงไปจนได้  เขากระโจนตามโดยไม่คิดแต่ความที่คล่องตัวในการเดินป่ากว่า  ทำให้เขายังทรงตัวยืนอยู่ได้   แต่คุณครูของลูกสาวกลับล้มนั่งกับโคลนเปียกๆ  ขาข้างหนึ่งเหยียดไปข้างหน้า  อีกข้างหนึ่งงอพับ  รองเท้าผ้าใบเลอะโคลนสีดำไปเต็มๆ  เช่นกับกางเกงลูกฟูกสีดำและเสื้อยืดคอกลมสีน้ำตาล  ตัวเอียงโดยมีศอกข้างซ้ายยันตัวไว้  มืออีกข้างชูกล้องถ่ายรูปไว้  
         เป็นไงมั่งครับ  เจ็บตรงไหน  
         เขาถามอย่างเป็นห่วง  แต่เจ้าตัวกลับเงยหน้าขึ้นมองยิ้มฝืนๆ  
         กล้องยังอยู่ค่ะ  
         ผมไม่ได้ถามเรื่องกล้อง  
         เขาทำเสียงฮึ่มฮั่มในคอทั้งฉุนทั้งขำคนรั้นที่อยู่ตรงหน้า  ทอรุ้งยิ้มจืดๆ  หลบตาเข้มคู่นั้น  
          ....หนวดกระดิกเลย  หว่า....  
          เขาคุกเข่าลงข้างตัวพร้อมกับค่อยๆ ขยับขาที่พับอยู่  
         เจ็บมั๊ยครับ  
         ทอรุ้งพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่เขาไม่ได้สนใจ  เธอทำได้เพียงกัดฟันไม่ส่งเสียงครางเมื่อรู้สึกแปลบที่ข้อเท้า  
         ไม่เป็นไรค่ะ  ไม่เจ็บ  ล้มนิดเดียว  
         นิดเดียวอะไร  ยังกะช้างตกดอยแน่ะ  
         เขาตอบอย่างนึกหมั่นไส้คนปากแข็ง  ผลก็คือตาคมคู่นั้นยิ่งเข้มขึ้น  ริมฝีปากแดง  เต็มอิ่มเม้มแน่น  
         ช้างตัวเล็กๆ  ครับ  
         ไม่เคยคิดว่าเขาจะชอบยั่วโมโหคนได้เหมือนกันแม้ในยามนี้  ทอรุ้งใช้มือซ้ายยันตัวขึ้น  มือขวายังไม่ยอมปล่อยกล้องถ่ายรูป  ทั้งยังเบี่ยงตัวออกจากการพยุงของนายจ้างหนุ่มใหญ่  
         ขอบคุณค่ะ  ไม่เจ็บอะ...โอ๊ย!  
         ทอรุ้งเซเกือบถลาล้มอีกแต่คราวนี้เขาคว้าตัวได้ทัน  แขนที่แข็งแรงรวบร่างนั้นไว้  
         อย่ารั้นนักเลย  ครู   
         เมื่อปราชญ์ทำเสียงเข้ม  ทอรุ้งจึงได้แต่นิ่งเงียบ				
30 พฤศจิกายน 2550 04:37 น.

รุ้งทอฝัน#5

ฝากรักฟากฟ้า

ว่าไงพ่อเลี้ยงปราชญ์   ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ  น้ำเสียงกันเองทักทายมาทันทีที่ทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
            วันนี้ออกมากินข้าวที่นี่ได้  โอ๊ะ!  สาวน้อยของลุงก้อมาด้วย  
            เขาหันไปทักทายเด็กน้อยพลางมองมาที่ทอรุ้งแวบหนึ่ง  ก่อนจะมองไปทางอื่นอย่างมีมารยาท  
             มีอะไรอร่อยๆ เอาออกมาเสิร์ฟเลย  หิวว่ะ  ปราชญ์สั่งโดยไม่สนใจเมนูที่เด็กบริการในร้านส่งมาให้  
             คร๊าบบบ  พ่อเลี้ยง  เสิร์ฟไวน์ก่อนก้อแล้วกัน  ผู้เป็นเพื่อนสรุปก่อนที่จะให้เด็กบริกรจดชื่อไวน์ลงในใบรายการ  
              "นึกยังไงออกสวนมากินข้าวเวียง"
               "  อ่อ  พอดีได้ลูกหมามาตัวนึง   เลยต้องมาซื้อของแล้วก้ออาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงมันน่ะ"
               ผู้เป็นเพื่อนรับแก้วไวน์จากเด็กบริกร  มาวางเรียง   ไม่วายเหลือบมองดูอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับเด็กน้อย  เพิ่งเคยเห็นหน้า  เขาเดาไม่ถูกว่าควรจะทักว่าอย่างไร   พอดีปราชญ์เอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน  
             ลืมแนะนำไป  นี่ครูทอรุ้ง  เป็นครูสอนน้องฝันโดยเฉพาะเลย  
              ทอรุ้งเงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มที่ปราชญ์อยากจะบอกว่าไม่ต้องยิ้มทักทายแบบนี้ก็ได้  
             ครูรุ้ง  นี่บดินทร์  เพื่อนผม  เป็นเจ้าของร้านอาหารที่นี่  
             หวัดดีครับ  ยินดีที่ได้รู้จักครับ  บดินทร์เอ่ยทักทายก่อน  
              ทอรุ้งกระพุ่มมือไหว้  
             สวัสดีค่ะ 
              ด้วยกิริยานี่พลอยทำให้น้องฝันยกมือขึ้นมือไหว้ตาม  
             จ้า  
              หนุ่มใหญ่ทั้งสองหัวเราะอย่างเอ็นดู  
             โอ้โห  เก่งจังเลย  ทักลุงก้อเป็นแล้ว  
             ตั้งแต่มีครูรุ้งมาดูแล  น้องฝันรู้จักความขึ้นเยอะล่ะ  
             ดีใจด้วยจริงๆ  พูดชัดขึ้นเยอะแล้วมั้ง  เรียกลุงดินได้ยังครับ  
              ประโยคหลังผู้พูดโน้มตัวลงไปพูดด้วยอย่างอ่อนโยน  น้องฝันยิ้มอายๆ  เบียดตัวไปแอบอยู่ข้างคุณครู  
              เรียกลุงดินให้ชื่นใจหน่อยเถ๊อะ  
              ลุงลิง!  น้องฝันเอ่ยเบาๆ  ผู้เป็นลุงหัวเราะชอบใจลั่นร้าน  
              ฮ่าๆๆๆๆๆๆ  ชัดมากเลยจ้าน้องฝัน  
              ปราชญ์เองก็อดหัวเราะไม่ได้  
             อ่ะ  ตามสบายก่อนนะ  เดี๋ยวจะมาคุยด้วย  
              บดินทร์ลุกจากโต๊ะไป  สักพักอาหารชุดแรกก็ถูกยกมาวาง  เด็กบริกรเสิร์ฟไวน์ให้เขาอย่างรู้หน้าที่  เป็นเพราะเขามาที่บ่อยๆ  ทั้งบดินทร์ก็ยังเป็นเพื่อนที่สนิทคุ้นเคยกันเป็นส่วนตัว  ทอรุ้งปฎิเสธไวน์ขอเพียงน้ำเปล่า  
             ท่าดื่มไวน์ด้วย  เดี๋ยวน้องฝันจะต้องขอดื่มด้วยแน่ค่ะ  
             เหตุผลของเธอทำให้เขานึกถึงครั้งสุดท้ายที่พาน้องฝันมานั่งที่ร้านอาหารนี้  คราวนั้นแทบจะกลายเป็นชนวนที่ทำให้หญิงสาวอีกคนหมางใจกับเขา 
  
             อ๊ะ!  อ๊ะ!  
             มือน้อยๆ ปัดป่ายมาสะกิดเมื่อเห็นแก้วไวน์ถูกเลื่อนมาวางบนโต๊ะ  
            ไม่ได้ลูก  ดื่มไม่ได้ครับ  
             หากเด็กน้อยไม่ฟังเสียงพยายามจะลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้  เอื้อมคว้าให้ได้  จนปราชญ์ต้องย้ายไปวางให้ห่างมือ  สายตาอีกคู่ที่มองมาบอกความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด  
            น้องฝันนั่งดีๆ   ครับ  เดี๋ยวเก้าอี้จะล้ม  
            ซนจังเลยนะคะ  พี่ปราชญ์  เสียงหวานๆ เอ่ยออกมาคล้ายจะเอ็นดู  หากเขาสังเกตว่าเธอไม่เคยเอื้อมมาแตะน้องฝันสักนิดแม้แต่จะให้นั่งใกล้  
            น้องฝันไม่ค่อยรู้อะไร  ต้องขอโทษด้วยนะ  
            แหม  ไม่เป็นไรค่ะ  เธอชม้ายตาตอบเขา  เด็กเล็กๆ ก้อแบบนี้ค่ะ         
             ระหว่างที่พูดไปเขาก็ต้องคอยจับวางของจากมือลูกสาว  ที่จะมักคว้าสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมาดูอย่างสนใจ  
             น้องฝันขาดแม่นะ  เลยไม่มีใครคอยอบรม  
             ก้อหาเสียสิคะ  พี่ปราชญ์  
             เธอทอดเสียงพลางมองเขาอย่างเชิญชวน  จนปราชญ์แทบจะคว้าตัวมากอดเสียให้ได้   
             อ๊ะ!  
              เสียงเล็กแหลมดังแทรกขึ้นราวกับเรียกจะเอาสิ่งใด  ปราชญ์ต้องละสายตาจากหญิงสาว  ยังไม่ทันจะหันมองเต็มตา  ร่างน้อยที่กำลังจะยืนบนเก้าอี้ก็เซล้มลงจากเก้าอี้  มือน้อยน้อยๆ เอื้อมได้ผ้าปูโต๊ะที่วางอาหารเต็ม  พลันทุกอย่างก็ล้มกระจายพร้อมกับเสียงโครมประสานเสียงหวีดร้องอย่างตกใจ  
              ตายแล้วๆๆ  อะไรยังงี้นี่!!!  
              กว่าปราชญ์จะเข้าใจก็มารู้ตัวเมื่อเห็นภาพโต๊ะที่ล้มคว่ำ  จานชามอาหารบางใบแตก  เศษอาหารหกเลอะเทอะไปทั่ว  
               เขาอุ้มลูกสาวที่กำลังตกใจ  ร้องไห้จ้ากอดคอเขาแน่น   
               ไม่เป็นไรลูก  โอ๋ๆๆๆ  อย่าร้องนะ  
               ปราชญ์ปลอบโยนลูกสาวเบาๆ  
              พี่ปราชญ์  
               เสียงเรียกนั้นทำให้เขานึกขึ้นได้จึงเหลียวไป  ชุดกระโปรงสวยเก๋ไก๋สีชมพูต้องเปรอะด้วยน้ำจิ้ม  น้ำปลา  เธอกัดริมฝีปากแน่น  บ่งบอกถึงความพยายามที่จะไม่โกรธ  
               พี่ขอโทษแทนน้องฝันครับ  คุณส้ม  
                เขาขอโทษขอโพยขณะที่บดินทร์รีบบอกให้เด็กบริกรมาเก็บข้าวของและทำความสะอาด  
                น้องฝันไม่ได้ตั้งใจ  โทษด้วยว่ะ  ดิน  
                เขาหันไปพูดกับเพื่อนรัก  
                เออๆ  ไม่เป็นไร  อุบัติเหตุ  น้องฝันคงตกใจมากเลย  บดินทร์พูดอย่างไม่เอาความ  
                แบบนี้ส้มจะกลับบ้านล่ะ  
                พี่จะไปส่งครับ  
                ไม่เป็นไรค่ะ  ส้มกลับเองได้  หญิงสาวพูดไม่มองหน้าเขาสักนิด  แต่คราวหลังท่าจะพาน้องฝันมาด้วยก้อบอกนะคะ  ส้มจะได้ไม่มา!  
                
                ลุงลิงๆๆๆ  น้องฝันเรียก ลุงลิง  พลางปรบมืออย่างชอบใจ  ปราชญ์ตื่นจากความคิดของตัวเอง  
                อ้าว  เพลงแรกนี้  ลุงลิงก้อขอมอบให้สาวน้อยสุดที่รักของลุงลิงนะครับ  
                บดินทร์ที่นั่งอยู่หลังเปียโนขนาดเล็ก  เอียงออกมาพูดกับแฟนเพลงตัวน้อยก่อนจะเล่นเพลงเปียโนของเด็กๆ   มอบให้  
               มื้อนี้ช่างแตกต่างกับมื้อวันนั้นเหลือเกิน  น้องฝันเรียนรู้จากการทำตามครูทอรุ้ง  เขาลอบสังเกตการที่เธอค่อยสอนลูกสาวไปอย่างใจเย็น  เป็นธรรมชาติราวกับสอน...ลูกสาวของตนเอง...  เขารู้สึกใจหายเมื่อมาคิดถึงผู้เป็นแม่ที่ไม่มีโอกาสจะได้เลี้ยงดูสายเลือดของตน  
               คุณปราชญ์คะ  จะให้ตักข้าวรึยังคะ  ทอรุ้งถามขึ้นเบาๆ  เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ได้แตะต้องอาหารนอกจากจิบไวน์  
               สักหน่อยก้อดีครับ  เขาเลื่อนจานข้าวตรงหน้าให้เธอ
               "พอครูทัก  เลยหิวแหละ  
               ตั้งแต่ครูทอรุ้งมาเป็นครูพิเศษ  ดูเหมือนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาพาเธอออกมารับประทานอาหารนอกบ้าน  
               ครูอิ่มรึยังล่ะครับ  
               อ่อ  กินไปเรื่อยๆ  กับน้องฝันค่ะ  
                ตอนนี้ผู้ถูกกล่าวถึงกำลังยืนมองนักร้องด้วยความสนใจอยู่หน้าเวที  
               อ้าว  ไปยืนโน่นแล้ว  ซนจัง 
                เขาเปรยอย่างกังวลกลัวจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอีก  แต่คนเป็นครูกลับไม่แสดงท่าทีอะไรนอกจากหันไปมองยิ้มๆ  
               น้องฝันชอบดนตรี  ชอบเสียงเพลง  แบบนี้ดีแล้วค่ะ  ครูทอรุ้งอธิบาย  ช่วยให้น้องมีสมาธิ  เรียนรู้ได้ง่าย  เขาเรียกวิธีนี้ว่า  ดนตรีบำบัดค่ะ  
                ปราชญ์ทอดตามองดูผู้บรรยาย  
               เหนื่อยมั๊ยครับ  มาสอนน้องฝัน  
                เธอยิ้ม  
               ตอนแรกๆ  ยอมรับค่ะว่าเหนื่อย  แต่พอรู้จักน้องมากขึ้น  ก้อไม่เหนื่อยค่ะ  ค่อยๆ  ปรับไปทีละน้อย  
               ผมว่าไม่น้อยนะ  ช่วงแค่ไม่ถึงสองเดือนลูกสาวผมเปลี่ยนไปเยอะ  
               ค่ะ  
               ผมเองก้อไม่ค่อยได้อยู่บ้าน  ตอนนี้ต้องเข้าไปในสวนบ่อยขึ้น  เราจะให้มีส้มนอกฤดูส่งเข้าตลาด  
               ค่ะ  
               พอพูดถึงเรื่องงานที่เขาชอบ  ทอรุ้งก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี  สลับกับการแสดงความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ  และชวนเขารับประทานอาหารไปด้วย  ซึ่งนอกจากสวนส้มแล้วเขายังเริ่มปลูกองุ่นอีกด้วย  
               ครูเคยไปเที่ยวในสวนรึยังครับ  
               ยังค่ะ  ไม่มีเวลาเลยค่ะ  อยู่กับน้องฝันทั้งวัน    
               เดี๋ยววันไหนว่างๆ  เราไปปิกนิกในสวนกันดีกว่า  
                ปราชญ์ผนวกเธอเข้าไปในคำว่า  เรา  หน้าตาเฉย  
               ผมก้อไม่ได้พาน้องฝันเข้าไปเที่ยวสวนด้านในนานแหละ  กลัวเรื่องสารเคมี  กลิ่นมันแรง  
                ดีแล้วค่ะ  น้องร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง  
                แต่ผมว่าลูก..น้องฝัน  ดูดีขึ้นเยอะ  เข้าใจอะไรมากขึ้นเพราะครูรุ้งเอาใจใส่แท้ๆ  
                ก้อไม่ใช่ทั้งหมดหรอกค่ะ  ทอรุ้งกล่าว  มาจากทุกคนที่ช่วยกัน  แล้วก้อน้องฝัน  
                หันไปมองทางลูกศิษย์ตัวน้อยซึ่งตอนนี้ขึ้นไปนั่งบนตัก ลุงลิง  เล่นเปียโนเสียแล้ว  อาการกลัวคนแปลกหน้าลดน้อยลง  หรืออาจเป็นเพราะหนูน้อยมีความสนใจด้านดนตรีก็อาจเป็นได้  
                ครูคิดว่า  น้องฝันจะเล่นดนตรีได้มั๊ยครับ  
                ได้สิคะ   รุ้ง...เอ่อ  ครู....  ทอรุ้งสะดุดคำพูดตนเอง  
                เรียกว่า  รุ้ง  ก้อดีครับ  เป็นกันเองดี  
                 ปราชญ์แก้เก้อให้เพราะเธอมักจะเว้นการเรียกชื่อตนเองเสมอเมื่อคุยกับเขา  
                 งั้นสักวันคงต้องเข็นเอาเปียโนหลังเก่าออกมาสอนลูกสาวดีกว่า   
                 เขาพูด  ทอรุ้งมองด้วยความประหลาดใจไม่คิดว่า  ผู้ชายหน้าตารุงรังแบบนี้จะเล่นเปียโนได้  
                 ผมเล่นเป็นครับ  เขาบอกยิ้มๆ  ราวกับรู้ความหมายในสายตาคู่นั้น

                 ทันทีที่รถจอดนิ่งสนิท  เด็กหญิงแสงจิ่งก้อวิ่งปราดออกมาจากเรือนเล็กด้านหลังบ้านราวกับคอยฟังเสียงรถตลอดเวลาอยู่แล้ว  
                เอาของหลังรถลงให้หน่อย  จิ่ง  พ่อเลี้ยง  สั่งเบาๆ  ก่อนที่จะเดินอ้อมมาเปิดประตูรถอีกด้านหนึ่ง  ทอรุ้งค่อยอุ้มประคองร่างน้อยๆ แบบบางลงจากรถ   น้องฝันหลับมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากร้านอาหาร  
                 ส่งให้ผมอุ้มมั๊ยครับ  
                 ไม่เป็นไรค่ะ  เดี๋ยวน้องตื่น  จะช่วยพาขึ้นไปที่ห้องค่ะ  
                 ปราชญ์จึงต้องเป็นคนหอบกระเป๋าของเธอไปแทน  ป้าพรรณแม่บ้านร่างท้วมออกมาจากเรือนพักด้วยใบหน้าที่ประแป้งลายพร้อย  มาช่วยรับกระเป๋าถือของครูรุ้งจากเขา   
                  เจ้าพูห์หลับไปแล้ว  
                  ใครเหรอ  
                   อ้าว  ก้อลูกหมาที่คุณปราชญ์เอามาไง  
                   เหรอ  ชื่อ  พู  เหรอ  ไม่ยักรู้ 
                    เจ้าตั้งหื้อล่ะ  บ่ฮู้จะฮ้องมันจะใด แสงจิ่งเป็นคนเฉลย   
                   อ่อ!  นึกว่ามันเป็นคนบอก  
                   เขาพยักหน้าหงึกหงัก  พลางจะขยับตามครูขึ้นไปที่ห้อง  
                   คุณปราชญ์ช่วยดูของให้จิ่งมันแยกก่อนดีกว่า  
                   ป้าพรรณบอกเรียบๆ  
                  เดี๋ยวป้าไปส่งครูรุ้งเอง  
                   ดังนั้นเมื่อทอรุ้งเดินกลับลงมาพร้อมป้าพรรณจึงเห็นผู้เป็นนายจ้างกำลังนั่งอยู่กับตะกร้าหวายใบย่อมที่แสงจิ่งอุตส่าห์หามาสำหรับเป็นที่นอนของ เจ้าพูห์  
                   คงไม่เป็นภาระของครูรุ้งนะครับ  
                   ในเมื่อเขาตีขลุมลงมาแบบนี้  ทอรุ้งก้อไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร  
                   ค่ะ  จะช่วยดูแลให้ได้ค่ะ  
                   งั้นเอาไปที่บ้านพักของครูเลยดีกว่า  
                   ไม่พูดเปล่า  ปราชญ์ลุกขึ้นคว้าตะกร้าหวายทันที  จิ่ง  แกช่วยหิ้วถุงของนี่ไปด้วยละกัน
                   ป้าพรรณสั่งเด็กหญิงทันควัน  ทอรุ้งได้แต่เดินตามเป็นขบวนไป				
29 พฤศจิกายน 2550 07:25 น.

รุ้งทอฝัน#4

ฝากรักฟากฟ้า

เสียงเพลงเด็กๆ  ดังเจื้อยแจ้วลอยมา  ทำให้แสงจิ่งลูกสาวนางซอ  ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นและพี่เลี้ยงเด็ก  ที่ปัจจุบันได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ช่วยครูรุ้ง  ..ตำแหน่งที่เธอคิดขึ้นมาเอง...  เธอรีบล้างจานกองใหญ่ให้เสร็จเรียบร้อย  แล้วขออนุญาตนางซอขึ้นไปที่เรือนใหญ่  เธอรู้สึกรักครูรุ้งขึ้นทันทีที่ได้เห็น  ตลอดเวลาสั้นๆ  ครูรุ้งสามารถเข้าใจสำเนียงการพูดที่มีทั้งภาษาไทยและไทยใหญ่ของเธอและแม่ได้พอสมควร  ที่สนุกก็คือเวลาที่ครูรุ้งสอนหนังสือน้องฝัน  ซึ่งแสงจิ่งมักถือโอกาสมานั่งเรียนเป็นเพื่อนน้องฝันเสมอ
               ครูทอรุ้งมีอะไรสนุกๆมาให้เล่นอยู่เรื่อย  น้องฝันที่แต่ก่อนดูหงอยเหงา  ไม่ค่อยคุ้นเคยกับใครเริ่มที่จะสื่อสารกับคนอื่นมากขึ้น  แม้จะติดขัดในการออกเสียงพูด  แต่ด้วยความพยายามของครูทอรุ้งทำให้น้องฝันพัฒนาการไปรวดเร็วจนน่าแปลกใจ  
              น้องฝันฮ้องเพลงแฮ่มก่อ  แสงจิ่งถาม  หนูน้อยยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา  ก่อนที่จะส่งไมโครโฟนตัวเล็กคืนให้พี่เลี้ยง  
              จะอั้นต่าปี้ฮ้องน่อ
              แสงจิ่งรับไมค์ด้วยความยินดี  เธอจัดการเลือกเพลงเพลงของโปรดของเธอเอง    
              ทอรุ้งจัดการปรับเสียงให้พอเหมาะ  นั่งดูนักร้องดาวรุ่งในป่าร้องเพลงทั้งเต้นทั้งร้อง  น้องฝันนั่งตบมือเป็นจังหวะบางไม่เป็นบ้าง  ใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้มเธอนั่งมองอย่างเอ็นดู  
             ใช่ว่าน้องฝันจะมีความบกพร่องทางสติปัญญาเท่าใดนัก  ที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะการดูแลที่ไม่เหมาะสม  ด้วยคิดว่าตัวเด็กมีปัญหาจนไม่สามารถพัฒนาได้  จึงแค่ดูแลแบบกินอิ่มหลับสบาย  ไม่ให้เจ็บไข้มากกว่า
อีกไม่นานจะเป็นเวลาเปิดเทอมของโรงเรียนทั่วไป  เธอคิดว่าน้องฝันน่าที่จะสามารถเข้าเรียนร่วมชั้นกับเด็กคนอื่นๆ ได้  ซึ่งทางหมอประจำตัวก็ได้แนะนำไว้แต่ทางปราชญ์ยังไม่มั่นใจ
            น้องฝันไม่เคยอยู่กับคนอื่นนะ
            นั่นแหละค่ะ  ยิ่งควรต้องพาไปค่ะ  ฝึกไปทีละน้อย  เธอยืนยัน  น้องจะได้คุ้นเคยกับคนอื่นบ้าง
             วันก่อนทอรุ้งได้ไปพบพูดคุยกับคุณครูโรงเรียนประจำหมู่บ้าน  แต่ยังเป็นปัญหาอยู่ว่าทางโรงเรียนจะสามารถรับเด็กเข้าเรียนและจัดกิจกรรมให้กับเด็กที่มีความบกพร่องอย่างนี้ได้หรือไม่  เธอไม่ต้องการให้น้องฝันต้องกลายเป็นเด็กพิการที่หมดโอกาส  กลายเป็นภาระของสังคม  คงต้องกลับไปขอคำแนะนำจากคุณหมออีกครั้ง
              แม่ครูฮ้องพ่อง  แสงจิ่งส่งไมค์มาหลังจากที่เธอร้องครบเพลงที่เธอต้องการ  เจ้าจะเซาะเพลงฮื่อ  เอาม่วนๆ
              ทอรุ้งอดขำกับท่าทางกระตือรือร้นของเด็กสาวไม่ได้  แสงจิ่งส่งแผ่นร้องเพลงคาราโอเกะมาให้ดูแผ่นหนึ่งเป็นเพลงชุดของวัยรุ่นที่เธอเคยได้ยินมาบ้างหลายครั้ง
              เพลงนี้ม่วน  ผู้จัดการสรุปแล้วก็นำแผ่นเข้าในเครื่อง  ทอรุ้งนึกสนุกด้วยจึงต้องร้องตามที่ผู้จัดการสั่ง   ผู้ชมทั้งสองตบมือเปาะแปะชื่นชม  แววตาที่น้องฝันมองมาด้วยความสนุกสนาน  ทอรุ้งก็ถือว่าคุ้มแล้ว
               
              ....ฉันอาจจะไม่น่าดู  
                  ฉันรู้ตัว  
                  ฉันอาจจะเผลอทำตัวเป็นอย่างนั้น  ....
                ปราชญ์ยืนฟังนิ่งอยู่ข้างรถกระบะคันใหญ่  เสียงเพลงที่ดังลอยมาจากเรือนหลังใหญ่  น้ำเสียงที่เขาไม่คุ้นหู  แต่เมื่อตั้งใจฟังแล้วเขาจึงพอเดาออกว่าเป็นใคร  
                 เขาเอื้อมมือไปอุ้มตัวปุกปุยน้อยๆ ในกล่องกระดาษที่วางอยู่กระบะท้ายรถ  ซ่อนไว้ในเสื้อแจคเก็ตสีน้ำกรมท่าที่เขาสวมทับเสื้อยืด  เขายิ้มละไมอยู่ในใจ  ค่อยเดินอ้อมไปด้านหลังบ้านเงียบๆ  ตามเสียงเพลง   ก็จะเป็นห้องของลูกสาวสุดที่รักนั่นเอง
                 ...ไม่ใช่เพียงแค่ไหล่ไว้ซบอิง  .....
                 เสียงใสๆ หวานๆ  ในยามร้องเพลงที่เขาไม่เคยได้ยิน 
                 ..คงจะร้องกันอย่างนี้บ่อยล่ะสิท่า....  นึกอยากเห็นหน้าขึ้นทันที  เขารู้สึกแปลกใจตัวในบางครั้งไม่ได้  นับตั้งแต่ครูทอรุ้งมาสอนและดูแลลูกสาวให้  เขามักจะกลับบ้านเร็วขึ้น  อยู่บ้านมากขึ้นผิดกับแต่ก่อน  ปราชญ์เพิ่งคิดได้ว่าเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ  
                เมื่อเขาค่อยๆ เปิดประตูเข้าไม่ให้รบกวนกิจกรรมสนุกสนานของสมาชิกในห้อง  เด็กน้อยสองวัยกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนผ้าปูนั่ง  ตั้งใจฟังเพลง  ร่างเล็กๆของครูนั่งกับพื้นเช่นกัน  สายตาจับจ้องที่ตัวหนังสือบนจอโทรทัศน์  ไม่มีใครสังเกตเห็นเขาที่ยืนอิงประตูเลยสักนิดจนเมื่อครูทอรุ้งร้องเพลงจบ  ผู้ฟังทั้งสองตบมืออย่างชอบใจ  ส่งเสียงชื่นชมดังลั่น  เธอวางไมโครโฟนลงขยับตัวจะลุกขึ้นจะเหลือบมาเห็น  ใบหน้าเนียนผ่องปราศจากเครื่องสำอางค์นั้นแดงระเรื่อขึ้นมาคล้ายสาวน้อย  หากเธอยังกลบเกลื่อนกิริยานั้นด้วยการหันไปบอกกับลูกศิษย์ตัวน้อย  
                น้องฝันคะ  คุณพ่อมาแน่ะ  
                น้องฝันหันขวับพร้อมกับลุกพรวดไปหาผู้เป็นพ่อทันที  
                ป๊ะ!  ป๊ะ!  
                คำเรียกนั้นเปลี่ยนเมื่อไม่นานหลังจากที่ครูรุ้งพยายามฝึกให้เธอออกเรียก  สร้างความพึงพอใจแก่คนเป็นพ่อยิ่งนัก  
                ปราชญ์ยังซุกมือซ่อนตัวปุกปุยไว้ในเสื้อ  ใช้มืออีกข้างช้อนอุ้มตัวเบาหวิวของเด็กน้อยขึ้นพาเดินกลับไปนั่งที่เดิม  ทอรุ้งกดรีโหมทเพื่อเบาเสียงเพลง  ขยับตัวลุกออกจากผ้าปูรองนั่งผืนใหญ่ไปนั่งบนเบาะรองนั่งสี่เหลี่ยมใบหย่อมอีกด้านหนึ่ง  
                น้องฝันขา  ลูกเอามือมาหน่อยสิคะ  
               ทอรุ้งมักจะทึ่งเสมอยามที่เขาเรียกลูกสาวตัวน้อยอย่างอ่อนหวานแบบนี้  
               เด็กน้อยจับมือผู้เป็นพ่อทันที  เขาค่อยๆ จับมือบางนั้นเข้าไปในตัวแจกเกต  น้องฝันกระตุกมือออกอย่างรวดเร็ว  ใบหน้าและแววตาตกใจ  งุนงง  พร้อมกับเบี่ยงตัวออกจากแขนพ่อ  ลุกวิ่งไปนั่งตักครูทอรุ้งทันที  ไม่พูดอะไรนอกจากทำตาโตจ้องมองพ่อที่กำลังหัวเราะเสียงดังด้วยความขบขัน  
               อ่ะหยังก๊าเจ้า  ป้อเลี้ยง  แสงจิ่งชะเง้อหน้าเข้าไปถามตามประสาซื่อ   เมื่อปราชญ์เอามือออกจากตัวเสื้อ  ตัวปุกปุยสีขาวก็กำลังทำหน้าตื่นตระหนกอยู่ในมือของเขา  น้องฝันนั่งตัวแข็ง  มือน้อยๆ ขยุ้มลงที่แขนของทอรุ้งแน่น  
                หมาหน้อยๆๆ  ฮะๆ  น่าฮักขนาด  น้องฝัน  
                อ้าว!  ตายล่ะ  ตัวสั่นเหมือนกันเหรอเรา  ใบหน้ารกเคราและหนวดก้มลงพูดกับตัวปุยขาวในมือ  
                 คุณปราชญ์น่าจะเอาออกให้น้องเห็นก่อนที่จะให้จับตัว  ทอรุ้งพูดเชิงตำหนิกรายๆ  ก่อนที่จะประคองน้องฝันลุกจากตัก  เธอคุกเข่าอยู่ข้างๆ  ลูกศิษย์ที่ยืนนิ่ง  ทำตาโตจ้องมองราวกับเห็นตัวประหลาดในมือพ่อ   
                 น้องฝันคะ  มาดูกับครูค่ะ  ไม่ต้องกลัวนะคะ  
                 สายตาที่ตวัดมองมาทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเธอค้อนควักตำหนิเขา  ปราชญ์หัวเราะในคอยิ่งทำให้สายตาคมนั้นเข้มมากขึ้น  
                 น้องฝันเดินมาโดยมีครูเดินเข่าประคองมา   เธอค่อยจับมือลูกสาวของเขาแตะขนฟูๆ อย่างเบามือพร้อมกับพูดปลอบโยนให้หายกลัว  
                 หมาหน้อยตั๋วสั่นเลยเจ้า  แม่ครู  แสงจิ่งให้ความสำคัญกับเจ้าปุยมากกว่า  
                  อุ้มหน่อยมั๊ยลูก  เขาพูดพร้อมกับส่งตัวปุยนั้นมา  
                  อย่าเพิ่งค่ะ  ทอรุ้งเอ่ยห้ามทันควัน  ฉีดยารึยังคะ  แล้วน้องฝันเคยแพ้ขนสัตว์รึป่าวคะ  
                 ไม่มั้ง  แต่เจ้าของบอกฉีดวัคซีนรวมมาแล้วครับ  
                 คงจะยังไม่ถึงสองเดือน  พันธุ์อะไรคะ  
                 เอ  ดูเหมือนจะผสมนะ  เห็นตัวแม่เป็นชิสุห์  ส่วนตัวพ่อท่าทางจะเป็นพุดเดิ้ล  เขาชูเจ้าตัวน้อยขึ้นมอง  ครูเลี้ยงเป็นมั๊ยครับ  
                 ฟังจากน้ำเสียงและคำถามแบบนี้คงไม่แคล้วต้องได้เป็นคนดูแลเจ้าตัวเล็กนี่เพิ่มแน่นอน  
                 พอจะรู้บ้างค่ะ  ไม่ทราบเขาให้เริ่มกินอาหารรึยัง  
                 เห็นบอกให้เอาอาหารเม็ดผสมนมให้กินบ้างแล้ว  
                 แล้วคุณปราชญ์หามาไว้รึยังคะ  ปราชญ์มองดูครูทอรุ้งยิ้มๆ  ยังครับ  ไม่รู้จะเตรียมยังไงก้อคิดว่าจะให้ครูช่วยจัดการให้หน่อย  
                 นั่นไง  นึกแล้วเชียว.....ทอรุ้งนึกเข่นเขี้ยว  
                 เอางี้  เดี๋ยวเราเข้าเวียงกันหาซื้อของสำหรับตัวเล้กนี่  อือ...เย็นนี้ผมพาครูไปกินข้าวที่เวียงเลยดีกว่า  เขาสรุปอย่างรวดเร็ว  
                 เจ้าไปโตยก่อ  ป้อเลี้ยง  แสงจิ่งถามขึ้นราวกับต้องร่วมอยู่ในกลุ่ม  
                 ปราชญ์หันมาตอบอย่างใจดี  
                 ไปสิ  จิ่ง  เธอน่ะเป็นผู้ช่วยครูรุ้งนี่  ต้องไปช่วยครูเขาดูน้องฝัน  
                 แค่นั้นผู้ช่วยครู  ก็ยิ้มกว้างรีบลุกปราดออกไปเพื่อแจ้งข่าวให้กับแม่และป้าพันได้ทราบ  
                อ้าว!  ปราชญ์ได้แต่ร้องมองตามเด็กลูกจ้างแสนรู้  แล้วเจ้านี่ทำไงต่อครับครู  
                 คงต้องหาที่อยู่ให้เขาก่อน  คืนนี้คงร้องน่าดู  
                 งั้นฝากครูจัดการเลยครับ  ไม่พูดเปล่า  เขาวางตัวปุยขาวลงบนมือครูทอรุ้ง  เธอต้องเอื้อมมือไปรับแทบไม่ทัน  
                เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อหน่อย  
                ค่ะ  เธอรับทราบ  งั้นจะพาน้องฝันไปเตรียมตัวก่อนนะคะ  
                เขาพยักหน้าตอบก่อนจะหันไปกอดลูกสาวอย่างรักใคร่  
                แต่งตัวสวยๆ  นะคะ  พ่อจะพาไปเที่ยวค่ะ  
                เมื่อผู้เป็นพ่อออกห้องไป  ทอรุ้งยังให้น้องฝันนั่งตักดูลูกสุนัขตัวน้อยที่สั่นงันงกด้วยความไม่คุ้นเคย  
                 ค่อยๆ ลูบเบาๆ  นะคะ  ไม่ต้องกลัวค่ะ  เธอพูดปลอบเมื่อเห็นกิริยาหวาดกลัวของน้องฝัน  จนเธอกล้าที่จะเอามือลูบขนนุ่ม  ปุยสีขาวนั้น  
                  ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนั้นก็ยอมรับมือน้อยๆ นั้นเช่นกัน  มันสงบเงียบลงและน้องฝันเริ่มคลายความกลัวลงไปได้				
15 ตุลาคม 2550 07:14 น.

รุ้งทอฝัน#3

ฝากรักฟากฟ้า

เรียกว่าเป็นการพูดคุยกันมากกว่าการสัมภาษณ์รับเข้าทำงาน  นายจ้างรายแรกของเธอชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเธอนึกแปลกใจว่าทำไมเขาไม่ถามเรื่องงาน
         คุณครูเคยมาเที่ยวฝางรึป่าว
          เปล่าค่ะ  ทอรุ้งตอบ  เพิ่งมาอยู่เชียงใหม่ไม่กี่ปีนี่เองค่ะ
          ลูกชายคนโตที่เรียนและได้งานทำในเชียงใหม่ขอเธอย้ายมาอยู่เชียงใหม่ด้วย  เพราะไม่ต้องการให้แม่ต้องอยู่คนเดียวหลังจากการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุของผู้เป็นพ่อ  ออกมาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เคยมีความประทับใจใดๆ  ทอรุ้งรีบปัดความคิดเหล่านั้นออกไปจากความรู้สึก  แต่เธอก็ไม่ได้พูดให้นายจ้างฟัง  เพียงคิดขึ้นมาวูบหนึ่งในใจ
          แล้วรู้จักกับหมอวินทร์ได้ไงล่ะครับ
          อ๋อ...  พี่หมอเหรอคะ
          ปราชญ์รู้สึกสะดุดใจเล็กน้อยกับการเรียกชื่อคุณหมอประจำตัวลูกสาว
          รู้จักมานานแล้วค่ะ  พอดีขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ไม่มีอะไรทำ  พี่หมอชวนมาเป็นพี่เลี้ยงอาสาที่ศูนย์ฯ ค่ะ
          คำอธิบายเธอสั้นๆ  น้ำเสียงมีความพึงพอใจที่ได้เอ่ยถึง  
          ...พ่อม่ายกะแม่ม่ายล่ะว้างานนี้...  เขาคิดแต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจเท่าใดนัก    นอกจากการที่ผู้หญิงคนนี้จะดูแลและช่วยเหลือให้ลูกสาวมีพัฒนาการขึ้นได้อย่างที่คุณหมอแนะนำหรือไม่
          คุณครูเพิ่งมา  ก้อพักผ่อนก่อนมั๊ยครับ  พรุ่งนี้ค่อยเจอน้องฝัน
          ไม่เป็นไรค่ะ  อยากพบกับน้องวันนี้เลยค่ะ  จะดีกว่า
          งั้นไปที่ห้องของน้องฝันกันเลยดีกว่า  ปราชญ์ลุกขึ้นทันที  พร้อมกับเดินนำลิ่วไปยังอีกห้องหนึ่ง  ทอรุ้งจึงได้แต่วางซองเอกสารสีน้ำตาลไว้บนโต๊ะทำงาน  ซองที่มีสำเนาหลักฐานซึ่งเขาได้ฝากบอกให้เธอเตรียมมา  หากเขาไม่ได้ถามถึงเลย
           ห้องที่เขาเดินนำมานั้นอยู่ส่วนด้านหลัง  เป็นห้องที่จัดไว้สำหรับลูกสาวได้อยู่เล่น  ทำกิจกรรมต่างๆ  และพักผ่อนในช่วงกลางวัน  ผนังห้องทาสีชมพูอ่อนๆ  ประดับด้วยกรอบรูปภาพกิจกรรมของครอบครัว 2  3  กรอบ  ไม่วายสะดุดตากับภาพครอบครัวบานใหญ่  น่าจะเป็นโอกาสพิเศษของใครคนหนึ่งในภาพ  โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ที่แต่งตัวสวยด้วยชุดชาวเขา  ใบหน้าหวาน  ผิวขาวดูบอบบาง  ยืนอิงไหล่ผู้สามีซึ่งข้างหนึ่งอุ้มลูกสาวตัวน้อยที่มีหน้าตาเหมือนแม่  จากภาพเด็กน้อยน่าจะอายุประมาณ  2  ขวบ  
            รอบๆ  ห้องมีชั้นวางของเล่นต่างๆ  อย่างเป็นระเบียบ  ตุ๊กตาผ้าหนานุ่มตัวโต  ตัวเล็กตัวน้อย  ดูไปคล้ายกับเข้าไปในร้านขายของเล่นของเด็กผู้หญิง  พื้นห้องปูด้วยพรมหนาสีเหลืองนวล  เจ้าของห้องตัวน้อยกำลังง่วนอยู่กับการทำงานอะไรสักอย่างบนผ้าปูรองนั่งผืนใหญ่  โดยมีเด็กหญิงร่างผอมอีกคนอยู่เป็นพี่เลี้ยงไม่ห่าง  
           น้องฝันจ๋า  เสียงทุ้ม  ห้าวนั้น  เรียกลูกสาวอย่างอ่อนโยนน่าฟัง  
            น้องฝันเงยหน้าขึ้นทันทีพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้าง  หากไม่เหลือบมามองดูผู้ที่เข้ามาใหม่สักนิด
           จำคุณน้าคนสวยได้ป่าวเอ่ย  ปราชญ์ถามโดยเอ่ยถึงผู้ที่ยืนด้านหลัง  ทอรุ้งไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรกับการที่เขาเรียกเธออย่างนั้น
            น้องฝันไม่สนใจสิ่งที่พ่อพูดเลย  หนูน้อยกอดคอพ่อ  เอาหน้าเกลือกไปกับหนวดเคราของพ่อเล่นอย่างมีความสุข  ทอรุ้งมองดูภาพที่แสนอบอุ่นของสองพ่อลูก  เป็นธรรมดาของเด็กที่มีอาการออทิสติกซึ่งจะไม่สนใจคนแปลกหน้า  เธอคงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรกับการที่ต้องทำความคุ้นเคยกับเด็กน้อย


            มือเล็ก  บาง  น้อยๆ  กำลังปั้นและนวดแป้งสีชมพูสดใสอย่างเบามือ  เธอขยำแป้งไปมาตามคำพูดแนะนำของครู  ริมฝีปากบางเม้มแน่นแสดงถึงความขมักเขม้น  จนถึงขนาดไม่ยอมพูดกับใคร  คล้ายมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ  ขัดกับแววตาที่เลื่อนลอยในบางครั้ง  ทำเสียงอืออาในคอ  ใบหน้าเรียวเล็กก้มลงจนเส้นผมที่ตัดสั้นระลงมาบังใบหน้าเกือบหมด  เจ้าตัวก็ยังไม่ได้สนใจจะปัดขึ้น  
            ทอรุ้งนั่งมองดูเด็กน้อยอยู่ใกล้ๆ  บริเวณพื้นห้อง  รอบตัวเกลื่อนไปด้วยของเล่นชิ้นสวย  สีสดใส  ที่คนเป็นพ่อซื้อมาให้อย่างไม่เคยเสียดายเงินหรือเกี่ยงราคา  หลายชิ้นที่ถูกแกะรื้อจนชำรุด
            ทอรุ้งหยิบก้อนแป้งโดในกล่องมาก้อนเล็กๆ  ขยำ  นวดแล้วปั้นเป็นรูปตุ๊กตาตัวจิ๋ว  เธอส่งให้เด็กน้อย  น้องฝันละมือจากแป้งที่ตนกำลังปั้นทั้นที  พร้อมทั้งส่งสียงชอบใจ  แววตาที่เลี่อนลอยทอประกายพึงพอใจ
            หมา  ทอรุ้งพูดช้าๆ  น้องฝันเอียงศีรษะจับตามองดูครู
             อ๊ะ!  เธอเปล่งเสียงออกมา
             ไม่ใช่ค่ะ  น้องฝัน  ทอรุ้งยิ้มและพูดช้าๆ   หมา
             ม่ะ!  ม่ะ!  น้องฝันทำปากเลียนเสียงครู  ยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ  ที่ผุจากการถูกปล่อยปละละเลย
             เช้าวันแรกที่บ้านสวน  เธอต้องตกใจกับเสียงกรีดร้องของเด็กน้อย  ครั้นไปสอบถามดูก็ทราบว่าเป็นเรื่องปกติของที่นี่   น้องฝันไม่ยอมให้แปรงฟันจนต้องมีเรื่องให้วุ่นวายกันทุกเช้า  และในที่สุดก็ไม่มีใครที่จะเอาใจใส่เรื่องการแปรงฟันอีก  ทำให้สุขภาพในช่องปากของน้องฝันแย่ลง  
              กว่าเธอจะสามารถโน้มน้าวให้น้องฝันยินยอมได้  ใช้เวลาหลายวันอยู่  แต่นั่นหมายถึงเธอต้องตื่นแต่เช้าทุกวันไปคอยรอรับลูกสาวนายจ้างและพาไปทำกิจกรรมเช้าล้างหน้าแปรงฟัน  อาบน้ำ  เดินเล่น  ก่อนถึงอาหารเช้า  และเกือบทุกเรื่องที่เธอไม่ได้เป็นเพียงครูสอนพิเศษในบ้าน  แต่กลายเป็นพี่เลี้ยงพิเศษไปด้วย  
              สิ่งที่ได้รับเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับพัฒนาการ  ที่เด็กน้อยเริ่มวางใจยอมให้เธออยู่ใกล้และหันมาพูดคุย  ตอบสนองปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากขึ้น
             แม่หนูน้อยมีสภาพปัญหาที่บกพร่องมาตั้งแต่กำเนิดหลายด้าน  ในช่องปาก  เธอมีเนื้อเยื่อที่ยึดใต้ลิ้นทำให้การเปล่งเสียงพูดเป็นไปได้ยาก  หมอวินทร์ซึ่งแนะนำไว้เกี่ยวกับการทำกายภาพบำบัดและการช่วยเหลือฝึกด้านการพูดของน้องฝัน  ภายหลังการเข้ารับการผ่าตัดเนื้อเยื่อใต้ลิ้น
             ต้องฝึกให้น้องฝันออกเสียงพื้นฐานก่อนนะ    เขาย้ำมา
             ระยะเวลาร่วมเดือนกับการที่ได้เข้ามาเป็นครูพิเศษ  เธอพูดคุยกับปราชญ์ผู้เป็นพ่อของน้องฝันเกี่ยวกับแนวทางที่จะช่วยเหลือลูกสาวสุดที่รักให้เติบโตขึ้นอย่างเด็กปกติทั่วไปให้มากที่สุด  
             ทอรุ้งบอกถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ  ให้น้องอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ไม่เร่งรีบเกินไป  ซึ่งเขาก็ยินดีให้ความ่วมมืออย่างเต็มที่  แต่ในทางปฏิบัติ  ทอรุ้งเห็นเพียงเขาอำนวยความสะดวกต่างๆ  ให้เธอสามารถดูแลลูกสาวคนเดียวของเขาอย่างดีที่สุดมากกว่า
            ม๊ะ!  น้องฝันส่งเสียงขึ้นมาเจื้อยแจ้ว  ทอรุ้งเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงงที่น้องฝันเรียกเธอด้วยคำที่เธอสอนไปสักครู่
            ม๊ะ!  ม๊ะ!  น้องฝันรัวเสียงก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้น  ก้อนแป้งโดหลากสีร่วงกระจาย  ทอรุ้งนั่งงงกับปฏิกิริยที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเด็กน้อย
             หนูน้อยเดินรี่ตรงไปที่ชั้นวางเครื่องเล่นดีวิดี  ทอรุ้งจึงเข้าใจ  เธอลุกขึ้นเดินตามไปพลางถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
             น้องฝันจะร้องเพลงเหรอคะ  
              เธอไม่ตอบแต่แหงนมองหน้าคุณครู  ทำปากขมุบขมิบ  ทอรุ้งสบตาใสแจ๋วคู่นั้น  
              ...เหมือนแม่จังเลย...    ทอรุ้งคิดอยู่ในใจพร้อมกับเอื้อมมือข้ามศีรษะเด็กน้อย  เลือกหยิบแผ่นDVD  ลงมา   2  3   แผ่น  ก่อนที่จะคุกเข่าลงข้างตัวส่งให้หนูน้อยเลือกอีกครั้งหนึ่ง				
26 กันยายน 2550 05:33 น.

รุ้งทอฝัน#2

ฝากรักฟากฟ้า

ภาพทิวทัศน์สองข้างเปลี่ยนไปเรื่อยๆตั้งแต่รถขับเคลื่อนเข้าทางแยกจากถนนใหญ่  ด้วยเพราะเป็นเส้นทางขึ้นสู่ดอยอ่างขาง     ซึ่งมักมีรถของชาวต่างถิ่นมาเที่ยวตลอดทั้งปี  สภาพท้องถนนจึงดีกว่าถนนสายเล็กๆ อื่นที่ไม่สำคัญ  จากปากทางเข้าสู่สวนส้มที่อยู่เชิงดอยมีหมู่บ้านใหญ่ๆหลายแห่ง  สังเกตจากการปลูกที่อยู่อาศัย  ล้วนแต่โอ่อ่าใหญ่โตแสดงถึงสภาพฐานะของผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน  ทอรุ้งอดรู้สึกทึ่งไม่ได้  คิดไว้ว่าตนคงจะได้มาอยู่ในสวนที่มีสภาพเรือกสวน  หมู่บ้านแบบเกษตรกรทั่วไป  กลับมาเห็นบ้านเรือนที่ทันสมัย  บางหลังเป็นเรือนไทยไม้สักหลัง  บางหลังทันสมัยอย่างหมู่บ้านจัดสรรในเมืองกรุง
          เจ้าของสวนส้มเป็นส่วนใหญ่  สวนลิ้นจี่น้อยลงแล้วค่ะ  แม่บ้านร่างท้วมหันมาเล่าให้ทอรุ้งฟังเป็นระยะ  ตั้งแต่ตรงหมู่บ้านปากทางเข้ามาก้อเป็นสวนส้มหมดแหละ    บางสวนก้อมีโรงแว๊กซ์ของตัวเองด้วยนะคะ
           ทอรุ้งได้แต่พยักหน้ารับฟัง  อีกไม่นานเธอคงจะรู้จักมากขึ้นเอง
พ้นจากหมู่บ้านก็เป็นสวนส้มที่เรียงรายตามเส้นทาง  แต่ละสวนดูกว้างใหญ่ไปจนสุดสายตา  กินอาณาบริเวณไปจนถึงไหล่เนินเขา   
          ครูมาช่วงนี้ก้อวายไปล่ะ  แต่บางสวนเขาบังคับให้ออกได้ตลอดปีก้อมี  เสียงมัคคุเทศก์เฉพาะกิจอธิบายเสริมอีก  ที่สวนคุณปราชญ์มีทั้งส้ม  ลิ้นจี่  แล้วก้อองุ่น
          มีองุ่นด้วยเหรอคะ   ทอรุ้งเอ่ยถามด้วยความสนใจ
          ค่ะ  ก้อเริ่มปลูกได้สักสองปี  กำลังขยายออกไปอีก
          ระยะทางจากตัวอำเภอเข้ามาที่สวนนับว่าไกลพอสมควร  จนกระทั่งสุดท้ายพาหนะสีน้ำตาลคันหรูเลี้ยวเข้าประตูรั้วสวน   ผ่านแปลงต้มส้มไปหลายแปลงแล้วจนดูเหมือนรถกำลังวิ่งขึ้นเนิน  ผู้โดยสารต่างถิ่นหันมองผ่านกระจก  เห็นแต่ต้นส้มสูงเป็นทิวแถว  มีคนงานกำลังตัดแต่งกิ่งส้มตามแปลง  
          รถแล่นผ่านไปตามถนนโรยกรวด  บ้านไม้ขนาดย่อมตั้งอยู่บนเนิน  รูปทรงตามแบบบ้านทรงยุโรปที่ทอรุ้งเคยเห็นในหนังสือประเภทบ้านในสวน  หน้าบ้านประดับด้วยซุ้มเฟื่องฟ้าอวดสีสันแข่งแสงแดดเจิดจ้าฤดูร้อน  คนขับรถขับขึ้นไปจอดพอดีหน้าบ้าน  ที่มีบันไดไม้ยาวลงมา 4-5 ขั้น  ไปสู่ระเบียงกว้างก่อนเข้าถึงตัวบ้าน
         ครูลงมาก่อนนะคะ  เดี๋ยวให้นายหรุ่งขนกระเป๋าไปไว้ที่บ้าน
         แม่บ้านตุบตับลงรถก่อนที่จะหันมาขยับเลื่อนเบาะให้ทอรุ้งก้าวลงรถ  เธอกล่าวขอบคุณเบาๆ  ขณะนายหรุ่งคนขับรถเดินอ้อมไปยกกระเป๋าลงจากกระบะท้ายรถคันใหญ่  เธอยังคงหิ้วเพียงกระเป๋าโน้ตบุ๊คเดินตามแม่บ้านขึ้นบันไดไป  มีทางเดินอ้อมไปด้านหลังบ้านซึ่งมีเรือนหลังเล็กแบ่งเป็นส่วนของครัวหลังหนึ่ง  และเรือนพักหลังเล็กอีก 2 หลัง  เป็นสัดส่วน  แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ทำให้ดูร่มรื่น 
         หลังนี้ค่ะครู  ป้าพรรณเรียกทอรุ้งพร้อมกับเปิดประตูเรือนเล็กชั้นเดียว  ทอรุ้งเดินตามเข้าไปในห้อง  เป็นบ้านพักที่ไม่กว้างอะไรมากมาย  ห้องนอนเป็นสัดส่วน  มีห้องน้ำในตัว  พื้นที่สำหรับนั่งเล่นหรือทำงานกว้างพอสมควร  
          ครูมีกระเป๋าแค่นี้เหรอคะ
           ค่ะ  ก้อไม่ได้เอาอะไรมามาก  ทอรุ้งตอบยังนึกขำในใจ  กระเป๋าแค่นี้ก็คือใบใหญ่ยักษ์  ที่อุตส่าห์แบกลากมาอย่างทุลักทุเล  แต่พอเปิดกระเป๋าออกมาก็จะเห็นว่าเธอมีแต่เสื้อผ้ามาพอประมาณ   หนังสือต่างๆ  ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือสำหรับเด็กมากกว่า
            ทอรุ้งค่อยหยิบออกมาวางเป็นสัดส่วน  ตู้เสื้อใบขนาดย่อมเข้าชุดกับเครื่องเรือนภายในห้องนอน  เรียบๆ ง่ายๆ  ดูสบายตา  เธอจัดหนังสือวางบนบนโต๊ะใกล้หน้าต่างข้างเตียงนอน  
            มองออกไปเห็นสนามหญ้าบริเวณไม่กว้างนัก  ตกแต่งบริเวณด้วยพุ่มไม้ดอกหลากพันธุ์หลายสี  มีชิงช้าสำหรับเด็กใกล้ชุดโต๊ะสนาม  ที่ดูเหมือนจะตัดแต่งจากรากไม้  เธอมองดูอย่างมาดหมายว่าจะต้องหาเวลาลงไปสำรวจให้ได้ในเร็ววัน  
           เมื่อเดินออกจากห้องนอนก็จะเป็นส่วนอเนกประสงค์  มีชุดโต๊ะเก้าอี้จากไม้ไผ่สีเหลืองทอง  ชั้นวางโทรทัศน์และเครื่องเสียงชุดเล็ก  ทำให้นึกสงสัยอยู่คร้ามครันว่า  เรือนพักหลังนี้เจ้าของบ้านคงจะจัดไว้สำหรับรับแขกเหรื่อที่น่าจะมากันบ่อยๆ  มีเคาน์เตอร์วางเครื่องดื่ม  ทอรุ้งแทบไม่ต้องคิดร้องขออะไรเพิ่มเติม
           พ่อเลี้ยง  ทอรุ้งนึกถึงภาพไม่ออกว่าจะเหมือนอาเสี่ยพุงพลุ้ยหรือคนคุมงานสวนดี  แต่ดูจากการจัดบริเวณบ้าน  หากไม่ใช่เป็นการว่าจ้างมัณฑนากรมาออกแบบ  ก็ถือว่าเจ้าของบ้านเป็นคนที่มีรสนิยมดีคนหนึ่งทีเดียว  
          แล้วไปได้กับคำว่าพ่อเลี้ยงเหร๊อ เธอนึกขันในใจอยู่คนเดียว

          เสียงเพลงดังขึ้นเบาๆ  ทอรุ้งรีบก้าวเท้ากลับไปที่ห้องนอน  มองหาโทรศัพท์มือถือ  เมื่อหยิบออกจากกระเป๋าถือจึงรู้ว่าไม่ใช่จากเครื่องของเธอ  เสียงนั้นยังดังอยู่เรื่อยๆ  เธอหมุนกลับออกมาจากห้องอีกที  ยืนหันรีหันขวางหาที่มาของเสียงก่อนจะเหลือบเห็นเครื่องโทรศัพทืสีเหลืองอ่อนแขวนติดอยู่ที่ผนังเหนือเคาน์เตอร์
          สวัสดีค่ะ  เธอกล่าวทักทายทันทีที่หยิบออกมาจากที่แขวน
          ครูเจ้า  ป้อเลี้ยงมาล่ะ  เปิ้นไค่ปะครูเน้อเจ้า  เสียงป้าพรรณดังจากปลายสาย  
          จะให้ไปพบตอนนี้เลยเหรอคะ  ทอรุ้งถาม
          ครูสะดวกก่อเจ้า
          ....ไม่สะดวกได้เหรอ  นายจ้างจะขอดูตัว....  ทอรุ้งแย้งขำๆ  ในใจ  หากพูดไปว่า
          ได้ค่ะ  ขอเวลา 10  นาทีค่ะ
          เจ้า  กำเดียวป้าจะฮื้อนางซอไปฮับเน้อ  ป้าพรรณสั่งอย่างเป็นการเป็นงาน  
           ทอรุ้งจึงรีบวางโทรศัพท์  เข้าไปหยิบซองเอกสารจากกระเป๋า  ก่อนที่จะหันไปสำรวจความเรียบร้อยของใบหน้าและเครื่องแต่งกาย  เสื้อยืดโปโลสีฟ้าสดใส  เพ้นท์ลายกล้วยไม้สีเหลือง  กับกางเกงยีนส์ลูกฟูกสีน้ำตาลเข้มที่ดูทะมัดทะแมง   เธอไม่ได้คิดว่าต้องเปลี่ยนใหม่เพราะชุดที่แต่งอยู่ก็น่าจะเรียบร้อยพอแล้ว   
           นางซอที่ป้าพรรณเป็นผู้หญิงร่างท้วมอีกคนหนึ่ง  ...อยู่ที่นี่คงอ้วนไปตามๆ กัน...  ทอรุ้งไพล่นึกไปนึก  พ่อเลี้ยง  พุงพลุ้ยอีกคนเช่นกัน  หน้าตาซื่อๆ  ยิ้มง่าย  คงเป็นหญิงต่างด้าว  เธอสังเกตจากสำเนียงที่พูด  
          นางซอเดินนำเธอจากเรือนที่พัก  เดินอ้อมเรือนหลังใหญ่ที่ด้านหน้า  เมื่อผลักบานประตูกระจกสีทึบเข้าไป  สัมผัสความเย็นที่ได้จากการออกแบบบ้านให้มีการถ่ายเทอากาศที่ดี  ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด
         จากเครื่องเรือนไม้เพื่อรับแขกสีน้ำตาลที่ออกแบบอย่างกลมกลืน เรียบๆ  ง่ายๆ  สร้างความรู้สึกอบอุ่นให้กับผู้ที่เข้ามาเยือน  ห้องโถงส่วนหนึ่งถูกกันไว้สำหรับเป็นที่ทำงาน  โต๊ะทำงานขนาดใหญ่  มีเพียงกล่องใส่เอกสาร  เครื่องจอคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุด  หลังเก้าอี้ทำงาน  เป็นตู้เก็บเอกสารขนาดสามชั้น  
         ที่สะดุดตาคือกรอบรูปไม้สักทองสลักเสลาเป็นเครือไม้อ่อนช้อยขนาดย่อมที่ประดับภาพถ่ายผู้หญิงคนหนึ่ง  ใบหน้าหวานซึ้ง  สังเกตจากรูปดวงตาที่เรียวรี  ชั้นเดียว  ตลอดจนลักษณะเครื่องประดับผม  เดาว่าคงเป็นคนที่มีเชื้อสายจีน  ทอรุ้งรู้สึกคุ้นๆ  คล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
         ขณะที่ทอรุ้งกำลังจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน  เสียงฝีเท้าหนักๆ กับเสียงพูดเบาๆ  จากข้างหลังทำให้เธอชะงักพร้อมกับหันไปมอง  
         ยิ่งทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ  เพราะคนที่เข้ามาใหม่นั้นคือ  ชายที่เธอได้พบแล้วเมื่อวานนี้  บนรถโดยสารที่เธอนั่งจากตัวจังหวัดมานั่นเอง
         อ้าว!  เอ๊ะ...  กลับเป็นเขาที่อุทานขึ้นก่อนทันทีที่เห็นหน้าเธอ
         คุณเองเหรอ โธ่เอ๊ย!
          นางซอเหลียวมองกลับไปกลับมาด้วยความงุนงง  
         เชิญนั่งเลยครับ  เขารีบเดินตรงมาและนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะทำงานอย่างไม่พิธีรีตอง  พร้อมกับเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงเช่นกัน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฝากรักฟากฟ้า
Lovings  ฝากรักฟากฟ้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฝากรักฟากฟ้า
Lovings  ฝากรักฟากฟ้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฝากรักฟากฟ้า
Lovings  ฝากรักฟากฟ้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฝากรักฟากฟ้า