21 กรกฎาคม 2549 12:09 น.

อาศิรวาทราชสดุดี

ลุงรอง

อาศิรวาทราชสดุดี

	เฉลิมรัฐ  เฉลิมราษฎร์  ชาติสยาม
	เกริกพระนาม  องค์ภูมิพล  ชนสุขสันต์
	ครองแผ่นดิน  โดยธรรม  เจิดจำนรรจ์
	ทั่วเขตขัณฑ์  ร่มเย็น  เป็นสุขใจ
		ทรงเป็นร่ม  โพธิ์ไทร  ไทยทั้งชาติ
		ผดุงศาสน์  วิกฤติชาติ  ปราศภัยได้
		พระทรงเป็น  ขวัญหล้า  ประชาไทย
		เสด็จไป  ปลดทุกข์ ประเทศ  ทุกเขตคาม
	ตามรอยบาท  พระราชกิจ  สถิตเสถียร
	พระผู้เพียร  พระกรุณา  ประชาสยาม
	เกริกพระเกียรติ  ปรากฏก้อง  ซ้องพระนาม
	ทุกย่ำยาม   ไทยวัฒนา  มาเนิ่นนาน
		พอทราบข่าว  พระประชวร  พาหวนไห้
		น้อมดวงใจ  สงบจิต  อธิษฐาน
		ขอวิงวอน  เทพไท้  ในจักรวาล
		โปรดประทาน  โดยพร้อมใจ  ถวายพระพร
	หกสิบปี  ครองสมบัติ  ขัตติยราช
	กราบพระบาท  ขอทรงสุข  สโมสร
	นบไตรรัตน์  เทพไท้  จตุรพร
	ประนมกร  ถวายพระองค์  ทรงพระเจริญ

		ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
                            ข้าพระพุทธเจ้า   ในนามสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทยอาจารย์ฐปกรณ์  โสธนะ (ลุงรอง) ศิลปินดีเด่นจังหวัดระยอง  
                                  สาขาวรรณศิลป์                ร้อยกรอง				
16 กรกฎาคม 2549 13:59 น.

กระถินริมทาง

ลุงรอง

กระถินริมทาง

	เก็บกระถิน  ริมทาง  ที่ข้างรั้ว
	นำมากลั้ว  แกล้มนางรม  ข่มคอหวาน
	สืบวิถี  มีตำรับ  นับเนิ่นนาน
	ถ่ายทอดการ  รู้หากิน  ถิ่นไทยเรา
					
             ปวงกระถิน  ในถิ่นไทย  ใบระบัด
            พลิ้วสะพัด  ยืนยง  คู่พงศ์เผ่า
           เขียวขจี  สีสล้าง  ใบบางเบา
           ดั่งยั่วเย้า  หนอนน้อย  จ้องคอยชม

	ยอดกระถิน  กลิ่นระทวย  ยังสวยสด
	ภมรมด  หมายมอง  จ้องสู่สม
	ชิมจนช้ำ  รองรับ  ดับอารมณ์
	คนถุยถ่ม  เหยียดกระถิน  กลั้วกลิ่นกาม

          ยอดกระถิน  ใส่กระถาง  กลางตะกร้า
         ล้างคราบคาว  กามา  ลาคำหยาม
         หวังกระถิน  กลับระทวย  ช่อสวยงาม
        พยายาม  เพียงใด  ไม่กลับคืน

	เปรียบกระถิน  เช่นสาว  คราวกำหนัด
	ใบระบัด  ไหวตามลม  อาจขมขื่น
	ยามลืมต้น  จักชอกช้ำ  ทนกล้ำกลืน
                      ด้วยไม่ฝืน  มือชาย  หมายเด็ดดม

        ช่อกระถิน  ริมทาง  ยังชูช่อ
        ไหวยอดล้อ  ลมลู่  อยู่สวยสม
        ยอดตระหง่าน   ทรงค่า  น่าชื่นชม
        ด้วยไม่หลง  คารม  คำคมชาย
					              ฐปกรณ์  โสธนะ (ลุงรอง)				
5 มิถุนายน 2549 10:18 น.

อหังการ์

ลุงรอง

อหงการ์

          อหังการ์
          โทษฟ้า  โทษดิน  หมิ่นสวรรค์
          เหยียดนรก  ยกตน  ก่นโลกันต์
           ประจญประจัญ  หล้าโลก  ให้โยกคลอน
                      เทพไท้ เทวะ  มัจจุราช
                      ก้องประกาศ  ท้าทุกสิ่ง  แม้สิงขร
                      เขาพระสุเมรุ  หิมพานต์  สีทันดร
                      เจ้าสาคร  เจ้าโลกา  เจ้าบาดาล
            กู   คือผู้  วาดฟ้า  เขียนสวรรค์
            กู   คือผู้  ฝ่าฟัน  ประหัตประหาร
            กู   คือผู้  ทอถัก   จักรวาล
            กู   คือผู้  สืบสาน  กาฬโลกันต์
                     กู...จะก้าว  ถึงพรหม  ยมโลก
                      กู....จะโยก   แดนอินทร์  ถิ่นสวรรค์
                      กู....จะเปลี่ยน  กูจะป่น  ปรับชนชั้น
                      กู....จะปั้น   กูจะแปลง  แต่ง  ไตรภูมิ
           จะถักถ้อย  ร้อยภาษา   เป็นอาวุธ
           จะจ่อจุด  ไฟปะทุ  ขุขุมขูม
            จะยื้อยุด  ฉุดลาก  กระชากภูมิ
            ให้ตามตูม  ต่อแต้ม  แย้มโลกา
                       จะเขียนฝัน  สรรค์สร้าง  วางสามโลก
                       แยกสุข โศก  จากฝัน  ผ่านภาษา
                       ปรับเปลี่ยนโลก  ให้วิวัฒน์  พัฒนา
                       นี่คือ....ความอหังการ์    ในบทกลอน

                                      ฐปกรณ์  โสธนะ
                                          ระยอง
                                    ๕  มิถุน. ๔๙
.				
26 พฤษภาคม 2549 10:25 น.

นิราศนครวัด

ลุงรอง


		                  วันที่สิบ  พฤษภา  ฟ้าคลุ้มฝน
ตีสามกว่า  ฟ้าร้อง  ก้องอึงอล	                  ปีสี่เก้า  เคล้าสายฝน  หล่นโปรยปราย
คนจัดทัวร์  โทรมาย้ำ  กำหนดนัด           กระเป๋าจัด  รีบเร็วรี่  สู่ที่หมาย
ทนยืนรอ จนเมื่อย  เหนื่อยใจกาย          กว่าผันผาย จวนตีสี่  ที่ตะพง
มีจุดหมาย  ปลายทาง  อ้างเด่นชัด           นครวัด  นครธม  สมประสงค์
เมืองเขมร  ชัยวรมัน  นั้นยิ่งยง	สืบอารยะ  มั่นคง  ดำรงมา
จากตะพง  มุ่งเมืองแกลง แหล่งนัดหมาย	มีหญิงชาย  ปวงครู  อยู่พร้อมหน้า
รถสองคัน  กำหนดนัด  ผลัดเวลา           ออกจากท่า  กว่าจะพร้อม  ต้องยอมทน
ถึงวังจันทร์  รีบรุด  จุดสุดท้าย               รับ ประวิทย์ แม่นหมาย  กลางสายฝน
กับเพื่อนพ้อง  น้องพี่  รวมสี่คน	รถผ่านพ้น  เขตระยอง  ถึงหนองปรือ
รถจอดให้  ที่ปั๊ม  ทำธุระ	                    ได้พบปะ  รุ่นพี่พี่  ที่นับถือ
จาตุรงค์  ประยูร  สมบูรณ์  คือ-	ผู้มีชื่อ  วงการศึกษา  มาแสนนาน
วิถีชน มักเป็น  เฉกเช่นนี้	                     เมื่อยามมี หัวโขน ชนโจษขาน
ค้อมคำนับ  รับใช้  ให้บริการ	เลิกลางาน  เหลือน้องพี่  ที่เหลียวมอง
ผ่านแปลงยาว  ฟ้าโล่ง  หกโมงกว่า	มีร้านค้า  ตลาดนัด  จัดขายของ
มีร่มเคียง  เรียงราย  อยู่ก่ายกอง	รถเลยล่อง  ทำเวลา  ลาแปลงยาว
เขาหินซ้อน  ซ้อนสลับ  รับธรรมชาติ	ด้วยพระราชดำริ สิเกริ่นกล่าว
เกษตรกรรม นำผลเลิศ  เพริศพริ้งพราว	แหล่งโน้มน้าว ฝึกฝน คนทำงาน
ไทยวิวัฒน์  ด้วยพระดำรัส  จัดชี้ช่อง	สืบสนอง  สิ้นทุกข์  สบสุขศานต์
พระบารมี  ผดุงไทย  ให้ยืนนาน	ทุกเหตุการณ์  ผ่านด้วย  พระบารมี
รถเลี้ยวขวา  มุ่งสระแก้ว แนวยูคาลิป	ป่าดงดิบ  อดีตหาย  ขยายที่
เป็นไร่มัน  สุดตา  มานานปี	                     แล้งทุกที  ไม่มีน้ำ ฉ่ำเช่นเดิม
เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ทำลายป่า	อวดอำนาจ  วาสนา  พาฮึกเหิม
ทั้งตัดเผา  ทำลาย  ไม่ปลูกเติม	กว่าจะเริ่ม รู้ค่าไม้  ก็สายเกิน
ดินเคยฉ่ำ  น้ำเคยชื่น  ผืนป่าปก	ป่าเคยรก  สัตว์อาศัย  ในเขาเขิน
น้ำเคยริน  ปริ่มคลอง  ท่วมหนองเนิน	บ้านเจริญ แต่ป่าลับ  ดับชีพลง
วัฒนานคร  หยุดทาน  อาหารเช้า	สิ้นร่มเงา ป่าไม้  ไพรระหง
รถจอดพลัน  ลงกันมา  แม่ค้างง	ต่างพะวง  สั่งอาหาร  ทานกันเอง
ข้าวหมูแดง  หมูกรอบ  ชอบขาหมู	ต่างคนตรู  กู่ร้องสั่ง  ดังโฉงเฉง
แม่ค้ายิ้ม  ระรื่น  ต่างครื้นเครง	เคยขายเก่ง  อย่างดี  ไม่กี่จาน
จากวัฒนานคร  จรสระแก้ว	มองทิวแถว  ป่าละเมาะ  รถเลาะผ่าน
เห็นผืนนา  เขาไถดะ  อยู่ละลาน	คล้ายอีสาน  คือผืนนา  กลางป่าไม้
รอน้ำฝน  ปรายโปรย  มาโชยชื่น	หวังดินชื้น ชุ่มฉ่ำ  หวังน้ำไหล
แม้นฝนฟ้า  เหือดแห้ง  แล้งคราใด	ในดวงใจ  คนก็แห้ง  แล้งพอกัน
ให้ร้อยฝน  ร้อยฟ้า  ที่ว่าแล้ง	น้ำจะแห้ง  ผืนไร่  ไม่อาสัญ
ใจคนแห้ง  แล้งไมตรี  มิให้ปัน	สังคมนั้น  พลันโหยแห้ง  ด้วยแล้งใจ
ทัวร์แจกบัตร  กลัดกระเป๋า ก่อนเข้าด่าน	วิไลวรรณ  ขานสำเนียง  เสียงใสใส
ตอนผ่านด่าน  บอกวิธี  ที่เดินไป	 แนะนำให้ ไม่เลยละ  ประสาทัวร์
ทัวร์แจกหมวก สีส้มให้ ใส่พร้อมพรัก	แล้วเดินชัก แถวเด่น เห็นกันทั่ว
เดินถึงด่าน  ผ่านตลอด  ลอดเรียงตัว	ไม่หวั่นกลัว  แม้ต่างถิ่น แผ่นดินไทย
มีคณะ ประสานงาน  ผ่านตลอด                 น้ำเงินหยอด  เรื่องธรรมดา  อย่าสงสัย
ท้องถนน  เลอะเทอะ  เปรอะทั่วไป	ฝนตกใหม่  คนเดินหลัง  ระวังตน
ขึ้นรถยืน  ฝืนร้อนล่วง  ผ่านช่วงแรก	ดูผิดแผก ระเบียบเมือง  เรื่องสับสน
สัมปทาน  ต่างช่วง  รับปวงชน                ต้องอดทน  ยืนเหงื่อไหล  ไปเปลี่ยนรถ
รถคันใหม่  มีแอร์  ดูแก่เก่า                      ลมที่เป่า  ไม่เย็นฉ่ำ  ทำเหงื่อหยด
เบาะจัดวาง  ช่างแคบจัง  นั่งตัวคด	ไกด์  ปรากฏ  กล่าวคำ  แนะนำตน
ชื่อว่า  อุดม  คง  ยืนตรงหน้า	พูดภาษา  ไทยได้   ไม่สับสน
สำเนียงแปร่ง  ไปบ้าง  ฟังชอบกล           หลายหลายคน  ไม่เข้าใจ  ให้ช่วยแปล
จากปอยเปต  ติดเขตสยาม  นามกระเดื่อง	มุ่งสู่เมือง  เสียมเรียบ  รถเพียบแปร้
ทางโยกโยน  ด้วยลูกรัง  ตั้งตาแล	ก้นย่ำแย่  เอวไกว  เคล็ดหลายคน
ร้อยห้าสิบ  กว่ากิโล  เหมือนโต้คลื่น	ทางก็ลื่น  ด้วยเลนขัง ทั้งถนน
หกชั่วโมง  กว่าจะถึง  ซึ่งต้องทน	กว่าจะพ้น  ผ่านไป  คงบ่ายคล้อย
ธรรมชาติ  สองข้างทาง  อย่างอิสาน   รถแล่นผ่าน  มองทุ่งกว้าง   อย่างเหงาหงอย
ในผืนนา  ข้าวทิ้งกอ  รอฝนปรอย           ไกด์  เหงื่อย้อย  บรรยาย  ตามรายทาง
รถนั้นแล่น  เลนขวา  ฝ่าดงหลุม	ฝนก็คลุ้ม  ฝุ่นก็เคล้า  เข้ารอบข้าง
รถโดยสาร  บรรทุกของ  จองจัดวาง	คนขาถ่าง  นั่งทับ  รับแรงลม
รถบรรทุก  ในบ้านเรา  เขาขนของ	คนนั่งต้อง  รถโดยสาร นั้นเหมาะสม
บรรทุกคน  ปนของ  ต้องชื่นชม	คือสังคม  เมืองเขมร  เป็นเช่นนี้
	
ศรีโสภณ  มื้อกลางวัน  ทานอาหาร	ด้วยความหิว  ต่างรีบทาน  ขมันขมี
เนื้ออ่อนทอด  ปลาช่อนย่าง  จัดอย่างดี	ไข่เจียวมี  ต้มยำ  ตามด้วยแกง
รสไม่แซ่บ  อย่างไทย  ใช้ได้นะ	ไม่จ๋าจ๊ะ  เหล่ากัลยา  หน้ายิ้มแฉ่ง
ตักข้าวให้  น้ำเติมแก้ว  แล้วชี้แจง	ตามด้วยแตงโม หวาน  ทานอิ่มท้อง
ทำธุระ  เสร็จเชิญ  เดินทางต่อ	รถวิ่งห้อ  ตะบึง  ทะลึ่งล่อง
ไกด์เล่าเรื่อง  ภาษา  พาทดลอง	บางคำต้อง  พูดย้ำ  ซ้ำหลายครั้ง
ซัวสะได  สวัสดี  ที่จำมั่น	                    บองสลัน  บอกรัก  ฝากความหวัง
ยำบาย  ให้ทานข้าว  กล่าวน่าฟัง	เอาก้น  พลั้งวาจา  ว่าขอบคุณ
ผ่านครึ่งทาง  รถต่างหยุด  ที่จุดจอด	วิ่งตลอด  ไปไม่ได้  ให้เป่าฝุ่น
กรองอากาศ  เครื่องฉีดน้ำ  ทำลุงทุน	เครื่องยนต์หมุน  ทั้งปั๊มน้ำ  ทั้งปั๊มลม
เข้าห้องน้ำ  ห้าบาท  กระจาดตั้ง	เจ้าของนั่ง  กล่าวขาน ประสานประสม
ผ้าทอมือ  หกผืนร้อย  ทะยอยชม	บางคนก้ม  นวดขา  ท่าผ่อนคลาย
รถแล่นเรื่อย ผ่านทุ่งนากลางฟ้ากว้าง  เห็นคว้างคว้างคล้ายควันฝุ่นหมุนจางหาย
สายฝนเริ่ม  เรียงโรย  ลงโปรยปราย	รถก็ส่าย  คนก็เสียว  คอยเหลียวมอง
แสนสงสาร  ชาวนา  น้ำตาหยด	ชนบท  ยากจน  ทนหม่นหมอง
ไม่มีน้ำ  ไม่มีไม้  ไม่มีคลอง	                    แล้วอยู่ครอง  ชีวิตได้  อย่างไรกัน
ความพอเพียง  เลี้ยงคนอยู่  สู้ชีวิต	ผลผลิต เลี้ยงชีพได้  ไม่หวากหวั่น
กินพอดี  อยู่พอดี มีแบ่งปัน   	สังคมนั้น  เรียบง่าย  ไม่เดือดร้อน
สี่โมงกว่า  รถบึ่ง  ถึงเสียมเรียบ             เราได้เปรียบ  ถึงก่อนใคร ได้พักผ่อน
แวะเข้าชม บาราย ในดงดอน	แล้วกลับย้อน  ไปชม พนมบาเค็ง  
มีบันได  ลดหลั่น  มีชั้นพัก	                    ต่างเยื้องยัก  สบายสบาย  ไม่รีบเร่ง
ขึ้นถึงยอด  ทอดถอนใจ  ไม่ต้องเกร็ง      อวดความเก่ง  บาเค็ง งาม  ชมตามใจ
หกโมงครึ่ง  รีบพลัน  ขมันขมี	สวัสดี  ชื่อร้านอาหาร  ทานแจ่มใส
เมนูเดียว  กับกลางวัน  อาหารไทย	ปลาเป็นใหญ่  ได้อิ่ม  ยิ้มอีกครา
ถึงโรงแรม  ขนกระเป๋า  ตรงเข้าห้อง	ห้องสองหนึ่งเจ็ดนั้น อยู่ด้านหน้า
เปิดทีวี  มีเพลงเขมร  ขึ้นเด่นตา	เห็นดารา  นักร้อง  จ้องฟังเพลง
ฟังไม่ออก  บอกไม่ได้  ไม่รู้เรื่อง	เวลาเปลือง  ไปเปล่า  เขาร้องเก่ง
หางเครื่องปิด  มิดคอค้ำ  รำโทงเทง	ดูก้างเก้ง ไม่อลังการ  เหมือนบ้านเรา
ก่อนจะนอน  ขอพรพระ  สาธุสะ	หมดภาระ  นอนหลับฝัน  ถึงวันเก่า
จดจำภาพ  จารึกไว้  ให้นานเนา	นำไปเล่า  กล่าวขาน  การเดินทาง
        ที่สิบเอ็ด  พฤษภา  ยามฟ้าใส	ตั้งใจไป  นครวัด  ที่จัดสร้าง
ทานกาแฟ  ข้าวต้ม  นมไปพลาง             มีทุกอย่าง  คล้ายเมืองไทย  แต่ไม่ครบ
กราบสุริยวรมัน  อันยิ่งใหญ่	                   สถาปัตยกรรม  อำไพ  ไม่รู้จบ
คืออำนาจ  อันเกรียงไกร  ในสามภพ	ได้พานพบ  ได้เห็น   เป็นบุญตา
พบท่านรอง  ไชยา  ประดิษฐ์ธรรม	ได้แนะนำ  รู้จัก   ทักตามประสา
ทานอาหาร  เสร็จพลัน  ทันเวลา             เจ็ดโมงกว่า   รถแล่นออก  นอกโฮเต็ล
จอดที่ด่าน  ท่องเที่ยว  เลี้ยวไปหน่อย	รถจอดคอย  ซื้อตั๋วผ่าน  ด่านมองเห็น
ฝนโปรยปราย  ลงมา  พาร่มเย็น	นับว่าเป็น  โชคดี  ที่ไม่ร้อน
บันทายสรี  หินสีชมพู  ดูลายสลัก	เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์สร้าง  แต่ครั้งก่อน
แกะหินทราย  สล้างนิมิต  วิจิตรกร	อรชร  อ่อนช้อย  เป็นรอยคม
เป็นเรื่องราว  สืบคุณค่า  รามายนะ	วางจังหวะ  หินสร้าง  ช่างสวยสม
องค์อุมา  ศิวะคู่  ชื่นชู้ชม	                  ยุคแห่งพรหม  ลัทธิพราหมณ์  นับพันปี
ศิวลึงค์  คือที่เกิด  กำเนิดโลก	ศุภโชค   ประสบชัย  บันทายสรี
บำบวง  สักการะ  ประเพณี	                     ณ ถิ่นนี้  คือสถาน  ประทานพรมีชุมชน  รายทาง  อยู่อย่างเก่า	บ้านมีเสา   ใต้ถุนสูง  ริมทุ่งสลอน
มีเกวียนจอด  เรียงราย  ใต้พื้นนอน	ส่องสะท้อน  ถึงวิถี  ชีวิตคน
ปลูกแตงโม  เรียงราย  ในนากว้าง	ที่ริมทาง   วางขาย  หลายร้อยผล
ผลเล็กเล็ก  แต่หวานกรอบ  ดูชอบกล	รถล่วงพ้น  ผืนนา  เจอป่าตาล
เจ้าของตาล   ปาดตาล  น้ำหวานย้อย	กระบอกห้อย  รอหยด  รับรสหวาน
หวานคำลวง   ทุกข์ท้อ  ทรมาน	มิเปรียบตาล  หวานแท้  รสแน่นอน
ถึงด้านหน้า  บายน  ทุกคนทึ่ง	มีนาคขึง  ครุฑยื้ออยู่  ดูสลอน
รามายนะ  เกษียรสมุทร  สุดสาคร	บ้างขาดตอน  ด้วยปรักหักพัง
เปลี่ยนรถใหม่  ไปรถเล็ก ยืนเก๊กหน้า	เห็นรูป  บายนใหญ่  ใครหนอตั้ง
ซุ้มประตู โอฬาร  ตระการจัง	                    ประดุจวัง  โบราณสวรรค์ อันงดงาม
นครธม  บรมสถาน  สานศาสนา	ประกอบ  พุทธบูชา  ท้าโลกสาม
สูงตระหง่าน  งามประเทศ  สมเขตคาม	บายนงาม  สล้างสลับ  ทับเรียงราย
สถาปัตยกรรม  นำวิจิตร	                    นิรมิต  มหัศจรรย์  แข่งจันทร์ฉาย
สูงสล้าง  ปานวังอินทร์  ด้วยหินทราย	ยอดปราสาท  เรียงราย  ไปสี่ทิศ
เสลาสลัก  หยักโค้ง  เป็นวงคด	ดังเทวดา  ฟ้ากำหนด  ให้ประดิษฐ์
สะท้อน  อารยธรรม  นำความคิด	สุดลิขิต  ระลึกคำ  นำชวนชม
จากบายน  ด้วยอาลัย  ได้พานพบ	งามเลิศลบ  ยิ่งล้ำ  งามสวยสม
สืบสถาน  อนุสรณ์  นครธม	                    งามหินคม  งามวงหน้า  องค์บายน
เดินมาขึ้นรถยนต์  บอกคนหาย	เห็นเยื้องกราย  นำหน้า   ฝ่าสายฝน
ทิ้งให้เรา  รอรถ  ด้วยอดทน	                     ไกด์ ต้องด้นดั้นหา  กว่าจะเจอ
ไกด์อุดม  หน้าดำ  เดินคร่ำเคร่ง	ประสานเก่ง  ตำรวจด้วย  ช่วยเสนอ
ไปผิดที่  ผิดปราสาท  อาจเบลอเบลอ	มานั่งเป๋อ  ตัวขด   ในรถแอร์    
อาหารกลางวัน  ร้านเก๋  ทะเลสาบ       เขาถอดคราบ  ร้านเจ้าพระยา  อร่อยแน่
เป็นบุ๊ฟเฟ่  คนแน่นร้าน  ขั้นจอแจ	ต้องเล็งแล  เดินหาจาน  นานเต็มที
เพียงอิ่มท้อง  ต้องอร่อย  ค่อยค่อยตัก	อาหารชัก  ร่อยหรอ  ขออีกที่
ทั้งอาหาร หวานคาว  ข้าวผัดมี	ขนมดี  ทานพออิ่ม ยิ้มแกนแกน
จาตุรงค์  เอามือไป  ทำไม้เท้า	เมื่อช่วงเช้า  บันทายสรี  ที่เจ็บแขน
ไปหาหมอ  คลินิกดัง  ในต่างแดน	คนไม่แน่น  แต่เจ๊กหมอ  ล่อสองพัน
ไป ตาพรม สมสวย  ด้วยต้นไม้	ต้น  สะพง  รากใหญ่  ไม่ผิดผัน
หุ้มก้อนหิน  ลดเลี้ยว  กอดเกี่ยวพัน	อัศจรรย์  ธรรมชาติ  มาวาดวาง
สูงอักโข  โตตั้ง  อย่างสง่า	                    ทั้งยางนา  ตะแบกใหญ่  ใบสล้าง
ที่โคนต้น  เจาะช่องทำ  น้ำมันยาง	ชูกิ่งกาง  แผ่ขยาย  หลายสิบวา
เดินตามทาง  กลางป่าใหญ่  ไกลอักโข	ต้นโตโต  หลายพันปี  ที่รักษา
เสียงดนตรี  บรรเลงพลาง  ตามทางมา	ไกด์บอกว่า  คนพิการ  หางานทำ
ทั้งขิมซอ  ล้อบรรเลง  เพลงพลิ้วไหว	คล้ายเพลงไทย  หยุดฟัง ช่างดื่มด่ำ
บริจาค  ด้วยเห็นใจ  ในเพรงกรรม	ขอน้อมธรรม  ได้รักษา  เกื้อการุญ
คนขายของ รบเร้า  เข้ามาหา	เสียงจ๊ะจ๋า  ซื้อบ้างไหม  ให้เกื้อหนุน
ยื่นข้างหน้า  มาข้างหลัง  ต่างชุลมุน	เราเริ่มคุ้น  ทำเมิน  แล้วเดินเลย
ลดราคา  หลายตลบ  พบตอนแรก	พอเดินแหวก  วงมา  หน้าตาเฉย
เสียงตะโกน  ลดแหลก  แปลกจริงเอย	ไม่คุ้นเคย  ให้สงสาร  หันไปซื้อ
มีซอด้วง  พันบาท  ปราดมาบอก	พอเดินออก  บอกสามร้อย  ถอยดื้อดื้อ
บ้างซื้อไว้  ไม่ได้ต่อ ก็ร้องฮือ	                    เหมือนเสียหน้า  เสียชื่อ  ซื้อของแพง
เริ่มเดินทาง  กลางแดด  ที่แผดร้อน	บ้างง่วงนอน  หลับตา  ดูหน้าแห้ง
ถึงรายการ  สุดท้าย  คล้ายหมดแรง	ไม่ได้แบ่ง  แรงไว้ตอน  นครวัด
อะร้าอร่าม  งามเหลือ  เมื่อได้พบ	ทั้งสามภพ  ชมว่างาม  ตามประวัติ
สะพานทอด  ตลอดยาว  เข้าทางลัด	สถาปัตยกรรมสร้าง  ช่างอัศจรรย์
เป็นหินทราย  เรียงก้อน  ซ้อนสลับ	วางซ้อนทับ  ยึดโยง   เป็นโครงมั่น
สูงตระหง่าน  ห้ายอดรับ  สลับกัน	ดูลดหลั่น  เรียงราย  ตามสายตา
เป็นลายครุฑ  ยุดนาค  ฉากสวรรค์	เป็นเชิงชั้น  สลับสลวย  ด้วยหินผา
ก่อเป็นเสา  เป็นผนัง  เป็นหลังคา	เอาหินมา  เรียงกัน  เท่านั้นเอง
เป็นชั้นลด  ชดช้อย  ซอยเป็นห้อง	มีระเบียง  เรียงเป็นช่อง  มองตรงเผง
เป็นหลืบซอก  ตรอกคั่น  น่าหวั่นเกรง	เดินรีบเร่ง  มุ่งมั่น  ขึ้นชั้นบน
ภาพอัปสร  ตามผนัง   ต่างโชว์ถัน	เลื่อมเป็นมัน  สอบถาม  ตามเหตุผล
มาลูบแล้ว  ลูบอยู่   ดูชอบกล 	เรื่องของคน  ถือโชคลาง  หรืออย่างไร
ภาพสวรรค์  อันตระการ วิมานสวรรค์	สุริยะวรมัน  นั้นยิ่งใหญ่
ชะลอเรื่อง  รามายนะ  ประดับไว้	คติพราหมณ์  ตามสมัย  ในก่อนกาล
รูปจำหลัก  ยักษ์ลิง  วิ่งโลดแล่น	งดงามแสนอัศจรรย์   พันปีผ่าน
อวดฝีมือ  งดงาม  ช่างชำนาญ	เป็นตำนาน  มรดก  ตกทอดมา
อาหารเย็น  ทะเลแม่โขง  เป็นโรงเลี้ยง	เก้าอี้เรียง  เป็นแถว  แนวด้านหน้า
เป็นบุ๊ฟเฟ่  ตักตามถนัด  ตามอัตรา	นั่งรอท่า  การแสดง  แห่งขะแม
ระนาดซอ  บรรเลง  เป็นเพลงกล่อม	เสื้อขาวมอม ใส่มานั่ง  ต่างยิ้มแปร้
เพลงโหมโรง  ประโคมดัง  นั่งเล็งแล	เพลินไม่แพ้  ดนตรีไทย  ในบ้านเรา
ทุ่มครึ่ง  เริ่มการแสดง   แสงไร้สี	สมนารี  สมละอ่อน  ยุคก่อนเก่า
เทพอัปสร  แห่งวิมาน  สืบนานเนา	ร่ายรำเคล้า  เพลงนำ  รำอวยพร
ละคอนนอก  เรื่องรามเกียรติ์ เปลี่ยนทีท่า	ชมลีลา  ลักษณ์ราม  งามแอ้นอ้อน
หนุมาน  ทศกัณฐ์  รำราญรอน             เหมือนโขนตอน  ตามสีดา  ประสาไทย
รำนกยูง  รำเกี่ยวข้าว  เอาไม้แกว่ง	รำท่าสอย  มดแดง แข่งเสียงใส่
ร้องเฮ้ เฮ้  โดดจ้ำ  นำกันไป	                     จบลงด้วย  ชุดใหญ่  อัปสะรา
       สิบสองเช้า  พฤษภา  ฟ้าคลุ้มฝน	จัดของขน  มาวาง  ทางด้านหน้า
เดินเข้าห้อง  อาหาร  ทานเฮฮา	จำต้องลา  อังกอร์แลนด์  แดนขะแม
ถึงสะจ๊ะ  โอลด์ มาร์เกต  เดินเตร็จเตร่	ต่างเดินเร่  ชมของวาง  บ้างยิ้มแต้
ชี้หยิบตาม  ถามแล้วต่อ  อยู่วอแว	อยากซื้อแค่  ครึ่งราคา  ร้องว่าแพง
ข้างขอทาน  ยืนรอ  ขอตังค์เศษ	  น่าสังเวช  หนักหนา  ยืนขาแข็ง
คนละพัน  มอบให้  ได้มีแรง	         แลกเปลี่ยนแปลง  สิบบาทไทย  ไม่เดือดร้อน
เป็นภาพพจน์  เก่าเก่า  เราเคยเห็น	เพลงเขมร  ขอทาน  แต่กาลก่อน
วัฒนธรรม  ย้ำเตือน  เหมือนสะท้อน	ชีวิตคน  แห่งนคร  เมืองขะแม
การทะเลาะ  เบาะแว้ง  แข่งกันใหญ่	ส่งผลให้  สังคมนั้น  เข้าขั้นแย่
มุ่งสู้รบ ความเป็นอยู่  ไม่ดูแล	จึงเกิดแผล  เก็บฝัง  สังคมคน
วิถีไทย  รักไว้เถิด  เกิดประโยชน์	อย่ามัวโทษ  ใครใคร  ไร้เหตุผล
สามัคคี  คือพลัง  สร้างมวลชน	จะล่วงพ้น  วิกฤตได้   ให้สามัคคี
รถเอนโอน  โยนโยก  โขยกเขยก	นั่งโงกเงก  สะเทือนสั่น  กระชั้นถี่
ขยับซ้าย  ย้ายขวา  ทุกนาที	                     โยกหน้าที  หลังที  ตลอดทาง
แวะรถพัก  สลักหิน  งานศิลปะ	มีรูปพระ  นารายณ์  ขายสองข้าง
สลักเสลา  เกลากรอ  ก่องานวาง	มีรูปช้าง  อัปสร  พระ  ศิวลึงค์
หินลับมีด   ก้อนนี้  ขายยี่สิบ	                     ขยับหยิบ  ใส่ถุงให้  หลายคนทึ่ง
อันหินทราย  ลับมีดคม  ดูกลมกลึง	  หอบให้ถึง  บ้านเรา  หนักเอาการ
หลายคนต่าง  ซื้อตาม  รุมถามไถ่	ด้วยอยากได้  ถือกลับ  ลับมีดขวาน
ขึ้นรถล่อง  คะนองโผน  โจนทะยาน	เสมือนนั่ง  บนอานม้า  ฝ่าฝุนควัน
ถึงด่านเร่  เข้าฮอริเดย์  พาเลส          เมืองปอยเปต  เขตแคว้น  แดนสวรรย์
คาสิโน   แดนทอง  ของนักพนัน    เพียงแวะทาน  มื้อกลางวัน  กันพร้อมเพรียง
คนเงินหนา  มาจากไทย  ได้มาสร้าง	เป็นหนทาง  หาเงินดี  มีชื่อเสียง
อบายมุข  ชี้นำ   ธรรมะเอียง	                    คือนักเสี่ยง หวังโชคช่วย   ด้วยผีพนัน
โจรปล้นบ้าน  ไฟไหม้  ยังไม่หมด	ติดพนัน  รันทด  สรดโศกศัลย์
สุภาษิต  สอนใจ  ไว้สำคัญ	                     คนศีลสั้น  กรรมประดัง  ม่านบังตา
ลาเขมร  แดนดิน  ถิ่นอัตคัด  	นครวัด  งามล้วน  ชวนศึกษา
ลำบากกาย  สู้ทน  ดั้นด้นมา   	ซึมซับค่า  อารยะ  ยุควรมัน
นครวัด  ยังอยู่  คงคู่โลก	                    เปรียบสุขโศก  คู่ใจ  ไม่แปรผัน
กอปรกรรมดี  มีธรรม  สิ่งสำคัญ	แก่งแย่งกัน  คือหายนะ  ควรละวาง
เก็บถ้อยคำ  จารึก  บันทึกไว้	ให้คนได้   หยิบอ่าน  ในวันว่าง
วิสาขะ  สี่เก้า  เราเดินทาง	                    ลุงรองสร้าง  ภาษาไว้  ให้อ่านเอย


		อาจาย์ฐปกรณ์  โสธนะ
           ศิลปินดีเด่นจังหวัดระยอง   สาขาวรรณศิลป์  ด้านกวีนิพนธ์  ร้อยกรอง
		 ๑๓  พฤษภา.  ๔๙				
8 พฤษภาคม 2549 08:35 น.

ทะเล

ลุงรอง

กรวดเรียงก้อน  รอรับ  ซับแรงคลื่น
            ทรายรอกลืน  คาวเค็ม   ขุ่นเข้มขม
            สนตระหง่าน   เสียดฟ้า  ท้าแรงลม
            พร่างใบพรม  ห่มผืนทราย  อยู่รายเรียง
                     หวีดหวีดหวิว  พลิ้วบรรเลง  เพลงกล่อมเห่
                     เพลงทะเล ขับขาน   ประสานเสียง
                     เรือลอยโล้  โต้คลื่นโยน  เอนโอนเอียง
                     นางนวลเคียง  คู่ขับ  โฉบจับปลา
            มองคุ้งฟ้า  ว้าเหว่  ทะเลกว้าง
            อารมณ์ว้าง  ว้าเหว่  เสน่หา
            ไม่มีใคร  ขีดคั่น  กาลเวล
            เหมือนชะตา   คนเรา  สุดเข้าใจ

                                 ฐปกรณ์  โสธนะ (ลุงรอง)
     
                     				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงรอง
Lovings  ลุงรอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงรอง
Lovings  ลุงรอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงรอง
Lovings  ลุงรอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงรอง