11 มกราคม 2554 07:07 น.

งักปุ๊กควุ้ง

สะพั่งสะท้านไมภพ

งักปุ้งคุ้งตัวเอกในนิยายกำลังภายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร ได้เผยแพร่วิทยายุทธให้แก่ลูกศิษย์และแพร่หลายถ่ายทอดตกมาจนถึงปรัตยุบัน สำหรับเหล็งฮู้ชงตัวละครอีกตัวหนึ่งก็มีลูกศิษย์ลูกหาแพร่หลายตกทอดมาถึงเช่นเดียวกัน ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันมีแบบนี้ คำโบราณพวกฮวนเผ่าหนึ่งกล่าวว่า หน้าไหว้หลังหลอก ข้างนอกสุกไสข้างในตะติ๊งโหน่ง กางเกงเก่าปะแล้วปะอีกของผมสีออกแนวเขียวกำลังจะไปขาวเป็นตัวที่ผมชอบมากที่สุด ภรรยาของผมแอบนำไปทิ้งแล้วหลายเที่ยวแต่ทว่า ผมต้องไปคว้ามาใส่ตลอดจนกระทั่งภรรยาไม่อยากจะยุ่งกับวิถีชีวิตของผมอีกแล้ว กางเกงตัวนั้นมันใส่แล้วทำให้ไม่มีผู้ใดอยากจะทักทาย หรือรู้จักแต่ก็ไม่กล้าทักทาย ผมกลับชมชอบอย่างยิ่ง เพราะผมก็ไม่อยากยุ่งกะใครเพราะเบื่อตัวเองและคนอื่นเหมือนกัน ผมมองคนหลายๆคนเที่ยวพลีเซ๊นตีหน้าหน้าตาไหลว่าปลาบปลื้มเห็นแล้วก็ได้แต่หัวเราะหึๆ ผมมองป้ายใหญ่โตเห็นได้ชัดของแต่ละคนที่แบกไปทำงานด้วยเอ้าเอากันเข้าไป ผมเห็นการทำตัวต่อหน้าของคนโง่ๆต่อคนที่โง่น้อยกว่า นึกถึงคำพูดของจานทูนขึ้นมาได้ว่า พั่งดูไก่ตรุษจีนซิพั่ง จิกกันเอง พั่งระลึกปล๊าบถึงปรมารจารย์ด้านความคิดคนหนึ่ง มีน่าโกวเล้งจึงได้มอบเพลงเก้ากระบี่เดียวดายให้กับน้าเหล็ง เก้ากระบี่เดียวดาย ความจริงมิใช่ท่ากระบี่ และอีกคำหนึ่งของจานทูนว่า พั่งคนโง่ในแผ่นดินนี้มีมากเกินไปจริงๆ ในความคิดการคิดอะไรชั่วๆได้เนี่ยผมว่ามันไม่โง่แล้วละครับ แต่ในมุมมองหนึ่งเท่านั้น ความสับสนของคนโง่แบบผมนิดหนึ่งเกิดความคิดขึ้นมาว่าแล้วทำไมไม่ทำตามแบบเขามั่ง ผมว่าการที่คนๆหนึ่งได้พบเจอะเจอสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอแล้วอยู่ได้น่าจะธรรมให้กระบวนการคิดทัศนคติของเขาปรับเปลี่ยนไป แต่ทว่าอีกคติหนึ่งคือพวกที่ออกไปเดินขบวนเนี่ยบางทีก็ต้องชื่นชมเพราะสละความสุขส่วนตัวเพื่อให้ได้มาเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง (ถ้าคิดดีจริงๆ) ในด้านของความมีเหตุผล หากพิจารณาเจาะลึกให้ดีแล้วจะเห็นว่ามันมีความจำเป็นต้องทำ แต่ทว่าผู้มีความจำเป็นแต่ทำไม่ได้ก็ต้องยอมรับ มีหลานคนหนึ่งพ่อแม่เขาถามว่ามีเด็กในห้องเกเรหรือเปล่า หลานคนนั้นตอบกับพ่อแม่เขาว่าไม่มีเลยสักคนเดียว แต่อีกในหลายวันต่อมา พ่อแม่กลับได้รับจดหมายจากครูถึงผู้ปกครองว่าเด็กของท่านเกเรให้ช่วยดูแลด้วย คือหมายความว่าบางทีตัวเราเองอาจไม่รู้ว่าเราเป็นใครกันแน่ระหว่างลูกศิษย์อาจารย์งัก กับน้าเหล็งฮู้ จนกระทั่งมีโอกาสก่อน
เมื่อมีโอกาสมาถึงเราถึงจะรู้ว่าเราเป็นใครกันแน่
เมื่อมีโอกาสโกงมาถึงเราถึงจะรู้ว่าเราชั่วหรือไม่
แต่มีความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างหนึ่ง เหล่าคณิกาล้วนคบหาแต่เงินทอง แต่ทว่ามีบ้างกลับเถียงอย่างหัวชนฝา
กลับมามองดูพื้นฐานของบ้านเมืองแรกก่อตั้ง
ข่าวสารโคมลอยที่กลาดเกลื่อน
เทคโนโลยีที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เยอะจนหาไม่เจอ
ผมสะพั่ง กลับนั่งหัวเราะ
จิบเฮนเนสซี่อย่างต่ำยี่สิบปี แม้แต่งกายราวกระยาจก แต่สุรารสเลิศเช่นนี้ไม่ควรพลาด
หัวเราะฮาๆด้วยความเมา
ทำให้เหล่าคณิกาบ้าคลั่งจนถึงขีดสุดได้
ทำให้ผู้บังคับบัญชาไฟธาตุแตกด้วยความโมโหได้
เคี๊ยกๆ				
28 ธันวาคม 2553 21:16 น.

พบลูกศิษย์อีกคน(คนที่ห้า)ของหุบเขาปีศาจ

สะพั่งสะท้านไมภพ

ไม่อยากเชื่อเลยทีแรกนึกว่าจะมีแค่สี่คน แต่หลังจากอ่านพงศาวดารจีนเรื่องไซ่ฮ่นแล้วไปไม่กี่หน้าก็ต้องตาค้างเพราะปรากฏว่ามีศิษย์สำนักหุบเขาปีศาจออกมาอีกหนึ่งคน และเป็นคนดังเสียด้วย
อันนี้เขียนไว้ชัดเจนเลย
ผมนั่งคิดว่าเอมันจะมาเรียนเอาตอนไหน
ไม่รู้ว่าท่านกุยก๊กซินแสจะกลายเป็นเซียนไม่ตายหรือเปล่า
จะว่าเป็นอาจารย์เหกเต๊กก็ไม่ใช่ที่จะสอนวิชาดูโหงวเฮ้งคนและความคิดเรื่องกลอุบาย
แต่ทว่าลีปุดอุยกลับเป็นศิษย์สำนักหุบเขาปีศาจ
แล้วกลับคิดเรื่องยกเมียท้องให้คนอื่นเพื่ออนาคตได้
สมชื่อแล้วว่าเป็นหุบเขาปีศาจจริงๆ
ผมว่าน่าจะเป็นซุนปินมากกว่าที่สอนสั่งเพราะน่าจะเป็นคนสืบทอดความรู้ทั้งหมด
แต่อย่างไรก็ตามความเลิศล้ำในอุบายก็ต้องยกนิ้วให้
แต่ทว่าความชั่วที่ทำไว้ก็ส่งผล
ซุนปินเคยวางแผนฆ่าบังก๋วนหรือผังเจวี้ยนตายในหุบเหว รวมทั้งฆ่าทหารตายอีกหลายหมื่นคนด้วยความโหดเหี้ยมจนศพทับซ้อนกันหลายๆชั้น
ความน่าสังเวชนี้เองจึงทำให้ซุนปินหยุด
แต่ทว่าเวรกรรมก็ต้องรับกันต่อไป
ผู้ที่สั่งฆ่าคนตายมากๆมิอาจรอดพ้นจากกรรมเวรไปได้อย่างแน่นอน
แต่ก็สงสัยว่าถ้าใช่ซุนปินแล้วทำไม
แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเหกเต็กหรือลูกศิษย์ก้นกุติของเหกเต็ก
เพราะวิชาที่ลี้ปุดอุยเอามาใช้เป็นวิชาที่ดูลักษณะคน
ซึ่งในสมัยไซฮั่นรู้สึกว่าจะมีวิชาความรู้นี้หลายคน
ฟันธงเลยดีกว่าไหม 
แต่ไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นก็คือ
ผมพบว่าศิษย์หุบเขาปีศาจคนที่ห้าแล้วอย่างมีหลักฐานชัดเจน
ไชโย				
21 ธันวาคม 2553 09:34 น.

เริ่มและ

สะพั่งสะท้านไมภพ

ในพงศาวดารตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
ในหุบเขากุยก๊ก หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าหุบเขาปีศาจ มีเพื่อนรักกันอยู่สองคนคือ บังก๋วน กับ ซุนปิน ทั้งสองก็ได้เรียนวิชามาจากสำนักเดียวกัน มีอาจารย์กุยก๊กซินแสสั่งสอน แต่เมื่อจบออกมาแล้วออกมารับราชการแล้ว บังก๋วน ไปได้ดีกว่าจนกระทั่งเจ้าเมืองงุยหรืองุยอ๋องไว้วางใจ แต่ก็กลัวว่าหากจะชวนซุนปินมารับใช้ด้วยก็เกรงว่าจะทำให้ตนเองตกไปจึงไม่ยอมให้เพื่อนร่วมชั้นเข้ามารับราชการด้วย
ช่างเหมือนเรื่องจริงทีเดียวว่าไหมครับ ว่าเพื่อนๆที่ได้ดีแล้ว แต่เห็นเพื่อนยังไม่ได้ดี กลับคิดกีดกันไม่ยอมให้การช่วยเหลือ กลัวว่าจะได้ดีล้ำหน้าตน สุดท้ายก็ไปไม่รอดอยู่ดี เราก็คงเห็นหลายๆท่านที่ผ่านมาแล้วนะครับว่าหากขาดคุณธรรมที่ควรจะมีแล้วยังไงก็ไปไม่ไกล ท่านคิดว่าท่านได้ช่วยเพื่อนๆหรือยังครับ ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็มี เช่นตอนหนึ่งที่เรียนโรงเรียนเสนาธิการอยู่ ท่านอาจารย์ชุ่มก็เรียนด้วย เช้ามาท่านจะแจกคำตอบการบ้านที่ต้องส่งอาจารย์ แต่ในตอนเช้าจะมาสำเนาให้เพื่อนๆและพี่หลายท่านได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ จนกระทั่งสำเร็จการศึกษา และได้ดีกว่าคนผลิตชิ้นแรกอีกด้วย พวกท่านเหล่านั้น คิดถึงพี่ชุ่มของเราบ้างหรือเปล่า
ในความเป็นจริงผมเห็นความกักขฬะหยาบช้าของพี่ๆ และน้องๆที่เคยผ่านสำนักเดียวกัน ผมไม่แปลกใจเลยขนาดคนในหุบเขาปีศาจยังมีชีวิตที่อนาถแบบนี้ หรือว่ามันจะเป็นเรื่องอีแบบเดียวกัน ฟันธง!
ในตอนนี้การทำงานของเจ้าหน้าที่ในแต่ละกระทรวงก็ลำบากลำบนมากมาย
ไม่ใช่เพราะว่างานหนัก
แต่ทว่าเป็นเพราะสู้เรื่องคอนเนคติ้ง กับ โปรปรากานดา ไม่ได้เลย
กับเพียงตำแหน่งลาภยศ
ก็ต้องเอากันถึงตายไม่ได้สนใจสิ่งที่บรรพบุรุษได้อาบเหงื่อต่างน้ำเอาโคตรเง่าครอบครัวเข้าแลกกว่าจะได้มาเป็นห้าแสนกว่าล้านตารางไมล์อย่างปรัตยุบัน
หากคนเราคิดดีจริงทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมจริงแล้วก็คงไม่เป็นปัญหา
แต่ทว่าทำจริงหรือ
รับราชการจะเจริญก้าวหน้าก็ต้องมีผู้มีบารมีประจำกระทรวงเป็นที่พึ่ง
เอากันขนาดนี้
ไอ้พวกนั้นเขาแสวงหาอะไรกัน
หรือเพียงเพราะอยากจะมีคำว่าอำนาจบาตรใหญ่เท่านั้น
สักวัน
เมื่อมีการจารึกความชั่วที่พวกเขาเหล่านั้นได้ทำไว้
โดยคนเขียนที่ไม่กลัวตายคนหนึ่ง
คงไม่จืด
เงินทองที่หาไปให้พวกเขา
ก็เป็นเงินทองจากหยาดน้ำตาของประชาชนของเรา
คนได้ก็เอาไปทำอะไรอะไรที่ตลกๆ
แค่นั้น
งักปุ๊กคุ้ง ช่างมากมายหรือเกินในโลกนี้
พวกแบกป้ายธรรมมะมากมาย
มิน่าเหล็งฮู้ชงถึงเอาแต่ร่ำสุราและดีดพิณร้องเพลงเย้ยยุทธจักรจนเมามาย
ไม่ได้แตกต่างจากนิยายเลย				
18 ธันวาคม 2553 07:12 น.

เตียงหนาว

สะพั่งสะท้านไมภพ

อากาศเย็นลมเย็นยะเยือกพัดต้องร่างกายของผม หนาวสะท้าน บนเตียง ผมใช้มือยาวดึงผ้าห่มจากปลายเท้าขึ้นมาคลุมร่างกาย แล้วใช้มือจัดผ้าห่มให้คลุมร่างกาย แล้วส่ายตัวไปมาเหมือนปลาในผ้าห่ม จนกระทั่งเกิดความอบอุ่นได้ที่จึงหยุดและนอนต่อไป
เช้าวันเสาร์สว่างแล้วแต่สรรพเสียงยังคงเงียบน่าจะเป็นว่าทุกคนต่างก็อุตุอยู่บนเตียงนอนของแต่ละละคนส่วนความอบอุ่นจากภรรเมียทางด้านข้างก็แล้วแต่คาแรคเตอริสติคของแต่ละท่านและตามบุพเพของแต่ละคู่
ในยามหนาวยังงี้มันเป็นธรรมชาติที่บีบบังคับให้ตัวเราต้องไปหาคู่และสิ่งที่ต้องการในตอนแรกก็คือหัวใจที่อบอุ่น ไม่มีใครจะสามารถต้านทานเรื่องที่ธรรมชาติบีบบังคับได้ การเริ่มต้นของการออกผาดโผนในยุทธจักร เมื่อใดก็ตามที่เริ่มอยากเห็นเพียงแค่หลังคาบ้านของคนอีกเพศหนึ่งเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็เริ่มจะใช้การได้แล้ว
น้ำหนักตัวได้เพิ่มมาขึ้นอย่างแอบซ่อน เพราะว่ามัวแต่จุ๊บจิ๊บจ๊อบแจ๊บกับของกินต่างๆ แต่ก็ไม่ได้ตกใจกับมัน ในตอนนี้นึกถึงหมีที่กินทุกอย่างสะสมไว้สำหรับจำศีล และเมื่อใดก็ตามที่จะเคลื่อนไหวอีกก็คงใช้พลังงานมากมายต่อไป
ในยามนี้เมื่อลุกขึ้นมาก็จะดูซีรีจีนแบบโบราณประกอบกับหนังสือพงศาวดารจีน ศึกษาให้มากขึ้นกว่าเดิมเพราะว่าน่าจะโหดเหมือนๆกับความจริงในปัจจุบันทีเดียว และได้ทำความเข้าใจที่หนังสื่อออกมา
ความแตกต่างระหว่างเกาหลีกับซีรีอื่นมันก็มีความแตกต่าง แต่เกาหลีรู้สึกว่าจะมีสาระให้กำลังใจผู้คนมากมายมากกว่า
ผมแย้มยิ้มให้กับตนเอง ในผ้าห่มชอบความเย็นแต่ต้องห่มผ้าให้อบอุ่น 
ในตอนเช้าหากมีอาหารร้อนๆ เป็นพวกผักๆ เช่นสุกี้ อย่างนี้คงแจ๋วอย่างยิ่ง
การงานที่เลือกได้
มันช่างน่าทำอย่างยิ่ง
อย่างน้อยก็ศึกษาพงศาวดารจีนให้จบก่อนอีกครั้ง ก่อนที่จะไปลุยกันอีกครั้งหนึ่ง
และครั้งนี้จะต้องเกิดผลงานที่ดียิ่งกว่าแดจังกึมปลูกผักที่เขตทาเจได้
แต่ทว่าอีกด้านหนึ่งของความคิด
เพียงพอดีกว่ามั้ง
เพราะในโลกปัจจุบัน การทำงานย่อมต้องถูกบีบบังคับให้กระทำในสิ่งที่ไม่ถูก
คนแบบไหนที่มียศฐาบันดาศักดิ์ตำแหน่ง
คนแบบไหนที่ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า
คนแบบไหนที่ถูกหลอก
คนแบบไหนที่โง่แล้วโง่อีก
สะพั่ง หัวเราะในที่นอน
เตียงในอากาศหนาวอย่างนี้หรือ จะไปเลือกเอาอย่างอื่น
แล้วผม สะพั่ง ก็กรนด้วยความสุขต่อไป				
14 ธันวาคม 2553 21:07 น.

น้านวย

สะพั่งสะท้านไมภพ

น้านวยแกหน้าตาแบบเดิมๆ เสียงพูดแบบเดิมๆ แต่ทว่ามีเรื่องเปลี่ยนแปลงอยู่หลายอย่าง เมื่อก่อนน้านวยแกไถบุหรี่เพื่อนสูบ จนประดาเพื่อนต้องเอาประทัดตรุษจีนจัดไปซะหนึ่งดอก
ผมรู้จักแกแค่นั้นในตอนนั้น
หลายสิบปีผ่านมา
ผมมองดูแกในวันแรก ผมจำไม่ได้ แต่ทว่าพอแกพูดออกมาน้ำเสียงและสำเนียงจำได้เลย
แต่แกเปลี่ยนไป ยศสูงกว่าเพื่อนแกหลายคน และมีเบ็นซ์ขับ
ความจริงผมทำงานก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าจะทำให้ใคร ผมก็ทำงานไปเพราะเห็นว่าถ้าไม่ช่วยทำแล้วงานจะบกพร่อง แล้วจะเสียชื่อเสียงของที่ทำงาน แต่แล้วก็บกพร่องจนได้เพราะความไม่รู้ว่าโง่หรือฉลาดแกมโกงของคนบางคนหรือเปล่า ผมนึกในใจว่า นี่เขาไม่เข้าใจเลยหรือไงว่าคนไหนเขาทำงาน
หรือว่าไม่สนแล้วสมัยนี้ อยากมีตำแหน่ง
อยากจะคอนเนคกับบุคลาหลายๆองค์กรภาคส่วนหน่วยงาน
อยากจะพรีเซ็นต์ตนเอง
มีวันหนึ่ง มีรุ่นพี่ผมคนหนึ่งดูดวงให้ 
สะพั่ง อย่าดื้อ สะพั่ง อย่าใจร้อน สะพั่ง อย่าเถียงนาย
สะพั่ง กลับยิ้ม
ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับผมสะพั่งคิดในใจ
ของแท้ต้องแบบนี้
มีวันหนึ่ง
คนที่เป็นห่วงหน่วยคอยเตือนคอยแย็บคอยค่อยๆแนะให้คนอื่นทำเพื่อไม่บกพร่อง กลับโดนด่าให้ฟัง
ในปีนี้ว่าจะปิดสติกเก้อหน้าที่ทำงานว่าที่นี่โนคอรัปชั่นส์
และหากต้องควักตังค์เพื่อการทำงานแล้วจะคิดนิดหนึ่งแม้ว่าจะไม่ค่อยมีกะตังค์
ไม่เคยร้องขอในสิ่งที่รู้ว่าไม่มี 
แต่กลับจะต้องโกงเพื่อแก้ปัญหาในการบริหารงาน
ผมสะพั่งขอลูกน้องให้มีตำแหน่งให้เหมาะสมกับที่ทำงานก็ไม่ให้
ผมขอให้คนที่เอาชื่อมาบรรจุมาทำงานทุกวันก็ไม่ให้
แถมยังด่าคนเก่าว่าไม่มีฝีมือ 
และจะเปลี่ยนในโอกาสต่อไป
ผมจึงบอกกับท่านด้วยความเคารพว่า
พี่ไม่จำเป็นต้องรอถึงเมษายนหรอกครับ
เมื่อพี่อยากได้ใครพี่ก็ปรับได้เลย
เพราะผมจะขอไปก่อนเอง
สวัสดีครับ
ผมก็ออกไปจากห้อง เก็บข้าวของที่โต๊ะ หอบฟูกที่นอนกลับบ้าน เมื่อบรรทุกสัมภาระเสร็จ ไม่ได้เอาของหลวงและเอกสารชิ้นใดๆไป แถมยังทิ้งไว้ให้อีกเยอะ
กะไว้ว่าใครที่มาเป็นเอาไว้อ่านศึกษากัน
น้านวย นี่เป็นเพื่อนกับ จานทูน
แต่อย่างว่าไม่มีใครจะพบกับสิ่งที่ดีๆได้อย่างเดียว
ผมยิ้มให้กับตนเอง
รู้สึกเสียดายนิดๆกับตำแหน่ง
ที่ไม่ได้มาด้วยการเพียงแค่อยากจะเป็น
แต่ได้มาด้วยการทำงานจนผู้ใหญ่เห็นว่าควรให้เป็น
การที่ทำงานก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเดิม
ดังนั้นการออกจากตำแหน่งอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะเสีย
ปกติก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
ผมนึกขำคำว่าคลื่นใต้น้ำ
ผมนึกขำว่ามีใครรู้บ้างหรือไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรต่อไป
สิ่งที่ผมทำล้วนแล้วแต่พึงพอใจ
ไม่ได้มีอะไรต้องคิดอีกว่าควรจะทำต่อไป
เป็นอย่างงี้เสมอ
ก็อย่างที่บอกละครับ
มันจะเผลอบ้าทุกที
สะพั่ง สะท้านไมภพยิ้มแย้มกลับบ้าน
และใช้ชีวิตให้มีความสุข
ติดตามน้านวยต่อไปว่าจะเป็นจั๋งใดต่อไป
สะพั่ง ยิ้มในใจ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสะพั่งสะท้านไมภพ