15 ธันวาคม 2551 06:08 น.

ถ่านไฟเก่า

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ นั่งยืนถือขวดน้ำเปล่ารองน้ำจากเครื่องกรองน้ำ แต่แรกก็หงุดหงิดในงานที่ต้องรอเวลาน่าเบื่อนี้ แต่ทว่า ในวินาทีต่อมาก็ระลึกได้ว่า แม้การกระทำดังกล่าวจะเป็นการเสียเวลาแต่หากทำให้การเสียเวลานั้นกลับกลายเป็นประโยชน์ก็จะไม่เสียเวลาต่อไป 
   ผมมองดูน้ำที่เทจากก๊อกและกระแทกกับน้ำที่มีอยู่แล้วในขวดและเห็นแรงกระเพื่อมซ้อนแรงกระเพื่อมและฟองอากาศที่กระจายออกไปเกาะตามขอบในขวด แต่ทว่าในห้วงของความคิดคำนึงนั้นก็ระลึกได้อีกว่า การคิดของผมมันส่ายไปส่ายมาเดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี ดังนั้นก็ระลึกได้อีกแล้วว่า จะต้องมีสมาธิก่อนคิด นี่เองจึงเป็นเรื่องที่กล่าวว่าการวิปัฏสนาจะมีพลังได้ก็ต้องมีสมาธิ ว่าแล้วผมก็ภาวนาลมหายใจเข้าว่าพุทธ และภาวนาตอนลมหายใจออกว่าโท สักพักจิตก็นิ่งแล้วก็เริ่มคิด
   เสียงโทรศัพท์ โทรเข้ามาในตอนประชุม ผมมองที่เบอร์แต่ก็ไม่รู้ว่าเบอร์ของใคร แต่เข้าใจว่าคงเป็นเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าเสียมากกว่า จึงรับด้วยเสียงอ่อนหวาน ตามแบบฉบับของพ่อค้าที่ดี
   สะพั่ง สะท้านไมภพ รับสายคร๊าบ
   พี่พั่ง จำน้องเพ็ญได้ไหม
   เอาละซีสะพั่ง สะท้านไมภพ คิดในใจ งานเข้าอีกแล้วละมั๊ง ในหัวสมองก็เปรียบไปคล้ายกับแรมในคอมพิวเตอร์ ได้ทบทวนถึงเดต้าอันมากมายสับสน รูปสาวๆสาวแก่แม่หม้ายรูปแล้วรูปเล่าผ่านไป ในมือถือก็มีคนชื่อเพ็ญเหมือนกัน แต่ดันจำไม่ได้ว่า เป็นชายหรือเป็นหญิง สุดท้าย ปิ๊งนึกออกแล้ว
   นานมากแล้ว นานทีเดียว เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมนับเข้าไปในหนึ่งในเจ็ดมารสะท้านหัวใจ ที่เคยกระทำให้สะพั่ง สะท้านไมภพ เป็นปีศาจสุรา นึกภาพเด็กสาวขาวอวบอึ๋มได้ขึ้นมา และน้ำตาของเธอที่กระจายเต็มเบ้าตาและใบหน้า และภาพผมตอนที่สะบัดหน้าจากเธอมาตอนที่เธอเดินไปกับเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีกว่าผม
   ผมหัวเราะใส่เข้าไปในรูไมค์ของโทรศัพท์มือถือ จำได้แล้วครับ
   น้องเพ็ญสบายดีหรือ
   เพียงเท่านั้น การคุยกันก็เป็นไปอย่างคุ้นเคย
   เมื่อเลิกสายแล้ว ผมก็แปลกใจที่ว่า มีความแตกต่างจากการรับสายจากเพื่อนที่นานๆจะเจอกันที ก็ยังมักหวาดระแวงว่าจะเป็นการโทรมาขายประกันชีวิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ทว่ากับน้องเพ็ญ หนึ่งในเจ็ดมารสะท้านหัวใจของกระผม ผมไม่คิดถึงเรื่องนี้เลย และรู้สึกสดชื่นหัวใจอย่างประหลาด
   แต่อย่างไรก็ตามในหัวของสะพั่ง ย่อมคิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนอนก็ยังนอนไม่หลับ เพ้อเจ้อเพ้อฝันไปเรื่อยๆ และในที่สุดก็กางสามนิ้วก่อนจะนอนหลับไป เป็นคำตอบสุดท้ายก่อนที่จะหลับจริงๆ
   แม้ว่า ความรู้สึกตัวว่าได้กระทำผิดไปต่อภรรยามามากแล้วและตั้งปฏิธานไว้ว่าจะไม่ทำให้เธอเสียใจอีกในทุกเรื่อง จะรุนแรงเพียงใด และผมก็ไม่อยากคิดว่าในหัวใจของหนึ่งมารสะท้านหัวใจที่ปรากฏโฉมขึ้นในยุทธจักร แม้ว่าจะใจแข็งตามที่ปากคิด แต่ทว่าเรื่องราวของความรักนั้นมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาอย่างผมและเธอจะต้านได้ แม้จะแอบอ้างอ้างอิงอย่างมั่นใจว่าเป็นพี่น้อง แม้ว่าจะไม่เคยทำอะไรด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของผมในอดีต แต่ทว่าอย่าประมาทดีกว่า อย่าประมาทแม้เพียงสักนิดในเรื่องของความรัก
   แม้ผมจะเกรง แต่ผมไม่กลัว ชีวิตต้องดำเนินต่อไป แต่ต้องเป็นในแบบที่คิดรอบคอบที่สุด และวางตรงจุดที่เหมาะเหม็งที่สุด
   นิ้วสามนิ้วก็คือ การผิดศีลข้อที่สาม
   ผมสะพั่ง หัวเราะให้กับตนเอง ในยามนี้ ความเครียดทับถมรุมเร้า ระลอกคลื่นทางคณิตศาสตร์การบัญชีนิติศาสตร์ปรัชญาที่เคยตกทั้งหมดกลับมารุมเร้ากระแทกกระทั้นอย่างไม่ปราณีปราศรัย
   ด่านถ่านไฟเก่าจะผ่านได้หรือไม่
   คนที่มีจิตใจรักการต่อสู้เท่านั้น จึงจะเห็นเรื่องที่เลวร้ายที่เข้ามาในชีวิตเป็นเพียงความสนุกสนานในรูปแบบที่แตกต่าง
   จะมีคนสักกี่คนที่ทนทานได้กับตัณหาในกายตน
   จะรอดหรือไม่
   หมอดูทายทักว่าเร็วๆนี้จะมีการแบ่งเงินเดือนเกิดขึ้น
   ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ หัวเราะในตอนนั้น และบอกหมอดูคนนั้นไปว่าไม่กลัว ไม่มีทางกลัว
   แต่ทว่า ณ วันนี้ ชักเริ่มน่าสะพึงกลัวเสียแล้ว 
   นี่แค่หนึ่งมารสะท้านหัวใจเท่านั้น ถ้าพากันออกมาจากที่หลบเร้นซุ่มซ่อนกายมากกว่านี้แล้วละก็
   สะพั่ง สะท้านไมภพ มีทางเดียว
   ธุดงค์เข้าป่าสถานเดียวเป็นแน่
   แต่ทว่า นี่เป็นเพียงแนวความคิดของสะพั่งเท่านั้น
   สะพั่งก็เหมือนกับคนตาบอดคลำช้างคนหนึ่ง
   หากมีคนเชื่อสะพั่งและทำตาม
   เกรงว่าจะพากันออกนอกวงโคจรไปตามสไตล์ของผม
   สะพั่ง หัวเราะเคี๊ยกๆ แต่อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องของความเหมาะสมของแต่ละบุคคล การลอกเลียนแบบโปรดต้องใช้ความระมัดระวัง				
13 ธันวาคม 2551 07:20 น.

ขวัญผวา

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผมกำลังมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องกับธุรกิจของผมอยู่ วันๆก็เครียดนั่งนึกหาวิธีเอาตัวรอดในยามเศรษฐกิจแบบนี้ 
   บังเอิญมีโทรศัพท์เข้ามา เป็นผู้หญิงโทรมาปรึกษาเรื่องงาน และโทรนาน และบ่อย จนภรรยาผมเริ่มออกปาก
   แย่จังเลย ผมคิด บอกภรรยาก็บอกไม่ได้ว่า กำลังคิดเรื่องสภาพคล่องอยู่ แต่ดันมามีโทรศัพท์จากหญิงแบบนี้ภรรยาของผมเธอคงจะเข้าใจผิดมากขึ้นกว่าเดิมแน่เลย แทนที่จะเครียดเรื่องเดียวกลายเป็นเครียดสองเรื่องพร้อมๆกัน
   ตายแน่ละหวา สะพั่ง สะท้านไมภพ
   ยิ่งภรรยา ผมออกปากแล้ว เงียบไปนานๆ เนี่ย แสดงว่า ใกล้แล้วที่จะระเบิดออกมา ใส่ผม สะพั่ง เละเป็นโจ๊กแน่เลย
   ความจริงในเรื่องแรกก็ยากที่จะต้านรับและแทบจะไม่มีกระบวนท่าต้านรับแล้ว และดันมาเจอกระบวนท่าที่สองซ้อนๆอีก สงสัยจะต้องโดนกระแทกถอยหลังไปเจ็ดก้าวพร้อมกับกระอักโลหิตแน่นอน
   สะพั่ง สะท้านไมภพ รวบรวมพลังลมปราณ ก้อนสุดท้าย ไว้ที่จุดที่ท้องน้อย พร้อมกับส่งพลังออกกระแทกในตาเดียว
   โครม ฝุ่นผลคละคลุ้งไปหมดจนไม่สามารถแลเห็นได้ และปราศจากร่องรอยของสะพั่ง สะท้านไมภพ 
   ในยามที่มีเรื่องราวประดังเข้ามาพร้อมๆกันหลายๆเรื่อง
    การมีสมาธิที่จะลำดับการคิดทีละเรื่องก็จะเกิดประโยชน์
    เรื่องราวมันมิอาจบรรเทาและสำเร็จในคราวเดียว
    แต่ในขั้นตอนแรกคือ การแก้ไขให้บรรเทา และใช้เวลาช่วยเหลือในการแก้ปัญหา
   ในปี พ.ศ.นี้ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนที่มีประสบการณ์มากๆแบบผม
   มันคล้ายกับว่าเป็นโจทย์ข้อสอบของคณิตศาสตร์ ปะปนไปกับวิชาอื่นรวมทั้งวิชาศีลธรรมหน้าที่พลเมืองด้วย อะอ้า เป็นโจทย์ที่ต่อให้คุณครูที่เก่งสักเพียงไหนก็ยากที่คิดหรือเห็นได้แบบผม
   ผมสะพั่ง เมื่อเห็นโจทย์ก่อน แล้วก็หัวเราะ แต่ไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายสะอึกสะอื้นแค่ไหน แต่ก็ขอหัวเราะไว้ก่อน
   สักพักเริ่มเครียด สูบบุหรี่มวนต่อมวน
   มีหลักการข้อหนึ่ง คือ ไปหาดูคนที่ลำบากมากกว่าเรา
   ก็ได้เห็นแล้ว 
   นึกอิจฉาคนอื่นๆที่สบายๆในเรื่องการใช้เงินและการใช้ชีวิต อันนี้ผมดูจากภายนอก
   ก็นึกวิธีแก้ปัญหายังไม่ได้
   แต่หากว่าจะใช้วิธีที่เอาตัวรอดไปวันๆโดยไม่คิดอะไรเป็นเวลาสักสี่ซ้าห้าปี ก็ยังพอเอาตัวรอดได้อยู่ 
   หากไม่คิดถึงตอนจบ ก็อาจจะไม่รู้สึกขวัญผวา
   แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าคิดไปไกลมากเกินไป เพราะถึงที่สุดแล้วอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด สาธุ ขอให้เป็นดังที่ท่านกล่าวเถิด
   ผมสะพั่ง สะท้านไมภพ คิดว่า ฤามันจะเป็นการเริ่มต้นเป็นนักธุรกิจอย่างเต็มตัว ก็ได้
   แต่อีกใจหนึ่งก็คิดไปว่า ฤาอาจจะเป็นหนทางที่เดินผิดพลาดอีกครั้งหนึ่งที่ใหญ่ๆในชีวิต
   สะพั่ง ครุ่นคิด และนิ่ง
   แต่เมียเริ่มจับตามองอีกและคงคิดไปว่าไปมีอะไรๆกับหญิงคนนั้น				
8 ธันวาคม 2551 07:06 น.

เจ๊เกี๊ยว

สะพั่งสะท้านไมภพ

เจ๊เกี๊ยว เป็นผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง แกอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านของผม บ้านของแกก็เป็นบ้านเช่าสร้างด้วยไม้ ชั้นเดียว ประตูหน้าบ้านแกเป็นแผ่นไม้กระดานต่อๆกันและใช้ไม้คานหน้าสามพาดและล๊อคด้วยตาปูตัวโตๆ
   เจ๊เล็ก เป็นอาจารย์หญิงโรงเรียนในอำเภอ เนื่องจากในตอนช่วงนั้นเป็นงานศพเตี่ยของเจ๊เล็ก ๆ ไม่รู้จะถามใครก็เลยถามเจ๊เกี๊ยว
   ไอ้นั่นทำยังไง ไอ้โน่นทำยังไง ไอ้นี่ทำยังไง
   ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร เจ๊เกี๊ยว ตอบได้หมด
    เมื่อคนเราหนึ่งคนกลายเป็นผู้มีความสำคัญในด้านออกความคิด ก็จะกลับกลายเป็นหลงลืมตัว เตลิดเปิดเปิงออกนอกวงโคจรไปได้ เจ๊เกี๊ยว ก็ไม่ได้มีข้อแตกต่าง
   ดังนั้น ข้อเสนอของเจ๊เกี๊ยว จึงได้กระจายเสียง ออกอากาศ ไปทั่วบริเวณงาน บางครั้งก็ไปที่กลุ่มแม่ครัว บางครั้งก็ไปที่ในที่จัดงาน บางครั้งก็เข้าไปในบ้านเจ้าของงาน นักเรียนที่มาช่วยงาน ล้วนแล้วแต่โดนเจ๊เกี๊ยว ให้ความคิดเห็น พวกไหนที่รับฟังและทำตามเจ๊เกี๊ยวว่า เจ๊เกี๊ยวก็จะยิ้มกริ่ม และเดินส่ายอาดๆ รวมทั้งชื่นชมด้วยโทรโข่งข้างล่างจมูกของแก แต่สำหรับพวกใดที่เบี้ยวแก เป็นโดนค่อนแคะแขวะควักทั้งต่อหน้าและลับหลัง อีกทั้งยังนำไปเรียนให้เจ๊เล็กทราบอีกด้วย
   ผมสะพั่ง สะท้านไมภพ ได้ร่วมงานด้วย และได้เห็นความน่ารำคาญในการบ่นของเจ๊เกี๊ยว และเจ๊เล็ก สองมารสะท้านแผ่นดิน แต่จากการสังเกตของผมเห็นว่าในถ้วยน้ำพริกกระปิ ที่แม่ครัวในงานได้ตำนั้น ได้ใส่พริกขี้หนูแบบลูกโดด เขียว ยั๊วะเยี๊ยะไปหมด และบังเอิญเจ๊เกี๊ยวเดินมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะพอดี ผมเลยแกล้งพูดลอยๆให้แก เจ๊เกี๊ยวได้ยินชัดๆ ไปว่า สงสัยจะต้องลดพริกในน้ำพริกลงหน่อย เจ๊เกี๊ยวแกไม่เข้าใจว่าผมเหน็บแกว่า เป็นพวกนกขุนทองกินพริกมากเกินไปแล้วก็พูดมาก 
   ใครที่ไม่เคยเจอคนบ่นใส่จะย่อมไม่รู้หรอกว่า เจอแล้วความอึดอัดแทบจะระเบิดออกจากร่างกาย มันเป็นอย่างไร
   เรื่องที่แกบ่นหากเป็นเรื่องทั่วๆไปก็พอรับไหว ว่าไม่มีสาระ แต่ทว่าหากเป็นเรื่องวิพากษ์คนอื่นเป็นอย่างโน้น คนนี้อย่างนี้ เพื่อให้คนอื่นเขาเห็นด้วยกับแกว่าคนที่แกบ่นนี้ไม่ดี อย่างนี้คนที่โดนก็รำคาญและพยามหลีกห่างไกล
   ตอนท้ายสุดเมื่องานจบ เจ้าของบ้านให้เงินตอบแทนช่วยเหลืองาน เจ๊เกี๊ยว แกทำท่าทางไม่อยากรับ และบ่นว่าลำบากใจมากเสียจนเต็มประดา และอิดออดอิดเอื้อนไปมา 
   ลีลาท่าทางตอนนั้นผมไม่แม้แต่อยากจะมอง ละครน้ำเน่าทางทีวีผมยังสามารถเดาได้ กับลีลาแบบในละครอย่างนี้ไม่แปลกใจเลยว่าเดาอย่างไรก็เดาถูก วันนั้นหลังจากได้เงินตอบแทนแล้วเจ๊เกี๊ยวก็ดูเหมือนจะมีความสุขทั้งวัน
   แม้ว่าเจ๊เกี๊ยว จะพอจัดอันดับได้ว่าเป็นตัวร้ายตัวเอก ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ แต่ทว่า ผมสะพั่ง คิดว่า บางทีทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวร้ายตัวเอกในเรื่องสั้นอื่นๆ หากได้รับเกียรติให้เป็นตัวร้ายบ่อยๆ ทัศนคติที่เคยคิดจะเป็นพระเอกตลอดกาลก็คงจะหดหายลงไปทุกที และกลับกลายคิดว่าตนเป็นพระเอกทั้งๆที่เป็นตัวร้ายชัดๆ
   มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะไม่รู้หรอกว่าตนเองโง่ แต่ทว่าคนที่รู้ว่าตนเองโง่จะไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน แต่ทว่าเวลาใดคิดและมั่นใจว่าตนเองฉลาด ก็นั่นแหละเวลานั้นก็จะเป็นเวลาที่ตนเองเผลอโง่ออกมา หากยิ่งคิดว่าฉลาดนานเพียงไหนก็แหละก็จะยังโง่นานพอกัน ตราบที่คิดอย่างนั้น
   ผมสะพั่ง สะท้านไมภพ มองไปที่ดวงตาเจ๊เกี๊ยว และลองคิดว่าผมเป็นเจ๊เกี๊ยวดู สิ่งที่ทำลงไปไม่มีความหมายใดๆต่อตนเองในทางที่ดีขึ้น แต่กลับให้ร้ายคนอื่นโดยได้รับความพึงใจที่ได้ให้ร้ายแก่คนอื่นกับตนเองก็แค่เนี้ยะ หรือเป็นความสุขที่หาได้โดยไม่ต้องลงทุนกระมัง
   ผมสะพั่ง โดนเจ๊เกี๊ยว ถามว่าจะมาไหมวันทำกงเต้กซึ่งเป็นวันสำคัญ จะต้องมาให้ได้ คนอื่นเขามาทั้งนั้น 
   ผมหัวเราะแล้วเอามือเกาหัว แล้วถามกลับไปว่า
   มาสายดีกว่าไม่มาเลย หรือไม่มาดีกว่ามาสาย เอเอ้าอะไรดี งง
   ผมไม่เห็นเจ๊เกี๊ยวตอบกลับมา ผมเลยเดินกลับไปขึ้นรถมาสด้าสามสองสามจีแอลเอ็กซ์ของผมกลับกรุงเทพฯ และก็นึกขำ ถามมาก็ต้องเจอถามกลับอย่างงี้แหละ อาจารย์ของผมสอนเอาไว้				
5 ธันวาคม 2551 17:24 น.

หมดตูด

สะพั่งสะท้านไมภพ

ขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง นายผมพูดโดยมองมาแบบนิ่งๆและให้ความสำคัญกับจอทีวีซะมากกว่า
   ผมรู้สึกตัวดีว่าน้ำตากำลังจะไหลแบบต้านทานไม่อยู่ ก็ต้องรีบออกแล้วเข้าห้องตนเองเพื่อซับน้ำตา
   เอาละพอควบคุมสติได้แล้ว ผมก็มองหน้าตนเองในกระจก เห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็ออกไปร่ำลาลูกน้องหน้าห้องเท่าที่จะทำได้
   ไปก่อนนะครับ เจอกันใหม่หากมีโอกาสครับ
   สายตาของลูกน้อง และการสัมผัสมือด้วยความจริงใจประทับตรึงแน่นไว้ในใจ 
   ผม ณ เวลานี้ตกงาน มันเป็นความอัปยศอย่างหนึ่งในชีวิต นอกจาก เกือกขาด เรือรั่ว เมียชัง แต่ทว่าในห้วงแวบหนึ่งของความคิด ผมนึกขึ้นมาได้ถึงเพลงกลับบ้านเรารักรออยู่...
   ความองอาจ สง่างาม เค้าหน้ามีสง่าราศี ความใหญ่โตโอหังอวดดี ได้ผ่านเข้ามาในสำนึกเป็นระลอก ผมขับรถมาสด้าสามสองสามจีแอลเอ็กซ์ กลับไปบ้าน คนเราเมื่อตกงานแล้วดูเหมือนว่า บรรยากาศของบ้านมันเปลี่ยนไป ดูมันทมึนๆทึบๆอับๆยังไงพิกล และดูเหมือนว่าโลกนี้ช่างแสนจะเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน
   ผมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชาวบ้าน และขับรถออกไปยังศูนย์สรรพสินค้าของชาวต่างชาติ และจอดรถไว้ และเดินชมบรรยากาศในเมือง และไม่รู้จะทำอะไรก็เข้าไปดูหนัง 
   เมื่อหนังเลิก ความจริงหนังเรื่องนี้เมื่อดูแล้วก็น่าที่จะมีจิตใจอึกเหิม และปลอบจิตใจให้เกิดใจรักที่จะสู้ต่อไป แต่ทว่า ไม่มีความรู้สึกจะสู้อีกแล้ว ผมเดินไปหาข้าวทาน รสชาติก็จืดๆ ไม่ได้มีความอร่อย อีกทั้งข้าวสวยที่กินก็แข็งปากจนกระเดือกแทบไม่ลง แม้แต่น้ำก็เป็นเพียงผู้ช่วยให้ข้าวที่สุดฝืนนี้ไหลลงไปตามลำคอก็เท่านั้น
   ผมควักกระเป๋าตังค์มาดู เห็นมีแบ๊งค์ร้อยเพียงใบเดียว และล๊อตเตอรี่อีกหนึ่งใบ ก็เท่านี้ ผมขับรถยนต์ประจำตำแหน่งของผมกลับบ้านพักในต่างจังหวัดอย่างเดียวดาย
   เมื่อมีตำแหน่งมีเงิน เพื่อนฝูง น้อง พี่ ต่างก็เฮฮาโทรศัพท์มาคุย และมาขอความช่วยเหลือหลายๆอย่าง แต่ยามนี้มีสักกี่คนที่จะโทรมาหา
   ผม นอนล้มตัวบนเตียงในบ้านพักต่างจังหวัดและเอามือเท้าหน้าผาก นอกแล้วก็ถอนหายใจ นึกถึงเรื่องราวต่างๆ นึกถึงวิธีต่างๆก็แล้วน
อนไม่หลับสักที ความมืดครอบคลุมนอกบ้านและในบ้านหมดแล้ว มันเหมือนกับความมือของชีวิตของผมในตอนนี้ 
   คิดถึงเมียและลูกใจจะขาดอยู่แล้วแต่จะต้องไปในวันพรุ่งนี้
   น้ำตาลูกผู้ชายของผมไหลอีกแล้ว ไหลออกมาด้วยความทุกข์แสนรำเค็ญ อีกแล้ว
   เพียงแค่ความเปลี่ยนแปลงแบบหักมุมของชีวิตก็ทำให้ต้องตกทุกข์ระกำระบากถึงเพียงนี้
   เจ็บปวดไม่เพียงแค่ร่างกาย แต่ต้องเจ็บปวดทางจิตใจอย่างที่หนักกว่าคำว่าอกรักเป็นหลายเท่า เพราะว่ามันเป็นการสูญเสียความตั้งใจในการที่จะกระทำความดี สูญเสียความตั้งใจในการทำงานอย่างซื่อสัตย์และสุจริต สิ่งที่ได้เสียสละและทำเพื่อส่วนรวมมันเป็นการเสียเปล่า ไม่มีแม้แต่สักผู้จะเข้าใจ
   ในตอนรุ่งเช้า ผมขับรถกลับบ้านพร้อมเข้าของที่สามารถจะขนมาได้เท่าที่รถคันเก่งคันโปรดซึ่งเป็นเพื่อนตายจะรับไหว เมื่อมาถึง ที่บ้าน
   ผมเล่าให้ภรรยาฟังถึงการปลดของผม เมียผมเขาได้รับฟังก็เข้ามาปลอบใจ และเข้าใจดีที่ต่อไปจะไม่มีความหวังใดๆเกี่ยวกับอนาคตของผมที่เมื่อก่อนเคยหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาและเป็นหลักสำคัญให้แก่ครอบครัวของเรา
   ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นฟ้าผ่าในยามค่ำคืนและมองเห็นสัจจะธรรมของคนได้ข้อหนึ่งคือ ครอบครัวเป็นความสุขที่แท้จริง เรื่องหนึ่งของชีวิต
   บทบาทในอดีตของผมที่กระทำผ่านมาได้เข้ามาในห้วงของความคิดของผมเป็นฉากๆ และส่วนมากทุกฉากก็เป็นไปตามแรงความบ้าของความทะยานอยากในจิตใจอของผม จนเกิดสำนึกละอายในการกระทำเมื่อครั้งก่อนขึ้น
   การปลอบประโลมใจของภรรยาทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น และพอวันต่อมาหวยออก ผมนึกขึ้นได้ก็เลยเอาล๊อตเตอรี่มาตรวจ ผลก็คือ คำตอบว่า สลากหมายเลขนี้ของคุณคุณไม่ถูกรางวัลคะ 
   จากงานการที่ทุ่มเท เปลี่ยนกลับกลายมาเป็นคนทำกับข้าว ซื้อกับข้าว รีดผ้า เติมน้าใส่ขวด เอาน้ำใส่ตู้เย็น ซักผ้า ซ่อมแซมเครื่องไฟฟ้า จิปาถะ วันๆก็หมดไปในแบบนี้ แต่ก็ยังรอความหวังแบบราชรถมาเกย และซื้อล๊อตเตอรี่ทุกงวด
   แป่วๆ.......เหมือนเดิม ถูกกินเหมือนเดิม
   ผมมองดูคนอื่น แล้วเปรียบเทียบกับตัวผม เริ่มคิดได้แล้วว่า ไอ้สิ่งที่ผมมั่นใจว่าทำแต่เรื่องดีๆเนี่ยมันชักจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดซะละมั้ง
   โดนหลอกเสียแล้วละมั้ง
   มัวแต่ร้องเพลงความฝันอันสูงสุด ปลอบใจ
   ผมเลยกลับได้คิดว่า บางทีผมอาจจะเป็นคนที่ชั่วร้ายคนหนึ่งจริงๆ
   ดังนั้น คิดอย่างนี้ สิ่งที่ได้รับก็สมควรกับที่เป็นคนชั่วๆแล้ว				
3 ธันวาคม 2551 09:20 น.

OUT OF ORDER

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผม สะพั่ง สะท้านไมภพ ยืนบนเหวข้างลำน้ำใต้เขื่อน มองออกไป เห็นท้องฟ้า ขอบตลิ่งอีกด้าน และต้นไม้สูงที่อยู่ข้างล่าง มันเป็นความสงบในท่ามกลางความวุ่นวายของบริบทที่ไม่มีแม้แต่คำตอบ ผมรับพลังความนิ่งจากสิ่งที่มองอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครรู้หรอกว่า ความเจ็บปวดรวดร้าวมันเป็นอย่างไร และไม่มีใครเลยหรือที่จะรู้จริง แม้แต่สักคน แต่พวกที่เอาแต่แหกปากพล่ามตำหนิติติงคนอื่นเนี่ยช่างมีเยอะเสียจริง
   อิ๊ฟ ด๊อกเตอร์ ถอดยกทรงและกระโปรงสั้นจิ๋วออก และเมื่อเปลือยหมดแล้วก็เอาผ้าขุนหนูสีขาวมาห่อตัวปิดนมกระเพื่อมและน้องสาวเอาไว้ และเดินเข้ามานั่งเบียดผมบนเตียง พร้อมกับเอามือมาบีบนวดต้นขา แต่ทว่าตามองจอทีวีหนังไทย ผมขอให้เธอหยิบเบียร์มาให้ เธอก็เดินไปเอาเบียร์และแก้วข้างตู้เย็น รินเสร็จก็ยื่นมาให้ผมจิบ และเอนตัวเธอมาเบียด ตาดูหนังกับน้ำในอ่างว่าเต็มหรือยัง
   ผมเห็นรูปร่างของเธอและความสาวสวย นึกไม่ออกเลยว่าเธอจะแพ้ใครในบรรดาสตรีที่ผมเจอมา ตอนนั้นยังไม่รู้แต่ตอนจบน่าจะเปอร์เฟ็คในทุกเรื่อง
   ชีวิตของคนเราที่ผ่านมามันผิดพลาดแล้วผิดพลาดเล่า จนกระทั่งชาชินกับความผิดพลาด
   ผม เคยอกหัก ชอกช้ำ ร่ำสุราจนกลายเป็นปีศาจสุรา แต่ทว่า ณ วันนี้คิดไปถึง เมื่อก่อนนี้มันบ้าบอคอแตกพิลึกพิลั่นเกินไปจริงๆ ไอ้ความที่คิดว่า โคตรฉลาดเนี่ยเองที่ทำให้ชีวิตมันผิดพลาดไปเรื่อยๆ 
   ผู้หญิงหรือผู้ชายเมื่อแก้ผ้าแล้วก็คือๆกัน ผมมองดูไอ้น้องชายของผม ณ ปัจจุบัน ในตอนนั้น น้องอิ๊ฟแกฟังผมพูดและต่อว่าว่าผมพูดเร็วจนฟังไม่ทัน ผมหัวเราะและก็สอนน้องเขาไปว่า รู้ไหมว่าชายที่พูดยานคางนั้นส่วนมากมักจะเป็นเกย์ แต่ทว่าพวกที่พูดเร็วนั้นส่วนมากจะเป็นช่างเย็บ
   น้องอิ๊ฟ หัวเราะคิกๆ ประสาไทยใหญ่ของเธอก็ไม่ค่อยชัดเหมือนกัน แต่ผมไม่ต่อว่า เพราะเบื่อหน่ายการต่อว่าคนซึ่งไม่รู้ว่าจะต่อว่าไปทำไม
   และเมื่อก่อนปฏิบัติการอันสุนทรบ่อย จนทำให้กระบอกยิงน้ำทั้งใหญ่และยาว แต่ทว่าปัจจุบัน ไม่ค่อยได้ใช้จึงทำให้มันหด
   น้องอิ๊ฟ หัวเราะคิกๆ
   เมื่อจบภารกิจ ไม่แม้แต่จะถามชื่อหรือถามเรื่องไร้สาระ ผมก็ออกมานั่งรอเพื่อนรุ่นพี่ข้างนอก ข้างนอกก็มีด๊อกเตอร์มากันเยอะแล้ว ผมก็มองชมความงามแบบแปลกๆละลานตาอย่างลืมตัว แม้ตอนนั้นแรงข้าวต้มจะหมดไปแล้วก็ตาม
   แป๊บเดียวเพื่อนรุ่นพี่ก็หน้าซีดเซียวยิ้มเผล่เดินมา ในสมองผมคิดปรู๊ดปร๊าดเร็วจี๋ นี่ก็แสดงว่า ฝีไม้ฝีมือพอๆกัน ไปกันได้ และคราวหน้าเป็นคราวของเพื่อนรุ่นพี่แล้ว และแกให้คำมั่นสัญญาว่า จะเรียกพวกไซน์ไลน์มาใช้บริการในคราวหน้า
   เราทั้งสองออกมาจากร้าน พี่เขาเดินเลยรถออกไป ผมจึงกระแอมเพื่อให้แกรู้ตัวว่าแกเดินเลยรถผมไปแล้ว แกก็นึกขึ้นได้ และยิ้มอย่างอายๆ แต่ผมคิดอย่างรวดเร็ว พี่แกคงเล่นซะเบลอเลยนะเนี่ย
   รถมาสด้าจีแอลเอ็กซ์ของผมส่งเสียงดังกระหึ่มและขับพุ่งโลดแล่นจากสถานบันเทิงแห่งนั้นออกไป
   ความผิดพลาด ที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้ทำให้ย้อนคิดไปในอดีตที่แสวงหาอย่างมีสาระ แต่สิ่งที่ได้กลับมีแต่ความมีสาระในขณะนั้นแต่ไร้สาระหนักในขณะนี้
   แม้ว่าสนามบินจะถูกยึด ประเทศจะเจ๊ง ประชาชนตาดำจะทำอะไรได้ นอกจากจะยังงงและเครียดว่ามันทำอะไรกัน กับความโง่ของผมยังไม่อาจจะออกคำตอบออกมาเป็นปรนัย ได้แม้แต่ผิดทุกข้อ
   ก็คงต้องปล่อยมันไป แม้ว่า ธนาคารทุกธนาคารจะเจ็งอย่างไม่เป็นท่า แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนระบอบการปกครองใหม่ ผมยักไหล่ช่างหัวมัน
  ชีวิตของผมแม้ว่าที่จะผ่านมาจะรู้ว่าโง่กระทำการโง่ๆ แต่ก็ช่างหัวมัน ก็จะขอโง่ๆแบบนี้ต่อไป 
   ผมได้คิดแล้วว่า ความผิดพลาดเป็นเรื่องที่ต้องเกิด และยังต้องเกิดอีกต่อไป ถ้าหากเรามัวแต่แก้ไขความผิดพลาดในปัจจุบัน สิ่งที่ต้องเกิดคือก็ต้องแก้ไขความผิดพลาดไปจนตาย
   สะพั่ง หัวเราะก้อง พออะไรมันเสร็จสมอารมณ์หมายแล้วมันก็ปลอดโปร่ง เพียงแต่ในยามนี้ก็เพียงพอแล้วมั้ง
   บริบทในตอนนี้ทำให้ทัศนคติแปรเปลี่ยนกลับกลายไป และเมื่อเราคิดว่าตนเองแปรเปลี่ยนกลับกลายแล้วก็อย่าได้พึงคิดเป็นอันขาดว่าคนอื่นเขาจะยังไม่แปรเปลี่ยน อันที่จริงแล้วเขาทั้งหลายแปรเปลี่ยนกันไปตั้งนมนานกาเลแล้วต่างหาก
  สะพั่ง หัวเราะเคี๊ยกๆ เมื่อมีความเครียดมาก็ต้องระบายความเครียดบ้าง
  ก็เป็นไปตามที่พระท่านว่าไว้ อย่าไปคิดไกลเกินไป จริงๆแล้วมันไม่ได้รุ่นแรงอย่างที่คิด
  สะพั่ง ชักบุหรี่ที่เมียห้ามออกมาดูดและคิดเหมือนเดิมว่า หมดซองนี้แล้วจะเลิกทุกครั้ง พอสูบๆไป คนที่เดินผ่านมองหน้าผม เดาได้เลยว่าเขาคงจะประนามการกระทำชั่วของผมยิ่งกว่าพวกยึดสนามบินเป็นแน่
  สะพั่ง ยักไหล่ และมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนสูงอายุที่จ้องมา
   เรื่องราวของเพศก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องความลับที่สูงส่ง ในสภาพปัจจุบัน มันก็มีความคิดที่เปลี่ยนไปจนน่าตระหนก เพราะไอ้ข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไปเนี่ยเอง จึงทำให้ไม่รู้แล้วว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด
   ผมสะพั่ง คิดว่า แม้แต่ความถูก หรือ ความผิด มันอาจจะใช้อะไรเป็นบรรทัดฐานวัดไม่ได้เลยเป็นแน่
    ก็ในเมื่อผู้แข็งแรงย่อมสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกได้
    ก็เรียนเชิญนะครับ สำหรับผมแล้วจะขอเริ่มต้นอยู่ในโลกนี้ด้วยความโง่ คือตั้งต้นโง่มันซะเลยตั้งแต่วันนี้ ก็เป็นการเริ่มใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในสมมุติฐานดังกล่าวข้างต้น
    ก็ตั้งใจแล้วครับว่าจะโง่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะโง่ไม่ออก
    เมื่อหมดมวล ผมก็ทิ้งบุหรี่ในร่องน้ำตามเคย ผมสะพั่ง ก็เดินต๊อกแต๊ก กลับบ้าน และเปิดเว็บค้าขายต่อไป				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสะพั่งสะท้านไมภพ