11 สิงหาคม 2551 21:07 น.

เหนือพยาบาท

สะพั่งสะท้านไมภพ

หนังสือสีม่วงเล่มนั้นเอง ที่เจ้าของที่เป็นผู้หญิงอายุ ยี่สิบห้าปี กล่าวว่าจะไม่ยอมให้ใครดูเป็นอันขาด เธอได้กล่าวให้สะพั่งสะท้านไมภพฟัง
   สะพั่งสะท้านไมภพ มองเธอแล้วก็คิดในใจว่า ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ และจะต้องได้ดูหนังสือสีม่วงนั้นอย่างที่เธอต้องยินยอมเอง
   เธอคนนั้นก็มีใบหน้าอย่างชาวบ้านแถบอีสานหน้าอกใหญ่ กินเหล้าเก่ง และมีเสน่ห์ ผมสะพั่งสะท้านไมภพ มีก็แต่ความใจถึง หน้าตาบ้างครั้งก็ดูหล่อบางครั้งก็ดูขี้เหล่ แต่จากการมีเป้าประสงค์ที่เร้นลับ สะพั่งจึงใช้เธอเพื่อเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานต่อไป
   ด้วยมาดสุดเท่ห์ของสะพั่งก็ทำให้มีหญิงสาวหลายๆรายที่ต้องการจะเข้ามาร่วมมือกับชีวิตของสะพั่ง แต่สะพั่งไม่ได้มีความรัก สะพั่งได้มอบความรักทั้งหมดให้กับเมียสุดที่รักไปหมดแล้ว และเมียสุดที่รักสั่งมาว่ายุ่งได้แต่ห้ามเลี้ยง สะพั่งท่องจำจนขึ้นใจ
   ในตอนนั้น ผมต้องไปที่ขอนแก่น ผมได้พาเธอไปด้วย ได้กินเหล้าเมายาและเต้นระบำ ช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน
   ก่อนหน้านั้น ความใกล้ชิดทำให้อยากจะอยู่ใกล้ชิด และความขุ่นอกขุ่นใจจากทางบ้านที่ไม่ค่อยฟังข้อคิดเห็นของสะพั่ง ก็ทำให้สะพั่งเกิดความเบื่อหน่าย ใจจึงบิดและเบี่ยงเบน
   มีอยู่วันหนึ่งสะพั่ง กับสาวเจ้าของสมุดบันทึกสีม่วงเล่มนั้นได้ไปตักบาตรร่วมขันและทำบุญร่วมชาติ 
   วันนั้นสะพั่งถามเธอแล้วว่าจะอยู่กันอย่างพี่น้องหรืออยู่อย่างผัวเมีย
   ชีวิตแบบนั้น สะพั่งไม่เข้าใจว่า ต่างคนก็ต่างรัก แล้วทำไมจะอยู่ร่วมเรือนร่วมเตียงกันไม่ได้
   สะพั่งเจรจากับภรรยา 
   ภรรยาสะพั่งเป็นลมสลบไป 
   หลังจากออกจากโรงพยาบาล สะพั่งตั้งใจว่าจะดูแลภรรยาของเขาให้ดีที่สุดจะยอมรับความยากลำบากทั้งหลายแหล่ที่จะมาทับถม
   หากจะเปรียบเทียบกันแล้วสะพั่งย่อมรักภรรยามากที่สุด
   แม่ของสะพั่งได้ให้คำเตือนว่า ต้องใจแข็ง
   สะพั่งต้องใจแข็ง ในการที่จะตัดรักจากหญิงคนหนึ่งให้ได้
   จนถึงวันนี้ ก็หวังว่าความพยาบาทของหญิงคนนั้น จะมีสักวันหนึ่งที่ผมจะชดใช้ให้เธอได้จนหมดสิ้น
  ...ท้องฟ้ามิใช่มีแต่ดวงจันทร์เท่านั้น แต่จะต้องมีดวงดาวด้วย....				
8 สิงหาคม 2551 21:18 น.

พบแล้ว

สะพั่งสะท้านไมภพ

ในยามค่ำคืน โรงแรมแห่งหนึ่ง ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ผมนั่งทานน้ำเปล่าบนโต๊ะจีนซึ่งมีอาหารเต็มโต๊ะ ด้านหน้าเวทีประกอบด้วย เวทียกพื้นเตี้ยๆพอที่จะก้าวขึ้นได้ มีจอคอมพิวเตอร์เล็กแอบหลังอีเล็คโทน และนักดนตรีที่หัวผลุบโผล่ 
   เมื่อแขกตามโต๊ะต่างๆเดินมาคว้าไมค์ ก็ร้องเพลงสุนทราภรณ์ในจังหวะลีลาศต่างๆ ชายแก่เดินออกมานำหญิงแก่ออกมากลางเวที ชายกลางคนเดินจูงหญิงพ้นวัยสาวแต่ยังไม่แก่มากลางเวที หญิงพ้นวัยสาวนำหญิงพ้นวัยสาวออกมากลางเวที ลีลาของพ่อเจ้าประคุณรุนช่องชายบ่งบอกถึงความเป็นเท้าไฟในอดีต ท่าทางหน้าตาของผู้ชายดูเหมือนว่าจะเป็นผู้มีอันจะกิน และผู้หญิงก็ใส่แหวนเพชรต่างหูกันวูบวาบ ลีลาของแต่ละคน ก็พริ้วในฟลอร์แคบๆ สาวบางท่านก็ยักย้ายส่ายเอวน่าดูชม ผมนั่งมองหน้าตาท่าทางลวดลายของแต่ละคนและแต่ละคู่ก็ดูมีความสุขดี
   ข้างๆฟลอร์นั่นเอง มีผู้ชายราวหกคนนั่งทานข้าวอยู่มองๆไปแล้วก็รู้ว่าเป็นทหาร แต่ทั้งโต๊ะเชื่อไหมว่ามีแต่น้ำเปล่า และยังคุยเสียงดัง
   เด็กเสริฟรี่เข้ามาจับมือของผม เมื่อผมได้ยกมือจะขอน้ำ จับไปจับมา 
   สักพัก ผมก็เดินเข้าไปเข้าห้องน้ำ เดินสวนกับชายหนุ่มหน้าตาออกทางอีสาน เข้ามาในห้องน้ำ ผมคิดว่าเขาอาจจะเป็นพนักงานก็เป็นได้ สักพักแกก็เข้ามาในคาเฟ่ แล้วมานั่งที่โต๊ะสาม เมื่อบรรดาผีเสื้อราตรีพากันโบยบินอยู่บนฟลอร์ เสียงนักร้องก็หยิบไมค์ขึ้นมาแล้วประกาศเชิญโต๊ะสาม
   ไอ้หนุ่มผมม้าแต่งกายเหมือนคนงานหน้าตาแบบอีสาน เดินนวยนาดขึ้นบนเวที มีอาการเซไปเซมาเล็กน้อย แกก็เริ่มต้นร้องเพลง วณิพกพเนจร และก็ตามด้วยเพลงลูกทุ่งอีกหลายเพลง 
   ผมเห็นมีบางโต๊ะสั่งเช็คบิล แหว่งๆไปบ้าง และเห็นนักร้องผู้หญิงขึ้นมาช่วยร้องให้เสียงเพลงดูครึกครื้นขึ้น และในที่สุดโต๊ะสามก็ร้องจบ
   เมื่อจบหลายๆคนก็เข้ามายืนถือไมค์และโก่งคอร้องเพลงในจังหวะต่างๆต่อไป
   ...เราบรรเลง ชะ.ชะ.ชะ....
...เพลงจะพาร่าเริงใจ.....
   เสียงกลองเสียงเครื่องให้จังหวะสะบัดเคาะจนทำให้องคายพของร่างกายเช่นมือและเท้าขยับ 
    เอะผมกลับชอบแฮะ
    หรือว่านี่เราแก่แล้ว
    ว่าแล้วก็ขยับตัวมือไม้เท้าตามจัวหวะดนตรี กับโต๊ะ และกับพื้น ส่วนสายตาก็ชมลีลาเสต็ปการเต้นต่อไป
    ผมก็ชอบฟังเพลงทุกแบบ แต่ทว่าผมก็อดที่จะเหลือบไปมองที่โต๊ะสาม บ่อยๆไม่ได้ อย่างน้อยก็อยากให้กำลังใจให้แกสนุกๆสนานมันๆบันเทิงใจแบบผม และอีกอย่างก็ดูว่าจะถึงคิวแกอีกครั้งหรือยัง
   ...ค่ำคืนดังเพลงสวรรค์...
....ฯลฯ				
2 สิงหาคม 2551 17:45 น.

คนบาป

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผมนั่งลงที่ขอบบ่อเล็ก เห็นปลาคราฟหลายๆตัว ลอยตัวอ้าปากบนผิวน้ำแต่ละตัวก็หันมามองผม ผมรู้สึกได้เลยว่า มันกำลังขออาหารจากผม ผมพิจารณาดูที่ทำการไปรษณีย์แห่งนั้นวันหยุดแค่สองโมงเช้าเอง คงจะยังไม่มีใครมา ผมลุกขึ้นและเดินไปหาขนมปังมาให้ปลาเหล่านั้นกิน 
   ผมเดินไปประมาณครึ่งกิโลจึงเห็นร้านสะดวกซื้อ เมื่อแวะเข้าไปก็ได้ขนมปังไส้ครีมก้อนเล็กๆพออิ่ม ก้อนละหกบาท ผมยิ้มเมื่อได้ดังใจแล้วก็เดินกลับ
   เมื่อบิขนมปังไปก้อนแรกไม่ใหญ่เท่าไหร่ พวกมันให้การตอบสนองกันอย่างดียิ่ง ผมก็กลัวเหมือนกันว่ากลัวมันกินแล้วตาย กลัวน้ำจะเน่า กลัวเจ้าของเขาจะด่า แต่ทว่าสิ่งที่ผมให้มันกิน มันกลับชอบครับ รวมทั้งครีมด้วย
   ไม่น่าเชื่อครับ ปลาในบ่อเล็กๆไม่กี่สิบตัวกลับตอดขนมปังผมจนหมดก้อน และพวกมันก็ว่ายน้ำใต้ผิวน้าส่ายไปส่ายมา ผมเชื่อว่าบางตัวมันคงอิ่มเพราะมันตอดและคาบชิ้นใหญ่ๆหลายครั้ง แต่บางตัวก็ยังคงหิวอยู่ บางตัวที่กล้าๆกลัวๆไม่กล้าลองผิดลองถูก จึงทำให้ช้าทั้งๆที่น่าจะเร็วกว่า แต่ในที่สุดก็ช้าเกินไป 
    เมื่อเห็นพวกมัน ผมกลับคิดถึงตนเอง ที่มัวแต่คิดพิจารณาในแต่ละกิจการหรือการกระทำ จนกระทั่งอาจจะช้าเกินไป หรือคิดถึงหลักเกณฑ์ของสังคม ที่รู้มากก็ต้องคิดพิจารณามากเกินไปก็ได้ คล้ายๆกับว่า ผมโดนหรอกมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่หนังในทีวีจอขาวดำ เรื่องที่เขาสอนว่าดีอย่างงี้หรือชั่วอย่างนี้ 
   คำตอบที่ยังคาใจและยังต้องถามไปเรื่อยๆว่า บุญ คืออะไร ที่ว่าทำแล้วได้บุญคืออะไร
   คนที่ทำบุญรู้ไหมว่าบุญที่ได้เป็นอย่างไร
   ผมนั่งพิจารณาถึงพงศาวดารจีน ที่เขียน กับ ที่ฮ่องกง สร้าง หรือ เรื่องพระนเรศวรที่ท่านมุ้ยสร้าง กับเรื่องที่เขียนในพงศาวดารไทย แปลกไหมที่ไม่เหมือนกัน
   ผมนั่งอ่านเว็บของฝ่ายต่างๆหลายๆฝ่าย และนั่งมองเข้าไปถึงความประสงค์ที่เร้นลับแท้จริง ที่แท้เพียงแค่อำนาจวาสนาบารมีและทรัพย์
   ผมเข้าใจ ผมเคยหลงใหลในฐานะตำแหน่งอำนาจวาสนาบารมีและสินทรัพย์ และก็มั่นใจว่าจะหลงอีกหากได้เข้าไกล้ 
   และก็เห็นหลายๆคนเล่นละครหลอกลวงคนไปวันๆ ให้คนอื่นต้องเสียสละ ให้คนอื่นต้องอดทน ให้คนอื่นต้องอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ทว่าลับหลังหรือไม่มีใครรู้จัก หรือเห็น ตัวคนพูดนั้นแหละมักทำเสียเอง
   ผมได้ไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ตัวละครหนึ่งเก่ง แต่ก็ต้องต้องตายไม่ยอมที่จะตั้งตนเป็นใหญ่
   เมื่อก่อนผมอ่านแล้วไม่ได้พิจารณาเนื่องจากวัยเด็ก 
   แต่ปัจจุบันเมื่อได้อ่านอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่แปลแล้วออกมาเป็นภาษาไทย 
   ผมหัวเราะให้กับตนเอง
   อะไรก็ตามที่แปลเป็นภาษาไทยแล้วเนี่ยไม่ค่อยมีความตรงไปตรงมาสักอย่าง
   การเลี้ยงปลา การให้อาหารปลา มันก็เพียงการให้ความสุขแก่ตนเอง เพียงแค่กิจกรรมสนองความต้องการหรือความอยากเล็กๆและกระทำได้สำเร็จแล้ว ก็เกิดความพอใจเท่านี้ 
   มันไม่ได้แตกต่างมากไปกว่าคนที่ใช้เงินมากๆหรือลงทุนลงแรงไปมากๆ เพื่อตอบสนองความอยากหรือความต้องการเองเลยไม่ว่าจะเรื่องใดๆ
   คงอีกนานกว่าจะลบความเคยชินให้ออกไปจากสมองได้
   มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เป็นเหยื่อของคนฉลาดแกมโกง
   มีแต่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่จะอยู่รอด
   มิน่าเล่า ปลาในบ่อบางตัวจึงอ้วน ใหญ่ เล็ก ต่างกัน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสะพั่งสะท้านไมภพ