13 กุมภาพันธ์ 2554 10:01 น.

ถึงบินหลา

เปลวเพลิง

บินหลาเอย
ค่ำเช้าเจ้าเคยขับกล่อมทุ่ง
แว่วหวานกว่าเพลงของเมืองกรุง
ปลุกรุ่งอรุณฟ้าบ้านนาเรา
................................................
ข้าจากปู่ย่ามาเมืองใหญ่
หาความรู้ใฝ่คลายโง่เขลา
ข้าเห็นแสงสีมีมิเบา
มอมเมาหลอกล่อใครต่อใคร

บทเพลงเมืองเขาแสนเร่าร้อน
ดังจนเข่าอ่อนทนไม่ไหว
เมืองเขามีดาวคือแสงไฟ
ไม่เหมือนดาวพราวใสที่บ้านนา

ผู้คนวุ่นวายไม่ว่างเว้น
หลอกลวงแฝงเร้นหลากหลายหน้า
เล่ห์กลมากเหลี่ยมมารยา
น่ากลัวหนักหนาสากรรจ์

ข้าอยากกลับบ้านกลับนา
หาปู่หาย่าคงสุขสันต์
ร่ำเรียนเพียรรู้อยู่ทุกวัน
หวังเพื่อคว้าฝันปริญญา
................................................
บินหลาเอย
อย่าละอย่าเลยทุ่งเหว่ว้า
ข้าอยากฟังเสียงนกบินหลา
เมื่อข้าเยือนถิ่นแผ่นดินเดิม				
10 กุมภาพันธ์ 2554 11:29 น.

อยู่ที่เราลิขิต

เปลวเพลิง

อันคนเราเท่านี้แหละที่ว่า
มีสองมือสองขาสองตานั่น
มีหัวใจเต็มหวังเป็นรางวัล
เพื่อเสกสรรค์ชีวิตเช่นคิดไว้

แม้ต้องการสิ่งใดในหล้าแหล่ง
เพียงลงแรงใช่จักยากคว้าไขว่
สูงเสียดฟ้าต่ำลงดินถิ่นใกล้ไกล
ก็คงได้ใคร่ชิดสนิทนาน

ด้วยสองมือสองเท้าเร่งเข้าสู้
เรียนและรู้ทุกข์สุขสนุกสนาน
สัมผัสแดดสัมผัสฝนทนกรำงาน
ให้ซาบซ่านถึงค่าราคาคน

มีความหมั่นเพียรก่อเป็นบ่อเกิด
ปลูกความรู้ชูเชิดเป็นดอกผล
อดทนเลี้ยงชีพชอบกอปรกมล
ลิขิตตนหมดสิ้นด้วยยินดี

ชีวิตเราคงอยู่คู่กับโลก
ใช่เพราะโชคชะตากรรมนำวิถี
หากเป็นเพราะเลือกลิขิตด้วยฤทธี
ให้สดศรีฤาหมองไหม้ดั่งใจเรา				
26 มกราคม 2554 14:49 น.

เรามันคนจน

เปลวเพลิง

ถึงเกลอแก้ว
เราเลิกแล้วเลิกหวังสิ้นทั้งหมด
เรายอมแพ้ยอมพ่ายให้คนคด
ที่คอยซดเลือดเนื้อเถือหนังเรา

เราบ้านนอกคอกนามาแต่เกิด
ใครจะเทิดศักดิ์ศรีเรานี้เล่า
เราไร้ซึ่งเงินตรามาบรรเทา
เพื่อรับเอาการศึกษายกค่าตน

เราไม่มีเส้นสายที่ใดหรอก
มีแต่ดอกแต่หนี้มีเงินต้น
เราได้ชื่อลือชาว่าคนจน
จึงต้องทนรับกรรมทำกันไป

เขาทำงานบนตึกสูงละลิ่วฟ้า
เราแบกหามทำนาเยี่ยงข้าไพร่
หยาดเหงื่อเราหมดสิ้นที่รินไป
คงจะใช้อาบแทนน้ำได้สามปี

เราเลี้ยงชีพไม่ร่ำรวยด้วยสุจริต
เขายังคิดอำนวยช่วยกดขี่
เราอดอยากตลอดมาทั้งตาปี
เขาเร็วรี่กอบกินบินขึ้นฟ้า

เกลอแก้วเหอ
น้ำตาเราล้นเอ่อแล้วเกลอจ๋า
แม้เรารู้เราเห็นเป็นธรรมดา
ด้วยโลกบ้าเราจึงอยากมาระบาย

แต่ไม่ว่าเกิดชาติหน้ากี่คราหน
เราขอเกิดเป็นคนจนอีก, สหาย
ดีกว่ารวยเพราะโกงเมืองที่เรืองราย
คงอับอายขายหน้ายิ่งกว่าจน				
24 มกราคม 2554 01:52 น.

แด่สงคราม

เปลวเพลิง

สงคราม
สายน้ำแดงสดรดหล้า
เกลื่อนศพทบคราบน้ำตา
หลั่งมาระเรื่อยเอื่อยริน

หวังสันติภาพสีขาว
พร่างพราวกัปกัลป์ไป่สิ้น
แต่นี่ถิ่นทั่วธานินทร์
สุขบินเปี่ยมทุกข์ขุกใจ

ยินไหมเล่าเสียงสะอื้น
แห่งพื้นพิภพหมกไหม้
ดูนั่น!...ปราการสูงไกล
ร่างใครพะเนินเกินกอง

เราหวังมีสุขทุกสถาน
ใช่บ้านแหลกลาญมานหมอง
หวังสามัคคีปรองดอง
ใช่ต้องเข่นฆาตฟาดฟัน

ชาตินี้หรือว่าชาติไหน
คงไร้บันไดสู่สวรรค์
มีแต่นรกโลกันต์
ลงทัณฑ์เราทุกนาที

แด่ผู้ที่ต้องสูญสิ้น
ผู้อยู่แผ่นดินภูตผี
บ้านท่านปราศโศกโชคดี
บ้านเรามากมีสงคราม!				
17 มกราคม 2554 00:50 น.

สุสานของวันพรุ่งนี้

เปลวเพลิง

ที่ผ่านมา
เราทำหน้าที่เราทุกเช้าสาย
เหนื่อยสายตัวแทบขาดออกจากกาย
ด้วยกำลังทั้งหลายที่เรามี

ที่ผ่านมา
เราคิดว่าเมื่อเราทำหน้าที่
มีความรับผิดชอบกอปรกรรมดี
เราคงมีความสุขในทุกวัน

ที่ผ่านมา
เราตั้งหน้าตั้งตาขมีขมัน
จะยากเย็นเพียงใดไม่พรึงพรั่น
พร้อมบากบั่นบุกพงหรือดงดอน

แต่วันนี้
เมื่อหน้าที่ทำเราให้เหนื่อยอ่อน
เราจะต้านลมแรงแสงแรงร้อน
และไม่ท้อย่อหย่อนได้อย่างไร?

เราเคยคิดว่า
ไม่ทำหน้าที่นี้จะดีไหม
ไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องทนไม่สนใคร
ไม่ต้องอึดอัดใจในบางครั้ง

ทำไม? ทำไม?
ถึงบางใครไม่เคยจะไหลหลั่ง
หลั่งน้ำจิตน้ำใจในสักครั้ง
คอยแต่รั้งยื้อยุดเรามุดดิน

ฉะนั้นนับจากนี้
เราจะวางหน้าที่เราให้สิ้น
เราเหนื่อยหนักเหนื่อยหนาเกินชาชิน
เชิญท่านดิ้นรนต่อเราขอลา


ปล.แด่ความรับผิดชอบที่ไร้ประโยชน์				
ไม่มีข้อความส่งถึงเปลวเพลิง