ลุ่มลึกอิสราวดี 30
สงสัยเจ้าสีเทามันจะชำนาญทางแถบนี้ยิ่งนัก มันพาวิ่งไปตามทางที่เป็นทางใช้สำหรับ
เดินทางโดยเฉพาะ มันวิ่งได้รวดเร็วปานพายุมิมีผิดประเดี๋ยวเดียวทั้งหมดก็ห่างขุนเขามา
เขาหันไปมองด้านหลังเห็นอยู่ห่างไกลมากๆ แสดงถึงฝีเท้าของเจ้าสีเทาสมกับเป็นจ่าฝูง
ของม้าป่าทั้งปวง เขาคิดฝูงม้าป่าที่มันคุมอยู่มันอาจจะปล่อยวางได้ด้วยพ้นภัยคงจะมีตัว
อื่นควบคุมแทนมันแน่นอน เมื่อมันมารับใช้เขาแล้วถึงกับทิ้งฝูงไปทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงยิ่งมอบความรักให้แก่มันมากแสดงถึงว่ามันคงจะรักซื่อสัตย์เจ้านายมันนั่นเอง
พอวิ่งทิ้งขุนเขาไปจนมองดูลิบๆ เขาเห็นเส้นทางวกไปเวียนมาจวบมาจนเขาอีกลูกหนึ่งแต่
ต้นไม้นั้นมีไม่มากนักเหมือนที่เขาผ่านมาเลย เหตุนี้เขาจึงชะลอดึงร่างเจ้าสีเทาให้ผ่อนช้าๆลง
แล้วเดินเหยาะย่างชมดูว่า จะมีคนอาศัยอยู่หรือไม่ตามปกติตั้งแต่เขาผ่านมาจะหาผู้คนไม่พบ
เลยนอกจากฝูงคนที่ไล่ล่าเจ้าฝูงม้าป่ามาเท่านั้น แล้วพวกนั้นหายไปไหนหมดเขาสงสัยยิ่งนัก
พอเหยาะย่างม้าไปแบบช้าๆ เสียงโห่ร้องก้องดังออกมาจากเหลี่ยมเขามีคนประมาณสัก
ห้าหรือหกคนที่ขี่ม้ามุ่งมาทางเขา เขาหยุดม้าลงจ้องมองดูคนเหล่านั้นเพื่อดูว่ามันจะทำอย่างไร
กับเขา สักพักมันก็เข้ามารายล้อมรอบตัวเขา มีเสียงหนึ่งตวาดสอบถามเขาด้วยเสียงดังลั่น
“เอ็ง???....เป็นใครมาจากเมืองไหนว๊ะ!!!!....”
ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงราบเรียบทันทีว่า
“เราหาใช่คนในเมืองเหล่านี้ทั้งสิ้น เพียงเราออกจากป่าด้านโน้น พลางชี้มือให้มันดู เราหลง
ป่ามานาน พึ่งหลุดพ้นป่าและมาทางนี้ เราที่นี่เรียกว่าอะไรหรือท่าน” ชายหนุ่มตอบแบบสุภาพ
อาการดุดันของชายร่างกลางคนแต่กำยำยิ่งนักค่อยทุเลา เมื่อเห็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อประหลาด
และเบื้องหลังยังมีลิงสีต่างกันสองตัวร่วมอยู่บนหลังม้านี้ มันเพ่งมองไปยังม้าที่เขาขี่อยู่ทันทีแล้ว
กล่าวขึ้นว่า
“แปลกจริงๆพ่อหนุ่ม???... ม้าตัวนี้เป็นม้าที่พวกเราพยายามจะจับมันมานานใช้เวลาเป็นปีๆก็ไม่
สามารถจับมันได้ มันเป็นจ้าวลมกรดที่มีความเร็วสูงทางด้านนายเรามีความต้องการนัก พ่อหนุ่มจะ
ขายให้เราได้หรือไม่ล่ะ หากไม่แพงมากนักนะ”
“ คงจะไม่หรอกท่าน ด้วยมันเปรียบเสมือนเพื่อนตายของเราไปเสียแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวเบาๆด้วย
ถ้อยคำสุภาพนัก
“ข้าเองยังสงสัยอยู่ไม่หาย ขนาดพวกเราที่มานี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญการฝึกม้าจับม้า
คลุกคลีมากับพวกม้าทั้งหลายมาตั้งแต่เด็กๆจนอายุปูนนี้
ยังไม่เคยเจอม้าที่ร้ายกาจเช่นนี้เลย และเคยจับม้าป่ามามากต่อมากนัก
แต่สำหรับเจ้าตัวนี้กับฝูงมันกลับไม่สามารถจับได้ ม้าพวกเราต่างก็เป็นม้าที่มีความเร็วสูงเช่นกัน
หากไปเทียบกับพวกมันแล้ว ช่างห่างไกลกันยิ่งนัก ถ้าหากพ่อหนุ่มไม่ขายให้เรา
เราจะขอเชิญท่านไปพบกับหัวหน้าเราหน่อยได้ไหม หากเราไปเจรจาเองเขาก็จะโกรธเรามากยิ่งนัก
และอาจจะทำร้ายพวกเราได้” ชายกลางคนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความดุดันดังแต่แรก เมื่อ
เขาเห็นว่า ชายหนุ่มไม่ได้เป็นพวกเมืองใดๆ
ทำให้ชายหนุ่มคิดว่า พวกมันพวกนี้อาจจะมีเรื่องกันระหว่างเมืองต่อเมืองกันแน่นอน ดังนั้นเขาซึ่ง
ไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น คิดว่าเมื่อพบผู้คนแล้วก็จะหาทางแก้ไขในการต่อไปดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนั้น
ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าหากเรื่องนี้ทำความลำบากใจแก่ท่านนัก ก็ได้ข้าจะไปพบหัวหน้าท่านเองก็ได้ ให้ท่านนำทางไปเถิด”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าเองขอขอบใจเจ้านัก มิเช่นนั้นพวกเราคงจะแย่แน่ๆ ขอเชิญพ่อหนุ่มตามเรามาเถิด”
ชายกลางคนหัวหน้ากลุ่มคนเหล่านั้นตอบ เขามองไปยังร่างคนทั้งหลายล้วนแล้วแต่พกดาบธนูและบ่วงบาศ
กันทุกๆคน จึงเชื่อว่าเป็นพวกจับม้าและต่างก็คงจะมีฝีมือถึงได้มีอาวุธประจำกายทุกๆคน เมื่อคิดเช่นนั้น
ก็ติดตามพวกจับม้าไป
เมื่อสามารถเข้าใจกันได้ หัวหน้าพวกจับม้าก็ควบม้านำหน้าออกไป ยังซอกเหลี่ยมเขาแต่เจ้าสีเทาเสมือน
ไม่ยอมติดตามอยู่ด้านหลังมันจะพุ่งทะยานออกนำหน้าฝูงม้าทั้งหลาย แต่เขาต้องตบคอมันเบาๆแล้วชะลอร่าง
เจ้าสีเทาไว้นั่นแหละมันถึงยินยอม เขาออกติดตามไปด้านหลัง พอพ้นเหลี่ยมเขาก็เป็นทางคดเคี้ยวแต่บนเขา
นั้นเขาสังเกตเห็นมีคนอยู่เรียงรายเป็นระยะๆไป
ชายกลางคนหัวหน้าก็ส่งสัญญาณไปยังเหล่าคนที่อยู่ตามซอกบนภูเขาตลอดระยะทาง
จนลุล่วงขึ้นไปยังเขาซึ่งเป็นเนินสูงบ้างต่ำบ้างจวบเข้าสู่กลางภูเขาที่ล้อมรอบ
เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ แต่หาได้มีบ้านสักหลังหนึ่งก็หาไม่เขาสงสัยในใจพวกมันพักยังที่ใดกันแน่
เมื่อเจ้าหัวหน้าที่นำพวกมาลงจากหลังม้า แต่ชายหนุ่มไม่ยอมลงและกล่าวขึ้นว่า
“ขอท่านหัวหน้าเข้าไปรายงานว่าข้าและม้ามาแล้ว ก็แล้วกันนะ”
ชายที่เป็นหัวหน้าหัวร่อ พลางกล่าวว่าเจ้ายังกริ่งเกรงอะไรอยู่อีกหรือ
“มิได้หรอกท่าน เราเพียงแต่คิดว่าทางที่ดีควรจะอยู่ที่นี่จะดีกว่านะท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้ามาข้าก็ดีใจแล้วจะได้กล่าวรายงานให้รู้เรื่องไป” ว่าแล้วชายกลางคนพร้อม
พวกที่ลงจากหลังม้า ทยอยเข้าไปคงเหลือทิ้งไว้เพียงแค่สองคนเท่านั้น
สักครู่หนึ่งชายชราพร้อมกับหญิงสาวและชายฉกรรจ์ต่างๆก็ทยอยออกมามาก ชายหนุ่มพึ่งและเห็นว่าพวก
เหล่านี้ล้วนพักอาศัยตามโพรงถ้ำ ครั้นเหลือบไปมองรอบๆภูเขา ก็เห็นโพรงแต่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้นาๆชนิด
หากมองแต่ไกลหรือใกล้ๆไม่สักเกตุก็ยากที่จะค้นหาถ้ำเหล่านี้ได้ ครั้นชายชราพร้อมหญิงสาวก้าวเดินออกมา
ชายหนุ่มรีบลงจากหลังม้าเจ้าสีเทาทันที พร้อมกับก้มกายน้อมคาราวะชายชรานั้นทันที
ชายชราเพ่งมองดูชายหนุ่มเมื่อเห็นสภาพร่างกายของเขาก็ตะลึง และจ้องเพ่งมองอย่างเหมือนจะใช้ความ
คิดอะไรบางอย่าง ซึ่งชายหนุ่มไม่รู้ว่าชายชราคนนั้นซึ่งมีร่างกายกำยำยิ่งนักแม้วัยจะดูชราภาพมาก แต่ร่างกาย
หาได้ชราไปตามใบหน้า ร่างกายกับประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
เมื่อชายชราแลเห็นอย่างชัดเจนก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างลืมตัว
“โอ้ๆๆๆ???....ท่านมหาอุปราชใช่หรือเปล่าพระเจ้าข้า”
ครั้นเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มก็รำลึกนึกถึงชื่อนี้มาจากชายชราที่เฝ้าปราสาทหลังหนึ่งทันที ด้วยคำๆนี้ก็เคยเอ่ย
กล่าวขึ้นเหมือนกัน ดังนั้นจึงตอบว่า
“ข้าพเจ้าหาใช่อุปราชอะไรๆนั่นไม่หรอกท่านผู้เฒ่า ด้วยข้าพเจ้าพลัดมาในถิ่นเหล่านี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้
ด้วยกาลก่อนข้าพเจ้านอนดูดวงจันทร์ที่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีจนกระทั่งหลับไป แล้วก็เล่าเหตุการณ์ที่พบที่ชาย
ฝั่งให้แก่ชายชราฟัง”
ชายชราที่มีลักษณะราศีผ่องใสนัก เขาคิดว่าคงจะไม่ใช่บุคคลชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่แท้
จึงได้เอ่ยขึ้นแจ้งให้ทราบ
เสียงชายชราอุทานออกมาอีก
“โอ้แปลกๆๆมากๆจริงๆนะ ช่างเหมือนกันราวกับแกะเชียวแหละ แล้วท่านพลัดมายังบริเวณเหล่านี้
ได้อย่างไรกันล่ะพ่อหนุ่ม”
“อันที่จริงข้าพเจ้าก็ออกเดินทางมาเรื่อยๆพร้อมสหายคู่ใจข้าพเจ้า พอพ้นแนวเขาจากป่าทึบก็พบฝูงม้า
ฝูงนี้ เห็นเจ้าจ่าฝูงมันท่วงท่าสง่างามยิ่งนักถูกใจข้าพเจ้ายิ่ง จึงได้จับมันมาฝึกและเป็นพาหนะของข้าพเจ้า
ขอรับท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
“อืมมๆๆๆ.??.... สงสัยม้ามันจะเลือกนายของมันเอง ข้าให้คนของข้าที่เชี่ยวชาญเรื่องม้าศึกไปจับตั้ง
หลายปีก็ยังไม่สำเร็จ ข้าพบมันครั้งแรกก็ทราบว่ามันคือจ้าวแห่งม้าทั้งปวง หากแม้นม้าตัวใดก็ตามหากพบ
มันก็จะตื่นตระหนกตกใจหมด ด้วยมันมีอำนาจในตัวของมันเองแหละ หรือว่าจะเป็นม้าคู่บุญของท่านกระมัง”
ชายชรารำพึงกับตัวเอง
“ข้าไม่สงสัยอะไรเจ้าอีกแล้ว เนื่องจากการแต่งตัวของเจ้าไม่เหมือนใครๆเลย เสื้อหรือก็ช่างแปลกประหลาด
เป็นยิ่งนัก คันธนูเจ้าและลูกธนูคล้ายๆมีรังสีแสงแวววับออกมา คนในบริเวณเมืองเหล่านี้หาได้มีเช่นดังท่านไม่
ถ้าหากท่านจะให้เกียรติแก่ข้าขอให้ได้ชมม้าจ้าวลมกลดอย่างใกล้ชิดได้หรือไม่พ่อหนุ่ม” ชายชรากล่าว
“ได้ซิท่านผู้เฒ่า เดี๋ยวข้าจะเรียกมันมาให้ท่านดูนะ” พลางส่งเสียงเรียกเจ้าสีเทาทันที
“เจ้าสีเทา มาใกล้ๆซิและอย่าทำร้ายท่านผู้เฒ่านะเขาเป็นคนดี” ชายหนุ่มกล่าว
ครั้นม้าสีเทาได้ฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น มันก็ยกขาหน้าสองขาขึ้นแล้วก้มตัวเดินเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
เมื่อชายชราเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งแน่แก่ใจตัวเองว่าดูไม่ผิด มันเป็นม้าคู่บุญของชายหนุ่มคนนี้จึงสามารถบ่งการมัน
ได้น้อยคนนักที่จะฝึกฝนม้าป่าได้รู้เรื่องราวดี หากไม่ใช่ม้าคู่บุญบารมีแล้วยากยิ่งนัก เมื่อชายชรารำพึงก็เดินไป
ใกล้ๆมัน เจ้าสีเทาส่งเสียคำรามทันทีจนชายหนุ่มต้องกำชับอีกแล้วตบหลังมันเบาๆนั่นแหละมันถึงยอมสยบให้
ชายชราเข้าลูบคลำร่างกายของมันได้ ชายชรารู้สึกพึงพอใจแล้วเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มพักที่นี่สักคืนก่อน
ด้วยเวลาก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว ชายหนุ่มแลไปยังท้องฟ้าก็เห็นจริงตามชายชรากล่าวจึงหันไปทางเจ้าขนทอง
และขนขาวบอกแก่มันว่าจะพักที่นี้ก่อนค่อยจะเดินทาง เจ้าลิงทั้งสองตีลังกาจากหลังม้ามายืนกระหนาบข้าง
ชายหนุ่มทันที ทำเอาชายชราถึงกับประหลาดใจกว่าเดิมอีกด้วยเจ้าลิงทั้งสองมันช่างใหญ่โตเกือบเท่าคนๆหนึ่ง
แต่เหตุใดมันจึงคล่องแคล่วผิดกับร่างกายมัน ซ้ำยังเชื่อฟังชายหนุ่มแปลกหน้าอีก พลางคิดว่าคนๆนี้มิใช่ธรรมดา
ไปเสียแล้วหากได้เป็นพวกพ้องด้วยก็จะเห็นทีจะช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงถามชายหนุ่มว่า
“พ่อหนุ่มล่ะมีชื่อว่าอะไรหรือ คุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้ชื่อกันเลยส่วนข้านี้มีนามว่า “เหมี่ยวสุรินทราบดี” และ
เจ้าล่ะนามใดล่ะ”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็นึกถึงเรื่องราวที่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีขึ้นมาได้ หรือว่าท่านผู้เฒ่านี้คือแม่ทัพใหญ่แม่เมืองอิสราวดี
กระมัง แต่เพื่อให้แน่แก่ใจตัวเองจึงย้อนถามไปทันทีว่า
“งั้นท่านก็คือแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดี ใช่ไหมขอรับ”
“เอ๊ะๆๆ....เจ้ารู้ได้อย่างไรล่ะข้าคือแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดี
ครั้นจะเล่าให้ฟังเรื่องมันยาวจึงสรุปเพียงสั้นๆว่า
“ ข้าพเจ้าเองเห็นกองทัพท่านขณะชมจันทร์อยู่และแอบซ่อนตัวไว้ ได้ยินนายกองท่านกล่าวชื่อท่านขอรับ”
เมื่อกล่าวจบ เขาเองหากจะบอกชื่อจริงไปก็ไม่ดี
ชายหนุ่มคิดคำนึงและไม่สอดคล้องกลับพวกเหล่านี้ จึงตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า
“อ้อๆ.....ข้าพเจ้าหรือชื่อ “ มังสุริยะชัย” ขอรับท่านผู้เฒ่า
“เอะ???.... แปลกเหตุใดชื่อจึงสอดคล้องกับท่านมหาอุปราชแห่งเมือง “ศิระสุริยันต์” ที่ล่มสลายไปหลายๆปี
แล้ว อันที่จริงเมือง ศิระสุริยันต์ กับเมือง อิสราวดี นั้นเปรียบเสมือนเมืองพี่เมืองน้องกันเชียว แปลกจริงๆ”
ชายชรากล่าวขึ้น ซึ่งชายหนุ่มหัวร่อในใจนี่เพียงชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาเองใยจึงไปสอดคล้องได้ เออเห็นว่าเราอาจ
จะหลงเข้ามาในอดีตกาลเสียแล้วกระมัง ชายหนุ่มรำพึงกับตนเอง
แล้วชายชราก็กล่าวขึ้นอีกว่า อันเมือง ศิระสุริยันต์ กับเมืองอิสราวดีนั้นต่างมีข้อผูกพันกันลึกซึ้งยิ่งนัก ด้วยเจ้า
แม่แห่งแคว้นอิสราวดีนั้นเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับท่านอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์กัน แต่เมืองมาล่มสลายไปก่อน
ด้วยการทำลายของเจ้าแห่งเมืองศิระสุริยันต์เอง ส่วนท่านมหาอุปราชได้หายไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ พวกเรา
ได้ออกติดตามจนกระทั่งบัดนี้ เมืองอิสราวดีตกอยู่ในเงื้อมมือของอำมาตย์ชาติชั่วพร้อมทั้งพวกพ้องมันหาได้นึก
ถึง ความไว้วางพระราชหฤทัยของพระองค์ก็หาไม่ พวกมันคิดขบถต่อราชบัลลังก์ยึดครองอำนาจจนพระแม่เจ้า
ต้องเสด็จหนีออกมา
เมื่อชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ชายชราคิดเพื่อต้องการเรียกร้องความเห็นใจแก่ชายหนุ่มเพื่อหวังที่จะได้ให้เป็นพวกพ้องในการกอบกู้ราชบัลลังก์คืน ด้วยลักษณะท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้ผิดกับสามัญชนทั่วๆไปยิ่งนัก
“ดังนั้นจึงกล่าวว่า นี่แน๊ะพ่อหนุ่ม นี่คือเจ้าแม่แห่งอิสราวดี ทรงพระนามว่า
พระแม่เจ้า “อิสรวชิรบดินทร์เดชา” ที่ข้าได้ค้นหาจนเจอและนำมาถวายอารักขาไว้”
เมื่อกล่าวเสร็จเช่นนั้นพลางชายชราก็ ย่อกายลงยังหญิงสาวที่แต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดาแล้วที่ยืนเคียงข้าง
ผายมือแจ้งแก่ชายหนุ่มทันที
“พระแม่เจ้าจะเห็นเป็นประการใดพระเจ้าข้า หากจะชักชวนเขามาร่วมเป็นพวกเดียวกับเรา”
หญิงสาวที่อยู่ข้างกายผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า
“ เราบอกแก่ท่านแล้วไม่ต้องเอ่ยคำราชาศัพท์ ให้เพียงแสดงตัวว่าเราเป็นลูกสาวท่านก็พอต่อไปอย่าได้
กล่าวคำเช่นนี้อีกนะท่านผู้เฒ่า”
“พระเจ้าข้า???....โอ๊ะ??... จ๊ะๆๆๆลูกเรา” ชายชรารีบยืนขึ้นทันที
ชายหนุ่มเหลือบตามองหญิงสาวที่สูงศักดิ์ทันที นับได้ว่าหล่อนถึงแม้ไม่แต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าอันสวยงามก็ตาม เพียงแค่แต่งกายธรรมดาดุจชาวบ้านทั่วๆไปก็ตามที
แต่สง่าราศีพร้อมกับความสวยงามหาได้น้อยไปกว่านางพรายทั้งสองเสียอีก
แม่นางนั้นพลางหันมายิ้มกับชายหนุ่ม ยามเมื่อมองหน้าเต็มตาก็ตกตลึงไปทันที อะไรจะมีเหตุการณ์เช่นนี้
เกิดขึ้นได้หรือ นางคิดในใจทำไมใบหน้าและรูปร่างองอาจช่างละม้ายคล้ายหรือว่านับว่าเหมือนก็เป็นไปได้
กับท่านมหาอุปราชคู่หมั้นหมายเรายิ่งนัก จึงก้มหน้าลงพลางกล่าวว่า
“ท่านผู้กล้าหาญเราเองนี้ช่างอาภัพนัก ใคร่อยากจะขอร้องแก่ท่านผู้กล้าหาญประการหนึ่งขอท่านผู้กล้าหาญอย่าได้
นึกรังเกียจเดียดฉันท์แก่เราเลย “ ครั้นกล่าวเสร็จนางก็ย่อกายแล้วพนมมือไหว้ชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงรีบยกมือขึ้นรับไหว้ทันที แล้วกล่าวว่า
“อันคำพูดของแม่นางนั้นใยเล่าช่างมีความหมายและเชื่อมั่นแก่ตัวข้ามากนักเจียวหรือ”
“ ใช่แล้วท่านผู้กล้าหาญเราเองตอนนี้นอกจากท่านผู้เฒ่าและเหล่าทหารจำนวนน้อยนิดนี้ ยากยิ่งนักที่จะกลับคืนยัง
เมืองอิสราวดีได้ หากได้ท่านผู้กล้าหาญช่วยเหลือข้าพเจ้าคิดว่าก็จะเป็นกำลังสำคัญยิ่งนัก จึงใคร่หวังในความ
กรุณาแก่ข้าน้อยด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะไม่รังเกียจเดียดฉันท์แก่ข้าน้อยนี้หรอกนะ” หญิงสาวในร่างของ
เจ้าแม่แห่งอิสราวดีกล่าว พร้อมกับก้มน้อมกายลงคาราวะชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง
จนทำให้ชายหนุ่มถึงกับอ้ำๆอึ้งๆไปในทันที
“อ้าๆๆ????.....แล้วข้าหรือจะ........
* แก้วประเสริฐ. *
25 กุมภาพันธ์ 2553 19:46 น. - comment id 115279

25 กุมภาพันธ์ 2553 21:12 น. - comment id 115281
ตามฉางน้อย มาติด ๆๆ

26 กุมภาพันธ์ 2553 10:45 น. - comment id 115291
อ้าวจบยังงี้สะงั้น คุณลุงแก้วน่ะ ชอบเขียนให้หลานต้องตามย้อนอ่านอยู่เรื่อยแล้วพออยากรู้ก็จบสะดื้อๆๆ ชอบแกล้งนู๊...

26 กุมภาพันธ์ 2553 14:39 น. - comment id 115309
คุณ ฉางน้อย ขอบใจหลานรักมากจ้า รักเสมอ
แก้วประเสริฐ.

26 กุมภาพันธ์ 2553 14:41 น. - comment id 115310
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รัก ตอนต่อไปครูเพลินไปหน่อยเลย ยาวกว่าเดิม ตอนแรกคิดแค่สามหน้ากระดาษก็ พอยิ่งเขียน ก็ยิ่งมันส์จ๊ะ ยิ่งตอนนี้ดูผิดไปเลย ยาวมากกว่าเดิมอีกนะ รักศิษย์เราเสมอ
แก้วประเสริฐ.

26 กุมภาพันธ์ 2553 14:43 น. - comment id 115311
คุณ กระต่ายน้อย ลุงเองแต่งเพลินๆอ้าวเกินไปอีกแล้วเลยจบ แบบนี้แหละจ้า ยิ่งตอนหน้านี้เพลินไปหน่อยจ้า รักหลานเราเสมอๆ
แก้วประเสริฐ.

27 กุมภาพันธ์ 2553 15:18 น. - comment id 115336
แฟนคลับมาแระค่ะ อิอิ

27 กุมภาพันธ์ 2553 19:29 น. - comment id 115341
คุณ โคลอน จ้าคุณฝนแสนสวย มาอ่านการโม้ๆของผม ที่ผมเองสนุกมากกับงานเขียนนี้ครับ รักเสมอ
แก้วประเสริฐ.
