ลุ่มลึกอิสราวดี 30

แก้วประเสริฐ


                ลุ่มลึกอิสราวดี  30
     สงสัยเจ้าสีเทามันจะชำนาญทางแถบนี้ยิ่งนัก  มันพาวิ่งไปตามทางที่เป็นทางใช้สำหรับ
เดินทางโดยเฉพาะ  มันวิ่งได้รวดเร็วปานพายุมิมีผิดประเดี๋ยวเดียวทั้งหมดก็ห่างขุนเขามา
เขาหันไปมองด้านหลังเห็นอยู่ห่างไกลมากๆ  แสดงถึงฝีเท้าของเจ้าสีเทาสมกับเป็นจ่าฝูง
ของม้าป่าทั้งปวง  เขาคิดฝูงม้าป่าที่มันคุมอยู่มันอาจจะปล่อยวางได้ด้วยพ้นภัยคงจะมีตัว
อื่นควบคุมแทนมันแน่นอน   เมื่อมันมารับใช้เขาแล้วถึงกับทิ้งฝูงไปทีเดียว
     ดังนั้นเขาจึงยิ่งมอบความรักให้แก่มันมากแสดงถึงว่ามันคงจะรักซื่อสัตย์เจ้านายมันนั่นเอง
พอวิ่งทิ้งขุนเขาไปจนมองดูลิบๆ    เขาเห็นเส้นทางวกไปเวียนมาจวบมาจนเขาอีกลูกหนึ่งแต่
ต้นไม้นั้นมีไม่มากนักเหมือนที่เขาผ่านมาเลย  เหตุนี้เขาจึงชะลอดึงร่างเจ้าสีเทาให้ผ่อนช้าๆลง
แล้วเดินเหยาะย่างชมดูว่า  จะมีคนอาศัยอยู่หรือไม่ตามปกติตั้งแต่เขาผ่านมาจะหาผู้คนไม่พบ
เลยนอกจากฝูงคนที่ไล่ล่าเจ้าฝูงม้าป่ามาเท่านั้น  แล้วพวกนั้นหายไปไหนหมดเขาสงสัยยิ่งนัก
     พอเหยาะย่างม้าไปแบบช้าๆ   เสียงโห่ร้องก้องดังออกมาจากเหลี่ยมเขามีคนประมาณสัก
ห้าหรือหกคนที่ขี่ม้ามุ่งมาทางเขา   เขาหยุดม้าลงจ้องมองดูคนเหล่านั้นเพื่อดูว่ามันจะทำอย่างไร
กับเขา   สักพักมันก็เข้ามารายล้อมรอบตัวเขา   มีเสียงหนึ่งตวาดสอบถามเขาด้วยเสียงดังลั่น
      “เอ็ง???....เป็นใครมาจากเมืองไหนว๊ะ!!!!....”
ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงราบเรียบทันทีว่า
      “เราหาใช่คนในเมืองเหล่านี้ทั้งสิ้น  เพียงเราออกจากป่าด้านโน้น  พลางชี้มือให้มันดู   เราหลง
ป่ามานาน  พึ่งหลุดพ้นป่าและมาทางนี้  เราที่นี่เรียกว่าอะไรหรือท่าน”   ชายหนุ่มตอบแบบสุภาพ
       อาการดุดันของชายร่างกลางคนแต่กำยำยิ่งนักค่อยทุเลา   เมื่อเห็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อประหลาด
และเบื้องหลังยังมีลิงสีต่างกันสองตัวร่วมอยู่บนหลังม้านี้      มันเพ่งมองไปยังม้าที่เขาขี่อยู่ทันทีแล้ว
กล่าวขึ้นว่า
       “แปลกจริงๆพ่อหนุ่ม???...  ม้าตัวนี้เป็นม้าที่พวกเราพยายามจะจับมันมานานใช้เวลาเป็นปีๆก็ไม่
สามารถจับมันได้   มันเป็นจ้าวลมกรดที่มีความเร็วสูงทางด้านนายเรามีความต้องการนัก   พ่อหนุ่มจะ
ขายให้เราได้หรือไม่ล่ะ   หากไม่แพงมากนักนะ”
      “ คงจะไม่หรอกท่าน  ด้วยมันเปรียบเสมือนเพื่อนตายของเราไปเสียแล้ว”  ชายหนุ่มกล่าวเบาๆด้วย
ถ้อยคำสุภาพนัก
      “ข้าเองยังสงสัยอยู่ไม่หาย ขนาดพวกเราที่มานี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญการฝึกม้าจับม้า  
คลุกคลีมากับพวกม้าทั้งหลายมาตั้งแต่เด็กๆจนอายุปูนนี้   
ยังไม่เคยเจอม้าที่ร้ายกาจเช่นนี้เลย  และเคยจับม้าป่ามามากต่อมากนัก   
       แต่สำหรับเจ้าตัวนี้กับฝูงมันกลับไม่สามารถจับได้   ม้าพวกเราต่างก็เป็นม้าที่มีความเร็วสูงเช่นกัน
หากไปเทียบกับพวกมันแล้ว  ช่างห่างไกลกันยิ่งนัก  ถ้าหากพ่อหนุ่มไม่ขายให้เรา  
เราจะขอเชิญท่านไปพบกับหัวหน้าเราหน่อยได้ไหม  หากเราไปเจรจาเองเขาก็จะโกรธเรามากยิ่งนัก
และอาจจะทำร้ายพวกเราได้”         ชายกลางคนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความดุดันดังแต่แรก เมื่อ
เขาเห็นว่า  ชายหนุ่มไม่ได้เป็นพวกเมืองใดๆ
      ทำให้ชายหนุ่มคิดว่า  พวกมันพวกนี้อาจจะมีเรื่องกันระหว่างเมืองต่อเมืองกันแน่นอน  ดังนั้นเขาซึ่ง
ไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น  คิดว่าเมื่อพบผู้คนแล้วก็จะหาทางแก้ไขในการต่อไปดีกว่า   เมื่อคิดได้เช่นนั้น
ก็เอ่ยขึ้นว่า
     “ถ้าหากเรื่องนี้ทำความลำบากใจแก่ท่านนัก  ก็ได้ข้าจะไปพบหัวหน้าท่านเองก็ได้  ให้ท่านนำทางไปเถิด”
      “ถ้าอย่างนั้น   ข้าเองขอขอบใจเจ้านัก  มิเช่นนั้นพวกเราคงจะแย่แน่ๆ   ขอเชิญพ่อหนุ่มตามเรามาเถิด”
ชายกลางคนหัวหน้ากลุ่มคนเหล่านั้นตอบ   เขามองไปยังร่างคนทั้งหลายล้วนแล้วแต่พกดาบธนูและบ่วงบาศ
กันทุกๆคน  จึงเชื่อว่าเป็นพวกจับม้าและต่างก็คงจะมีฝีมือถึงได้มีอาวุธประจำกายทุกๆคน     เมื่อคิดเช่นนั้น
ก็ติดตามพวกจับม้าไป
         เมื่อสามารถเข้าใจกันได้   หัวหน้าพวกจับม้าก็ควบม้านำหน้าออกไป  ยังซอกเหลี่ยมเขาแต่เจ้าสีเทาเสมือน
ไม่ยอมติดตามอยู่ด้านหลังมันจะพุ่งทะยานออกนำหน้าฝูงม้าทั้งหลาย   แต่เขาต้องตบคอมันเบาๆแล้วชะลอร่าง
เจ้าสีเทาไว้นั่นแหละมันถึงยินยอม   เขาออกติดตามไปด้านหลัง      พอพ้นเหลี่ยมเขาก็เป็นทางคดเคี้ยวแต่บนเขา
นั้นเขาสังเกตเห็นมีคนอยู่เรียงรายเป็นระยะๆไป   
ชายกลางคนหัวหน้าก็ส่งสัญญาณไปยังเหล่าคนที่อยู่ตามซอกบนภูเขาตลอดระยะทาง
     จนลุล่วงขึ้นไปยังเขาซึ่งเป็นเนินสูงบ้างต่ำบ้างจวบเข้าสู่กลางภูเขาที่ล้อมรอบ   
        เป็นลานกว้างขนาดใหญ่  แต่หาได้มีบ้านสักหลังหนึ่งก็หาไม่เขาสงสัยในใจพวกมันพักยังที่ใดกันแน่  
เมื่อเจ้าหัวหน้าที่นำพวกมาลงจากหลังม้า   แต่ชายหนุ่มไม่ยอมลงและกล่าวขึ้นว่า
       “ขอท่านหัวหน้าเข้าไปรายงานว่าข้าและม้ามาแล้ว  ก็แล้วกันนะ”
ชายที่เป็นหัวหน้าหัวร่อ   พลางกล่าวว่าเจ้ายังกริ่งเกรงอะไรอยู่อีกหรือ
        “มิได้หรอกท่าน  เราเพียงแต่คิดว่าทางที่ดีควรจะอยู่ที่นี่จะดีกว่านะท่าน”
        “ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก  เจ้ามาข้าก็ดีใจแล้วจะได้กล่าวรายงานให้รู้เรื่องไป”    ว่าแล้วชายกลางคนพร้อม
พวกที่ลงจากหลังม้า ทยอยเข้าไปคงเหลือทิ้งไว้เพียงแค่สองคนเท่านั้น
        สักครู่หนึ่งชายชราพร้อมกับหญิงสาวและชายฉกรรจ์ต่างๆก็ทยอยออกมามาก   ชายหนุ่มพึ่งและเห็นว่าพวก
เหล่านี้ล้วนพักอาศัยตามโพรงถ้ำ  ครั้นเหลือบไปมองรอบๆภูเขา ก็เห็นโพรงแต่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้นาๆชนิด
หากมองแต่ไกลหรือใกล้ๆไม่สักเกตุก็ยากที่จะค้นหาถ้ำเหล่านี้ได้   ครั้นชายชราพร้อมหญิงสาวก้าวเดินออกมา
ชายหนุ่มรีบลงจากหลังม้าเจ้าสีเทาทันที พร้อมกับก้มกายน้อมคาราวะชายชรานั้นทันที
          ชายชราเพ่งมองดูชายหนุ่มเมื่อเห็นสภาพร่างกายของเขาก็ตะลึง   และจ้องเพ่งมองอย่างเหมือนจะใช้ความ
คิดอะไรบางอย่าง  ซึ่งชายหนุ่มไม่รู้ว่าชายชราคนนั้นซึ่งมีร่างกายกำยำยิ่งนักแม้วัยจะดูชราภาพมาก  แต่ร่างกาย
หาได้ชราไปตามใบหน้า    ร่างกายกับประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
           เมื่อชายชราแลเห็นอย่างชัดเจนก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างลืมตัว
      “โอ้ๆๆๆ???....ท่านมหาอุปราชใช่หรือเปล่าพระเจ้าข้า”
          ครั้นเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มก็รำลึกนึกถึงชื่อนี้มาจากชายชราที่เฝ้าปราสาทหลังหนึ่งทันที  ด้วยคำๆนี้ก็เคยเอ่ย
กล่าวขึ้นเหมือนกัน   ดังนั้นจึงตอบว่า
         “ข้าพเจ้าหาใช่อุปราชอะไรๆนั่นไม่หรอกท่านผู้เฒ่า   ด้วยข้าพเจ้าพลัดมาในถิ่นเหล่านี้ได้อย่างไรก็ไม่รู้
ด้วยกาลก่อนข้าพเจ้านอนดูดวงจันทร์ที่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีจนกระทั่งหลับไป   แล้วก็เล่าเหตุการณ์ที่พบที่ชาย
ฝั่งให้แก่ชายชราฟัง”
ชายชราที่มีลักษณะราศีผ่องใสนัก  เขาคิดว่าคงจะไม่ใช่บุคคลชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่แท้
จึงได้เอ่ยขึ้นแจ้งให้ทราบ
   เสียงชายชราอุทานออกมาอีก
       “โอ้แปลกๆๆมากๆจริงๆนะ   ช่างเหมือนกันราวกับแกะเชียวแหละ   แล้วท่านพลัดมายังบริเวณเหล่านี้
ได้อย่างไรกันล่ะพ่อหนุ่ม”
        “อันที่จริงข้าพเจ้าก็ออกเดินทางมาเรื่อยๆพร้อมสหายคู่ใจข้าพเจ้า   พอพ้นแนวเขาจากป่าทึบก็พบฝูงม้า
ฝูงนี้   เห็นเจ้าจ่าฝูงมันท่วงท่าสง่างามยิ่งนักถูกใจข้าพเจ้ายิ่ง   จึงได้จับมันมาฝึกและเป็นพาหนะของข้าพเจ้า
ขอรับท่านผู้เฒ่า”    ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
        “อืมมๆๆๆ.??....   สงสัยม้ามันจะเลือกนายของมันเอง   ข้าให้คนของข้าที่เชี่ยวชาญเรื่องม้าศึกไปจับตั้ง
หลายปีก็ยังไม่สำเร็จ   ข้าพบมันครั้งแรกก็ทราบว่ามันคือจ้าวแห่งม้าทั้งปวง  หากแม้นม้าตัวใดก็ตามหากพบ
มันก็จะตื่นตระหนกตกใจหมด ด้วยมันมีอำนาจในตัวของมันเองแหละ   หรือว่าจะเป็นม้าคู่บุญของท่านกระมัง”
       ชายชรารำพึงกับตัวเอง   
       “ข้าไม่สงสัยอะไรเจ้าอีกแล้ว  เนื่องจากการแต่งตัวของเจ้าไม่เหมือนใครๆเลย  เสื้อหรือก็ช่างแปลกประหลาด
เป็นยิ่งนัก   คันธนูเจ้าและลูกธนูคล้ายๆมีรังสีแสงแวววับออกมา   คนในบริเวณเมืองเหล่านี้หาได้มีเช่นดังท่านไม่
ถ้าหากท่านจะให้เกียรติแก่ข้าขอให้ได้ชมม้าจ้าวลมกลดอย่างใกล้ชิดได้หรือไม่พ่อหนุ่ม”  ชายชรากล่าว
       “ได้ซิท่านผู้เฒ่า  เดี๋ยวข้าจะเรียกมันมาให้ท่านดูนะ”   พลางส่งเสียงเรียกเจ้าสีเทาทันที
        “เจ้าสีเทา มาใกล้ๆซิและอย่าทำร้ายท่านผู้เฒ่านะเขาเป็นคนดี”   ชายหนุ่มกล่าว
        ครั้นม้าสีเทาได้ฟังชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น   มันก็ยกขาหน้าสองขาขึ้นแล้วก้มตัวเดินเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
เมื่อชายชราเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งแน่แก่ใจตัวเองว่าดูไม่ผิด   มันเป็นม้าคู่บุญของชายหนุ่มคนนี้จึงสามารถบ่งการมัน
ได้น้อยคนนักที่จะฝึกฝนม้าป่าได้รู้เรื่องราวดี   หากไม่ใช่ม้าคู่บุญบารมีแล้วยากยิ่งนัก   เมื่อชายชรารำพึงก็เดินไป
ใกล้ๆมัน   เจ้าสีเทาส่งเสียคำรามทันทีจนชายหนุ่มต้องกำชับอีกแล้วตบหลังมันเบาๆนั่นแหละมันถึงยอมสยบให้
ชายชราเข้าลูบคลำร่างกายของมันได้   ชายชรารู้สึกพึงพอใจแล้วเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มพักที่นี่สักคืนก่อน
         ด้วยเวลาก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว   ชายหนุ่มแลไปยังท้องฟ้าก็เห็นจริงตามชายชรากล่าวจึงหันไปทางเจ้าขนทอง
และขนขาวบอกแก่มันว่าจะพักที่นี้ก่อนค่อยจะเดินทาง    เจ้าลิงทั้งสองตีลังกาจากหลังม้ามายืนกระหนาบข้าง
ชายหนุ่มทันที   ทำเอาชายชราถึงกับประหลาดใจกว่าเดิมอีกด้วยเจ้าลิงทั้งสองมันช่างใหญ่โตเกือบเท่าคนๆหนึ่ง
แต่เหตุใดมันจึงคล่องแคล่วผิดกับร่างกายมัน   ซ้ำยังเชื่อฟังชายหนุ่มแปลกหน้าอีก   พลางคิดว่าคนๆนี้มิใช่ธรรมดา
ไปเสียแล้วหากได้เป็นพวกพ้องด้วยก็จะเห็นทีจะช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี
          ดังนั้นจึงถามชายหนุ่มว่า   
    “พ่อหนุ่มล่ะมีชื่อว่าอะไรหรือ  คุยกันมาตั้งนานยังไม่รู้ชื่อกันเลยส่วนข้านี้มีนามว่า  “เหมี่ยวสุรินทราบดี”  และ
เจ้าล่ะนามใดล่ะ”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็นึกถึงเรื่องราวที่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีขึ้นมาได้  หรือว่าท่านผู้เฒ่านี้คือแม่ทัพใหญ่แม่เมืองอิสราวดี
กระมัง   แต่เพื่อให้แน่แก่ใจตัวเองจึงย้อนถามไปทันทีว่า
       “งั้นท่านก็คือแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดี  ใช่ไหมขอรับ”
       “เอ๊ะๆๆ....เจ้ารู้ได้อย่างไรล่ะข้าคือแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองอิสราวดี
      ครั้นจะเล่าให้ฟังเรื่องมันยาวจึงสรุปเพียงสั้นๆว่า   
         “  ข้าพเจ้าเองเห็นกองทัพท่านขณะชมจันทร์อยู่และแอบซ่อนตัวไว้  ได้ยินนายกองท่านกล่าวชื่อท่านขอรับ”
เมื่อกล่าวจบ   เขาเองหากจะบอกชื่อจริงไปก็ไม่ดี
        ชายหนุ่มคิดคำนึงและไม่สอดคล้องกลับพวกเหล่านี้  จึงตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า
       “อ้อๆ.....ข้าพเจ้าหรือชื่อ  “ มังสุริยะชัย”  ขอรับท่านผู้เฒ่า
       “เอะ???.... แปลกเหตุใดชื่อจึงสอดคล้องกับท่านมหาอุปราชแห่งเมือง “ศิระสุริยันต์”  ที่ล่มสลายไปหลายๆปี
แล้ว   อันที่จริงเมือง ศิระสุริยันต์  กับเมือง อิสราวดี  นั้นเปรียบเสมือนเมืองพี่เมืองน้องกันเชียว  แปลกจริงๆ”
     ชายชรากล่าวขึ้น   ซึ่งชายหนุ่มหัวร่อในใจนี่เพียงชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาเองใยจึงไปสอดคล้องได้   เออเห็นว่าเราอาจ
จะหลงเข้ามาในอดีตกาลเสียแล้วกระมัง  ชายหนุ่มรำพึงกับตนเอง
     แล้วชายชราก็กล่าวขึ้นอีกว่า  อันเมือง ศิระสุริยันต์  กับเมืองอิสราวดีนั้นต่างมีข้อผูกพันกันลึกซึ้งยิ่งนัก  ด้วยเจ้า
แม่แห่งแคว้นอิสราวดีนั้นเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับท่านอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์กัน  แต่เมืองมาล่มสลายไปก่อน
ด้วยการทำลายของเจ้าแห่งเมืองศิระสุริยันต์เอง  ส่วนท่านมหาอุปราชได้หายไปตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ   พวกเรา
ได้ออกติดตามจนกระทั่งบัดนี้   เมืองอิสราวดีตกอยู่ในเงื้อมมือของอำมาตย์ชาติชั่วพร้อมทั้งพวกพ้องมันหาได้นึก
ถึง  ความไว้วางพระราชหฤทัยของพระองค์ก็หาไม่   พวกมันคิดขบถต่อราชบัลลังก์ยึดครองอำนาจจนพระแม่เจ้า
ต้องเสด็จหนีออกมา  
       เมื่อชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้  ชายชราคิดเพื่อต้องการเรียกร้องความเห็นใจแก่ชายหนุ่มเพื่อหวังที่จะได้ให้เป็นพวกพ้องในการกอบกู้ราชบัลลังก์คืน  ด้วยลักษณะท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้ผิดกับสามัญชนทั่วๆไปยิ่งนัก
       “ดังนั้นจึงกล่าวว่า   นี่แน๊ะพ่อหนุ่ม   นี่คือเจ้าแม่แห่งอิสราวดี ทรงพระนามว่า
พระแม่เจ้า “อิสรวชิรบดินทร์เดชา”  ที่ข้าได้ค้นหาจนเจอและนำมาถวายอารักขาไว้”   
       เมื่อกล่าวเสร็จเช่นนั้นพลางชายชราก็  ย่อกายลงยังหญิงสาวที่แต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดาแล้วที่ยืนเคียงข้าง
ผายมือแจ้งแก่ชายหนุ่มทันที
       “พระแม่เจ้าจะเห็นเป็นประการใดพระเจ้าข้า  หากจะชักชวนเขามาร่วมเป็นพวกเดียวกับเรา”
    หญิงสาวที่อยู่ข้างกายผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า
       “ เราบอกแก่ท่านแล้วไม่ต้องเอ่ยคำราชาศัพท์  ให้เพียงแสดงตัวว่าเราเป็นลูกสาวท่านก็พอต่อไปอย่าได้
กล่าวคำเช่นนี้อีกนะท่านผู้เฒ่า”
      “พระเจ้าข้า???....โอ๊ะ??...  จ๊ะๆๆๆลูกเรา”   ชายชรารีบยืนขึ้นทันที
ชายหนุ่มเหลือบตามองหญิงสาวที่สูงศักดิ์ทันที   นับได้ว่าหล่อนถึงแม้ไม่แต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าอันสวยงามก็ตาม เพียงแค่แต่งกายธรรมดาดุจชาวบ้านทั่วๆไปก็ตามที
แต่สง่าราศีพร้อมกับความสวยงามหาได้น้อยไปกว่านางพรายทั้งสองเสียอีก
      แม่นางนั้นพลางหันมายิ้มกับชายหนุ่ม  ยามเมื่อมองหน้าเต็มตาก็ตกตลึงไปทันที   อะไรจะมีเหตุการณ์เช่นนี้
เกิดขึ้นได้หรือ นางคิดในใจทำไมใบหน้าและรูปร่างองอาจช่างละม้ายคล้ายหรือว่านับว่าเหมือนก็เป็นไปได้
กับท่านมหาอุปราชคู่หมั้นหมายเรายิ่งนัก   จึงก้มหน้าลงพลางกล่าวว่า
        “ท่านผู้กล้าหาญเราเองนี้ช่างอาภัพนัก  ใคร่อยากจะขอร้องแก่ท่านผู้กล้าหาญประการหนึ่งขอท่านผู้กล้าหาญอย่าได้
นึกรังเกียจเดียดฉันท์แก่เราเลย “  ครั้นกล่าวเสร็จนางก็ย่อกายแล้วพนมมือไหว้ชายหนุ่มทันที
        ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงรีบยกมือขึ้นรับไหว้ทันที  แล้วกล่าวว่า
       “อันคำพูดของแม่นางนั้นใยเล่าช่างมีความหมายและเชื่อมั่นแก่ตัวข้ามากนักเจียวหรือ”
    “  ใช่แล้วท่านผู้กล้าหาญเราเองตอนนี้นอกจากท่านผู้เฒ่าและเหล่าทหารจำนวนน้อยนิดนี้  ยากยิ่งนักที่จะกลับคืนยัง
เมืองอิสราวดีได้   หากได้ท่านผู้กล้าหาญช่วยเหลือข้าพเจ้าคิดว่าก็จะเป็นกำลังสำคัญยิ่งนัก  จึงใคร่หวังในความ
กรุณาแก่ข้าน้อยด้วย  ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะไม่รังเกียจเดียดฉันท์แก่ข้าน้อยนี้หรอกนะ”  หญิงสาวในร่างของ
เจ้าแม่แห่งอิสราวดีกล่าว พร้อมกับก้มน้อมกายลงคาราวะชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง
จนทำให้ชายหนุ่มถึงกับอ้ำๆอึ้งๆไปในทันที
      “อ้าๆๆ????.....แล้วข้าหรือจะ........
                 *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
comments powered by Disqus
  • ฉางน้อย

    25 กุมภาพันธ์ 2553 19:46 น. - comment id 115279

    11.gif36.gif11.gif46.gif
  • กิ่งโศก

    25 กุมภาพันธ์ 2553 21:12 น. - comment id 115281

    ตามฉางน้อย มาติด ๆๆ
  • กระต่ายใต้เงาจันทร์

    26 กุมภาพันธ์ 2553 10:45 น. - comment id 115291

    อ้าวจบยังงี้สะงั้น
    
    
    คุณลุงแก้วน่ะ  ชอบเขียนให้หลานต้องตามย้อนอ่านอยู่เรื่อยแล้วพออยากรู้ก็จบสะดื้อๆๆ
    
    ชอบแกล้งนู๊...
    11.gif32.gif
  • แก้วประเสริฐ

    26 กุมภาพันธ์ 2553 14:39 น. - comment id 115309

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ ฉางน้อย
    
          ขอบใจหลานรักมากจ้า รักเสมอ
    
             16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    26 กุมภาพันธ์ 2553 14:41 น. - comment id 115310

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ กิ่งโศก
    
         ศิษย์รัก ตอนต่อไปครูเพลินไปหน่อยเลย
    ยาวกว่าเดิม ตอนแรกคิดแค่สามหน้ากระดาษก็
    พอยิ่งเขียน ก็ยิ่งมันส์จ๊ะ ยิ่งตอนนี้ดูผิดไปเลย
    ยาวมากกว่าเดิมอีกนะ รักศิษย์เราเสมอ
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    26 กุมภาพันธ์ 2553 14:43 น. - comment id 115311

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ กระต่ายน้อย
    
         ลุงเองแต่งเพลินๆอ้าวเกินไปอีกแล้วเลยจบ
    แบบนี้แหละจ้า  ยิ่งตอนหน้านี้เพลินไปหน่อยจ้า
    รักหลานเราเสมอๆ
    
           16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • โคลอน

    27 กุมภาพันธ์ 2553 15:18 น. - comment id 115336

    แฟนคลับมาแระค่ะ  อิอิ 46.gif36.gif
  • แก้วประเสริฐ

    27 กุมภาพันธ์ 2553 19:29 น. - comment id 115341

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ โคลอน
    
        จ้าคุณฝนแสนสวย มาอ่านการโม้ๆของผม
    ที่ผมเองสนุกมากกับงานเขียนนี้ครับ รักเสมอ
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน