อทิสมานกาย ๖๑

แก้วประเสริฐ

76.gif
                          อทิสมานกาย ๖๑
   หลังจากที่ชายหนุ่มสนทนากับพ่อแม่อยู่นั้น จิตเขาก็สัมผัสกับจิตที่ส่งกระแสมาเรียก
จึงหาทางหลีกเลี่ยงเพื่อจะไปพบกับ เจ้าแสงสีสินชัย ซึ่งคงจะรอคอยเขาอยู่ในห้อง
ดังนั้นเมื่อผละจากพ่อแม่แล้ว เขาก็รีบเดินเข้าสู่ห้องทันที  ก็พบว่า เจ้าแสงสีสินชัยนั่ง
คอยเขาก่อนอยู่แล้ว  พอมันเห็นหน้าเขา เจ้าแสงสีก็เอ่ยขึ้นทันที
   “นายครับ  เด็กๆมันส่งข่าวมาให้ทราบแล้วว่า เสี่ยเม้งมันให้ลูกน้องมันขนย้ายสิ่งของ
ไปเก็บไว้ยังภูเขา คนละทิศกันครับแต่ผมให้เด็กๆมันเฝ้าคอยดูแต่กำชับมันยังไม่ต้องลง
มือแต่ประการใด จนกว่าจะมีคำสั่งจากนายมาอีกที”    ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้
   “ดีแล้วล่ะแสงสีปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละด้วยยังไม่ถึงเวลาการจับกุม หากทำตอนนี้
เรื่องมันจะกระโตกกระตากไป คอยเวลาสักพักหนึ่งก่อน แล้วค่อยจะได้ลงมือพร้อมๆกัน
ให้ได้ทั้งตัวบงการและคนอื่นๆในเวลาพร้อมๆกันด้วย  แต่ทว่าข้าคิดว่ายามกลางคืนให้
พวกเด็กๆ  ออกไปหลอกหลอนมันบ้างเป็นบางครั้งบางคราวก็ดีเหมือนกันนะ  มันจะได้
เกิดความกลัวแล้วกลับไปรายงานหัวหน้ามัน ว่าสถานที่นำไปนี้เต็มไปด้วยพวกผีปีศาจ
แล้วทางเจ้าล่ะ???....จะเห็นเป็นประการใดหรือ???....”
   “ก็ดีเหมือนกันแหละนายเรายังไม่ดำเนินการตอนนี้แต่เพียงให้มันถูกหลอกหลอนจน
ประสาทมันรวนเรและ จะไม่กล้าเข้าไปรักษาของๆมันในยามค่ำคืน”
 เจ้าสินชัยออกความเห็น
   “อย่างน้องสินชัยเอ่ยนี้ก็ดีเหมือนกันแหละนาย ฉนั้นการลงมือในยามค่ำคืนก็จะหาคนมา
ช่วยได้ยากครับนาย”  
แสงสีกล่าวขึ้น
   “ในเมื่อเราตกลงกันได้เช่นนี้ สินชัยและแสงสีก็ให้เด็กๆมันไปบอกพวกที่เฝ้าดูไว้
ก็แล้วกัน เรายังไม่ต้องลงมืออะไรทั้งสิ้น   ส่วนเจ้าทั้งสองก็ฝึกสมาธิกันต่อไปทั้งพวกที่
อยู่กับเราด้วยนะ  แล้วช่วยถ่ายทอดวิชาอาคมที่ข้ามอบไว้ให้มันด้วย”
ชายหนุ่มสั่งทั้งสอง
   “ครับนาย  หลังจากผมไปสั่งงานมาแล้วจะมานั่งทบทวนวิชาอาคมให้ชำนาญเสร็จแล้วก็
จะเจริญสมาธิต่อไป”  ทั้งสองเอ่ยขึ้น
   “ตอนนี้เจ้าทั้งสองนั้นผ่านจากอทิสมานกายไปแล้วนะ ดีใจกับเจ้าด้วย ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
ที่จะทำให้เจ้ารอดพ้นจากอบายภูมิได้ หากเจ้าทั้งสองไม่ได้เจริญทางด้านนี้ ต้องมีสักวันหนึ่ง
ที่จะต้องลงไปสู่อบายภูมิ  แต่บัดนี้สิ่งที่เจ้าทำไปนั้นทำให้เป็นมหากุศลในทางอ้อมไว้ทำให้
เจ้ารอดพ้นไปได้ อีกทั้งเจ้ายังจะเข้าสู่ขั้นเทพเสียด้วย หากเมื่อถึงเวลาก็จะไปสู่แดนเทพต่อไป”
   “ครับนาย...ที่ข้าทั้งสองได้รับความรู้นี้ก็ด้วยพระคุณของนายทั้งสิ้น ที่ชี้หนทางสว่างให้
แก่พวกข้าจนมาถึงวันนี้”
       เสร็จคำพูดมันทั้งสองก็ก้มลงกราบชายหนุ่มทันที  ชายหนุ่มก็พยุงตัวมันขึ้นพลางเอ่ยว่า
    “เห็นทีว่าเจ้าทั้งสองกับข้านั้นในภพใดภพหนึ่งเคยทำบุญร่วมกันมาถึงได้มีวันนี้แหละ
ดังนั้นขอให้เจ้าสบายใจได้ แต่ทุกๆวันอย่างลืมเจริญสมาธิเป็นอันขาด ด้วยข้านั้นสามารถ
ปล่อยวางเจ้าได้แล้ว นอกจากคอยดูแลหากเวลาได้เจ้าเดินผิดทางจะได้เพียงแค่คอยเตือนก่อน
ที่จะล่วงล้ำผิดทางไป”
   ชายหนุ่มกล่าวแก่ทั้งสอง ซึ่งบัดนี้จากสภาพของหุ่นที่เขาสร้างขึ้นมานั้นได้ถูกอำนาจฌาน
สมาธิเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว  ชายหนุ่มเห็นรังษีแผ่ออกมาจากคนทั้งสองเป็นประกายแวว
พรั่งพรูออกมายามที่มันเคลื่อนตัวของมัน  เพียงแค่รังษีมันเท่านั้นก็สามารถสยบ บรรดาเหล่า
ผีปีศาจทั้งหลายได้อยู่แล้ว จึงอมยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า
   “ต่อไปเจ้ามาถึงขั้นนี้แล้วอย่าได้ทำการเบียดเบียฬใครเขา สิ่งใดหลีกเลี่ยงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ได้ก็ควรจะหลีกเสีย ให้พิจารณาถึงมันว่าจะถึงฆาตที่จะอยู่ในร่างของมนุษย์ได้อีกต่อไปหรือไม่
ซึ่งตอนนี้เจ้าก็สามารถแยกแยะได้แล้วนะ  ในค่ำคืนนี้ให้พวกเด็กๆของเจ้าทำการหลอกหลอน
พวกที่เฝ้ารักษาของผิดกฏหมายได้แล้วล่ะ???....” 
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
   “ครับนายเดี๋ยวผมจะไปสั่งพวกเด็กๆให้รีบออกเดินทางไปได้แล้ว และให้มันกลับมารายงานทุก
ขั้นตอนด้วยครับ”  
ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมๆกัน
   “เอาล่ะงานนี้ก็ไปได้อีกขั้นหนึ่งแล้ว  แต่ข้าอยากให้เจ้าช่วยเหลือเขาในการทำบุญเป็นกุศลแก่
พวกเจ้าอีกทางหนึ่งคือ  บุคคลนี้ถึงแม้อดีตชั่วเลวร้ายแต่กลับใจได้แล้วก็เห็นสมควรสนันสนุนเขา
เช่นดั่งองค์คุลีมาลอดีตโจรร้ายที่ฆ่าคนมาจำนวนมากด้วยหลงเชื่ออาจารย์ที่บอกทางผิดๆแก่เขา
จวบจนมาพบพระพุทธองค์จึงด้วยบุญบารมีเก่าถึงคราวจะพ้นกรรมได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้
เขาคนนี้ก็เหมือนกัน  ข้านั่งสมาธิดูเห็นว่าต่อไปในภาคหน้าเขาจะได้ครองวัดโคกอีแร้งแทน
หลวงพ่อทองต่อไปอย่างแน่แท้   ฉนั้นตอนนี้เขากำลังประสบเคราะห์กรรมที่ย้อนกลับมาหา
หากเราได้ช่วยเขาไว้จะได้ผลานิสงฆ์ไว้มากอีกทางหนึ่งด้วย  ฉนั้นข้าจึงให้เจ้าทั้งสองไปช่วย
เหลือเขาเพื่อจะได้ผลบุญอันนี้สืบสานเจ้าให้เจริญขึ้นมากกว่าเดิมนะ”
   ชายหนุ่มเอ่ยแก่ทั้งสอง
   “ครับนาย...ที่จะให้ข้าทั้งสองไปช่วยนั้นใครกันล่ะนาย???...”
   “อ้อๆๆ...กำนันหวนแห่งหมู่บ้านบางโคไงล่ะเจ้าคงจะจำได้นะ ตอนนี้เขาจัดการงานด้านที่เขา
ตั้งใจไว้ก่อนจะไปออกบวชตลอดชีวิต เพื่อละในสิ่งไม่ดีงามต่างๆไว้  อีกสองสามวันนี้แหละ
บรรดาเหล่าปีศาจที่หนีมาจากอาจารย์เจี๊ยะเปิง   ซึ่งอาศัยเร่ร่อนส่วนใหญ่แอบพักตามชายคา
ต้นไม้ในเนื้อที่ของกำนันนี่แหละ ครั้นมันรู้ว่ากำนันจะออกบวชตลอดชีวิตด้วยรับรู้จากพวก
มารทั้งหลายโดยได้รับคำสั่งมา  ก็จะหาทางกีดกันขัดขวางกลั่นแกล้งมิให้กำนันนั้นออกบวช
ได้”   ชายหนุ่มกล่าว
   “อ้อๆๆๆ...อีกอย่างหนึ่งข้าทราบว่า พวกผีปีศาจเหล่านี้มันครบวาระแล้วที่จะต้องไปชดใช้
กรรมของมัน  ให้เจ้าทั้งสองเพียงแค่ขัดขวางมันเท่านั้นไม่ต้องไปทำอะไรมันหรอก ด้วยจะ
มีคนของทางเบื้องล่างขึ้นมารับตัวมันทั้งหมดในไม่ช้านี้แล้วล่ะ”  ชายหนุ่มกล่าวย้ำขึ้นอีก
   “ครับนาย...เมื่อพวกข้าจัดการเรื่องของนายเรียบร้อยแล้วก็จะรีบไปช่วยเหลือทางกำนันหวน
ทันที  และอาจจะไปถึงก่อนจะได้ตรวจสภาพต่างๆได้  โดยจะนำคนของเราไปประมาณสิบตน
ได้ครับนาย”  แสงสีสินชัยเอ่ยขึ้น
   “แล้วสั่งคนของเจ้าด้วยว่าไม่ต้องไปทำอันตรายมัน เพียงคอยปกปักเขาไว้เท่านั้น หากว่ามัน
ยังกำเริบเสิบสานมากด้วยได้ใจ  ก็แสดงให้มันเห็นเสียบ้างเท่านั้นนะ”
   “ครับนาย  เดี๋ยวข้าจะรีบไปทำงานทางด้านนายเสียก่อนแล้วก็จะเลยไปทางบ้านกำนันหวน
ทันทีครับ  ด้วยพอจะทราบข่าวเรื่องพวกผีปีศาจนี้เหมือนกัน ด้วยก่อนมันก็เคยมาทางบ้านเรา
แต่โดนพวกเด็กๆมันไล่ตะเพิดหนีไป ต่างได้รับความเจ็บปวดมาแล้วนาย”
   “ดีแล้วล่ะ  วันนี้แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะไปออกกำลังกายสักหน่อย นี่ก็จวนจะมืดเสียก่อน”
    “ครับนาย”   แล้วร่างมันทั้งสองก็หายวับไปทันที
            ชายหนุ่มเมื่อเห็นเจ้าแสงสีสินชัยออกเดินทางไปแล้ว เขาก็ออกมาจากภายในห้อง แล
เห็นสาวชบากำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเสียงดังเล็ดรอดออกมาจากในครัว   ชายหนุ่มยิ้มเมื่อ
นึกถึงที่เขาปลอบใจแม่ของเขา  ด้วยเขารู้ว่าอนาคตต่อไปของเขาจะเป็นอย่างไรเสียแล้วก็อดที่
จะนึกทึ่งในความเห็นของแม่สาวเทพอัปสรเสียไม่ได้   ชายหนุ่มรู้แต่เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น
ในเมื่อฟ้าดินลิขิตเส้นทางเดินของเขาไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว  จึงไม่อยากจะฝ่าฝืนดวงชะตาและอีก
อย่างมันไม่ร้ายแรงเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นผลดีแก่เขาด้วย จึงหัวร่อในใจ แล้วรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว
ไปเพื่อออกกำลังกายที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันเสมอๆ
      ด้านกำนันหวน แม่เย็น ชวนและ บงกช  เมื่อออกจากบ้านพ่อเชียรแม่เข็มไปได้ระยะหนึ่งแล้ว
กำนันหวนที่นั่งมาในรถกะบะ มีเจ้าชวนขับอยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า
   “ ข้าเองก็ไม่เคยคิดเลยและไม่สงสัยเลยว่า เหตุใดพ่อเชียรและแม่เข็มจึงได้รับการยกย่องจาก
หลวงพ่อทองมากนัก ตอนแรกก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก ภายหลังได้มาสนทนานี่แหละถึงจะเข้าใจว่า
เหตุใดหลวงพ่อทองท่านจึงยกย่องเสมอท่านนะแม่เย็น”
   “ฉันเองตอนแรกก็งงเหมือนกันนะพ่อกำนัน ยิ่งมาเห็นอัธยาสัยไมตรีเช่นนี้  พี่สังเกตุไหมว่า
ตอนที่ฉันลงมาทำธุระเบานั้นนาน  ฉันได้ลอบออกไปยืนมองบริเวณสถานที่ไว้ด้วยนา”
   “ข้าเองก็พอๆจะรู้เหมือนกันเกี่ยวกับครอบครัวนี้นะ แต่ตอนนั้นไม่สนใจเท่าใดนักด้วยงานมัน
เร่งมาเสียด้วย รับเงินเขามาแล้ว แม่เย็นก็รู้นี่นาว่าข้าเป็นคนอย่างไรในเมื่อรับปากแล้วจะต้องทำ
แต่ก็ดีไปอย่างหนึ่ง หากไม่เกิดกับตัวเองแล้วคงจะไม่คิดถึงเรื่องกุศลเลย”
   “เรื่องนี้ฉันเองก็ออกอดจะปลาบปลื้มใจไม่น้อยเลยล่ะพี่และก็แปลกใจไปเหมือนกันนะ หรือว่า
พี่จะถึงคราวหมดเวรหมดกรรมทางเรื่องนี้แล้วล่ะ???...”
   “ข้าเองเรื่องจะลาออกนะไม่ห่วงเท่าไหร่หรอก แต่มาห่วงอีหนูมันนะซิ ข้าสังเกตุมองเห็น
ว่าในหมู่บ้านเราและบริเวณแถบนี้ที่ข้าคุ้นเคยดี ไม่มีครอบครัวใดที่เหมาะสมไปกว่าครอบครัว
ของพ่อเชียรแม่เข็มไปได้ แต่ทว่าเราเป็นฝ่ายหญิงนะจะเอื้อนจะเอ่ยหรือก็ดูกระไรอยู่นะไม่เย็น
อีกอย่างหนึ่งข้ามองลูกชายคนโตเขาก็ให้ถูกอัธยาสัยแก่ข้ามากว่าเจ้าชัยเสียอีก แต่มาคิดๆดูบุญวาสนา
ลูกเราคงจะไม่ถึงหรอก  หากพ้นจากคนๆนี้ก็ให้เรามีทางเลือกอีกคือด้านเจ้าชัยนี่แหละถึงแม้ว่ามันจะ
สู้พี่มันไม่ได้แต่ก็ไม่เลวไปเสียทุกอย่างนะ มันก็ขยันขันแข็งรู้จักรับผิดชอบของมันได้ดีไม่แพ้พี่ชาย
ของมันเท่าไหร่นัก เมื่อข้าคิดตกลงแก่ใจเช่นนี้ก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
แม่เย็นช่วยแนะนำข้าบางซิ ลางทีความคิดของแม่เย็นอาจจะดีกว่าข้าตอนนี้ก็ได้นา” กำนันเอ่ย
   “เรื่องนี้มันต้องเป็นของฝ่ายหญิงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าฉันจะดูถูกความคิดของพี่นะ  ด้วยความละเอียด
อ่อนของผุ้หญิงย่อมมีมากกว่าของผุ้ชาย  ในเมื่อเราสนิทสนมกับเขาขนาดเรียกพี่เรียกน้องได้นั้นก็
เป็นหนทางให้แก่เราอยู่แล้วนะพี่   ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนี้ฉันจะจัดการเองแหละ ทางที่ดีที่สุดคือ
ทางฝ่ายหญิงเขานั่นแหละพี่ดีที่สุด ตกลงว่าใจพี่จะเลือกใครกันแน่ล่ะ???...”
   “ก็ข้าบอกแม่เย็นไปแล้วนี่นา  ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ข้ายินดีต้อนรับเสมอแหละ ไม่เกี่ยงใดๆ
ทั้งสิ้น แล้วแม่เย็นเห็นเหมือนข้าไหมล่ะ???”
   “ใช่แล้วพี่เรื่องนี้ดีทั้งสองทาง หากได้ทางใดทางหนึ่งก็ถือว่าบุญของอีหนูมันแล้วล่ะ แต่ข้าสังเกตุ
ยามแรกอีหนูมันสนใจเจ้าชัย แต่พอเจอพี่ชายมันเท่านั้นไหนเปลี่ยนไปกระทันหันนี่ซิทำให้งุนงง”
   “ถ้าเป็นแม่เย็นตอนสาวๆก็เถอะข้าคิดว่าก็เหมือนอีหนูมันหรอก ไม่คิดอะไรเพราะว่าพี่ชายของ
เจ้าชัยนั้นทั้งหน้าที่การงานหรือก็เป็นน่าเป็นตาได้อีกทั้งวิชาอาคมหรือก็เป็นศิษย์หลวงพ่อทองอีก
นับว่ามันประสบความสำเร็จทั้งสองด้านเลย  แล้วหญิงใดล่ะจะไม่เปลี่ยนใจกันง่ายๆ ส่วนเจ้าชัย
นั้นมันดีแต่เฉพาะด้านการงานเท่านั้นเอง”  กำนันหวนกล่าวก็หัวร่อฮึๆๆ
   “อืมมม???...เรื่องนี้พี่แยกแยะมาถูกต้องถึงเป็นข้าก็เถอะนะพี่ อย่างไรก็ต้องลองสักตั้งและนะ”
แม่เย็นเอ่ยยั่วผู้ผัว
   “ข้าหรือ  ฮ่าๆๆๆ ก็ต้องยอมเขาแล้วล่ะ ด้วยข้าตอนนั้นมันจนมากๆเสียด้วย ที่ได้เป็นกำนันมามี
หน้ามีตาก็ด้วยข้ามาทำงานด้านนี้มีเงินมีทองมากมาย แล้วไอ้คนในหมู่บ้านบางโคนั้น มันเห็นเงิน
ได้เสียเมื่อไหร่ละแม่เย็น คงจะเหมือนกับข้าแหละไม่คิดว่าสิ่งที่ทำไปนั้นมันจะเข้าตัวเองดุจดั่งขึ้น
บนหลังเสือ ครั้นจะลงหรือก็ช่างแสนยากเย็นอะไรเช่นนี้ ถึงป่านนี้ก็เถอะนะใจข้ายังหวั่นๆชอบกล
อยู่  แต่มาปลงตกได้คือว่าหากข้าตายไปครอบครัวก็สบายไปแล้ว และตายก็ขอให้ตายในร่มผ้ากา
สาวพัดนี่แหละ  จึงไม่คิดอะไรมากหากว่าอีหนูมันได้เป็นฝั่งเป็นฝาแล้วก็หมดห่วง หันมามองด้าน
แม่เย็นหรือก็ไม่เป็นปัญหาอยู่แบบสบายๆอยู่แล้วและอายุหรือก็ล่วงมาจนป่านนี้แล้วทำให้ข้าได้
หมดห่วงไปอีกเปลาะหนึ่ง  เฮ่ออๆๆๆๆพูดเรื่องนี้ เจ้าประคุณสาธุหากข้ามีบุญในใต้ร่วมผ้ากาสาว
พัดแล้วขอให้ความคิดนี้สำเร็จด้วยเถิด”  กำนันหวนกล่าวจบก็ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว
   “เรื่องครอบครัว ฉันก็หมดภาระเป็นห่วงแล้วหากอีหนูและเจ้าชวนมันสบายๆนะ นึกถึงเจ้าชวนเอง
ก็ให้อดสงสารมันไม่ได้ถึงมันจะไม่ใช่ลูกแท้ๆเราก็เถอะ แต่เราก็เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยอีกมัน
หรือก็รักเราเหมือนพ่อแม่ของมันเองที่ตายไปแล้ว อีกครอบครัวพ่อแม่มันหรือก็หนีไปในกรุงเทพฯ
กันหมดที่ทางก็ขายเสียเกลี้ยงซ้ำยังเอาที่ของมันไปขายเอาเงินไปแบ่งกันเมื่อพ่อแม่มันตายไปแล้ว
จึงรีบหนีไปกรุงเทพ  มันจึงเสมือนไร้ญาติขาดมิตรไปเลยล่ะพี่”  แม่เย็นเอ่ยถึงเจ้าชวน
   “เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาหรอกแม่เอ๋ย ก่อนจะบวชอีกไม่นานข้าก็จะไปโอนที่ให้แบ่งกับอีหนูมันคนล่ะ
ครึ่งที่อำเภอคราวไปลาออกจากกำนันนี่แหละ สบายใจได้แล้วแม่เย็น”
   “หากเป็นเช่นนี้ใจฉันก็สบายหลังจากอีหนูเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว ส่วนเจ้าชวนนั้นก็ไม่อยากจะเข้า
ไปก้าวก่ายในเรื่องผู้หญิงหรอก ให้มันหาของมันเองแต่เรื่องนี้ฉันก็ไม่เป็นห่วงแล้วด้วยมันเมื่อได้
รับมรดกจากเรา ไหนเลยผู้หญิงจะไม่มองมันและรูปร่างหน้าตามันก็ไม่เป็นรองใครในหมู่บ้านเรา
อีกด้วยนะพี่   ฉันเองว่าเมื่อทุกๆอย่างลงตัวกันแล้วก็จะไปขอหลวงพ่อออกบวชชีเหมือนกันล่ะ???”
   “หากแม่เย็นคิดได้อย่างนี้ทำให้ข้ายิ่งหมดห่วงไปอีกหนึ่งล่ะ อนุโมทนาบุญด้วยคนนะแม่เย็น”
   “ฉันเอาแน่พี่หากทุกๆอย่างสมบูรณ์ตามความคิดเห็นของพี่และฉันนะ  ฉันก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง
เกี่ยวกับครอบครัวของอีหนูและเจ้าชวนมัน วางมือเสียทีนะเพียงจะเอาเงินไปก้อนหนึ่งไปเพื่อกิน
ในระหว่างบวชชีด้วยไม่มีรายได้อะไรเลยและได้ทำบุญสร้างวัดบ้างจ๊ะพี่”
   “เป็นความคิดที่ดีจ้าแม่เย็น ข้าก็จะเบิกเงินจากธนาคารมาเข้าบัญชีแม่เย็นไว้เวลาไปบวชจะได้มี
เงินใช้จ่าย ส่วนข้านั้นไม่เอาอะไรทั้งสิ้นจะถ่ายเทออกเป็นสามส่วนให้เงินพวกมันไปลงทุนบ้าง
ส่วนเหลือนั้นจะถ่ายเข้าธนาคาร ธกส. ให้แม่เย็นหมดเลย”
        แล้วทั้งสองก็ต้องหยุดการสนทนากัน ด้วยได้ยินเสียงเจ้าชวนหันมาถามว่า
   “พ่อๆๆ พ่อจะแวะบ้านกำนันมั่นหรือเปล่าล่ะพ่อ???”
   “คงจะไม่ล่ะลูกนี่ก็จะมืดแล้ว เลยไปเลยพ่อเองเมื่อมาทางนี้ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว”
   “จ๊ะพ่อ ข้าจะได้เร่งเครื่องให้มันเลยไปอย่างรวดเร็วนะ”
   “เออดีแล้วล่ะ ไอ้มั่นจะคิดอย่างไรช่างมันเถอะ”
        ครั้นพอรถกะบะซึ่งจะต้องแล่นผ่านบ้านกำนันมั่นก่อน  เจ้าชวนก็เร่งเครื่องรถทันที เสียงรถดัง
สนั่นด้วยบนถนนนั้นบ้างขรุขระ รถจึงกระแทกกับพื้นเกิดเสียงดัง แล้วรถก็หายลับตาไป
     เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากภายในบ้าน ซึ่งไอ้แม้นไอ้สนไอ้เบี้ยวตลอดจนสาวๆทั้งหลายกำลัง
ได้เวลาจัดเตรียมอาหารมานั่งกินเหล้ากันเช่นเคย
   “ไอ้ห่า!!!!...ไอ้สนไอ้เบี้ยวมึงไปดูซิว่ารถใครว๊ะ ไอ้เหี้ยนี่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง???ยิงปืนไล่
มันเลยว๊ะ???...”  ไอ้แม้นสั่งด้วยความโมโหเมื่อได้ยินเสียงรถดังสนั่นก้องเข้าไปในหูพวกมัน
   “ไอ้สนไม่ต้อง เดี๋ยวกูจัดการเอง”  กล่าวเสร็จไอ้เบี้ยวก็ชักปืนออกจากเอว วิ่งเหยาะๆไปหน้าบ้าน
เพื่อจะยิงมันสักเปรี๊ยงสองเปรี๊ยง แต่มันไม่เห็นตัวรถ เห็นแต่ฝุ่นเป็นทางยาวทิ้งเอาไว้ คลุ้งไปด้วยฝุ่น
ทั้งสิ้น   ด้วยความคะนองมือจึงยกปืนขึ้นบนท้องฟ้ายิงออกไปสามนัด ปั๊ง!!!..,ๆๆ   ได้ผลชะงัด
   เสียงตะโกนออกมาจากบนบ้านทันที  
   “ไอ้พวกห่าราก???...  มึงยิงปืนทำไม ยิงหาพ่อหาแม่มึงหรือว่าจะยิงโคตรพ่อโคตรแม่มึง???...”
คราวนี้เสียงจากพวกไอ้แม้นเงียบสงบทันที  ไอ้เบี้ยววิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นๆ
    “ไม่ต้องห่วงหรอกว๊ะไอ้เบี้ยว พ่อกูก็แบบนี้แหละ มาม๊ะมา เอ๊านี้แก้วเหล้าของมึงโว้ย???...”
   “ค่อยยังชั่วหน่อยนี่ไอ้แม้นไม่เอ่ย???...มีหวังข้าโดนเต๊ะแน่ๆๆๆ”  ไอ้เบี้ยวกล่าว
   แล้วทั้งหมดก็ต่างนั่งล้อมวงคุยกันสารพัดเรื่อง ล้วนแต่เรื่องความเก่งกล้าสามารถของพวกมัน
ทั้งสิ้น จวบจนตะวันลับไปความมืดเข้ามาแทนที่...........
                                   * แก้วประเสริฐ. *

qp011.gifCartoon_Animation_08.gifflowers_170.gif692823n68ya60jv9.gif				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน