อทิสมานกาย ๖๘

แก้วประเสริฐ

76.gif
                       อทิสมานกาย ๖๘
   ชายหนุ่มนั่งพิจารณารูปร่างกายที่ปราศจากดวงวิญญาณของสาวชบา
 เห็นฉัพรังสีพรายรอบๆร่างนาง ดังนั้นก็ทราบว่า
  นางอัปสรทั้งสองได้นำพาร่างกายทิพย์ของสาวชบาท่องเที่ยว
ไปในแดนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแล้ว ในฉกามาพจร สวรรค์
หกชั้นหรือจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ชั้น จาตุม  
   เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกานี้จะมีอายุ 500 ปีทิพย์ โดย 1 วัน
และ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้เท่ากับ 50 ปีของโลกมนุษย์
 (30วันเป็น 1 เดือน 12 เดือน เป็น 1 ปี)
  อันสวรรค์ 6 ชั้นนี้ คือชั้น จาตุมหาราช  ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมารดี 
และ ปรนิมมิตวสวัตดี
สวรรค์แต่ละชั้นนี้เกิดจากฌานสมาบัติในขั้นอนาคามี และทาน
อันเป็นมหากุศลยิ่งใหญ่มากถึงจะได้เป็นหัวหน้าแต่ละชั้นหาก
บุญนั้นน้อยก็จะไล่เรียงตามลำดับไป ตามลักษณะของวิมานต่างๆเป็น
เครื่องหมายบอกถึงการเสวยบุญของเหล่าเทพยดานั้นๆ
   ในแดนแห่งชั้นแต่ละสวรรค์ที่เป็นประธานชั้นหรืออีกนัยหนึ่งคือ
หัวหน้าของเหล่าเทพยดาและเทพอัปสรทั้งหลาย
จะมีบุตรต่างเรียกว่า อินทร์ หรือ อินทะ มีจำนวนแห่งละพัน 
แปลว่าผู้เป็นใหญ่แห่งเทวดาทั้งปวงเรียงกันตามผลแห่งบุญที่สร้างไว้
เป็นรองของมหาราชเพื่อจะเข้าสู่ความเป็นมหาราชต่อไป
    การไปมาหาสู่กันได้ในระหว่าง 6 ชั้นนี้ ก็ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
แต่จะมาอาศัยอยู่ไม่ได้ ผู้ที่จะมาได้นั้นต้องเป็นถึงมหาราชหรือ
หัวหน้าของเทพยดาแต่ละชั้นเท่านั้นถึงจะไปๆมากันได้
ส่วนเทพยดามิได้เป็นหัวหน้าจะไปมาหาสู่ข้ามชั้นไม่ได้ ยกเว้น
พวกอินทร์หรืออินทกะ   หากเทพยดาชั้นใดๆก็ตามมีชั้นสูงกว่า
จะลงมายังชั้นต่ำกว่าได้ แต่ชั้นต่ำจะขึ้นไปชั้นสูงไม่ได้นี่คือ
 กฏแห่งสวรรค์ที่กำหนดเอาไว้แบ่งส่วนต่างๆกัน ดังนี้
 ชั้นพรหมจะมาอยู่ในชั้นใดๆก็ได้ตามเจตนารมณ์ 
 ไล่กันลงมาจนถึงชั้นจาตุมหรือจาตุราชิกาส่วน
ชั้นตั้งแต่เทวดาต่างๆที่อาศัยจะขึ้นไปสูงไม่ได้
 มหาราชเองก็จะไปอาศัยอยู่ในชั้นสูงกว่าตนก็ไม่ได้เช่นกัน
   อันชั้นจาตุราชิกาอันมีมหาราชแยกปกครองเพื่อช่วยเหลือ
เหล่ามนุษย์ทั้งปวงที่ประกอบกรรมดีให้รอดพ้นภัยร้ายนาๆนัปการ 
 แบ่งอาณาเขตเป็นสี่ส่วน ทั้งสี่ทิศ
    ท่านท้าวเวสสุวรรณ(กุเวร)     อันชื่อกุเวรนี้เป็นชื่อดั่งเดิมในสมัย
ยังเป็นมนุษย์อยู่ในลักษณะของพราหมณ์ หรือผู้ที่สำเร็จฌาน
ในขั้นอนาคามี       มีบริวารนับเป็นจำนวนมากมาย
 ล้วนแล้วแต่พวกผีปีศาจ ยักษ์  และ อบายภูมิ
     อันมีท่านท้าวพระยายมราชปกครองอยู่
แต่จะต้องขึ้นอยู่กับท่านท้าวเวสสุวรรณมหาราช
 มีบุตรล้วนแล้วแต่ชื่ออินทร์หรืออินทกะทั้งสิ้น
หรือเป็นรองท่านท้าวมหาราช ได้แก่พวกอินทร์หรืออินทกะที่
ท่านมหาราชได้ให้กำกับดูแลแทน
    หากท่านท้าวมหาราชจุติไปบังเกิดในชั้นสูงกว่าเช่นชั้นพรหมสืบ
เนื่องมาจากพวกที่สำเร็จขั้นอนาคามีเท่านั้น ส่วนพวกที่กุศลเกิดจาก
การทำบุญสุนทานก็จะไปสู่ชั้นสูงกว่าได้ยากมากจึงจำเป็น
หรือย้อนกลับลงมาในโลกมนุษย์ด้วยหมดผลบุญที่ได้
เสวยผลบุญที่เคยทำมา เพื่อสร้างสะสมบุญบารมีต่อไป
 ในครั้งเป็นมนุษย์เจริญสมาธิหรือทำบุญไว้มากๆอีกครั้งหนึ่งก็จะกลับ
คืนไปสู่ยังดินแดนอื่นๆอีกต่อไปหรือกลับไปในชั้นเก่าของตนก็ต้อง
เป็นการเริ่มต้นในอินทร์หรืออินทกะก่อนเรียงลำดับตามผลบุญนั้นๆ
หาใช่กลับมาเป็นมหาราชเหมือนเดิมก็หาไม่
   ท่านอินทร์ทั้งหลายหรืออินทกะใครมีบุญบารมีสูงที่สุดก็จะได้รับการ
เลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นมหาราชแทนทันที  
     ไม่มีการขาดตอนใดๆเพื่อปกครองเฝ้าดูแลบริวารและมนุษย์
ช่วยเหลือผู้ที่ประกอบแต่กรรมดี คอยปกปักรักษาไว้มิให้
มีเภทภัยใดๆทั้งสิ้น  จะช่วยคุ้มครองป้องกันพวกที่มาขัดขวางทางบุญกุศล
อาณาเขตการปกครองกว้างขวางกว่ามหาราชอื่นๆอีก 
ซ้ำยังเป็นประธานของเหล่ามหาราชทั้งหลายอีกด้วย
 การที่จะมาชั้นนี้ได้นั้น ต้องสำเร็จฌานสมาบัติ ในขั้นอนาคามี
 และสร้างบารมีทานไว้มาก  หากตอนก่อนจะดับขันธ์นั้น
หากดับในสมาธิก็ต้องไปเสวยสุขยังชั้นพรหม
หากดับขันธ์ไม่ได้ดับในสมาธิก็จะต้องมาสู่ยังสถานที่นี้แต่ต้องเป็น
ในรูปของอินทกะเพื่อจะสืบสานขึ้นเป็นองค์มหาราชต่อไป  
หากท่านท้าวจาตุรราชิกานั้นจุติแล้วไปบังเกิดในชั้นพรหมหรือ
เลื่อนขึ้นสูงกว่านี้ อินทกะที่มีบารมีสูงก็จะได้เป็นมหาราชแทน
ปกครองดินแดนยังทิศเหนือสืบต่อไป
  ส่วนเทพยาดาที่ไม่ได้ขั้นอนาคามีและลดหย่อนลงมาตามลำดับได้ฌาน
สมาธิแต่ยังไม่สูงถึงขั้นอนาคามีครั้นดับขันธ์มิได้อยู่ในฌานสมาบัติแล้ว
หรือพวกทำบุญสุนทานมากน้อยแต่ไม่ใช่มหาทานก็จะจุติไปบังเกิดลด
หลั่นกันไปตั้งแต่ อินทร์หรืออินทกะมาจนสุดท้ายคืออทิสมานกายที่
เราเรียกว่า รุกขเทวาหรือรุกขเทวี พวกนี้จะไม่มีวิมานของตัวเองแต่จะ
สามารถเนรมิตไปเกาะติดตามต้นไม้ใหญ่ๆที่มีกลิ่นหอมเป็นต้นหรือ
หากมีใครอัญเชิญก็จะไปประจำยังศาลพระภูมิบ้างตามแต่ผลบุญของตัวเอง
ตามลำดับจะไปสู่ยังขั้นอินทร์หรืออินทกะไม่ได้เลย การจะไำปอยู่ใน
ดิืนแดนทั้งสี่ทิศนั้นก็ต้องแล้วแต่อำนาจของผลบุญของตัวเองด้วย
    เป็นแรงของผลบุญแต่ละทิศนั้นการเสวยสุข
ไม่เหมือนกันนั่นเอง
    ท่านท้าวธตรฐ ก็เช่นเดียวกันต้องมีฌานสมาบัติในขั้นอนาคามี
เช่นเดียวกับท่านท้าวเวสสุวรรณ  มีการปกครองอาณาเขตน้อยกว่า
    ด้วยบารมีนั้นน้อยกว่าท่านท้าวเวสสุวรรณ มีรองซึ่งเป็นบุตร
จำนวนพันหนึ่งเหมือนกันชื่อก็เรียกเหมือนกันคือ อินทร์หรืออินทกะ 
   ปกครองดินแดนด้านทิศตะวันออก มีบริวาร เป็นพวก กุมภัณฑ์ 
 วิทยาธร คนธรรพ์ กินนร และยังมี ดินแดนแห่งป่าหิมพานต์
ที่พวกมัคคลีผลตลอดจนพวกสิงห์ คชสีห์ฯลฯ สัตว์ต่างเป็นจำนวนมาก
 เสวยสุขคล้ายๆดาวดึงส์   อาณาเขตน้อยกว่าท่านท้าวเวสสุวรรณ
      ท่านท้าวรุฬหก ก็เหมือนมหาราชทั้งสองคือท้าวเวสสุวรรณ 
ท้าวธตรฐ ปกครองทางด้านทิศใต้  มี ครุฑ กุมภัณฑ์ ปักษาทั้งหลาย
เป็นบริวาร   คล้ายกับท่านท้าวธตรฐ มหาราชที่มีบริวารดังกล่าว
     มีอาณาเขตน้อยกว่าท่านท้าวเวสสุวรรณ มีบุตรรองท่านมหาราช
หนึ่งพันนายเช่นเดียวกัน
ต่างเรียกชื่อเหมือนๆกันคือ อินทร์ หรืออินทกะ
      ท่านท้าววิรูปักข์  ก็เหมือนท่านท้าวทั้งสามเป็นมหาราชดูแลทางด้าน
ทิศตะวันตก มีพวก นาค งู และสัตว์มีพิษทั้งหลาย
มีบุตรและรองมหาราชจำนวนหนึ่งพันนาย มีนามว่า
อินทร์ หรืออินทกะ เช่นเดียวกัน ทั้ง 6 ชั้น
อาณาเขตน้อยกว่าท่านท้าวเวสสุวรรณ ดินแดน
ทั้งสามท่านมหาราชนอกจากท้าวเวสสุวรรณแล้วมีพื้นที่ปกครองใกล้ๆเคียงกัน
   อินทร์หรืออินทกะนั้นการแต่งกายจะไม่เหมือนกันตามแต่ละทิศที่ช่วย
ปกครองดูแลบริวารของท่านท้าวมหาราช รัศมีของแต่ละแดนก็แตกต่างกันด้วย
ถึงจะมีชื่อเหมือนๆกันแต่มีที่สังเกตุของเครื่องแต่งกายที่เกิดขึ้นจากทิพย์เป็นตัว
บ่งชี้ถึงการเหลื่อมล้ำ  ฉะนั้นท่านท้าวมหาราชทั้งสี่หรือหัวแห่งทวยเทพยดาทั้งปวง
แต่ละชั้นก็อาศัยสังเกตุการแต่งกายและฉัพรังสีของแต่ละองค์ซึ่งแตกต่างกันไป
เรียกถูกต้องไม่เกิดการผิดพลาดด้วยแต่ละองค์นั้นการแต่งกายฉัพรังสีไม่เหมือนกัน
    
   ครั้นชายหนุ่มทราบเหตุดังนี้จึงนั่งคอยเฝ้าดูแลร่างของสาวชบามิให้รับอันตราย
 ด้วยว่าการออกจากร่างนั้นในขณะนี้  จะมีใครมาจับต้องร่างนั้นมิได้
ด้วยเกิดราคีจะทำให้     ร่างกายทิพย์มิอาจจะเข้าคืนร่างสู่ปกติได้เลย
   ครั้นนั่งเฝ้าดูแลร่างกายของชบานั้น ก็แลเห็นร่างของเจ้าแสงสีและสินชัย
ปรากฏกายขึ้นมาเพื่อจะรายงานให้ชายหนุ่มรู้ที่สภาพการทำงาน
แห่งบ้านบางโคให้ทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดแก่นายมัน
และหันไปมองยังร่างของสาวชบาด้วย ก็เกิดความสงสัยจึงได้ถามว่า
   “นายๆ???.....แม่สาวชบาถอดกายทิพย์ได้แล้วหรือครับ”
   “ใช่แล้วเจ้าแสงสีและแสงชัย  เรื่องนั้นข้าเองก็คิดว่าคงจะสำเร็จด้วย
ข้าได้ไปดูการทำงานของเจ้าแล้ว  เจ้าปฏิบัติงานได้ดียิ่งนัก
 ที่ข้ามิให้เจ้าจัดการขั้นเด็ดขาดก็ด้วยได้รับแจ้งจาก
องค์ท่านท้าวพระยายมราชแล้วว่าท่านได้ส่งท่านยมฑุตมาคอยช่วยเหลือ
และรับตัวพวกมันแล้ว ด้วยอำนาจแห่งฉัพรังสีขององค์พระนั้น
ก็สามารถตรึงพวกผีปีศาจอสูรกายได้แล้ว จึงไม่กังวลแล้วรีบกลับคืน
  แต่ได้รับการช่วยเหลืออีกทางหนึ่งย่อมเพิ่มความสะดวกแก่ท่านยมฑูตด้วย
  เอาล่ะขอบใจเจ้ามากนัก อ้อๆๆอีกอย่างหนึ่งเดี๋ยวข้าต้องออกไปข้างนอก
ขอให้เจ้าจงช่วยเฝ้าดูแลร่างของสาวชบาไว้ด้วยอย่าให้ใครมา
จับต้องร่างกายเนื้อนี้ได้นะ จะเป็นอันตรายแก่นางเมื่อคืนกลับสู่ร่าง”  
ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ อ้อๆอีกอย่างหนึ่งนั้นแม้เจ้าจะมิมีกายเนื้อเช่นดั่งนาง
แต่ด้วยอำนาจแห่งผลบุญกุศลที่เจ้าสร้างบารมีไว้ด้วย
การเจริญสมาธิ เจ้ารู้ไหม???....ว่าผลบุญแห่งการเจริญสมาธินั้น บัดนี้เจ้าได้
ปรับสภาพจากสัมภเวสีไปแล้วคืนเกิดดับในสมาธิปรับ  โดยเจ้ามิรู้ตัวเลยว่า
เป็นอทิสมานกายไปแล้วแต่ว่า
ยังอยู่ในขั้นต่ำอยู่ เจ้าต้องหมั่นเจริญสมาธิให้มากๆอย่าได้เกิดความประมาท 
เจ้าตอนนี้ประดุจดั่งปุยนุ่นอาจจะทำให้กลับกลายเป็นสัมภเวสีอีกได้นะ”
   ชายหนุ่มกล่าวกำชับแก่แสงสีและสินชัย   ครั้นทั้งสองได้ฟังเช่นนั้น
ก็ให้รู้สึกยินดีต่างนึกในใจว่า หากไม่ได้มารับใช้นายคนนี้
 มันจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ด้วยยังต้องวนเวียนรับใช้อาจารย์เจี๊ยะเปิ้งอยู่
หากมันสิ้นไปเหมือนเดี๋ยวนี้ ทั้งสองล่ะจะเป็นฉันท์ใด
มันยังนึกไม่ออกเอาเสียเลย  จึงพากันก้มลงกราบชายหนุ่ม
ซาบซึ้งในใจยิ่งนักที่ได้รับการสนันสนุน ร่ำเรียนวิชาทางนี้มาจน
บัดนี้มันเปลี่ยนสภาพเป็นอทิสมานกายหรือเทวดาน้อยได้แล้ว
 ย่อมพ้นจากอบายภูมิไป ไม่ต้องกลับลงไปสู่ภพภูมิเบื้องล่างอีกต่อไป
เพื่อชดใช้เวรกรรมที่มันก่อขึ้นอย่างไม่ตั้งใจนัก โดยการถูกบังคับก็ตามที
ทำให้มันทั้งสองปลาบปลื้มเป็นอย่างล้นพ้น   จึงเอ่ยวาจาว่า
   “นายข้าทั้งสองจะคอยดูแลไม่ให้ใครมารบกวน
ร่างกายเนื้อของแม่นางชบาได้เป็นอันขาด
    ขอให้นายอย่าได้ห่วงกังวลไปอีกเลย  หากนายจะไป
ทำธุระอื่นๆก็ได้ครับนาย” 
ทั้งสองตอบพร้อมเพรียงกัน
   “เอาล่ะข้าจะออกไปคุยกับพ่อแม่สักหน่อย และบอกท่าน
ให้เข้าใจว่าทำไมสาวชบาไม่ได้ออกจากห้องข้าเลย
  นี่ก็ได้เวลาทำอาหารเย็นแล้วล่ะ ท่านทั้งสองกำลังสงสัยข้าอยู่”
   “เชิญเถอะนาย  ข้ามองเห็นท่านนั่งสนทนากันอยู่ชานเรือนคอยอยู่แล้วล่ะ”
   “ดีล่ะเมื่อได้เจ้าคอยดูแลข้าก็หมดห่วงใยแล้วล่ะ ไปก่อนนะ”
       ชายหนุ่มเอ่ยเสร็จก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกจากห้องทันที 
แต่ไม่วายหันไปปิดประตูให้แน่น
  ก็มองเห็นพ่อและแม่กำลังนั่งคุยกันอยู่  ดูเหมือนจะสงสัยอะไรบางอย่าง
   จึงได้เดินเข้าไปหา แล้วนั่งลงร่วมสนทนาด้วย
   “นี่ลูกโชติ น้องชบาอยู่ในห้องกำลังทำอะไรหรือ???..อยู่ตั้งนาน
 วันนี้ไม่ได้ทำอาหารเย็นเลยทุกๆทีไม่เคยขาดนี่นา 
เห็นหายเข้าไปนานเหลือเกิน???..”  แม่เข็มเอ่ยถามด้วยความสงสัย
   “นั่นซิพ่อเองก็สงสัยว่าเอ๊ะหายไปตั้งนานเหมือนกัน
 จึงคุยกับแม่เข็มว่ามันเข้าไปทำอะไรกันหรือนะ  
ไหนๆๆเล่าให้พ่อฟังบ้างซิลูก???...” 
   “แล้วคุณพ่อคุณแม่ว่าผมทำอะไรหรือครับ”
ชายหนุ่มแกล้งกระเซ้าพ่อแม่ทันที  ได้ผลทั้งพ่อเชียรแม่เข็ม 
หันมามองหน้ากัน
ต่างขมวดคิ้วเข้าหากัน ครั้นจะกล่าวตรงๆก็ให้รู้สึกเกรงใจลูกชาย
หากไม่เป็นจริงก็จะเสียหายจึง
หันมากล่าวทันที
   “ที่จริงแม่ก็ไม่สงสัยอะไรมากหรอกจ้า แต่เคยมาทำอาหาร
ไม่เคยขาดแต่หายไปนี่ก็ยังไม่ออกจากห้องลูก
 และอยู่กันสองต่อสองด้วยจะไม่ให้แม่คิดอย่างไรล่ะ อีกอย่างหนึ่ง
นั้นก็รู้ๆกันอยู่ว่า  ร่างชบานั้นไม่ใช่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่
ส่วนชบามันแม่ก็เอามาเลี้ยง  หากเป็นไปได้ก็ดีนะรีบบอกๆมาเถอะ 
พ่อแม่จะได้จัดการให้ถูกต้องเสียที”
   “นั่นซิเจ้าโชติพ่อแม่ก็ไม่ได้รังเกียจมันหรอก ถึงจะโอนมา
เป็นบุตรบุญธรรมก็ช่างและลูกเอง
   ก็เคยเอ่ยบอกไว้ว่า ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยล่ะ ????......
 ฮ่าๆๆๆสาธุขอให้ข้ากับแม่เจ้า
คิดถูกเสียเถิดนะ”  
พ่อเชียรเอ่ยพลางหัวร่อพลาง
   “แต่อย่างไรก็ให้เกียรติชบามันบ้างนะลูก จะได้จัดงานให้มันใหญ่โต
สักทีไม่ได้มีงานอะไรเลยทางบ้านเรานะ”
   “นั่นซิพี่เชียรกล่าวก็ถูกต้อง ลูกเรามันโสดมาอายุหรือก็ย่างเข้าสี่สิบห้า
ไปแล้วยังไม่มีฝั่งมีฝา  หรือเราก็ยังจะได้ดูแลหลานสักคนสองคน
จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้นะ จะได้สบายใจกันเน๊อะพี่???...”  
   แม่เข็มสนับสนุนทันที.....
   คราวนี้ชายหนุ่มได้ยินก็หัวร่อลั่นทันที เมื่อพ่อแม่เอ่ยเช่นนี้
 เหมือนหนึ่งว่าเขากับชบาต่างชิงสุกก่อนห่ามไปเสียแล้ว 
ก็ยิ่งหัวร่อจนงอหาย จึงแกล้งยั่วขึ้นมาอีก
   “คุณพ่อคุณแม่คิดอย่างนั้นจริงๆหรือครับ 
 ถ้าเป็นจริงแล้วคุณพ่อไม่กลัวคนนินทาหรือ???..
   “โอ้ย!!!!!.....สาธุๆๆขอให้เป็นจริงเถอะน่ากลัวจะไม่จริงนะซิ
 เรื่องคนนินทาพ่อกับแม่ไม่กลัวเรื่องนี้หรอกจ้า  
กลัวจะไม่จริงนะซิ ใช่ไหมพี่เชียร????...”
 แม่เข็มหันไปมองหน้าผัว พลางอมยิ้มใจนึกว่าเป็นเรื่องจริงๆเสียด้วยซิ
   “จริงๆนะไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบนา  แต่ว่าข้ามันรู้นิสัยเจ้าโชติมัน
ดีมันจะหลอกเราหรือเปล่าเท่านั้นนะแม่เข็ม ล้อเล่นกับพวกเรา
 เรื่องหากเป็นจริงไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ดีใจนะแม่เข็ม”
   “จะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง  ฉันก็ต้องทำให้เป็นจริงให้ได้  
โอ้ยๆๆคราวนี้จะได้อุ้มหลานกันกับเขาบ้าง มองคนอื่นมานานแล้ว
แต่ไม่อยากบังคับจิตใจเจ้าโชติมันเท่านั้น 
 ครั้นจะข่มขืนวัวควายให้กินหญ้า    มันก็ดูกระไรนาพี่เชียร”
   แม่เข็มเอ่ย...พลางหันไปทางหน้าลูกชาย ทางสายตา
เหมือนจะเคี่ยวเค้นความจริงหนุ่มโชติเสมือนให้ยอมรับให้ได้  
    ทำให้ชายหนุ่มนึกในใจว่า  เห็นทีว่าเราคงจะไม่พ้นการแต่งงาน
ไปได้ก็คราวนี้แหละนะ  และงานเราหรือก็ยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ไป
      แต่เมื่อคิดถึงสาวชบาก็ไม่ขี่เหร่ซ้ำยังสวยอวบอัดอีกด้วย ทั้งความเรียบร้อย
การบ้านการเรือนหรือก็หมดจดหาที่ติมิได้  มีระเบียบจัดของน่าดูน่าใช้ ตั้งแต่
หล่อนเข้ามาอยู่นั้น  บ้านเรือนหรือก็สะอาดไปทั่ว พื้นห้องก็แลดูแวววาวน่าอยู่
จะหาฝุ่นละอองสักนิดก็ไม่มี  แต่มาติดเรื่องการจดทะเบียนโอนและหล่อนก็ 
เพียงแต่อายุนั้นยังน้อยนัก เราหรืออายุก็มากมาจนถึงบัดนี้  แล้วแม่นางอัปสร
อีกสองคนล่ะจะทำอย่างไรดีหรือ????..... ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวทันที เมื่อพ่อแม่ถามก็
  ได้แต่อ่ำๆอึ้งๆไป  เมื่อพ่อเชียรแม่เข็มเห็นอาการของลูกชาย
ก็ยิ่งปักใจเชื่อตัวเองยิ่งขึ้นไปอีก พลางหันไปหัวร่อกับผัวทันที
   “เอาล่ะๆๆ???.....ไม่ต้องมาอ่ำๆอึ้งๆหรอกลูกบอกพ่อแม่มาเลย
จะได้ไปสู่ขอพ่อแม่มัน ด้วยถึงอย่างไรก็ยังเป็นเชื้อสายของเขาอยู่จะหักหาญ
น้ำใจไปก็ไม่ดี  แล้วก็ให้หลวงพ่อดูฤกษ์ยามงามดีจะได้แต่งๆกันไปนะลูก
  หรือว่าไงล่ะพี่เชียร”
แม่เข็มเอ่ยถามผู้เป็นผัวทันที ด้วยสีหน้าแช่มชื่นนัก
   “ไอ้ข้านะแม่เข็ม  แม่เข็มพูดอะไรข้าก็ไม่เคยขัดใจแม่เข็มสักที
 หากมันเป็นจริงอย่างแม่เข็มคิดนะข้าก็ดีใจด้วย แต่เจ้าโชติมันซิ
จะล้อเราเล่นหรือเปล่านะ อย่าพึ่งปักใจให้มั่นคงนัก”
พ่อเชียรเอ่ยแบบเป็นกลางๆ ส่วนในใจนั้นแสนจะลิงโลดยิ่ง
    “เถอะน่าๆๆในเมื่ออยู่กันสองต่อสองตั้งครึ่งค่อนวันแบบนี้ผิดปกติธรรมดา
จะมีอะไรอีกล่ะ หญิงสาวกับชายโสด ไม่มากไม่น้อยมันก็มีบ้างแหละน่า 
เหมือนตอนพี่เชียรหนุ่มๆก็เหมือนกันแหละจ้า”
   “อ้าวๆๆไหงมาลงที่ข้าอีกล่ะแม่เข็ม ที่ข้าทำไปนะ 
ก็ด้วยมีความรักจริงใจจริงต่อแม่เข็ม คนเดียวเท่านั้นมิคิดนอกใจเป็นอื่นเลย
เมื่อเราแต่งงาน แม่เข็มไม่เห็นหรอกว่าข้าเคยไปข้องแวะกับหญิงใดบ้าง
 นอกแต่วันๆหนึ่งก็ทำงานในไร่นาสวนนี่แหละ   ซ้ำยังมีแม่เข็มคอยให้กำลังใจ
แก่ข้าไม่เคยห่างไปไหน  เวลาเหนื่อยหรือก็รีบนำน้ำเย็นมาให้ข้าดื่มแล้วจะให้
ข้าไปมองเหลียวหาสาวอื่นใดให้โง่นะซิ อายุหรือก็มากปานนี้แล้วเดี๋ยวเด็กๆมัน
จะหัวร่อเยาะเย้ยข้าเอาว่า โคแก่ริกินหญ้าอ่อนอีกต่างหากนะแม่เข็ม ถึงแม้ว่า
 ข้าจะรูปหล่อกว่าใครๆในหมู่บ้านนี้ก็ตามจริงหรือเปล่าล่ะ???...”
      พ่อโชติกล่าวแล้วรำลึกความหลังได้ กล่าวเสร็จก็ยกมือขึ้นเสยผมทันที 
 ผมที่เป็นสีดอกเลาประปราย หันไปหลิ่วตากับแม่เข็มยั่วเย้าเล่น
   “ไอ้ที่พี่พูดก็จริงอยู่หรอก หากมีซิพี่ก็รู้ว่าฉันเป็นคนอย่างไร
 มิหัวร้างข้างแตกก็ไม่ใช่ฉันแล้วล่ะจ๊ะพี่  ไอ้พวกหนุ่มที่มาจีบฉันนะหรือ
ถามกำนันจ้อยดูได้ว่าหัวมันมีแผลเป็นหรือไม่????......”
แม่เข็มกล่าวพลางหัวร่อฮึๆๆๆ
    “ฉันไม่ใช่ดอกไม้ริมทางนี้นา กำนันจ้อย ผู้ใหญ่อาจหรือ วิ่งป่าราบ
เมื่อโดนพ่อฉันเอาปืนไล่ส่องตูดเสียวิ่งกระเจิงไปเลย  นี่ดีนะมนต์พี่เชียรขลัง
ที่พ่อฉันไม่รู้เกิดถูกชะตาอะไรกับพี่นะถึงได้มีวันนี้ 
แต่หน้าแข็งพี่แผลเป็นหายหรือยังล่ะ???...ฮึๆๆๆ...”
   “แม่เข็มอายเด็กๆมันบ้างนะ มันไม่รู้ก็เลยรู้หมดเพราะวันนี้แหละ
  เฮ่อๆๆๆมาพูดเรื่องของลูกเรากับสาวชบากันดีกว่านะแม่เข็ม”
พ่อเชียรเอ่ยเอาใจเมีย ด้วยรู้ว่าเมียตนนั้นเวลาดีหรือก็เหมือนแม่พระ 
แต่พอร้ายหรือก็เหมือนพระเหมือนกัน แต่เป็นพระเพลิงกองใหญ่ด้วย 
จึงเสแสร้งเลี่ยงไปทางอื่นเสียด้วยอายลูกชายที่นั่งเฝ้าดูอยู่ห่างๆและอมยิ้มด้วย
   “แม่ๆๆมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือครับ  ผมพึ่งจะรู้ว่าพ่อสมัยหนุ่มๆรูปหล่อมากๆ
เสียด้วยนา  แล้วไปมี เมียน้อยแอบซ่อนไว้เลยหรือแม่อย่าไว้ใจนา 
ผมพบมามากแล้ว    ไม่มี๊ไม่มีๆแต่พอเวลาตายขึ้นมาเกิดมีคนมาบอกว่า
เป็นเมียพาลูกมาด้วยน่าตาเด็กหรือก็เหมือนคนตายเปี๊ยบเลยล่ะแม่ 
ครั้นเอาเช็คเลือดทำดีเอ็นเอ      หมอบอกว่าเป็นลูกของคนตายด้วย
เอาล่ะตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ ขันที่ใช้รดน้ำศพถูกเมียหลวงเคาะ
กระบาลคนตายเลยจ๊ะแม่  นี่แน๊ะๆก่อนตายทำเป็นถือศีลกินเพลฮ่าๆๆๆ????....”
   คราวนี้ได้เรื่องทันที  แม่เข็มหันขวับไปจ้องมองหน้าผัวเขม็งราวยักษ์ขมุขีสายตา
อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ  พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกร๊วบๆๆ
   “ บอกมาดีๆนะพี่เชียรเรื่องมันจะเหมือนที่ลูกโชติพูดหรือเปล่า บอกมา
บอกมาๆ???..เสียดีๆๆ บอกเสียก่อนนา    หากข้ารู้เมื่อไหร่ตายสถานเดียว”
แม่เข็มเอ่ยทันควัน   เล่นเอาพ่อเชียรรีบถอยห่างแม่เข็มทันที 
เพราะมือของแม่เข็มคว้าเชี่ยนหมากอยู่
   “ไอ้ลูกโชติโว้ยๆ???...หาเรื่องให้พ่ออีกแล้วหรือว๊ะ นี่แม่เข็มมึงนะโว้ยๆ
ไม่เหมือนคนอื่นเสียด้วย  เดี๋ยวพ่อก็ฉิบหายหรอกว๊ะ”
พ่อเชียรร้องลั่นบ้านทันที ทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนี  แต่แม่เข็มไวยังกับปรอท
 คว้าข้อมือผัวกระชากให้ลงมาหาแกนั่งลง เพื่อจะรับฟังคำของผัวทันที
   “มานั่งนี่ซิพี่จะไหนหรือ???....สงสัยลูกเราจะพูดเป็นเรื่องจริงกระมังนะ
ด้วยบางครั้งพี่ทำไร่นาสวนคนเดียว อาจจะใช้เวลานั้นแอบหนีไปเที่ยว
ก็เป็นไปได้นะ หากฉันไม่ตามไปด้วย คงจะเหลิงระเริงกันแน่ๆถึงมีอาการ
แบบนี้นะ  บอกมาๆๆอย่าโกหกนะหากมีก็รีบบอกๆมาเสียโดยดี”
   แม่เข็มเอ่ยด้วยอารมณ์ค่อนข้างจะฉุนเฉียว ด้วยลูกที่เลี้ยงมาไม่เคยโกหก
หล่อนเลยตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนเติบใหญ่บัดนี้
   เล่นเอาพ่อเชียรปากอ้าตาค้างพูดอะไรไม่ออก พลางหันขวับไปทางลูกชาย
ทันที 
   “เป็นอย่างไรบ้างล่ะพ่อมหาจำเริญ  ไหง๋ๆมาลงทางพ่อเสียล่ะ เห็นไหมเวลา
ที่แม่เจ้าโกรธนะเป็นอย่างไรบ้าง???.ฮึๆๆๆไม่ช่วยพ่อแก้ไขบ้างเชียวหรือ”
   ชายหนุ่มหัวร่อลั่นบ้าน  พลางล้มตัวลงนอนหนุนตักแม่เข็มทันทีแล้วอ้อนว่า
   “ไม่หรอกแม่จ๋า พ่อเชียรเขารักแม่จะตายไปที่ผมพูดมานี่นะไม่ใช่เรื่องของพ่อ
หรอกจ๊ะ เป็นเรื่องที่เขาเล่าขานในวงเหล้าของลูกน้องผมมันแหย่คนที่บอกว่า
ไม่กลัวเมีย ให้เมียมันฟังก็เหมือนแม่นี่แหละโมโหโกรธาเสียยกใหญ่จนพวกๆ
ต้องบอกว่าเป็นการล้อเล่นกัน นั่นแหละเรื่องถึงเงียบไป  เล่นเอาคนถูกอำต้อง
โดดเตะเพื่อนเขาคาวงเหล้าเลยล่ะ???...ฮ่าๆๆเหมือนแม่เปี๊ยบเลยล่ะจ๊ะ ผู้หญิง
หรือก็แบบนี้ทุกๆคนแหละแม่  ปากอย่างหนึ่งใจอีกอย่างหนึ่ง เพราะความรัก
ทำให้ตามืดบอดไม่ตั้งสติคิดก่อนถึงเหตุผลเป็นอย่างไร  ด้วยพอรักกันนานๆ
ผิดนิดผิดหน่อยก็ไล่ไปๆๆๆไปหาเมียน้อยได้เลย  ไม่ไหวแล้ว
แต่พอเขาทำท่าจะไปจริงๆก็เลยเข้ามาอ้อนออดเป็นเสีย
แบบนี้ทุกรายล่ะจ๊ะแม่  ฮ่าๆๆๆๆ  ทำเป็นปากแข็งน่าตาขึงขังพอโดนจริงๆหงอ”
  แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อลั่น พลางเอื้อมมือไปลูบหน้าแม่เล่นๆ ผมล้อพ่อแม่เล่น
เห็นเครียดเอาจริงเอาจังนักจ้าแม่
   ทำเอาทั้งสองตายายถึงกับเขินกันไป  แม่เข็มก็หันมาเค้นถามอีก
   “จริงๆนะพี่เชียรไม่มีแน่นะ เอ๊ะๆๆๆฉันก็อยู่กับพี่ทั้งวันนี่นะไปวัดหรือก็ไป
ด้วยกันมิเคยขาด จะมีเวลาไปหาเมียน้อยได้ หรือ  อืมมๆๆๆจริงซินะ  งั้นฉัน
ขอโทษพี่ก็แล้วกันนะ ฉันมันคนอารมณ์ร้อนเสียด้วย อย่าโกรธฉันนะพี่”
   คราวนี้เล่นเอาพ่อเชียรยิ้มออก เป่าปากพรวดๆๆๆ ระบายลมออกจากท้อง
เสียงดังสนั่น    หันไปยกมือเขกกระบาลลูกชายทันทีแล้วเอ่ยว่า
 เฮ่อๆๆ ระบายลมออกจากปากอย่างโล่งอกโล่งใจ
   “เกือบแล้วซิเจ้าโชติ  พ่อเกือบซวยซะแล้วไอ้ลูกคนนี้ เห็นฤทธิ์แม่เจ้าหรือยัง
ทีหน้าทีหลังอย่าทำอีกนะ และแม่เจ้าหรือรักเอ็งมากด้วยเชื่อคำพูดเอ็งไปหมด”
       แล้วพ่อเชียรก็หัวร่อ  ยิ่งเห็นหน้าเมียยิ้มปุเลี่ยนปุเลี่ยนด้วยก็ยิ่งถูกใจนัก
   “พ่อผมเห็นพ่อแม่รักกันแบบนี้ผมภูมิใจมากจริงๆนะ พอใครโมโหก็รีบถอย
ทันที ดีจังเลยผมนี่เกิดมาเป็นลูกพ่อแม่ไม่เสียดายชาติเกิดหรอกครับชาตินี้”
   “อันที่จริงแม่ลืมตัวจ๊ะลูก นึกว่าเรื่องจะจริงเสียอีก ครั้นมีสติตั้งได้มาขบคิดถึงรู้
ทีหลังอย่าหยอกแม่แบบนี้อีกนะ  พ่อเจ้าหัวแตกก็จะเป็นเวรเป็นกรรมแก่แม่”
   พลางเอามือทั้งสองลูบไปตามใบหน้าและลำตัวของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
   “เอาล่ะๆๆเมื่อเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว เจ้ายังไม่ได้บอกว่า เจ้ากับชบาทำอะไรกันหรือ???”
   “อ้อๆๆๆผมฝึกให้ชบามันนั่งสมาธิจนสำเร็จแล้วจ๊ะแม่ ตอนนี้มันกำลังถอดกายทิพย์
ออกไปเที่ยวสวรรค์กับแม่นางอัปสรทั้งสองนำทางไป  เพราะจะให้ไปคนเดียวไม่ได้
ด้วยไม่รู้กาลเวลาของอีกมิติหนึ่งว่าผิดแตกต่างกันมาก เดี๋ยวจะเข้าร่างก็จะสายเกินไป
ด้วยร่างกายเนื้ออาศัยธาตุต่างๆสัมพันธ์กับธาตุวิญญาณด้วย จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ไปไม่ได้เป็นอันขาด    ถ้ามาช้าธาตุที่ก่อไว้ก็จะแยกออกจากกันเกิดแปรสภาพเน่าเปื่อย
ไปตามกาลแห่งเวลาเสีย ครั้นมาถึงแล้วจะเข้าร่าง ร่างนั้นก็สูญสลายธาตุไปหมดแล้ว
 หากเป็นมิติเดียวกันก็ไม่เป็นไรด้วยรู้เวลาอยู่จ๊ะ”
   ชายหนุ่มเอ่ยให้พ่อแม่ฟัง  ทั้งสองได้รับฟังก็พากันอ้าปากค้าง ต่างอุทานพร้อมๆกัน
   “เจ้าชบานะหรือถอดกายทิพย์ได้แล้ว หาๆๆจริงๆนะลูกไม่ได้ปดพ่อแม่นะ”
   “ตั้งแต่เกิดมามีครั้งใดบ้างล่ะครับที่ผมจะปดพ่อและแม่ เรื่องจริงๆครับ ตอนนี้ผม
ให้เจ้าแสงสีและสินชัยมันคอยระวังเฝ้าร่างกายเนื้อให้แก่ชบาอยู่ครับ ป่านนี้คงจะ
กลับเข้าร่างเดิมได้แล้วล่ะแม่ เพราะนางอัปสรทั้งสองรู้เวลาควรไม่ควรครับ”
   “อืมๆๆๆ???...นับว่าวาสนามันมีมากจริงๆคงสะสมมาตั้งแต่ปางก่อนจึงทำให้มัน
สำเร็จได้ไม่ยากเย็นนัก พ่อกับแม่ซิยังทำไม่ได้ถึงขั้นนี้เลยล่ะ ด้วยยังตัดไม่ขาดหมด”
 แม่เข็มเอ่ยขึ้น  แล้วหันไปทางพ่อเชียรเอ่ยถามบ้างว่า
   “แล้วทางด้านพี่ล่ะเหมือนเจ้าชบาหรือเปล่าล่ะพี่???...”
   “ข้าก็เหมือนแม่เข็มแหละ วนเวียนไปๆมาๆอยู่นี้แหละ แต่ช่างเถอะได้ขนาดนี้ก็ดี
แล้วล่ะแม่เข็ม คนเราอย่าหวังอะไรมากนัก หากหวังมากยิ่งทำให้จิตใจเราฟุ้งซ่านมาก
ขึ้นไปอีก  พ่อเองก็พอใจในลักษณะนี้เหมือนกันล่ะ เพียงแต่รอเมื่อไหร่หนอจะได้มี
หลานอุ้มสักคนหนึ่งกับเขาบ้างก็เท่านั้น จริงไหมล่ะ???...แม่เข็ม”
   “จ๊ะพี่ฉันปลงตกมานานแล้วล่ะด้วยบุญเรามันได้แค่นี้ก็แค่นี้ และคำพูดสุดท้ายของพี่
ก็เหมือนกับฉันเลยเชียวล่ะ”
   ชายหนุ่มหัวร่อฮึๆๆๆแล้วแกล้งนอนหลับตาแกล้งหลับไปบนตักแม่เข็มทันทีทำเป็น
เสียงกรนเบาๆๆ................
                * แก้วประเสริฐ. *

qp011.gifCartoon_Animation_08.gifflowers_170.gif692823n68ya60jv9.gif				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน