ไม่มีอัตตาหรอก, จริงๆแล้ว!

คีตากะ

15093stvwdldhri.gifปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษ โดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ที่การนั่งสมาธิกลุ่มในฮาวาย
6 กันยายน 1994

      ระหว่างการนั่งสมาธิกลุ่ม เพื่อนประทับจิตคนหนึ่งได้ถามคำถามนี้ขึ้นมาว่า อาจารย์,ช่วยอิบายหน่อยเกี่ยวกับเรื่องที่อัตตาของเราเกิดขึ้นในขณะที่เรามีความสัมพันธ์ติดต่อใกล้ชิดกับพระเจ้าภายในแล้ว? เราจะกำจัดมันไปได้อย่างไร?
อัตตาเกิดมาจากผลของสภาพแวดล้อม
      มันไม่มีอัตตาหรอก จริงๆนะ เป็นเพียงแต่ผลของสภาพแวดล้อมเท่านั้น ตอนที่เรายังเป็นเด็ก เวลาเราทำอะไรผิด เราก็จะถูกลงโทษ และเวลาเราทำอะไรที่ดีๆ เราก็ได้รับคำชมเชยและบางทีก็ชมมากเกินไปแล้วเราจึงได้เรียนรู้ที่จะแสดงโอ้อวดออกมาเพราะว่าเราได้รับการชมเชย ได้รับลูกอมอะไรทำนองนั้น แล้วต่อๆมาพอเราโตขึ้นเข้าโรงเรียน เราก็เรียนรู้ว่าคนที่ฉลาดหรือคนที่รู้วิธีที่จะปฏิบัติตัวในสังคมจะได้เปรียบคนอื่น แล้วเราก็เรียนรู้อีกเช่นกันถึงวิธีที่จะโดดเด่นเหนือคนอื่น วิธีที่จะพูดคุยได้อย่างราบรื่น วิธีที่จะทำอะไรให้คนชอบใจยินดี โดยที่แม้ว่าบางครั้งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำออกมาอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ แต่ทำไปเพื่อจะได้รับการชมเชย
      นั่นคือวิธีที่เราติดเป็นนิสัย ที่จะทำสิ่งต่างๆ แบบที่เราต้องการเพื่อที่ตัวเราจะได้เด่น และนั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าอัตตา เริ่มแรกเลยมันไม่มีอัตตาหรอก แล้วต่อมาเราก็เคยชินกับความล้มเหลวและความสำเร็จ เราจึงภูมิใจในตัวเอง เราคิดว่า “อา! ฉันทำเรื่องนี้สำเร็จ ฉันทำเรื่องนั้นได้ ฉันชนะเขา ฉันหลอกพวกเขาได้เรื่องทำนองนั้น” แล้วเราก็ภูมิใจมากขึ้นๆ และนั่นก็คือที่เรียกว่า อัตตา
นิสัย คือข้อมูลต่างๆที่จิตใจเก็บสะสมรวบรวมไว้
      ที่จริงแล้ว ทุกอย่างคือนิสัยทั้งนั้น เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับมีอัตตามาด้วย ฉันถึงบอกพวกเธอว่าสิ่งแวดล้อมสำคัญต่อแต่ละคนมาก คนสองคนที่มีสติปัญญาระดับเดียวกัน ถ้าหากว่าถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันจะแสดงปฏิกิริยาต่างกันต่อสถานการณ์อันเดียวกันที่พวกเขาเผชิญ โดยเนื่องมาจากนิสัยที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั่นเอง เพราะมีสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาเรียนรู้ในระหว่างที่ยังเป็นเด็กและในชีวิตของพวกเขา ดังนั้น จริงๆแล้วไม่มีอัตตาหรอก ตอนนี้เราจึงพยายามจัดการกับนิสัยเท่านั้นเอง
      ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เธออยากจะนั่งสมาธิ แต่เธอเคยชินกับการวิ่งไปวิ่งมา ทุ่มหนึ่งเธอออกไปดื่มกาแฟ สองทุ่มเธอก็ออกไปเต้นรำ แล้วตอนนี้ฉันบอกให้เธอมานั่งอยู่ที่นี่ เป็นเรื่องแย่จริงๆ แล้วบางทีก็ไม่ได้เห็นพระเจ้าด้วยซ้ำ ไม่ได้เห็นเสมอหรอก ใช่ไหม? บางคนก็โชคดีได้เห็นพระเจ้าตลอดทุกครั้งเลย แล้วก็เลยทึกทักเอา และบางคนก็นั่งอยู่ตรงนั้นก้นแทบจะหลุด แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรเลย! ฉะนั้นก็แน่นอนที่สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเธอรู้สึกไม่มีความสุข มันจึงยากที่เธอจะเชื่อว่ามีสิ่งอย่างเช่นพระเจ้า และก็พระเจ้ากำลังรักพวกเราอยู่ ถ้าพระองค์กำลังรักอยู่ ทำไมท่านถึงไม่มาหาฉันล่ะ ทำไมท่านมาหาคนข้างๆ?
      เพราะว่าพวกเธอมีแนวโน้มที่จะเรียนรู้ในขณะที่เติบโตขึ้น ในการที่จะคอยเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ตามแบบที่คนชาวโลกเขาทำกัน พวกเขาสอนเธอว่าเพื่อนบ้านใกล้เคียงนั้นดีกว่าเธอ รถของเขาแพงกว่า ทำไมพระเจ้าถึงให้เขาแต่ไม่ให้ฉัน? อะไรทำนองนั้น และนี่ก็คือที่เรียกว่าอัตตา จิตใจที่คอยถกเถียงโต้แย้งที่พวกเขาสะสมมาจากอิทธิพลของสังคม ดังนั้นตอนนี้เราต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพวกนั้น ทุกครั้งที่เราคิดอะไรไร้สาระ เราก็พูดว่า “ โอเค นั่นเป็นแค่นิสัยของเจ้า ฉันไม่เชื่อเรื่องขยะๆของเจ้าหรอก” แล้วก็เพียงแต่ทำงานของพวกเธอไป อย่าไปฟังเจ้าจิตใจนี้ แล้วเธอก็จะค่อยๆเคยชินกับมันไปเอง
อภัยให้ตัวเอง และพยายามเปลี่ยนแปลง
      คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ พวกเขาจะเรียบง่ายกว่า เข้าถึงพระเจ้าได้รวดเร็ว เพราะว่าพวกเขาไม่มีความคิดอะไรต่างๆมากมายเกินไป ไม่มีการเปรียบเทียบมากเกินไป ไม่ต้องพยายามเอาชนะในเรื่องการศึกษาหาความรู้มากเกินไป คนที่ยิ่งมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวมาก หรือบางครั้งประสบความสำเร็จมาก เพราะว่าพวกเขาต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เพื่อที่จะได้รับความสำเร็จ นี่เป็นตัวอย่างนะ ดังนั้น พวกเขาจึงมีนิสัยในการคิด วิเคราะห์เรื่องที่ชอบและเรื่องที่ขัดแย้ง และเรื่องความสำเร็จ ความล้มเหลว “ถ้าฉันนั่งทำสมาธิ ฉันจะได้อะไรจากพระเจ้า? ฉันจะได้อะไรบ้างไหมนี่? มันจะคุ้มค่าหรือ? คุณก็รู้นี้ว่า เวลามันเป็นเงินเป็นทอง” (มีเสียงหัวเราะ) และอะไรทำนองนั้นในบางครั้ง แล้วในจิตใต้สำนึกนั้นเราก็จะกีดขวางหนทางไปสู่สวรรค์โดยตัวของเราเอง นั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าอัตตา ซึ่งจริงๆแล้ว มันไม่มีเลย
      ตัวอย่างเช่น เด็กๆ หลายคนที่เติบโตขึ้นในครอบครัวที่ทุบตีทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็จะเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้ร้ายอาชญากร พวกเขาไม่ได้รับความรักในสมัยเด็กๆ ก็จะโตขึ้นโดยไม่รักใครเลย พวกเขาจะรู้จักแต่เพียงความรุนแรงเท่านั้น รู้จักแต่เรื่องพลกำลัง การใช้กำลังกล้ามเนื้อร่างกาย หรือ กำลังอะไรก็ตามแต่ที่พวกเขาหาได้ เพื่อเอาชนะศัตรู เพื่อจะได้กลายเป็นคนที่แข็งแรงกว่า ส่วนมากพวกเขาจะไม่ได้รับความรัก มันจึงยากที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นได้ แล้วพวกเธอก็จะพูดว่า นั่นเป็นอัตตาของพวกเขา จริงๆแล้ว ฉันจะพูดว่ามันเป็นเพียงแค่นิสัยอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อเราพูดว่า “นิสัย” มันจะเข้าใจได้ง่ายกว่า และก็ยังดูจะง่ายกว่าที่จะเข้าถึงและก็แก้ไขมันได้มากกว่าที่จะพูดว่า “อัตตา” ซึ่งมันฟังดูน่ากลัว เหมือนกับเป็นเอกลักษณ์หรือธาตุแท้ อะไรอย่างหนึ่งทำนองนั้นที่เราจะต้องต่อสู้กับมัน มันไม่ยากถึงขนาดนั้นหรอก
      แม้แต่การแปรงฟัน หลายคนไม่ได้แปรงฟันวันละสามครั้งหรอก เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีนิสัยที่จะทำอย่างนั้น และพวกเขาก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงมันได้ ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กฉันก็ไม่ได้แปรงฟันวันละสามครั้ง แต่เมื่อฉันโตขึ้นฉันก็เข้าใจว่ามันจะทำให้ฟันของฉันไม่ดี และฉันก็อยากจะสวย (มีเสียงหัวเราะ) ฉันจึงเริ่มรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของนิสัยอันนี้ คือการแปรงฟันหลังอาหาร และฉันก็ทำอย่างนี้เรื่อยมา ก็เท่านั้นเอง เพียงแค่นิสัยอย่างหนึ่ง เป็นนิสัย โอเคนะ?! ฉะนั้นจงให้อภัยตัวเองและก็พยายามเปลี่ยนแปลง...

Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com				
comments powered by Disqus
  • many_love

    2 พฤษภาคม 2554 10:15 น. - comment id 123602

    อภัยให้ตัวเอง....
    
    36.gif
     แต่ไม่เปลื่ยน..แปรง..คริๆๆ
  • คีตากะ

    2 พฤษภาคม 2554 10:25 น. - comment id 123603

    อิอิ..ประมาณนั้น
    
    36.gif36.gif36.gif
  • โอ้ละหนอ

    2 พฤษภาคม 2554 13:03 น. - comment id 123604

    อัตตา......นิสัย.....สันดาน......    !
    ความหมายเดียว.......
    เรียกแตกต่าง.......
    
    1.gif36.gif
  • คีตากะ

    2 พฤษภาคม 2554 16:34 น. - comment id 123609

    ยังมีอีกคำหนึ่งครับที่มักได้ยินบ่อยๆ "กิเลส"
    
    
    36.gif36.gif36.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน