กับดักของการให้ทาน...

คีตากะ

1551299hsv9719xeo.gifหนังสืออาจารย์เล่านิทาน
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
      นี่คือเรื่องราวของภิกษุณีสุขลา
      วันหนึ่งพระเจ้าของโลก คือพระพุทธเจ้า กำลังพำนักอยู่ในเชตวนารามในยุคของสารวัตถี พระองค์บรรยายธรรมให้กับกลุ่มผู้นับถือศรัทธา ๔ กลุ่ม (หมายถึงผู้นับถือศรัทธาทั้งชายหญิง ทั้งที่เป็นฆารวาสและออกบวชหรือพุทธบริษัท ๔) ในเวลานั้นมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ร่ำรวยมากซึ่งมีบุตรสาวที่หน้าตางดงามมาก มีสิ่งหนึ่งที่พิเศษมากในเด็กผู้หญิงคนนี้ เขามีผ้าสีขาวห่อหุ้มร่างกายเมื่อเกิดมา พ่อแม่ของเขารู้สึกงุนงง จึงไปถามหมอดู หมอดูก็บอกว่า “เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เด็กผู้หญิงคนนี้มีบุญมาก ฉันขอตั้งชื่อว่าสุขลา”
      เมื่อเด็กหญิงคนนี้เติบโตขึ้น ผ้าที่อยู่บนร่างกายของเขาก็โตขึ้นตามร่างกายด้วย เขาได้กลายเป็นผู้หญิงที่มีความสวยงามมากและมีความสง่างาม การเป็นลูกสาวของครอบครัวที่ดีซึ่งมีภูมิหลังดี ทำให้มีคนเป็นจำนวนมากมาขอแต่งงาน อย่างไรก็ตามนางก็ไม่สนใจผู้ใดเลย
      วันหนึ่งพ่อของนางก็ได้เรียกช่างฝีมือที่มีความชำนาญมาก มาทำเครื่องประดับที่สวยงามมากให้แก่นางสำหรับงานแต่งงานของนาง นางถามพ่อว่า “เครื่องประดับเหล่านี้ทำไปทำไมกัน?” พ่อของนางพูดว่า “ตอนนี้ลูกก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว พ่อควรที่จะเตรียมไว้สำหรับงานแต่งงานของลูก!”
      ลูกสาวก็บอกพ่อของนางว่า “การแต่งงานอยู่ไปได้แค่ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น มันไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไรนัก และมิหนำซ้ำยังจะสามารถสร้างความเศร้าใจมากมายให้แก่เราได้ ลูกไม่ต้องการแต่งงาน ลูกต้องการเป็นแม่ชี การเป็นแม่ชีและได้รับการหลุดพ้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า”
      นางเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถชักชวนนางให้เปลี่ยนใจได้ พวกเขาก็ไม่บังคับนางและตกลงยอมให้นางเป็นแม่ชี วันรุ่งขึ้นพ่อก็ออกไปซื้อผ้ามา เขาต้องการตัดชุดนักบวชให้กับนาง ลูกสาวก็ถามว่า “ลูกกำลังจะเป็นแม่ชีทำไมพ่อจึงยังคงเตรียมผ้าเหล่านี้?”
พ่อของนางก็พูดว่า “พ่อกำลังจะตัดชุดแม่ชีให้ลูก”
ลูกสาวก็สั่นหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก ลูกมีผ้าผืนนี้ปกคลุมร่างกายก็พอเพียงแล้ว”
      พ่อแม่ของนางก็รู้สึกงุนงงและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ก็เลยพานางไปหาพระพุทธเจ้า แน่นอน สุขลาได้ขอร้องให้พระพุทธเจ้าอนุญาตให้นางโกนหัว และอุทิศตนเป็นนักบวช นางพูดกับพระพุทธเจ้าว่า “พระเจ้าของโลกที่เคารพ เป็นการยากที่จะรักษาร่างกายมนุษย์เอาไว้ ยากที่จะได้ฟังธรรมและพบพุทธะที่มีชีวิตอยู่ ตอนนี้ฉันมีร่างกายมนุษย์ ได้ฟังธรรมะและได้พบพุทธะ ได้โปรดให้ฉันได้โกนศีรษะและอุทิศตนเป็นนักบวชและได้รับการหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดด้วยเกิด....และอื่นๆ”
      พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร? “ดีมาก ภิกษุ”
      พอพระองค์พูดจบ ผมของนางก็หลุดร่วงลงมาในทันที (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) และผ้าที่อยู่บนร่างกายของนางก็เปลี่ยนเป็นจีวร! ช่างสะดวกสบายเสียจริงๆ! แบบนี้เราก็สามารถประหยัดมีดโกนและใบมีดโกนได้ ประหยัดเสื้อผ้าและทุกอย่าง (ทุกคนหัวเราะ) หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็มอบนางให้เป็นลูกศิษย์ของภิกษุณีมหาปราจาปาตีเพื่อสอนธรรมะให้แก่นาง นางมีความขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญ และในไม่ช้าก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
       พระอานนท์เกิดความอยากรู้อยากเห็นมาก จึงได้ประณมมือคุกเข่าลงและถามพระพุทธเจ้าว่า “พระเจ้าแห่งโลกที่เคารพ ภิกษุณีสุขลาได้ทำบุญกุศลอันใดไว้ในชาติก่อน จึงทำให้นางเกิดมามีผ้าพันกาย และได้เกิดในครอบครัวอันสูงส่ง รวมทั้งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์อย่างรวดเร็ว หลังจากอุทิศตนเป็นนักบวช? ขอพระองค์โปรดบอกให้เราทราบเพื่อว่าเราจะได้เข้าใจได้”
       พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ว่า นานมาแล้วมีพระพุทธเจ้าลงมาเกิดยังโลกนี้พระองค์มีชื่อว่าพระวิปัสสิน พระองค์มักจะไปกับลูกศิษย์เพื่อโปรดสรรพสัตว์ ทุกแห่งกษัตริย์ ขุนนางและพลเมืองเคารพพระองค์เป็นอย่างมาก พวกเขาจะถวายของให้พระองค์และจัดให้มีการชุมนุมทางจิตวิญญาณที่ใหญ่โตมากมายให้พระพุทธเจ้า และขอให้พระองค์บรรยายธรรม
       ในตอนนั้นมีภิกษุที่มีจิตใจอารีมาก ชอบสร้างบุญสัมพันธ์กับผู้คน ดังนั้นทุกๆ วันท่านจึงออกไปขออาหารจากทุกครัวเรือน และให้ของขวัญที่ให้พรเป็นการตอบแทนแก่พวกเขา ท่านยังได้เทศน์และสั่งสอนธรรมะที่แท้จริงของยูไล (การรู้แจ้งสูงสุด) ให้กับทุกคน
      มีหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งครอบครัวยากจนแสนสาหัส นางและสามีของนางมีผ้าเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นเพื่อใช้ปกปิดร่างกายของพวกเขา ถ้าหากสามีของนางออกไปขอทาน นางก็จะให้ผ้าชิ้นนั้นแก่เขา ในขณะที่นางจะไม่มีอะไรสวมใส่อยู่ที่บ้าน ถ้าหากเป็นคราวของภรรยาที่จะออกไปขอทาน สามีก็จะอยู่ที่บ้าน นั่งรออยู่บนกองฟาง
      วันหนึ่ง เมื่อภิกษุรูปนั้นไปขอทาน ก็ได้ผ่านบ้านของพวกเขา ภิกษุได้เห็นหญิงสาวและพูดว่า “โอ สาวน้อย! เธอควรจะได้รู้ว่า มันยากที่จะได้ร่างกายมนุษย์ มันยากที่จะได้ฟังธรรมและได้พบพุทธะ.... ตอนนี้มีพุทธะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ซึ่งมักจะเทศน์ธรรมะและคัมภีร์อยู่เสมอ เธอควรที่จะไปที่นั่นและไปฟังธรรม แล้วเธอก็จะได้รับผลบุญอันไม่รู้จบสิ้นอย่างแน่นอน ตอนนี้เธอสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นเพราะเธอใจแคบและตระหนี่และไม่ได้ให้ทานใดๆ มาก่อน ดังนั้น ในขณะนี้เธอจึงกำลังรับผลกรรมนี้อยู่ ถ้าเธอได้ให้ทานในชาตินี้ เธอก็จะได้รับความมั่นคงในอนาคตอย่างแน่นอน”
        หญิงสาวคนนั้นรู้สึกดีใจเมื่อได้ฟังเรื่องนี้ นางได้ขอให้ภิกษุรออยู่ข้างนอก ในขณะที่นางเข้าไปข้างในและพูดกับสามีของหล่อนว่า “ดูสมณะ (หมายถึงภิกษุ) ที่ข้างนอกสิ ท่านได้มาแนะนำให้เราไปพบพุทธะที่มีชีวิตและฟังพระองค์เทศ ท่านยังได้แนะนำให้เราให้ทานเพื่อที่จะได้รับความมั่งคั่งเป็นการตอบแทน ท่านบอกว่า ความจนของเราในชาตินี้เป็นผลมาจากการที่เราไม่ได้ให้ทานและความละโมภไม่มีที่สิ้นสุดของเราในชาติก่อน ชาตินี้เราถึงได้ยากจน ตอนนี้เราควรหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดี เพื่อเราจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ในชาติหน้าของเรา”
       หลังจากที่สามีของนางได้ฟังนางพูดจบลง ก็พูดขึ้นว่า “เราควรจะทำอะไรล่ะ! เราไม่มีอะไรเลยในบ้านของเรา เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เราจะมีอะไรกินในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า เราจะสามารถให้ทานอะไรได้ล่ะ?”
      อย่างไรก็ตามหญิงคนนั้นก็ยืนกรานต่อไปโดยพูดว่า “ในเมื่อฉันได้ตัดสินใจแล้วที่จะให้ ฉันก็จะต้องให้! ถ้าหากตอนนี้เราไม่ให้ ชาติหน้าเมื่อเรากลับมา เราก็จะต้องทุกข์ยากเหมือนอย่างที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้หรือแย่กว่าเสียด้วยซ้ำ”
      สามีของนางกำลังคิดว่า “โอ! สงสัยภรรยาของฉันคงจะซ่อนทรัพย์สมบัติอะไรบางอย่างไว้เป็นความลับและไม่ได้บอกให้ฉันรู้!” ดังนั้นเขาจึงพูดกับภรรยาของเขาว่า “เอาละ! เธออยากให้ทาน ก็ให้ทานไป! ตามใจเธอ”
      ภรรยาของเขาบอกว่า “ตกลง! ในเมื่อเธอยินยอมแล้ว ฉันก็จะเอาผ้าชิ้นนี้ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวเท่านั้นของเรา ถวายให้กับภิกษุรูปนั้น รีบเอามาให้ฉันเร็วๆ!”
      ในตอนนั้นสามีของนางก็เริ่มแสดงความรู้สึกวิตกกังวล พูดว่า “โอ้ ไม่ได้หรอก! เราทั้งสองต้องพึ่งพาผ้าชิ้นนี้เพื่อออกไปขอทาน นับจากนี้ไปเราจะทำอย่างไร ถ้าหากเธอถวายมันให้กับภิกษุ? เราจะนั่งอยู่ที่นี่และพากันอดตายอย่างนั้นหรือ?”
      ภรรยาของเขาจึงบอกเขาว่า “ไม่ช้าไม่นานเราก็จะต้องตาย ไม่ว่าเราจะให้ทานหรือไม่ให้ เพราะฉะนั้น ทำไมเราจึงไม่ให้เสียตอนนี้ล่ะ เพื่อว่าหลังจากที่เราตายไปแล้ว จะได้มีผลบุญเก็บไว้สำหรับอนาคตของเรา?”
      สามีคนนี้ได้ยินภรรยาของเขาพูด รู้สึกว่ามีเหตุผล เขาจึงพูดด้วยความชอบใจว่า “ตกลง! ตกลง! ตกลง! งั้นเธอก็เอาผ้าชิ้นนั้นถวายให้กับท่านก็แล้วกัน”
      ก่อนที่ภรรยาจะเอาผ้าออกไปข้างนอกเพื่อให้ทาน นางก็ได้ขอให้ภิกษุปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้าน มันจะเป็นสิ่งที่อับอายขายหน้าที่จะถูกเห็นโดยที่ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ หลังจากที่นางได้ถวายของไปแล้ว
     นางพูดว่า “ท่านผู้ทรงคุณธรรม ได้โปรดกรุณาปีนขึ้นมาบนหลังคาบ้านได้ไหม? ฉันมีสิ่งหนึ่งที่จะถวายให้ท่าน”
     ภิกษุรู้สึกงุนงงมาก “ถ้าหากเธอจะให้ของอะไรกับฉัน ก็มาทำที่นี่สิ ทำไมเธอจึงขอร้องให้ฉันปีนขึ้นไปบนหลังคาด้วยล่ะ?”
     ผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า “ได้โปรดเข้าใจด้วยเถิด ท่านผู้ทรงคุณธรรม สามีของฉันและฉันมีเพียงผ้าผืนนี้ชิ้นเดียวเท่านั้น ซึ่งเรากำลังจะถวายให้ท่าน หลังจากที่เราให้ท่านแล้ว มันก็จะไม่สุภาพเป็นอย่างมาก ที่เราจะเผชิญหน้าท่านโดยที่ไม่มีเสื้อผ้าอันใด ถ้าหากท่านอยู่บนหลังคาในขณะที่ฉันซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ท่านก็จะไม่รู้สึกขุ่นเคือง เมื่อท่านลงมาจากหลังคาหลังจากที่รับทานแล้ว”
     ภิกษุขึ้นไปบนหลังคา ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในบ้านและล็อกประตู จากนั้นนางก็เปิดหน้าต่าง และโยนผ้าชิ้นนั้นขึ้นไปบนหลังคาเพื่อเป็นของถวายให้กับภิกษุ ภิกษุรู้สึกชื่นชมและรับของถวายที่จริงใจของสามีภรรยาคู่นั้น แม้ว่าผ้าผืนนั้นจะเก่าสกปรกและไม่มีค่า แต่ท่านก็รับไป จากนั้นท่านก็ให้พรสองสามีภรรยา และนำผ้ากลับไปถวายพระพุทธเจ้า ทันทีที่ท่านกลับมายังที่ที่วิปัสสินพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าก็ถามภิกษุทันทีว่า “ภิกษุ เอาผ้าชิ้นนั้นมาให้ฉันสิ”
      พระภิกษุตระหนักได้ว่าพระพุทธเจ้าทราบในเรื่องนั้น จึงพูดว่า “ขอท่านได้โปรดรับความจริงใจของสองสามีภรรยาคู่นี้ด้วยเถิด!”
      หลังจากที่วิปัสสินพุทธเจ้ารับผ้าผืนนั้นไปแล้ว พระองค์ก็มองดูมันอย่างอ่อนโยน ในเวลานั้นพระองค์กำลังแสดงเทศน์ต่อกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากซึ่งมีทั้งกษัตริย์ เสนาบดี ทหาร พวกผู้ดีที่ร่ำรวยและประชาชนทั่วไป ทุกคนเคารพและตั้งใจฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า ในทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นพระพุทธเจ้าถือผ้าผืนหนึ่งซึ่งเก่าและดำ คล้ายกับผ้าขี้ริ้ว และพระองค์ก็จ้องมองดูมัน ทุกคนรู้สึกว่ามันประหลาดมากและรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าอ่านใจของทุกคนออก จึงได้บอกพวกเขาว่า “ในบรรดาผู้ให้ทานทั้งหลายในกลุ่มผู้ชุมนุมนี้ ฉันไม่พบว่ามีผู้ใดที่จะล้ำเลิศยิ่งกว่าบุคคลซึ่งเพิ่งได้ถวายผ้าชิ้นนี้ให้แก่ฉัน”
       เมื่อได้ฟังถ้อยคำของพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจ พระราชินีถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างกายของพระองค์ออกทันที รวมทั้งเครื่องประดับและอัญมณีและอื่นๆ จากนั้นกษัตริย์ก็ถอดเสื้อผ้าของพระองค์ออกและมอบเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวพระองค์ รวมทั้งเงินของข้าราชบริพารของพระองค์ จากนั้นพระองค์ก็ส่งคนไปพร้อมกับสิ่งของต่างๆ เหล่านี้ เพื่อไปเชิญคู่หนุ่มสาวที่ยากจนคู่นี้ให้รับของถวายของพวกเขาและมาร่วมในงานชุมนุมของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาทราบว่าหนุ่มสาวคู่นี้ไม่มีอะไรสวมใส่ พวกเขาจึงถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของพวกเขาให้หนุ่มสาวคู่นี้ ในเวลานั้นวิปัสสินพุทธเจ้าจึงได้ถือโอกาสนี้ขยายความอธิบายให้ทุกคนทราบถึงเรื่องบุญกุศลของการให้ทานเพื่อที่จะเตือนทุกคนในเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียวและผลกรรมของความโลภ
      พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ย้ำเตือนพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธอควรจะตระหนักว่า ผู้หญิงที่สิ้นเนื้อประดาตัวก็คือภิกษุณีสุขลาในขณะนี้ เนื่องจากการถวายที่บริสุทธิ์และจริงใจของนาง ไม่ว่านางจะเกิด ณ ที่ใดใน ๙๑ กัลป์ต่อมา นางก็จะมีผ้าชิ้นหนึ่งห่อหุ้มร่างกายของนางไว้เสมอ อีกทั้งนางจะมีชีวิตที่ร่ำรวย สุขสบาย และมีความสงสุขอยู่เสมอ นางสามารถพบฉันได้และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะนางได้ฟังเทศนาของพุทธะที่มีชีวิต และตั้งใจที่จะได้บรรลุการหลุดพ้น พวกเธอควรที่จะถือเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่จะบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งและกระตือรือร้นที่จะให้ทาน”
       หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้เทศนาเรื่องนี้แล้ว คนเป็นจำนวนมากก็ตกลงใจที่จะถวายของและให้ทาน ทุกคนรู้สึกพึงพอใจและเต็มไปด้วยความรื่นเริงใจในธรรมะ
      พวกเธอมีข้อสงสัย มีความเห็นหรือมีอะไรที่จะวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม? พวกเธอได้ตกลงใจที่จะให้ทานหรือถวายอะไรบางอย่างหรือเปล่า? ในการชุมนุมครั้งนั้น ทุกคนตัดสินใจที่จะให้ทานเพื่อว่าพวกเขาทั้งหมดจะได้บรรลุความเป็นอรหันต์ได้! พวกเธอไม่รู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับผ้าชิ้นนี้หรอกหรือ? ผ้าชิ้นนี้ อันที่จริงแล้วเป็นของคน ๒ คน ถูกต้องไหม? บังเอิญในตอนนั้นนางสวมมันอยู่พอดี ก็เลยนำออกมาถวาย ด้วยวิธีการเช่นนี้ ทำให้นางได้รับผ้าเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ การถวายผ้าที่สกปรก ทำให้นางได้รับผ้าสีขาวเป็นการตอบแทน และต่อมาในภายหลังยังได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วย เรื่องนี้ช่างเหลือเชื่อจริงๆ
      เนื่องจากผ้านั้นเป็นของทั้งสามีและภรรยา แล้วทำไมเฉพาะภรรยาเท่านั้นจึงได้รับผลบุญกุศล? เราไม่ได้ยินว่าสามีได้รับประโยชน์อันใด เป็นเพราะภรรยาเป็นผู้ริเริ่มที่จะถวายทาน ในขณะที่สามี ในตอนแรกไม่ต้องการที่จะถวาย เขาเพียงแต่เปลี่ยนความคิดในเวลาต่อมา! ความเต็มใจของเขาค่อนข้างที่จะช้าไปสักหน่อย (ทุกคนหัวเราะ) เพราะฉะนั้น ถ้าเธอต้องการทำสิ่งใด เธอควรที่จะตัดสินใจอย่างรวดเร็วและทำอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะได้รางวัลที่ดีที่สุด
      เพียงแค่การถวายอย่างจริงใจให้กับลูกศิษย์ของพุทธะที่มีชีวิต นางก็มีผ้าสีขาวห่อหุ้มร่างกายในแต่ละครั้งเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ (กัลป์สามารถเท่ากับจำนวนปีเป็นพันๆ ล้านปี) และได้เกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่งอยู่เสมอ ในที่สุดนางก็ได้พบพุทธะที่มีชีวิตและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เร็วจนแม้กระทั่งพระอานนท์ก็เทียบหล่อนไม่ติด พระอานนท์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้จากไปแล้วเท่านั้น ในขณะที่ภิกษุณีผู้นี้ได้บรรลุภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนหลังจากการประทับจิต
       อย่างไรก็ตามเธอคิดว่ามันดีไหมที่จะให้ทาน (ผู้ฟัง : มันไม่ใช่เป็นสิ่งสูงสุด) ไม่ใช่เป็นสิ่งสูงสุด! เวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์เพียงเพื่อผ้าชิ้นนั้น นับว่าแย่จริงๆ! อันที่จริงแล้ว ถ้าหากนางไม่ได้ให้ทานในตอนนั้นแต่ขอการหลุดพ้น นางก็คงจะได้รับการหลุดพ้นในชาติเดียว นางจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้บุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ในภายหลังต่อมา โชคไม่ดีที่นางไม่ได้ขอการหลุดพ้นสูงสุดในขณะที่นางให้ทาน นางให้ทานเพราะนางต้องการชีวิตในอนาคตที่มั่งคั่งกว่า
       เป็นความผิดของใคร? เป็นความผิดของนางหรือ? ไม่! มันเป็นความผิดของภิกษุที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เพราะท่านไม่ได้บอกนางถึงธรรมวิถีสูงสุด ท่านเพียงแต่แนะนำนางให้ทราบถึงบุญกุศลภายในไตรภูมิ เขาเพียงพูดว่าถ้าเธอให้ทานก็จะได้รับบุญเป็นการตอบแทนซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มความโลภให้กับพวกเขา ถ้าหากเขาได้บอกผู้หญิงคนนั้นว่า “ตอนนี้เธออาจจะยากจน แต่ก็ไม่เป็นไรนะ มีพุทธะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ถ้าหากเธอติดตามพระองค์เพื่อปฏิบัติบำเพ็ญและตั้งใจที่จะได้รับการหลุดพ้นอาณาจักรแห่งสวรรค์นั้นเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติสารพัดอย่าง เธอจะสามารถได้อะไรก็ตามที่เธอต้องการหลังจากหลุดพ้นแล้ว ไม่ว่าเธอจะร่ำรวยแค่ไหน ตราบใดที่เธอยังอยู่ในโลกนี้ มันก็จะไม่ดีไปกว่าในสวรรค์หรือยิ่งใหญ่ไปกว่านิพพาน”
      มันจะไม่ดีกว่านี้หรือถ้าเขาได้พูดแบบนี้? ด้วยเหตุนี้อาจารย์ถึงไม่เน้นการให้ทาน ด้วยความกลัวว่าความโลภในทรัพย์สมบัติจะเกิดขึ้นในตัวเธอ ไม่ว่าที่ไหนที่ฉันไป ฉันก็จะไม่เน้นการให้ทาน แม้ถ้าฉันเคยเน้น ฉันก็จะรวมเอา – ความอดทนต่อการดูถูก ความขยันหมั่นเพียร สมาธิและปัญญาเข้าไว้ด้วย ฉันจะพูดว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทั้งหมดเท่านั้นและไม่สำคัญ ฉันได้บอกเธอเสมอว่าการให้ทานนั้นไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่เพราะเรามามือเปล่า และอีกหน่อยก็จะจากไปมือเปล่า เราเป็นหนี้โลกนี้มากมาย แม้เมื่อเราให้คนอื่นนิดหน่อย ก็เป็นเพียงแค่การใช้หนี้ของเรา เธอไม่สามารถนับได้จริงๆ หรอกว่านี่คือการให้ทาน
       ดังนั้นจากเรื่องนี้ เราจึงสามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างธรรมวิถีสูงสุดและธรรมวิถีธรรมดาได้ ธรรมวิถีธรรมดาจะแนะนำคนให้ทำบุญเพื่อผลบุญที่จะตอบแทนในอนาคต... และอื่นๆ และค่อยๆ ไปสู่นิพพานอย่างช้าๆ ๙๑ กัลป์! อมิตาพุทธ! เธอรู้หรือเปล่าว่า ๙๑ กัลป์นั้นยาวแค่ไหน? เราไม่สามารถที่จะทนกับ ๙๑ ชาติได้ ไม่ต้องพูดถึง ๙๑ กัลป์หรอก ทุกครั้งที่เธอเกิดมา ไม่ว่าเธอจะร่ำรวยแค่ไหน เธอก็จะต้องพบกับการเกิด ความชรา ความเจ็บป่วยและความตาย เราเจ็บปวดทุกครั้งที่เราเกิดมา เจ็บปวดทุกครั้งเมื่อเราแก่ตัวลง เมื่อเราเจ็บป่วย และเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นเมื่อเราพบกับความตายและการพลัดพรากจากกัน ระหว่างการเกิดและการตายก็ยังคงมีความไม่ยุติธรรมอยู่มากมาย มีความทุกข์ที่สาหัสหรือเบาบางกว่า มีอารมณ์ที่ไม่ได้คาดคิดมากมายและการประสบพบกับสภาพเลวร้าย มันไม่คุ้มเลยจริงๆ ที่จะมีชีวิตอยู่ ๙๑ กัลป์ในลักษณะแบบนี้
ถ้าหากปัญญาในสมองของเธอไม่ปรากฏขึ้นมาและไม่ได้คิดในทิศทางของการหลุดพ้นสูงสุด เช่นนี้แล้วเธอบำเพ็ญอะไรก็จะไม่มีประโยชน์อันใด จะมีดีอะไรถ้าเธอเพียงแต่อยู่ภายในไตรภูมิ!? เป็นกษัตริย์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน – มีเกิด ชรา เจ็บป่วย และตาย ปวดหัวแบบเดียวกันและมีความกลัดกลุ้มทางโลกเป็นกองพะเนิน ดังนั้นเธอควรที่จะรู้ไว้ด้วยว่า ธรรมวิถีสูงสุดนั้นแตกต่างจากธรรมวิถีธรรมดาเหล่านั้นที่อยู่ภายในไตรภูมิ วัตถุประสงค์อะไรก็ตามที่เรามีในความคิดของเรา เราก็จะบรรลุวัตถุประสงค์นั้น อะไรก็ตามที่เราต้องการจริงๆ ในใจของเรา ดวงวิญญาณของเรา ปัญญาของเรา จะทำให้เราได้รับในสิ่งนั้นไม่ช้าก็เร็ว
       เมื่อผู้หญิงที่ยากจนคนนั้นให้ทาน นางไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้า นางเพียงแต่ได้ยินภิกษุพูดว่า การให้ทานจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งเป็นการตอบแทน ทางเลือกที่ดีกว่าไม่ได้ถูกเสนอให้กับนาง นางได้ยินถ้อยคำเรื่องการให้ทานและผลตอบแทนที่มั่งคั่งจากภิกษุ ดังนั้นนางจึงคิดว่ามันดีและจะต้องเป็นสัจธรรม ดังนั้นนางจึงเชื่อภิกษุทันที และตั้งสัตย์อธิษฐานเช่นนั้น เธอจะต้องรู้ว่านางรวบรวมพลังทั้งหมดของนาง ความคิดของนาง คำพูดและการกระทำเข้าไปไว้ในคำอธิษฐานของนางในขณะนั้น ดังนั้นนางจึงต้องกลับมาเพื่อมารับผลบุญของนางเป็นเวลา ๙๑ กัลป์
       ภิกษุที่มีบุญญานิสงส์และมีการบำเพ็ญที่ดีเป็นผู้พูดข้อความนี้ ดังนั้นคำพูดของท่านจึงมีพลังและสามารถทำให้เกิดผลได้ เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนั้นได้ยินเรื่องดีเช่นนี้ หล่อนได้รับความทุกข์ยากมาตลอดทั้งชีวิต ตอนนี้ได้มีหนทางที่ดีที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ยากในชาติหน้าของนาง แน่นอน นางก็จะต้องใช้ทั้งกายและใจเพื่ออธิษฐานขอสิ่งนั้น
       เธอไม่สามารถที่จะรวมการกระทำ คำพูดและความคิดทั้งหมดของเธอไปที่สิ่งๆ เดียวได้เสมอ เว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่ มิฉะนั้นแล้วเธอจะใช้พลังงานทั้งหมดของเธอให้หมดไปกับสิ่งที่เธออธิษฐาน แม้ถ้าในภายหลังนางเกิดได้พบพุทธะขึ้นมา มันก็จะสายเกินไปเสียแล้ว พลังงานทั้งหมดของนางได้ถูกใช้ให้หมดไปในคำอธิษฐานครั้งก่อนที่ได้อธิษฐานขอผลบุญในชาติหน้าของนาง ดังนั้นนางจึงต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลา ๙๑ กัลป์เพื่อรับสิ่งที่อธิษฐานนั้น โชคดีที่นางได้พบพระพุทธเจ้าและได้ตื่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตามนางก็มีพลังวังชาเหลืออยู่น้อยมากในขณะนั้น ดังนั้นนางจึงต้องกลับชาติมาเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ เธอก็ได้เห็นแล้วสินะว่าเราสามารถทำอันตรายผู้คนในลักษณะนี้ได้อย่างไร?
       ในคัมภีร์ทางศาสนาพุทธได้กล่าวไว้ว่าผู้ที่ให้ทานจะต้องบริสุทธิ์ในความตั้งใจของเขา รู้สึกมีความสุขและไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ ผู้ที่รับทานก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน - ไม่มีความปรารถนา รู้สึกมีความสุขที่ได้รับและมีความบริสุทธิ์ ด้วยวิธีนี้ ทั้งสองก็จะได้รับผลบุญ ทั้งคนที่ให้ทานและคนที่รับทานควรที่จะเป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะ ผู้หญิงคนนั้นจึงต้องกลับมาชาติมาเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ ก่อนที่นางจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ต้องรอเป็นเวลา ๙๑ กัลป์เพื่อที่จะได้รับการหลุดพ้น! น่ากลัวจัง! ไม่ได้รับผลบุญอะไรแม้แต่นิดเดียว! ๙๑ กัลป์ก็เท่ากับไม่ต้องปฏิบัติบำเพ็ญอีกต่อไปแล้ว
       นางก็ได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว แต่นางก็ต้องรอเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ก่อนที่จะได้รับการหลุดพ้น เดิมทีแล้วเธอสามารถได้รับการหลุดพ้นทันทีที่เธอได้พบพระพุทธเจ้า หลุดพ้นได้ในชาติเดียว ปัญหาก็คือนางได้พบกับลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าก่อนและได้รวบรวมพลังทั้งหมดของนางไปที่คำอธิษฐานนั้นโดยที่ไม่รู้ว่ามีวิธีการที่ดีกว่า
       ดังนั้นเมื่อเธอออกไปเทศนาสั่งสอนคนอื่น อย่าได้พูดถึงสิ่งที่เหลวไหลเหล่านั้น อย่าได้กระตุ้นความโลภของพวกเขาหรือความปรารถนาทางวัตถุภายในไตรภูมิของพวกเขา ดีที่สุดคือเธอควรที่จะชักชวนพวกเขาให้มุ่งสู่การหลุดพ้นทันที ถ้าเขาไม่ฟังก็ไม่เป็นไร เขาสามารถได้รับผลบุญอย่างอื่นจากที่ต่างๆ และคนอื่นสามารถแนะนำธรรมวิถีต่างๆ ให้เขาได้ เราอย่าไปแนะนำคนให้ทำสิ่งเหลวไหลเหล่านั้น
      “ค้นหาอาณาจักรแห่งพระเจ้าก่อน แล้วเธอจะมีทุกอย่าง” มันเป็นแบบนี้จริงๆ ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ ทั้งหมดก็มีแต่แนะนำคนให้ทำเรื่องเล็กๆ เหล่านั้นและให้ได้ผลบุญเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นเป็นการตอบแทน จะมีประโยชน์อะไรกัน? มีแต่จะทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีใครที่แนะนำคนอื่นให้ทำทานเพื่อผลบุญในอนาคตในชาติอื่นแล้วละก็ คนเหล่านั้นกำลังทำอันตรายอันยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อต่อผู้อื่น กระนั้นพวกเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจเสียเหลือเกินและยกยอตัวเอง คิดว่าตัวเองนั้นช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆ
        เรื่องนี้นับว่าน่ากลัวจริงๆ พวกเขาได้สร้างกรรมขึ้นมาซึ่งพวกเขาไม่รู้ตัวและยังคงยกยอตัวเองในเรื่องนี้ ถ้าหากตัวเขาเองให้ทานและเวียนว่ายตายเกิดเป็นเวลา ๙๑ กัลป์ด้วยตัวของเขาเองแล้วละก็ เราก็ไม่มีอะไรที่จะพูด อย่างไรก็ตาม ถ้าเขานำผู้คนทั้งหมด ผู้คนเป็นล้านๆ พันๆ ล้านคนให้ทำสิ่งเดียวกันนี้เพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์และผลบุญในชีวิตในภายภาคหน้าของพวกเขา นั่นก็นับว่าน่ากลัวจริงๆ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพวกเขาขัดขวางคนจากการได้รับการหลุดพ้น
       สิ่งที่สำคัญที่สุดในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณก็คือการได้รับแนวความคิดที่ถูกต้องและได้รับธรรมวิถีที่ถูกต้อง หลังจากนั้น การที่เรามีชีวิตธรรมดาๆ ก็นับว่าเป็นการดีพอเพียงแล้วสำหรับเรา แนวความคิดที่ไม่ถูกต้องและธรรมวิถีที่ไม่ถูกต้องจะนำความยุ่งยากมาให้...

Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.com				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน