พระเจ้าผู้ทรงสรรพนุภาพคอยดูแลทุกสิ่ง...

คีตากะ

2488170z6qjfxr3a4.gifหนังสืออาจารย์เล่านิทาน
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
      ครั้งหนึ่งมีโยคีชาวอินเดียผู้มีความตั้งอกตั้งใจมากในการบำเพ็ญคนหนึ่ง วันหนึ่งมารดาผู้เจ็บป่วยและแก่ชรามากของเขาก็ได้ตายลง เขามีความสุขมากเลยทีเดียว รีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ไปคุกเขาขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ อาจจะเป็นอาจารย์ภายในก็ได้! เขาไปนั่งหมอบกราบอยู่ที่นั่นและพูดว่า “ขอบคุณพระเจ้า! ฉันไม่ได้ขอร้องและสวดอ้อนวอนต่อท่านเลย แต่ท่านก็ยังประทานพรอันยิ่งใหญ่นี้มาให้ฉัน เพราะว่าตอนนี้ท่านพาแม่ของฉันไปแล้ว ฉันจึงเป็นอิสระมากและสามารถคิดถึงท่านได้อย่างเต็มที่ทุกๆ วัน โดยไม่ต้องมีภาระใดๆ อีกแล้ว ขอบคุณท่านมาก!”
      เขาร้องเพลงเต้นรำอยู่ที่นั่นอย่างเบิกบานมีความสุข เพื่อนบ้านต่างก็รู้สึกแปลกใจมากว่า ทำไมน่ะ? แม่ของเขาตายไป เขาไม่ได้ร้องไห้สักหยด แต่กลับร้องรำทำเพลง หมายความว่าเขาเต้นรำถวายแด่พระเจ้า ไม่ใช่ว่าไปคาราโอเกะนะ มันไม่เหมือนกัน! บางทีก็อาจจะคล้ายๆ กันก็ได้ ยักย้ายส่ายไปส่ายมา มันก็ดูเหมือนๆ กันนั่นแหละ แต่ว่าแม่ของเขาก็จะไม่เศร้าโศกเสียใจหรอก เพราะว่าแม่ของเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญที่ศรัทธาและจริงใจมากคนหนึ่งเช่นเดียวกับตัวเขา ทั้งคู่รู้ว่าโลกนี้ไม่จีรังยั่งยืน เพราะฉะนั้นแม่ของเขาจึงมีความสุขมากเมื่อเธอเสียชีวิต และเขาก็มีความสุขมากด้วยเหมือนกันหลังจากที่เธอเสียชีวิต พวกเขาเป็นคนแปลกๆ กันทั้งคู่!
      หลังจากฝังศพแม่ของเขาแล้ว เขาก็เดินทางไปยังริมฝั่งแม่น้ำคงคาทุกวัน ไปนั่งสมาธิ ท่องคำพระและติดต่อกับพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ เป็นเวลา ๓ วันมาแล้วที่เขาไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย เขาลืมเรื่องนี้ไปหมด เขากำลังนั่งอยู่บนฝั่งแม่น้ำคงคา ณ บริเวณหนึ่งที่ห่างไกลจากผู้คน ไม่มีนักแสวงบุญคนใดผ่านมาเลย เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีอะไรกิน ทุกๆ วันเขามีความสุขมากที่ได้ท่องคำพระและนั่งสมาธิ ดังนั้นเขาจึงลืมเรื่องความหิวไปเลย
      พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพก็พูดกับคนข้างๆ ท่านว่า “โถ! น่าสงสารจัง! ลูกศิษย์ของฉันข้างล่างนั่นกำลังจะตายเพราะความหิวอยู่แล้ว และดูเหมือนว่าฉันไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย ไม่ได้ให้อะไรเขากินบ้าง เขานั่งอยู่ตรงนั้น แล้วก็นึกถึงฉันอยู่ทุกขณะจิต แต่ฉันอยู่ที่นี่ ลืมปกป้องคุ้มครองเขา” แล้วพระเจ้าก็บอกนางฟ้าที่อยู่ข้างๆ ท่านให้เอาอาหารดีๆ ไปให้เขาที่ริมน้ำนั้น อาหารที่ได้รับพรจำนวนมากมายก็ถูกนำมาวางบนถาดทองคำ มีพวกจาปาตี นม แอปเปิ้ล ฯลฯ แล้วก็ถูกนำไปให้คนนี้ นางฟ้าองค์นั้นไม่เคยเห็นมนุษย์มาก่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงเด็กหนุ่มหรอก เธอเป็นเด็กสาวและก็ค่อนข้างเขินอายที่ได้เห็นเด็กหนุ่ม เพราะฉะนั้น เธอก็เลยวางถาดนั้นลงข้างๆ ตัวเขาอย่างเงียบๆ แล้วก็เหาะจากไป
      แล้วเขาคนนั้นก็ได้เห็นอาหาร แต่ไม่เห็นว่ามีใครมา เขาจึงขอบคุณพระเจ้าคิดว่ามันคงจะส่งมาจากพระองค์แน่นอน เขาก็กินอาหารนั่น เสร็จแล้วก็นั่งท่องคำพระทำสมาธิ แล้วก็เข้าสู่สมาธิ ทันใดนั้นก็มีคนหลายคนเข้ามาล้อมรอบตัวเขาและปลุกเขาขึ้นมา “ทำไม? มีอะไรหรือ?”
      พวกเขาก็ตอบว่า “แก เจ้าหัวขโมย เจ้ากล้ามาขโมยถาดทองนี้จากวัดของพระเจ้า เราต้องการพาเจ้าไปให้พระราชาลงโทษ”
      ไม่ว่าเขาจะพยายามอธิบายอย่างไร พวกทหารก็ไม่ยอมเชื่อเขา เพราะว่าพวกเขาเห็นเด็กหนุ่มจนๆ คนนี้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกำลังนั่งอยู่ข้างแม่น้ำ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงคิดไม่ออกว่าเขาจะเป็นเจ้าของถาดทองคำอันล้ำค่านี้ได้อย่างไรกัน ดังนั้นพวกเขาจึงสันนิษฐานว่าเขาต้องไปขโมยมันมาอย่างแน่นอน ถาดนั้นก็ดูเหมือนกับพวกถาดที่ใช้ในโบสถ์วิหารเพื่อใช้ถวายของให้พระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงพาเขากลับไปลงโทษ
      หลังจากที่พาเขากลับมาแล้ว พระราชาก็โกรธมาก บอกให้บริพารของพระองค์เฆี่ยนตีเขา เขาถูกโบยตีมาเป็นเวลานาน อย่างหนักและก็รุนแรงมาก แต่ว่าโยคีตนนี้กลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ยังคงหัวเราะอยู่ต่อไป (อาจารย์หัวเราะ) ไม่ได้หัวเราะอย่างที่ฉันหัวเราะนะ แต่ก็คล้ายๆ กัน เขาไม่เพียงแต่กำลังหัวเราะอยู่เท่านั้น แต่ว่าเขายังรู้สึกขอบใจ มีความสุขมากเหมือนกับถูกจั๊กจี้ พวกเขาก็เลยเบื่อที่จะเฆี่ยนตีเขา และมือของพวกเขาก็เจ็บไปหมด (อาจารย์หัวเราะ) พวกเขาเลยหยุดเฆี่ยนตีเขาแล้วก็ปล่อยเขาไป พระราชาก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน รู้สึกเหมือนกับว่าพระเจ้ากำลังปกป้องคุ้มครองเขาอยู่ ดังนั้นพระองค์จึงไม่กล้าให้คนเฆี่ยนตีเขาต่อ แต่พระองค์ก็สงสัยอยากจะรู้มาก รีบไปดูที่วัดนั้นว่ามีถาดทองแบบนี้ถูกขโมยไปหรือไม่
      เมื่อพระองค์ไปถึงวัดนั้น ก็เห็นว่ามีเลือดกำลังไหลออกมาจากรูปปั้นของพระเจ้า พระองค์จึงรู้สึกประหลาดใจมาก “เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? รูปปั้นจะมีเลือดไหลออกมาได้อย่างไร?” ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ว่าตำแหน่งที่เลือดกำลังไหลออกมานั้น ก็เป็นตำแหน่งเดียวกับที่คนคนนั้นถูกตีด้วย ดังนั้นพระองค์จึงคุกเข่าลงขอขมาโดยไม่รู้ว่าพระองค์ได้ทำบาปอะไรลงไป ต่อมาพระองค์จึงคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีคนคนนั้นอาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ และการเฆี่ยนตีเขาก็เหมือนกับการเฆี่ยนตีพระเจ้า ดังนั้นรูปปั้นของพระเจ้าจึงมีเลือดไหล ถึงตอนนี้เองพระราชากับเสนาบดีทั้งหลายของพระองค์ต่างก็ตกใจกลัวมาก พวกเขารีบไปที่ริมฝั่งแม่น้ำกัน ไปคุกเข่าขอขมาต่อโยคีตัวเล็กๆ ผู้จากจนคนนั้นและยังนำอาหารมาให้เขาทุกๆ วันอีกด้วย เมื่อพวกเขากลับไปที่วัดนั้นอีก ก็พบว่ารูปปั้นของพระเจ้าไม่มีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงได้รู้เหตุผล
      เพราะว่าคนคนนี้มีความจริงจังตั้งใจมากในการบำเพ็ญสมาธิ เขาคิดถึงแต่พระเจ้าทุกวัน ดังนั้นพระเจ้าจึงรู้สึกผิด เพราะว่าเขาไม่มีอะไรจะกินเลย ถ้าเป็นเพราะอาหารนั้นจึงทำให้เขาถูกเฆี่ยนตี ฉะนั้นมันก็ต้องเป็นความผิดของพระเจ้าอย่างแน่นอน ดังนั้นพระองค์จึงแบกรับการลงโทษนั้นไว้เอง ไม่ใช่ว่าหลังจากที่เป็นพระเจ้าหรือเป็นพุทธะแล้วเธอจะไม่สนใจอะไรเลย ถ้าเราบำเพ็ญปฏิบัติอย่างจริงจังตั้งใจจริงๆ พระเจ้าก็จะดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้ นี่คือความหมายของเรื่องนี้..

Be Veg, Go Green 2 Save The Planet

www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.com				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน