เทพยดาที่รู้แจ้ง

คีตากะ

15115rqhdx6p3ji.gif












       มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งในอินเดียดูเหมือนว่าพวกเราคนจีนก็มีเรื่องคล้ายๆ กัน วันหนึ่งพญายมได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตมาก เขาได้เชิญผี เทพเจ้าและเทพยดาทั้งหลายให้มากินอาหารร่วมกัน พญายมนั้นมีนิสัยชอบแกล้งมาก (อันนี้เป็นลักษณะของเขา) เขาจงใจวางอาหารอันอร่อยมากมายไว้ตรงกลางโต๊ะ ส่วนเก้าอี้ก็ตั้งอยู่ไกลมากจากโต๊ะ และวางทัพพีที่ยาวมากในจานอาหาร อาหารอร่อยๆ ทั้งหลายที่สรรหามาจากภูเขาและท้องทะเล ลูกพีชจากสวรรค์ เหล้าองุ่นและทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอนึกได้ก็วางอยู่ที่นั่น มันเป็นอาหารที่น่ากินที่สุดและดีที่สุด ทำให้ทุกคนน้ำลายไหล
อย่างไรก็ตามพญายมมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งคือ ในระหว่างที่กินห้ามงอปลายแขน ปกติเราจะงอปลายแขนเวลากิน ทัพพีก็ยาวแบบนั้น โต๊ะก็อยู่ห่างออกไปมาก ปลายแขนก็งอไม่ได้ กระนั้นพวกเขาก็ได้รับการบอกมาว่าพวกเขาสามารถกินได้ทุกอย่าง พวกผี อสุรกายเหล่านั้นก็บ่นกันใหญ่และทะเลาะถกเถียงกัน ด่าพญายมแล้วก็จากไปกันหมดเลย! เหลือแต่พวกเทพยดาเท่านั้นที่อยู่ต่อและคิดหาวิธีกิน ในชั่ววินาทีเดียวพวกเขาก็เข้าใจ! พวกเขาเริ่มป้อนอาหารให้กันและกัน ดังนั้นจึงไม่มีการฝ่าฝืนกฎ ไม่จำเป็นต้องงอแขน แต่พวกเขาก็ยังสามารถกินได้ มีความแตกต่างกันระหว่างเทพยดาที่รู้แจ้งกับพวกผี
สำหรับพวกเราคนธรรดา ถ้าเรากินไม่ได้เราก็จะสร้างความเสียหายเพื่อคนอื่นจะพลอยกินไม่ได้ไปด้วย ผลที่เกิดขึ้นก็คือทั้งสองฝ่ายต่างก็กินไม่ได้ นี่คือลักษณะของมาร แม้ว่าเราจะมีร่างกายที่เป็นมนุษย์ พวกเราบางคนก็เป็นมาร ถ้าการกระทำของเราเหมือนมาร เช่นนี้แล้วเราก็คือมาร โดยปราศจากจิตใจที่เสียสละ คือสิ่งใดที่เรามีไม่ได้ คนอื่นก็มีไม่ได้เช่นกัน ก็จะมีแต่เพียงการทำลายล้างเท่านั้น ก็เหมือนกับพวกผีที่สร้างความกดดันให้แก่กัน แต่ไม่ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
เมื่อเราดูแลคนอื่น พระเจ้าก็จะดูแลเราด้วย เรื่องนี้ฉันรับประกันได้ ระหว่างที่บำเพ็ญ อย่ากลัวว่าจะขาดทุน เราควรจะเรียนจากสปิริตของเทพยดาเหล่านั้น ทัพพีก็ยาวแบบนั้นแล้วการที่จะป้อนอาหารให้กันจะต้องง่ายมากและสนุกมากด้วย พวกเทพยดาคงได้เล่นกันอย่างมีความสุข ทุกคนต่างก็หัวเราะเฮฮา แต่พวกผีเหล่านั้นกลับไปแบบท้องว่าง โกรธมากและกินอะไรไม่ได้เลย
บุคคลผู้รู้แจ้งมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายมาก เพราะเราสามารถมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและคิดอะไรได้อย่างแจ่มแจ้ง ถ้าเราไม่รู้แจ้ง รักษาอารมณ์ของเราไว้ตลอดเวลาและคิดว่า “ฉันเป็นคนที่สำคัญที่สุด” เช่นนี้แล้วก็จะมีความยุ่งยากมากมาย! การที่คิดว่าไม่มีใครอื่นในโลกนี้ มีเพียง “ตัวฉัน” คนเดียวเท่านั้น เราก็จะต้องทนรับความทุกข์ด้วยตัวเราเองและรับความสุขด้วย “ตัวฉัน” คนเดียวด้วย อย่างนี้แล้วก็จะเป็นเรื่องเหลวไหล



อาจารย์เล่านิทาน
โดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่


Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com
www.godsdirectcontact-thai.org				
comments powered by Disqus
  • ฤกษ์(ไม่ได้ล๊อกอิน)

    6 กรกฎาคม 2554 15:59 น. - comment id 124776

    พยายามอ่านพยายามทำความเข้าใจ  แต่ก็ยุ่งยากมาก เพราะไม่เคยรู้เรื่องพระเจ้า ดูแล
    และจะดูแลต่อเมื่อเราดูแลคนอื้น เราจะทำอะไรเพื่อคนอื่น หวังให้พระเจ้าไม่ลืมเรายิ่งคิดยิ่งงง มันต่างกับที่รู้มาตั้งแต่เด็ก ๆว่ามีแต่ตัวเราเท่านั้นที่จะทำดีไม่ทำชั่วทำจิตใจให้ผ่องใสผลจากการกระทำแต่สิ่งดีก็จะได้รับแต่สิ่งดีเช่นขยันเรียนก็จะเรียนจบได้งานทำเป็นหลักฐาน ขยันทำงานเก็บหอมรอมริบรู้จักประหยัดใช้ในสิ่งจำเป็นก็จะมีเงินร่ำรวยขึ้น
    ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยตัวของเราเอง
  • คีตากะ

    6 กรกฎาคม 2554 17:38 น. - comment id 124777

    เรื่องนี้อธิบายยากที่สุด
    จริงๆ แล้วควรจะเปรียบพระเจ้าเป็นความรัก
    เรามีความรักต่อญาติมิตรสหาย หรือต่อคนรัก
    แต่ขอถามหน่อยว่า ท่านจะเอาความรักออกมาให้ดูหน่อยจะได้ไหม? ความรักมองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถามว่าความรักมีจริงหรือไม่? คำตอบคือมี!
    
    พระเจ้าก็เหมือนกัน ในระดับของสมองย่อมไม่อาจรู้จักความรักได้ แม้พระเจ้าจะเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งก็ตาม การที่เรากระทำสิ่งใด ก็จะได้สิ่งนั้น นั่นอยู่ภายในกฏแห่งเหตุและผล เพราะแท้จริงเราก็คือพระเจ้าของตัวเราเอง เราคือบุตรของพระเจ้า สำหรับที่สูงส่งและลึกซึ้งกว่านั่น พระเจ้าคือบิดาผู้ให้กำเนิด เมื่อใดก็ตามที่เราค้นพบพระเจ้าหรือเราหลอมรวมตัวเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าด้วยการผ่านขบวนการแห่งการรู้แจ้ง ความจริงอันลึกลับจะปรากฏแกตัวเราอย่างชัดเจน ความสงสัยทั้งหมดจะจางหายไป พระเจ้าคือความงาม ความรัก มหาพลัง ความดีงาม ทุกสิ่งอยู่ภายในพระเจ้า หากทางพุทธศาสนาก็คือระดับของโลกุตตระธรรม ที่เราเข้าใจเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เรียกว่าโลกียธรรม
    
    พยายามศึกษาสักวันคงเข้าใจ เป็นคำถามดีมากครับ
    
    36.gif36.gif36.gif
  • ฤกษ์(ไม่ได้ล๊อกอิน)

    6 กรกฎาคม 2554 23:29 น. - comment id 124782

    นั่นน่ะสิ สมองคงน้อยเลยไม่ค่อยจะเข้าใจรู้เรื่อง แต่ก็รู้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่า พระเจ้า อยู่ในห้องพี่เลี้ยงแม่บ้าน
       พี่เลี้ยงแม่บ้านแกมีห้องอยู่คนเดียวชั้นล่าง
    เราเด็ก ๆแอบรู้แอบเห็นว่าลุงคนขับรถแกแอบเข้าไปในห้องนี้ตอนกลางดึกบ่อย ๆ และเวลาแกเข้าไปสักเดี๋ยวหนึ่ง ก็จะได้ยินเสียง
    พี่เลี้ยงแม่บ้านแกร้องดังพอที่เราอยู่ข้างนอกได้ยินว่า โอ้พระเจ้า โอ้พระเจ้า
        ก็เลยเข้าใจตั้งแต่นั้นมาว่าพระเจ้าอยู่ในห้องแกแน่ ๆเลย

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน