เฝ้าไข้ข้างเตียง

อิสรชัย รัตน

ผมเดินทางเข้าออกโรงพยาบาลมาเกือบเดือนแล้วหลังจากภรรยาผมมาพักรักษาตัวจากอาการป่วยที่คุณหมอกำลังวินิจฉัยอาการอยู่  โดยที่ผมพอรับทราบขณะนี้คือเธอมีอาการหนักมากขึ้น พร้อมกับความกังวลใจของผมที่มีต่ออาการป่วยของเธอเช่นกัน  
	ผมส่งข่าวตั้งแต่ที่เธอเข้าโรงพยาบาลให้กับคุณแม่ของเธอหรือแม่ยายของผมได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงแรกก็ตกอกตกใจรีบมาจากต่างจังหวัดมาเยี่ยมพร้อมกับน้องสาวอยู่เฝ้าอาการได้ไม่กี่วันก็ต้องกลับไปทำงานหลังจากนั้นก็มาเยี่ยมในช่วงวันหยุดแต่ไม่สามารถทำได้ถี่มากนักเพราะระยะทางที่ไกลทำให้การเดินทางมาเยี่ยมแต่ละครั้งล้วนเป็นอุปสรรคมากขึ้น
	ผมจึงแจ้งข่าวให้รับรู้ทางโทรศัพท์หรือคุณแม่โทรมาสอบถามอาการเกือบทุกวันรวมถึงญาติพี่น้องคนอื่นๆ ด้วยที่สอบถามข่าวคราวมา ส่วนคุณพ่อของเธอนั้นหลังจากแยกทางกับคุณแม่แล้วการติดต่อก็หายขาดไปด้วย ไม่มีช่องทางใดๆ ที่สามารถติดต่อได้ สอบถามคุณแม่ก็ได้คำตอบที่ไม่ต่างกันคือไม่รู้ไปตายอยู่ที่ไหน  ผมจึงไม่สามารถบอกข่าวคราวให้รับรู้ได้  ทั้งๆ ที่ภรรยาผมเป็นลูกสาวคนโตที่คุณพ่อของเธอรักมากด้วยซ้ำไป
	วันนี้เมื่อผมมาเฝ้าไข้ภรรยาตามเวลาปกติเช่นทุกวันที่ผมปฏิบัติตั้งแต่เธอมานอนป่วย  เสียงพูดที่เคยสื่อสารบัดนี้เธอไม่สามารถพูดได้แล้ว คุณหมอบอกว่าเชื้อลามมาที่ลำคอทำให้กล่องเสียงอักเสบ เส้นเสียงที่เคยทำงานก็ไม่สามารถใช้การได้ มีเพียงสายตาที่บ่งอาการให้รู้ว่าภายในร่างกายของเธอนั้นเจ็บปวดเหลือเกิน
วันนี้คุณหมอบอกว่าสิ่งที่รักษาเธออยู่นั้นเพียงรักษาตามอาการเท่านั้นไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้เพราะภายในร่างกายนั้นมะเร็งได้ลามไปทั่วแล้ว
	ผมโทรศัพท์ไปบอกให้คุณแม่ของเธอรับรู้เช่นเดียวกับที่บอกให้คุณพ่อและคุณแม่ของผมได้รับทราบเช่นกัน  คุณพ่อบอกให้ผมเข้มแข็งและอย่าแสดงอาการอ่อนแอให้เธอเห็น คุณพ่อบอกว่าผมโชคดีที่ยังไม่มีลูกไม่เช่นนั้นลูกผมคงน่าสงสารที่สุด
	ผมไม่รู้เช่นกันว่าทำไมถึงไม่มีลูกทั้งที่แต่งงานมาก็ไม่ได้มีการคุมกำเนิด เธอบอกว่าคงเป็นเธอที่ร่างกายไม่แข็งแรงทำให้มีลูกยาก เธอจะไปหาหมอเพื่อตรวจสอบสาเหตุ แต่เป็นผมที่บอกเธอว่าไม่ต้องไปเพราะจะทำให้เธอไม่สบายใจได้ถ้ารู้สาเหตุที่แท้จริง  หรือในเวลานั้นถ้าเธอไปหาหมอเธอคงจะรู้เรื่องของโรคนี้ก็ได้  เมื่อผมคิดมาถึงจุดนี้ผมได้แต่เสียใจเช่นกันที่ไปห้ามเธอในตอนนั้น
	คุณแม่ของเธอขึ้นมาเยี่ยมและกลับไปพร้อมน้ำตาเมื่อเห็นอาการที่ทรุดลงของลูกสาว ผมจึงบอกให้น้องสาวแฟนช่วยดูแลและปลอบใจด้วย ผมบอกแม่ยายไปว่าผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด
	ผมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้บอกให้รู้ ก็คือตั้งแต่วันที่ภรรยาผมมานอนพักรักษาตัวที่โรงพยายาลแห่งนี้  พยาบาลดูแลห้องพิเศษที่ภรรยาผมนอนพักนั้น ผมและพยาบาลมีความคุ้นเคยและพูดคุยกันจนสนิทสนมมากขึ้น ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองผมว่าเธอคงมีใจให้ผมด้วย  เพราะสายตาที่เธอมองผมและรอยยิ้มที่เอียงอาย ผมมองออกว่านี้เป็นอาการของผู้หญิงที่เขินอายด้วยใจของตนต่อคนที่ชอบพอ
	ผมคิดเข้าข้างตัวหรือหรือเปล่าไม่รู้แต่หลังจากนั้นผมมีอาหาร ขนมเป็นของฝากมาให้เธอและเพื่อนมากขึ้น  ในช่วงเวลาที่เธอมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ภรรยาผม ผมไม่แน่ใจว่าสายตาที่เรามองสบตากันนั้นภรรยาของผมจะสังเกตเห็นหรือไม่  ผมขออย่าให้เธอระแวงไปอย่างนั้นเลยเพราะจะทำให้ร่างกายเธออ่อนแอลงไปอีก
	ผมกับพยาบาลสาวสวยที่ชื่อว่า  อิ่มอุ่น แม้คำพูดสื่อสารจะไม่มากมายนักแต่ผู้ชายวัยใกล้สี่สิบปีเช่นผมรู้ว่าสายตาเป็นสื่อของภาษารักได้เป็นอย่างดี  ในบางครั้งที่เธอมาช่วยผมเช็ดตัวภรรยาการสัมผัสมือที่เกิดขึ้นนำมาสู่การส่งยิ้มที่ผมเองก็ต้องยิ้มรับและทำให้จิตใจของผมต้องคิดหนักเหมือนกัน ผมจะเป็นคนผิดบาปหรือไม่ที่เกิดสิ่งนี้ขึ้นในขณะที่ภรรยานอนป่วยรอความตายอยู่
	หลังจากที่ภรรยาหลับผมเดินออกมารับลมที่ทางเชื่อมอาคาร  ผมยืนสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ  พยาบาลสาวเดินจากอีกอาคารหนึ่งผ่านมาตรงที่ผมยืนอยู่  เธอยิ้มเมื่อเห็นผม พร้อมกับคำพูด
	วันนี้คุณคงเหนื่อยน่ะ และดูจะกังวลมากถึงออกมารับอากาศภายนอก  มีอะไรให้ช่วยบอกได้ไม่ต้องเกรงใจ เธอยิ้มหลังพูดจบ
	ขอบคุณ ที่กรุณา ผมเกรงใจคุณมาก คุณดีต่อภรรยาของผมเหลือเกิน ผมพูดเชิงขอบคุณ
	เป็นหน้าที่ของพยาบาล และไม่ต้องเกรงใจ ฉันยินดีช่วยสำหรับคุณ เธอพูดตอบ
	ผมไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสเฝ้าภรรยาได้อีกนานแค่ไหน  ช่วงที่ผมไปทำงานผมของฝากเธอด้วยนะครับ ผมบอกเธอ
	ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันดูแลเธอเองขอให้คุณสบายใจได้ เธอตอบแล้วเดินไปยังห้องข้างใน
	
************************
	เย็นสองวันต่อมาผมมายืนอยู่ที่เดิม ที่ทางเชื่อมอาคารที่ลมพัดโกรกเย็นสบาย  อิ่มอุ่น พยาบาลสาวสวยเดินออกมาแล้วพูดกับผม
	วันนี้ภรรยาคุณขอปากกาจากฉัน 
	ภรรยาผมขอ ปากกาหรือ ขอทำไม ผมพูดเหมือนตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
	นี่ไงสิ่งที่ภรรยาคุณเขียน  เธอยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผม  ผมรับมาอ่านข้อความที่ปรากฎ  ผมจำได้ว่าเป็นลายมือของภรรยาผมแน่นอน แม้ลายมือจะไม่สวยอย่างที่เคยเขียน  
	ฉันฝากสามีด้วย 
	ผมตะลึงในข้อความที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้น  หรือว่าวันนั้นภรรยาผมจะเห็นสิ่งที่ผมทำต่อเธอในช่วงดึกที่ผมมานอนเฝ้าไข้
	วันนั้นผมกับเธอต่างตระกองกอดกันในห้องนั้นและจุมพิตเธอ  ผมทำเพียงเท่านั้นแล้วบอกเธอว่าขอให้ถึงวันที่เธอมีสิทธิ์ตามที่สังคมยอมรับ  ผมจะทำสิ่งที่อยากทำ แต่ตอนนี้ไม่ใช่
	นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นผมไม่นึกว่าเธอจะเห็นสิ่งที่ผมทำ แล้วผมจะทำอย่างไรดี  ผมจะสู้หน้าเธอได้ตามปกติได้อย่างไร  ผมสงสารเธอ ผมรู้ว่าถ้าเธอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเธอคงเจ็บและเจ็บมากที่เดียวที่ผมมีรักซ้อนรักในขณะที่เธอนอนรักษาตัวในระยะสุดท้าย  
ผมผิดมากไหม อิ่มอุ่น  ผมถามเธอเมื่อกระดาษแผ่นนั้นร่วงหล่นจากมือของผม				
comments powered by Disqus
  • อัลมิตรา

    26 กุมภาพันธ์ 2555 20:44 น. - comment id 128548

    "ผมจะดูแลคุณ จะรักคุณ ตราบชีวิตจะหาไม่" 
    
    "ไม่มีวันที่ความรักของเราจะเปลี่ยนแปลง"
    
    อะไรทำนองนี้น่ะ .. ที่เขามักจะให้คู่บ่าวสาวสัญญาก่อนจุมพิตต่อหน้าสักขีพยาน
    
    ..............................
    
    เรื่องสั้นนี้อ่านแล้วชวนให้คิดนะ 
    เพราะหากวันหนึ่งอัลมิตราอยู่ในสภาพนั้น คงไม่คิดเขียนอะไรหรอก
  • อนงค์นาง

    27 กุมภาพันธ์ 2555 05:49 น. - comment id 128551

    อ่านแล้วคิดถึงตอนที่ตัวเองนอนป่วยค่ะ หลังผ่าตัดต้องเข้าห้องไอซียู ที่เยี่ยมไข้ได้ไม่เกินครั้งละสิบนาที สามีเข้ามาช่วยเวลาต้องขับถ่าย หนัก เบา เพราะมีทั้งสายอ๊อกซิเจน สายต่อเข้าช่องท้องจากจมูก สายน้ำเกลือ เขาไม่เคยรังเกียจว่า สกปรก หรือเหม็น เทกระโถน ทำความสะอาดให้ทุกอย่าง ไม่เคยปิดจมูกเพราะกลัวเชื้อโรค เป็นสัตย์จริงค่ะ  
    
    เรื่องสั้นนี้เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้จริง เพราะกิเลสของมนุษย์นั้นยากที่จะห้ามกันได้ 
    
    36.gif36.gif36.gif
  • (น้ำตาลหวาน)

    27 กุมภาพันธ์ 2555 11:43 น. - comment id 128553

    อ่านแล้วกระชับ ได้ใจความ น่าติดติดตาม
    ด้วยเป็นคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆก็เลยชอบค่ะ 11.gif36.gif
  • อิสรชัย รัตน

    28 กุมภาพันธ์ 2555 22:12 น. - comment id 128559

    ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมผลงาน
    ขอคารวะครับ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน