เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 2 )

สุชาดา โมรา

สายลมที่โชยมาเอื่อย ๆ สร้างความหนาวสะท้านให้แก้ฉัน  ฉันรู้ตัวทันทีเลยว่าเวลาได้ผ่านมาอีกช่วงชีวิตหนึ่งแล้ว...  ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีฝนตกบ้างแต่สายลมที่เย็นยะเยือกผ่านเข้ามาทุกซอกทุกมุมของรูขุมขนนี้ทำให้ฉันต้องคลุมโปงนอนต่อด้วยความง่วง
	"ตื่นได้แล้วยายดาว...แม่สอนกี่ครั้งแล้วว่าอย่านอนกินบ้านกินเมือง...ตะวันส่องดากแล้ว...!...ตื่น ๆๆๆๆๆๆ...."
	"โอยแม่...นี่มันวันอะไรกันน่ะ  ไม่รู้เรื่องเลย  นี่มันวันอาทิตย์นะแม่"
	"นี่...เดี๋ยวตีก้นลายเลย  วันอาทงอาทิตย์บ้าอะไร  เมื่อวานวันอาทิตย์เราไปแข่งคัดสายที่กรุงเทพฯมา  วันนี้มันวันจันทร์  จะไม่ไปเรียนหรือไงหา...!"
	แม่พูดประโยคนี้ทำให้ฉันลุกขึ้นมาจากเตียงและกระวีกระวาดไปอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนทันที  เพราะฉันจะไปไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ
	"ไม่กินนมก่อนเหรอลูก..."
	"ขนมปังแผ่นเดียวก็พอแล้วค่ะ...ไปนะคะ  แม่คะสวัสดีค่ะ  คุณตาสวัสดีค่ะ...!"
	ฉันรีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปเรียนจนเกือบไม่ทันขึ้นรถเมย์  รถเมย์ต่างจังหวัดเนี่ยดีอย่างเสียอย่างนะ  ตรงที่จอดรับคนเรื่อย ๆ จอดได้ทุกที่แต่ข้อเสียคือชอบจอดแช่นาน ๆ ทำให้ฉันไปโรงเรียนไม่ทันจนได้
	"ชื่ออะไรน่ะเรา..."
	"สวัสดีค่ะอาจารย์"
	ฉันนึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องไปไม่ทันแน่ ๆ  โถ่เอ้ย...!!!!  ถูกอาจารย์กักตัวจนได้  ชื่อได้ติดบอร์ดหน้าห้องปกครองแน่ ๆ เลยเรา  ถ้ามาสายถึง 3 ครั้งถูกเรียกผู้ปกครองแน่ ๆ...ซวยเลย...
	วันนี้ฉันเรียนอย่างไม่ค่อยมีความสุขนักเพราะฉันรู้สึกว่ามีคนจับจ้องฉันอยู่หลังห้อง  พอฉันหันไปมองฉันก็เห็นเหมี่ยวและเพื่อน ๆ จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้น...จนฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล  พอพักเที่ยงฉันจะไปกินข้าวก็ถูกพวกเพื่อน ๆ กลุ่มนี้ถลักไว้
	"ไง...แน่นักเหรอที่แย่งแฟนเพื่อน..."
	ฉันทำท่างง ๆ เพราะฉันไม่รู้ว่าพวกนี้พูดถึงอะไร
	"ยังมาทำหน้ามึนอีก  แกแย่งพี่นัทไปจากเหมี่ยวทำไม...แกรู้ไหมเหมี่ยวมันท้อง"
	"ฉันว่าพวกเธอบ้าไปแล้วเหรอ...ใครกันแน่ที่แย่งแฟนฉัน...ไม่ใช่เหมี่ยวหรอกเหรอ  ที่จริงไม่น่าหน้าหนาเลยนะ  มากุเรื่องว่าคนอื่นเขาเพราะเมื่อวานแข่งกับฉันแล้วแพ้เลยเก็บกด  วันนี้กะจะเอาคืนด้วยคนหมู่มากเหรอ...หมาหมู่นี่หว่า...!"
	ฉันพูดอย่างไม่กลัวใครเพราะถ้าฉันไม่พูดพวกนี้ก็จะข่มขู่ฉันเพราะเห็นว่าฉันเป็นคนเงียบ ๆ เลยอยากจะคุกคาม  แต่ผิดแล้วฉันเป็นคนที่ไม่เคยยอมคน  และถ้าใครมาราวีฉันจะสู้ ๆๆๆๆๆ ให้ตายกันไปข้างนึงเลย...  ฉันจ้องหน้าเพื่อน 7 คนที่ยืนมุงดูฉันอย่างเอาเรื่อง  และฉันก็มองไปที่เหมี่ยว
	"สรุปจะเอาไง...!"
	ฉันถามอย่างไม่กลัว  ทำให้พวกนั้นต้องละสายตาเดินออกห่างฉันไป  ฉันเห็นสีหน้าของเหมี่ยว  เหมี่ยวทำท่าไม่ค่อยพอใจทั้ง ๆ ที่อุตส่าไปยั่วยุให้กลุ่ม 7 ห้าวแก๊งเก๋าในทางเลวของห้องมาข่มขู่ฉัน  แต่ขอโทษ...ฉันไม่กลัว  ถึงกลัวฉันก็จะสู้สู้ให้มันตายไปข้างเลย...
	ผ่านมาอีกหลายวัน...
	วันนี้เป็นวันแข่งยูโดชิงตัวนักกีฬาจังหวัด  ผู้คนเข้ามาดูกันคับคั่ง  พวกเราทำพิธีไหว้ครู  และแสดงศิลปะป้องกันตัวแบบยูโดโชว์ต่อหน้าผู้คนมากมา  โดยเฉพาะแสดงต่อหน้าท่าน ผบ.สูงสุดของที่นี่  นักข่าวมาดูกันอย่างคับคั่งทีเดียว
	ฉันดูพวกที่แข่งฝึกซ้อมในห้องซ้อมแล้วก็รู้สึกขนหัวลุก  ทุกคนดูขมักเขม้นกันดีจัง  ดูท่าทางจะต้องสู้ให้ตายกันไปข้างแน่ ๆ แล้วฉันก็แอบเข้าไปดูนักยูโดของชมรมอื่นที่มาร่วมแข่งที่ ร.พ.ศ. 2 ด้วย  ดูท่าทางโหด ๆ ทั้งนั้น  ฉันรู้สึกตาขาวขึ้นมาทันที
	เมื่อเสียงกรรมการประกาศให้นักกีฬามานั่งประจำที่เพื่อที่จะแข่ง  ฉันนั่งประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่ท่าทางน่ากลัวมาก ๆ  ฉันรู้สึกปอดแหกจริง ๆ พอกรรมการเรียกชื่อให้นักกีฬาขึ้นไปแข่ง  ฉันก็จ้องมองตาแทบไม่กระพริบทีเดียว  ฉันมองเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้หลายอย่าง   มองเห็นเทคนิกพิเศษของคู่ต่อสู้ฉันจึงจำเอาไว้ใช้บ้าง  เมื่อกรรมการเรียกชื่อฉัน  ฉันก็ลุกขึ้นไปยืนอยู่ที่เส้นสีแดง  ฉันได้คาดสายแดง  แค่คาดสายแดงก็มีกำลังใจไปครึ่งนึงแล้วละ  เพราะอีกฝ่ายหนึ่งคาดสายขาว  มันทำให้ฉันมีแรงผลักดันที่จะสู้ให้ชนะให้ได้เพราะสายแดงคือสายนำโชค...ฉันเชื่อว่าอย่างนั้น
	"ฮาจิเมะ...!!!"
	กรรมการสั่งให้เริ่มต้น  ฉันเข้าไปคว้าคอเสื้อทันที  คู่ต่อสู้กำลังดีมาก ๆ และแกร่งมาก ๆ ถึงฉันพยายามจะเข้าท่าอย่างไรแต่ก็ไม่สามารถที่จะทุ่มได้เลย  มีแต่จะเสียเปรียบเพราะฝ่ายตรงข้ามจะพยายามทำให้หลังฉันแนบกับพื้นให้ได้เพื่อที่จะฉวยโอกาสล็อกฉัน  ฉันจึงต้องหลบออกมาอยู่บ่อย ๆ  จนทำให้ดูเหมือนฉันจะหนีคู่ต่อสู้
	"ชิโด...!!!"
	กรรมการคาดโทษครั้งที่ 1 ให้แก่ฉัน  ฉันรู้สึกหูชาเพราะเสียหน้ามาก ๆ ก็เลยเข้าท่าเตรียมที่จะทุ่มแล้วไม่ทุ่มกลับหันออกมาใช้ท่าไทโอโตชิ  ทำให้คู่ต่อสู้ลอยตัวกลางอากาศประมาณ 3 วินาทีก่อนจะกระแทกลงที่พื้นเบาะ
	"วาซารี่..."
	กรรมการยกมือไปทางด้านขวา  แล้วให้คะแนนวาซา-อริกับฉัน  ถ้าฉันได้วาซา-อริอีกครั้งเดียวก็จะชนะแล้ว  ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬากา  ยังคงเหลือเวลาอยู่อีก 30 วินาที  ฉันจึงเข้าไปล็อกคู่ต่อสู้ด้วยท่าโยโกชิโฮ-กาตาเมะทันทีก่อนที่คู่ต่อสู้จะลุกขึ้นมาทัน  ฉันก้มหน้ากดสายรัดเอวให้แน่น  คู่ต่อสู้พยายามที่จะดิ้นแต่ฉันก็กดเขาเอาไว้แล้วก็เปลี่ยนท่าเป็นท่า เกซ่า-กาตาเมะทันทีเพื่อที่จะได้ล็อกแน่น ๆ เพราะท่านี้เป็นท่าที่ถนัดของฉัน  คู่ต่อสู้พยายามดิ้นรนอีกครั้งแต่ฉันก็ไม่ยอมปล่ยจนหมดเวลา
	"วาซารี่-วาซาเตะ-อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการพูดดังขึ้น  ฉันลุกขึ้นมาและก็ส่งมือให้คู่ต่อสู้  เธอคนนี้จับมือฉันแล้วลุกขึ้นมาแอบอมยิ้มนิด ๆ เราคำนับซึ่งกันและกันแล้วเธอคนนั้นก็ลงจากสังเวียน  เหลือเพียงฉันที่ต้องรอคนแข่งคนต่อไป...
	"ฮาจิเมะ...!!!"  
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มแข่งได้  ฉันจึงเดินเข้าไปจ้องคู่ต่อสู้แล้วก็พบจุดอ่อนที่ขาของคู่ต่อสู้ทันที  ฉันคว้าคอเสื้อได้ก็เข้าใส่ด้วยท่ายูชิมาตะทันที  ทำให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวไม่ทันลอยตัวขึ้นมาและกระแทกกับพื้นเบาะทันที
	"ยูโก้...!!!"
	เสียงกรรมการบอกให้รู้ว่าฉันกำลังได้คะแนนยูดก้อยู่  ถ้าฉันทำคะแนนวาซา-อริครั้งนี้ได้คะแนนฉันจะนำโด่งทีเดียว
	ฉันเข้าใส่ด้วยท่าเดิมอีกครั้งเพื่อให้คู่ต่อสู้รู้ตัวว่าฉันรู้ว่าขาเขามีปัญหา
	"ยูโก้...!!!"
	เสียงกรรมการให้คะแนนอีกครั้ง  แต่คะแนนของฉันก็ยังไม่ทิ้งห่างคู่ต่อสู้เลย  คู่ต่อสู้มีสิทธิ์ที่จะตามฉันทันภายใน 2 เกมส์นี้  ฉันจะทำยังไงดีนะ  คู่ต่สู้ก็แกร่งเหลือเกินถึงแม้ว่าจะมีจุดอ่อนที่ขาก็ตามเถอะแต่ฉันก็หาทางเข้าทุ่มลำบาก  มีวิธีเดียวก็คือต้องใช้ท่านี่ไปเรื่อย ๆ อย่าให้ไหวตัวตามเกมส์ทันปล่อยให้หมดเวลาเร็ว ๆ ก็เท่านั้น
	ฉันตรงลี่เข้าไปกระชากคอเสื้อคู่ต่อสู้จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะออกอาวุธทำให้คู่ต่อสู้ตั้งรับท่าทุ่มด้วยการย่อเข่า  โอกาสนี้แหละที่ฉันจะได้เปรียบฉันจึงปัดข้อเท้าคู่ต่อสู้ลอยขึ้นมาจนหลังกระแทกพื้นเต็ม ๆ ทันที
	"อิปโป้ง...!!!"
	ฉันชนะอย่างไม่คาดฝัน  น่าจะเป็นเพราะการใช้สมาธิและมองจุดอ่อนของคู่ต่อสู้อย่างละเอียด  จึงทำให้ฉันชนะได้อย่างสวยงาม
	วันนี้ฉันได้เป็นนักกีฬาตัวแทนจังหวัดแล้ว  ฉันได้ติดเข็มนักกีฬา  ได้ติดธงจังหวัดไว้ที่เสื้อยูโด  ได้ชุดยูโดตัวใหม่ที่ดูดีกว่าชุดเก่า  ได้บัตรนักกีฬา  ได้ชื่อเสียง  ฉันมีความสุขมากทีเดียว  อาจารย์ก็เข้ามาชมฉันอย่างไม่หยุดปากทีเดียว
	"เก่งเหมือนกันนะเรานี่...เที่ยวหน้ามีแข่งคัดตัวเขตไปแข่งกันไหม"
	"ที่ไหนคะอาจารย์..."
	"ที่อ่างทอง..."
	อาจารย์นิพนธ์พูดขึ้นพร้อมกับขยี้หัวฉัน  ฉันมีความรู้สึกว่าฉันทำได้  ฉันไม่แพ้  ฉันก้าวขึ้นมาเหนือเหมี่ยวแล้ว...ฉันจะต้องสู้ต่อไป  สู้ ๆๆๆๆๆๆๆ  เพื่อชัยชนะของเรา
	ฉันเหลือบไปเห็นพี่นัทยืนมองฉันอยู่  เขายิ้มให้ฉันแต่ฉันก็ทำเมินใส่  เพราะฉันคิดว่าฉันคงไม่ให้อภัยเขาง่าย ๆ หรอก  ฉันรู้สึกเข็ดที่เจอคนอย่างพี่นัท...  นักกีฬาที่ฉันแข่งด้วยเมื่อกี้มาแสดงความยินดีกับฉัน  เราแลกที่อยู่กันแล้วก็เชียรกันและกัน
	"นัดหน้าถ้ามีโอกาสพี่จะมาแข่งกับน้องอีก  น้องดาว...ไปนะ"
	รุ่นพี่หลายคนที่คัดตัวจังหวัดไม่ผ่านมาให้กำลังใจฉัน  เพราะจะหานักยูโดที่ผ่านเข้าไปยากมาก  นี่ถือว่าเป็นโชคของฉันที่ได้มายืนในจุดนี้  ฉันรู้สึกภาคภูมิใจจริง ๆ เลย
	...เฮ้อ...วันนี้ก็ผ่านไปได้อีก 1 วันฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก  ฉันโล่งใจไปหมดทีเดียว...แม่จ๋าหนูทำสำเร็จแล้วจ่ะ  หนูจะสร้างชื่อเสียงมาให้ตระกูลเร็ว ๆ นี้...หนูสัญญา...
	ฉันสัญญากับตัวเองไว้ว่าต้องทำให้ได้  จะนำชื่อและเกียรติยศกลับมาฝากแม่ให้ได้  คอยดูสิ...  ฉันกลับบ้านด้วยความสุขและสดชื่นมากทีเดียวถึงแม้ว่าเหงื่อจะไหลออกมาท่วมตัวก็ตาม  แต่ฉันก็รู้สึกสดชื่นมากทีเดียว...
                
                               โปรดติดตามตอนต่อไป...นะคะ
                      แววดาวเด็กสาวผู้มีจิตใจรักยูโดจะทำอย่างไรกับเหมี่ยว  แล้วจะตัดสินปัญหาอย่างไรกับแฟนเก่า...โอ๊ย...ปวดหัวใจแทนแววดาวจริง ๆ ....เธอจะมีโอกาสไปถึงฝันได้ไหม  เธอจะไปแข่งคัสายเขตเพื่อไปคัดตัวเขตตัวจริงหรือเปล่า  เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป...ติดตามตอนหน้านะคะ  ....อย่าพลาด...!!!
                     ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ไม่ลืมกัน  ติดตามผลงานมาโดยตลอด  ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณทุกคน...				
comments powered by Disqus
  • หนิง

    22 กรกฎาคม 2547 14:41 น. - comment id 75632

    เป็นกำลังใจให้เสมอ สร้างสรรค์งานเขียนที่ดี ๆๆ ออกมาอีกนะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน