บั้งไฟพญานาค..ตอน 3

namsai

  
            ย้อนจากนี้ไป เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปี  
            พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บังเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ในพรรษาที่ 19  ในช่วงเข้าพรรษา       พระพุทธองค์ได้เสด็จไปโปรดพุทธมารดา ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  เพื่อการแทนคุณอันยิ่งใหญ่ของพุทธมารดา พระองค์ได้เลือกบทธรรมที่เป็นประโยชน์ และได้อานิสงส์สูงสุดโปรดพุทธมารดา  พระองค์ทรงแสดงธรรม เรื่อง พระอภิธรรม  (ธรรมที่ยิ่งใหญ่ มี 42,000 พระธรรมขันธ์ )  ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่เข้าพรรษา  
  
              กระทั่งถึงวันออกพรรษา  พระองค์ได้เสด็จลงจากชั้นดาวดึงส์  วันนั้นเป็นวันเปิดภพ  ไม่ว่าสรรพสัตว์ จะอยู่ภพใด สามารถมองเห็นกันหมด และมองเห็นพระองค์ที่กำลังเสด็จลงมาจากสวรรค์ที่เป็นบันไดแก้ว มีเหล่าหัวหน้าเทวดาแต่ละชั้น พร้อมบริวาร  ได้เสด็จตามมาส่งพระองค์ด้วย 
  
              ด้วยพุทธานุภาพ  ไม่ว่าสรรพสัตว์จะอยู่ส่วนใด มองเห็นพระองค์ชัดเจนมาก ภพสวรรค์มองเห็นโลกมนุษย์และนรก  มนุษย์ก็มองเห็นสวรรค์และนรก ส่วนในนรกก็หยุดลงทัณฑ์ มองขึ้นมาเห็นทั้งมนุษย์และสวรรค์ พระองค์ได้เสด็จลงมาที่เมืองสังกะนคร มีพระราชาและชาวเมืองมารอรับเสด็จมาก และรอใส่บาตร มากจนใส่บาตรไม่ถึงขนาดต้องใช้วิธีโยน ซึ่งเรียกว่า การตักบาตรเทโวโลหนะ 
  
                ในการเสด็จลงมาในวันนั้น ที่แดนใต้บาดาล เมืองน้ำโขง พญานาคนั่งอยู่บนแท่น เกิดร้อนอาสน์ ไม่สามารถจะนั่งต่อได้ ได้เสด็จขึ้นมาลอยตัวเหนือน้ำโขง พร้อมๆ บริวาร  แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ได้เห็นพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า เกิดศรัทธาและเลื่อมใส ท่านโอฆินทรนาคราชได้ตั้งจิตอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตการณ์เบื้องหน้า  ซึ่งเป็นความรู้สึกลึกๆ ของท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิมานานแล้ว เมื่อได้เห็นพระพุทธเจ้า ยิ่งทรงทำให้ท่านตอกย้ำปณิธานเดิมลงไปอีกครั้ง  
  
               ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ด้วยความรักและบูชาที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอถึงฤดูเข้าพรรษา ท่านโอฆินทรนาคราช ก็ได้ตั้งใจถือศีลด้วย โดยออกจากภพบาดาลมา จำศีลใต้น้ำโขง หรือตามถ้ำต่างๆ  เป็นเวลาสามเดือนเหมือนมนุษย์ ด้วยดวงจิตที่ถูกกลั้นใส ตลอดระยะสามเดือน และด้วยความรักที่มีต่อพระพุทธองค์ ในวันออกพรรษา ท่านโอฆินทรนาคราช ก็ได้กลั่นใจให้ใส เป็นประทีปพุ่งลอยขึ้นเหนือน้ำ เป็นพุทธบูชา ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ตอนแรกพระองค์ทรงทำลำพังเพียงพระองค์เดียว แต่ต่อมาพระโอรส(สุวรรณมธุระ) และบริวาร ก็เกิดศัทธาตามมาด้วย ดวงไฟที่ถวายเป็นพุทธบูชา จึงได้มีกระจายมากขึ้น  ตามลุ่มน้ำโขง หรือตามหนองคลองบึง ต่างๆๆ  
   
              ความรักของใครที่ว่าอมตะ ยังไม่อาจเทียบเท่า ความรัก ความผูกพัน ของพญานาคที่มีต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่เคยเปลี่ยนไป แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแค่ไหน ผ่านไปกี่เดือน กี่ปี กี่ร้อยปี พันปี ท่านก็ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ท่านยังคง ถวายประทีปเป็นพุทธบูชา จวบกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ และต่อไปในอนาคต 				
comments powered by Disqus
  • tiki

    27 ตุลาคม 2547 14:48 น. - comment id 78460

    เป็นบทงานที่จารไพเราะเพราะพริ้งมีความหมายมากเกินที่จะมองข้ามคุณน้ำใสคะ
  • กุ้งหนามแดง

    28 ตุลาคม 2547 16:05 น. - comment id 78481

    เพราะอย่างนี้นี่เอง เขาจึงเรียกว่าบั้งไฟพญานาค..อืม! น่าคิด
    
    เขียนอีกน่ะค่ะ  จะติดตามอ่านค่ะ..
    ..
  • แก้วประเสริฐ

    29 ตุลาคม 2547 12:02 น. - comment id 78505

    อ่านแล้วจ้าสามตอนพร้อมกันเลยนิ
    
                        แก้วประเสริฐ.
  • namsai

    2 พฤศจิกายน 2547 09:57 น. - comment id 78641

     
    ขอบคุณ
    
    ค่ะ..
    
    ทุกท่าน..
    
    ++
    
    

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน