ไม่มีใครในชีวิตผิดหวังเพราะรัก

ต้นไม้

ไม่มีใครในชีวิตผิดเพราะรัก "ความรัก" ไม่เคยทำให้ใครกลายเป็นผู้ถูกหรือผิด 
ไม่มีความอกหักเศร้าโศกศัลย์ "ความรัก" ไม่เคยทำให้ใครต้องพบกับความทุกข์ระทม 
ไม่มีดอกกุหลาบแดงแต่งแจกัน "ความรัก" ไม่เคยทำให้ใครต้องสาละวนกับแจกันและดอกไม้ 
ไม่มีวันที่เฝ้ารอขอเอาคืน "ความรัก" ไม่เคยทำให้ใครมีความหวังกับ "ความรักของตนเอง"
นี่แหละคือ "ความรัก" ที่ผมค้นพบในวันวาเลนไทน์ วันที่ "ความรัก" ในความคิดและความฝันกลับกลายเป็น "ความลัก" ในคำพูดและการกระทำ จะมีความหมายอะไร หากสองมือของผมเต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีแดง ส่งกลิ่นหอมละมุน "กรุ่นกลิ่นรัก" แต่แจกันแทบเท้า ณ เชิงกางเขนนั้นยังว่างเปล่าอยู่ ไม่มีสีสันสวยงาม และกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ ไม่มีใครสักคน... ดอกกุหลาบที่ผมเฝ้ารอ จะยังเป็นนิยามของความรักให้ผมมั่นใจ ภูมิใจ และยืนยืดอกอย่างผึ่งผายได้อยู่อีกหรือ? 
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ นอกจากจะเป็น "วันแห่งความรัก" แล้ว สำหรับผม วันวันนี้ยังคงมีความสำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เป็น "วันคล้ายวันเกิดของผม" ด้วย ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงวัน "วาเลนไทน์" ครั้งใด หัวใจของผมจึงดูเหมือนจะหมดเรี่ยวหมดแรง ห่อเหี่ยว กระวนกระวาย อันเกิดมาจากความหวังและการเฝ้ารอ........ เพียงรอยยิ้มจากมุมปาก เพียงคำพูดว่า "แฮปปี้เบิร์ทเดย์" และเพียงกุหลาบดอกเดียวจากใครสักคน มันช่างดูมีคุณค่ามหาศาลยิ่งนักสำหรับผม 
สมัยที่ผมยังคงเป็นเด็กบ้านนอกที่วัน ๆ เอาแต่วิ่งเล่นสนุกสนาน วันวาเลนไทน์,วันเกิด,วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก็ดูจะมีความสำคัญ เหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมานั่นแหละ ขอเพียงมีอาหารกิน มีเพื่อนวิ่งเล่น มีที่นอนที่อยู่ แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับปัจจัยวัยเด็ก... วัยที่ความรักยังไม่ได้ถูกแทนค่าด้วยดอกกุหลาบสีแดง... และ "ความลัก"... 
ผมจำได้ดีว่า ผมเริ่มสัมผัสกับความอบอุ่นของวันเกิดเป็นครั้งแรก เมื่อปีที่ผมอายุครบ 12 ขวบ คืนนั้น ผมมีโอกาสเป่าเค้กให้กับตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต แม้มันจะเป็นเค้กก้อนเล็กๆ แข็งๆ ที่ไม่มีชื่อของผมปรากฏอยู่บนหน้าของเค้ก ไม่มีร่องรอยการตกแต่ง ไม่มีลวดลายสวยงาม แต่มันเป็นของขวัญชิ้นแรกของผม ของขวัญชิ้นแรกสำหรับวันเกิด ที่แม่และยายพยายามเสาะหามาฉลองให้กับผม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ เป็นเครื่องหมายของวันเกิด และเป็นตัวแทนความรักของแม่ และยายที่มีต่อผม ดังนั้น เค้กก้อนนั้น ของขวัญวันเกิดชิ้นนั้น และค่ำคืนวันเกิดปีนั้นจึงมีความหมายพิเศษที่สุดในชีวิตผม 
ค่ำคืนของรอยยิ้ม และแววตาแห่งความยินดี ราตรีของความเอื้ออาทรและความห่วงใย จากดวงใจของความรัก หากค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนของความรักแล้ว ของขวัญชิ้นไหนล่ะจะพิเศษสุดยิ่งกว่า "ความรัก" 
การฉลองวันเกิดของผมจึงเริ่มต้นขึ้นในทุก ๆ ปีต่อมาด้วยความสุขจากความรักของครอบครัว จนเมื่อผมย้ายเข้ามาช่วยแม่ทำงานในกรุงเทพฯ มาเล่าเรียนในเมืองกรุง เมืองที่ทำให้ผมเข้าใจความหมายของความรักเทียม และความลักแท้ มนุษย์จะพร่ำเพ้อ โหยหาความรักไปทำไม หากสมองและสองมือยังไขว่คว้าหาความสุขให้กับตนเอง หากสองเท้ายังพยายามก้าวแย่งแข่งขันกับคนอื่นอยู่ ความต้องการที่จะเป็น...ผู้รับ... ทำให้ความรักเป็นเพียงนิยามในความคิด และหล่อหลอมชีวิตด้วยความลักในการกระทำ...ต่างหาก.. 
โรงเรียนม.ปลายที่ผมเข้าเรียน เป็นโรงเรียนที่มีทั้งเพื่อนชายและหญิง พวกเรากำลังอยู่ในช่วงของวัยรุ่น วัยที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเริ่มเปลี่ยน และวัยที่ความรักในหัวใจเริ่มแปลงไปบ้าง ผมเองก็เช่นกัน แม้ความรักจากครอบครัวจะทูนเทิดประเสริฐสูงสุด และมีคุณค่าที่สุด แต่ความรักจากเพื่อน และ "คนรัก" ก็ทำให้เรามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เป็นความอบอุ่นและเพิ่มความมั่นใจให้พร้อมสู้กับอุปสรรคต่างๆ ของชีวิตต่อไป 
"โบ" เป็นเพื่อนหญิงที่ผมแอบประทับใจตั้งแต่เห็นครั้งแรก เส้นผมที่ยาวประบ่า ใบหน้าโค้งมน เนื้อหนังที่ขาวเนียน และดวงตาที่เป็นประกายรับกับรอยยิ้มที่สดใส คำพูดที่อ่อนหวานน่าฟัง ความมุ่งมั่นในการเรียน และทุก ๆ อย่างที่โบทำนั้น คือความสุขยามได้เห็น และความชื่นฉ่ำยามคิดถึง 
เมื่อความรักปะทุขึ้นเป็นเชื้อไฟเผาไหม้อยู่ในจิตใจ น้ำทิพย์ใด ๆ เล่า จะดับได้ รอยยิ้ม และมิตรไมตรี จากคนรักน่ะหรือ? มีแต่ยิ่งจะเป็นดั่งน้ำมันช่วยเพิ่มแรงพลังเพลิงรักให้ร้อนแรงเพิ่มขึ้นต่างหาก ยิ่งเราสมหวังในขั้นแรก ความต้องการขั้นต่อไปก็ยิ่งมีมากขึ้น ผมจึงเข้าใจว่าอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดของความรัก อยู่ที่ตัวคนรักของเราต่างหาก ก็ไม่ใช่เพราะเธอหรอกหรือที่เป็นไฟจุดประกายรักขึ้นในใจเรา? แล้วจะให้เธอดับหรือ? ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่ได้กำลังแข่งขันกับเพื่อนคนอื่นๆ อยู่ หากแต่กำลังแข่งขันกับจิตใจอันเข้มแข็งของโบเอง และแล้วดอกกุหลาบสีแดงวันวาเลนไทน์ กับเรื่องราวของ "ความลัก" ของผมจึงเริ่มขึ้น 
อีกเพียงเดือนเดียวจะถึงวันวาเลนไทน์ วันที่ดอกกุหลาบสีแดงจะบานสะพรั่ง และชูช่อให้หนุ่มสาวได้นำไปมอบให้กับคนรักเพื่อเป็นสื่อแทนความรักในหัวใจ ที่มีให้กันและกันในห้องเรียน พวกเราก็มีการแข่งขันกันว่า หากใครได้รับดอกกุหลาบสีแดงมากที่สุดในวันนั้น แสดงว่าคน ๆ นั้นเป็นคนที่เพื่อนๆ รักมากที่สุด และคนคนนั้นจะกลายเป็นคนสำคัญของห้องไปเลยทีเดียว ทุกคนจึงพยายามแข่งขันกันทำดีต่อกันและกัน พยายามทำดีต่อเพื่อนข้างห้อง รุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อที่ว่าเมื่อวันวาเลนไทน์มาถึง เราแต่ละคนจะได้รับดอกกุหลาบจากบุคคลรอบข้างอันเป็นการแสดงถึง "มนุษย์แห่งความรัก" 
ผมเองก็พยายามเต็มที่ ทั้งให้เพื่อนลอกการบ้าน ช่วยเพื่อนทำเวร ช่วยกิจกรรมรุ่นพี่ ซื้อขนมให้รุ่นน้องกิน ถึงแม้จะรู้สึกหงุดหงิด เหนื่อย และหลายครั้งต้องพยายามปั้นหน้าที่หงิกงอให้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่เอาเถอะเพื่อดอกกุหลาบ เพื่อชัยชนะในความรัก..จุดหมายที่ฝันใฝ่ในวันวาเลนไทน์. 
โดยเฉพาะกับโบ ดอกกุหลาบของโบเป็นความหวังสูงสุดของผม ผมจึงทุ่มเททั้งร่างกายและจิตใจที่จะเป็นผู้ให้ "ความรัก" กับโบให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้ เพียงเพื่อดอกกุหลาบ...นิยามแห่งความรักในวันวาเลนไทน์....ที่สำคัญวันวาเลนไทน์ยังเป็นวันครบรอบวันเกิดของผมด้วย ความหวังของผมจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดอกไม้ในวันวาเลนไทน์ และคำอวยพรโอกาสวันเกิด.... 
ในที่สุดวันวาเลนไทน์ก็มาถึง วันที่ความรักถูกส่งมอบให้กันและกันด้วยดอกกุหลาบสีแดง วันที่ผมและทุกคนจะเก็บเกี่ยวผลจากความรักที่ลงทุนลงแรงไปทั้งแรงกายและแรงใจ วาเลนไทน์ปีนั้นผมควรจะภูมิใจไม่ใช่หรือกับคำอวยพรโอกาสวันเกิดพร้อมด้วยดอกกุหลาบสีแดงสด ที่ผมได้รับเต็มสองมือ อันทำให้ผมกลายเป็นผู้ชนะเกมส์แห่งความรักกับดอกกุหลาบ เป็น "มนุษย์แห่งความรัก" และเป็นผู้ชนะหัวใจของโบด้วย โดยมีดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่เป็นประจักษ์พยาน 
ผมควรจะดีใจมิใช่หรือ กับชัยชนะในความรัก? ไม่หรอก ผมต่างหากที่เป็นผู้แพ้ ผมแพ้คนที่ไม่ได้รับดอกกุหลาบแม้แต่ดอกเดียวในวันวาเลนไทน์ ผมแพ้คนที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่เดียวดายคนนั้น... 
เย็นวันนั้น ระหว่างทางก่อนจะถึงบ้าน ผมจะต้องเดินผ่านกางเขนใหญ่ ซึ่งทุกๆ วันจะมีดอกกุหลาบ พวงมาลัย ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่ววางไว้ที่แจกันแทบเชิงกางเขน มีคนมากมายมาคุกเข่ากราบไหว้ พูดคุยสนทนากับชายที่อยู่บนกางเขน ด้วยน้ำตาที่อาบแก้มอยู่บนใบหน้าที่หม่นหมอง ผมเองนึกอิจฉาอยากจะได้รับดอกไม้มาก ๆ อย่างนี้บ้าง อยากให้มีคนมาคุกเข่ากราบไหว้อย่างนี้บ้าง 
แต่ทำไมวันนี้ วันวาเลนไทน์แท้ ๆ กลับดูเงียบเหงา วังเวง ไม่มีดอกกุหลาบ พวงมาลัย หรือใครๆ มาคุกเข่า มากราบไหว้ หรือพูดคุยกับชายบนกางเขนนั้น เหมือนทุกวัน แจกันนั้นว่างเปล่า ชายบนกางเขนดูเงียบเหงา เขาคงไม่เคยมีความรักนั่นเอง เขาคงไม่เคยให้ความรักกับใครๆ และคงไม่เคยทำอะไรที่ดี ๆ เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเขารักเลยสักครั้ง? วันนี้ วันแห่งความรักแท้ๆ จึงไม่มีใครสนใจเขา ไม่มีใครให้ดอกกุหลาบเขา ไม่มีใครมาอวยพร มาพูดคุยกับเขา.......ไม่เหมือนผมที่หอบดอกกุหลาบสีแดงสดอยู่เต็มสองมือ 
ที่สุด ผมเดินเข้าไปหาชายคนนั้น ชายบนกางเขนผู้อาภัพรัก ผมเข้าไปมองดูเขาใกล้ๆ ผมเห็นใบหน้าของเขาดูเจ็บปวด สายตาที่แหงนมองฟ้าอย่างตัดพ้อ หนามแหลมคมที่สานอยู่โดยรอบศีรษะ ตะปูตัวใหญ่ที่ตอกทะลุข้อมือทั้งสองและที่เท้าของเขา บาดแผลบริเวณสีข้างที่ถูกแทง ร่างกายที่เปลือยเปล่า บนท่อนไม้ที่สากกร้าน และเกรอะกรังไปด้วยเลือด เขาเป็นใครหรือจึงถูกทรมานเช่นนี้? 
เพราะอะไรหรือเขาจึงดูอัปยศเช่นนี้ ? 
ผมค่อย ๆ วางกุหลาบสีแดงสดหอบใหญ่นั้นลงในแจกันที่ว่างเปล่า คุกเข่าและแหงนหน้ามองดูชายคนนั้น "พระเยซูเจ้า ผมควรจะดีใจหรือกับดอกกุหลาบเหล่านี้ ดอกกุหลาบที่เป็นนิยามของความรักที่ผมอุตส่าห์ทุ่มเทแรงกาย ใส่แรงใจ ให้ความหวังกับมันเสียมากมาย จะมีความหมายอะไรหากสองมือของผมเต็มไปด้วยดอกกุหลาบสีแดงส่งกลิ่นหอมละมุน "กรุ่นกลิ่นรัก" แต่แจกันแทบเท้า ณ เชิงกางเขนนั้นยังว่างเปล่าอยู่ ไม่มีสีสันสวยงามและกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ไม่มีใครสักคน... 
ผมจะพูดได้อย่างไรว่าสิ่งที่ผมมีในตอนนี้คือความรัก ผมจะพูดได้อย่างไรว่าผมคือมนุษย์แห่งความรัก ในเมื่อองค์ความรักแท้จริง ผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับไม่มีดอกกุหลาบแม้แต่ดอกเดียวมาวางแทบเท้า ณ เชิงกางเขน ไม่มีใครแม้สักคนเดียวมาร่วมยินดีกับพระองค์.....ในวันวาเลนไทน์....วันแห่งความรัก....... 
ผมเดินกลับบ้านตัวเปล่าด้วยความผิดหวังกับวันวาเลนไทน์ "วันแห่งความรัก" ในความคิด และเป็น "วันแห่งความลัก" ในการกระทำ ผมไม่ใช่ขโมยหรอกหรือที่เที่ยวทำให้ใครต่อใครเชื่อใจว่าผมรัก และปรารถนาดีต่อพวกเขา และรอโอกาสที่จะฉกชิงความรัก ที่พวกเขาหวงแหนมาเป็นของตน 
ผมไม่ใช่โจรหรอกหรือ ที่เที่ยวทำให้ใครต่อใครเชื่อใจว่า ผมพร้อมที่จะเป็นผู้ให้กับพวกเขาด้วยความเต็มใจ และรอเวลาที่จะเอากลับคืนมา จนเติมเต็มในสิ่งที่ผมให้พวกเขาไป 
แท้จริงแล้วกุหลาบในวันวาเลนไทน์จึงเป็นเพียง "ความลัก" เท่านั้นเอง ตราบใดที่ผมยังคงหยิบยื่นให้กับเพื่อนๆ ให้กับโบ หรือใครต่อใคร โดยหวังว่าวันหนึ่งผมจะได้กลับคืนมาดังเดิม ชายบนกางเขนคนนั้นต่างหากที่มีความรักแท้ เพราะเขา "ให้ชีวิตของตน" ซึ่งไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่จะนำมันกลับคืนมาให้เขาได้....นั่นแหละคือ "ความรัก"..ในวันวาเลนไทน์ที่ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง........
                                                                              นพรัตน์
                                                                               ผู้แต่ง				
comments powered by Disqus
  • ดา ดา

    5 กุมภาพันธ์ 2546 11:22 น. - comment id 67340

    ดาว่าเราน่าจะปล่อยวาง  และทำใจให้มีความสุขกับการที่เรามีคนที่เราได้ให้เขาไป

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน