ซินเดอเรลล่า ฉบับปี 2000

ต้นไม้

ณ พระราชวังอันงามสง่า สว่างไสวไปด้วยสรรพ์แสงสีจากเหล่าดวงไฟไปทั่วบริเวณ กลิ่นกรุ่นจากมวลบุปผชาติที่นำมาประดับประดาในงานเฉลิมฉลอง ไออุ่นแห่งความรักความชื่นชมยินดีที่ล่องลอยอบอวลนำความอบอุ่นมาสู่ทุกดวงใจในท้องพระโรง และทั่วทั้งอาณาจักร เสียงดนตรีและเสียงไชโยโห่ร้องอันดังก้องกังวานประสานกันได้อย่างกลมกลืน ดังบทเพลงจากเหล่าทูตสวรรค์บนฟากฟ้าไกล 
"ขอให้เจ้าชายและพระชายาซินเดอเรลลาผู้เลอโฉม จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน" แน่ล่ะ วันนี้เป็นวันที่เจ้าชายผู้ใฝ่หาความรักได้สมหวังกับ ซินเดอเรลลา สาวชาวบ้านกับมหัศจรรย์แห่งรองเท้าแก้วอันสุกใส เสียงระฆังแห่งการวิวาห์ และบรรยากาศงานเฉลิมฉลองมงคลสมรสกำลังดำเนินไปอย่างอบอุ่น ท่ามกลางพสกนิกรที่ทรงเชื้อเชิญให้เข้าร่วมถวายพระพรและดื่มกินเฉลิมฉลองให้กับพระองค์และพระชายา "ซินเดอเรลลา" 
ทว่าในมุมหนึ่งของอาณาจักร กลับดูมืดสนิท บรรยากาศรอบด้านมีเพียงกระแสลมแรงที่พัดพาเอาดอกไม้ และใบไม้อันแห้งเหี่ยวล่องลอยขึ้นไปยังอากาศข้างบน เสียงของกระแสลมที่ฟังดูโหยหวน และอื้ออึงนั้นช่างประสานกันได้เหมาะเจาะกับเสียงของหญิงสามคน แม่ลูก ที่กำลังอ้อนวอนขออำนาจแห่งความชั่วร้ายได้ช่วยดับความแค้นและเพลิงแห่งความอิจฉาให้แก่นางทั้งสามด้วย 
"พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ข้านี่แหละจะทำให้ความต้องการของพวกเจ้าเป็นความจริง อิ อิ อิ อิ" เสียงของหญิงแก่ จมูกยาว ๆ สวมหมวกทรงสูง ในชุดคลุมสีดำทะมึนไม่ต่างไปจากความมืดรอบด้าน และแล้วนางก็จากไปพร้อมกับทิ้งก้านของไม้กวาดอันเป็นยานพาหนะที่พร้อมรับใช้และพานางล่องล่อยไปได้ทุกที่ไว้ให้ดูต่างหน้า 
"ไม่ต้องกลัวลูกรักทั้งสองของแม่ แม่จะไม่ยอมให้นังซินเดอเรลลามันมามีความสุขไปกว่าลูกรักทั้งสองของแม่เด็ดขาด ยัยแม่มดผู้โง่เขลาและลุ่มหลงความงามของตัวเองจะเป็นคนจัดการมันแทนพวกเรา" แล้วเสียงของหญิงทั้งสามคนก็หัวเราะขึ้นพร้อม ๆ กัน ท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปิดออกทำให้พอจะมองเห็นแสงแวววับไปด้วยความอาฆาตอันสาดสะท้อนต้องแสงจันทร์ของพวกนางได้เป็นอย่างดี 
เจ็ดวันต่อมา ภายหลังงานเฉลิมฉลองพิธีมงคลสมรสของเจ้าชายและพระชายา ก็ได้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วอาณาจักร ภาวะความอดอยาก โจรขโมยที่ชุกชุมเที่ยวลักขโมย ปล้นอาหารและของมีค่ามากมาย สภาพการณ์อันเลวร้ายเหล่านี้ได้เปลี่ยนเสียงไชโยโห่ร้องของชาวเมืองให้กลับกลายเป็นเสียงร่ำไห้ขมขื่นอาดูรอย่างที่สุด ซ้ำร้ายข่าวจากทหารแนวหน้ายังส่งมาบอกอีกว่า มีข้าศึกกำลังยกทัพมาประชิดชายแดน ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าประชาชนของอาณาจักรเป็นอย่างยิ่ง ในพระราชวังเองก็เช่นกัน พระราชาและพระราชินีถึงกับทรงพระประชวรระทมทุกข์ทั้งสองพระองค์ จนไม่โปรดที่จะเสวยพระกระยาหารใดๆทั้งสิ้น ทำให้พระวรกายของทั้งสองพระองค์ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะพระราชาซึ่งรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของสงครามเป็นอย่างดี เนื่องจากทรงผ่านศึกสงครามมามาก พระองค์ทรงดำริเพียงลำพังพระองค์ว่าหากทรงมีพระชนม์ไม่มากเพียงนี้ พระขรรค์ของพระองค์ย่อมต้องได้รับการปัดฝุ่น และเช็ดถูคราบสนิมที่จับเกาะปลายดาบ เพื่อฟาดฟันเหล่าอริราชศัตรูอีกเป็นแน่ แต่ทว่าครั้งนี้เล่า? 
ในที่สุด จึงทรงตัดสินพระทัยให้เจ้าชายผู้เพิ่งเข้ารับการอภิเษกสมรสกับพระชายาซินเดอเรลลา เข้ารับพระขรรค์และธงรบอันถือเป็นภาระสูงสุดสำหรับฐานะแห่งการเป็นผู้ปกครอง ขณะที่แวดล้อมไปด้วยหยาดน้ำตาของพระมารดา และโดยเฉพาะซินเดอเรลลาผู้เพิ่งมีความสุขได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น ก่อนที่เจ้าชายจะทรงนำทัพออกรบนั้น ทรงร่ำลากับพระบิดาและพระมารดาด้วยพระพักตร์ที่ผ่องใสห้าวหาญเด็ดเดี่ยว แต่ทว่าเมื่อทรงเสด็จผ่านมาถึงพระชายาของพระองค์ น้ำพระเนตรก็เอ่อท้นไหลหล่นลงสู่ร่องแก้มอันกลับหม่นหมองนั้นทันที 
ในที่สุดด้วยทรงคำนึงถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ จึงทรงพระราชดำเนินจากพระนางไปพร้อมกับ "รองเท้าแก้วข้างหนึ่ง" ของพระชายาที่ทรงขอนำติดพระองค์ไปด้วย โดยทรงตรัสอำลาเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระชายาว่า "พี่จะขอนำเอารองเท้าแก้วของน้องนี้ไปด้วย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รองเท้าแก้วนี้จะทำให้พี่พบกับน้องได้อีกครั้งหนึ่ง เหมือนดังในงานเลี้ยงคืนวันนั้น พี่จะกลับมาให้เร็วที่สุด เพื่อรองเท้าแก้วคู่นี้จะอยู่คู่กันนิรันดร์" 
หนึ่งเดือนผ่านไป เจ้าชายก็ยังคงไม่เสด็จกลับมาจากการศึก ส่วนในอาณาจักรเองก็ยังคงปั่นป่วน และความปั่นป่วนก็ยิ่งทวีขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับเข็มนาฬิกาที่บ่งบอกถึงกาลเวลาอันไม่มีวันหยุดนิ่งหรือร่นถอยหลังไปเลย และแล้วก็กลับเกิดเหตุการณ์ปั่นป่วนขึ้น เมื่อมีหญิงชราหลังค่อม ใส่เสื้อคลุมสีดำ ๆ ด่าง ๆ สวมหมวกทรงสูงสีเดียวกับเสื้อคลุม เส้นผมที่เล็ดลอดออกมาจากปลายหมวกนั้น มีสีขาวเป็นมันระยับ นางถือไม้เท้าเก่า ๆ อันหนึ่งกับย่ามใบเล็ก ๆ เที่ยวตะโกนสาปแช่งพระชายาซินเดอเรลลา และทำนายถึงหายนะของอาณาจักรไปทั่วตามละแวกบ้านเรือน และแหล่งชุมนุมชน โดยเฉพาะในโบสถ์วิหารที่กำลังประกอบพิธี 
เมื่อพระราชาและพระราชินีทรงทราบเรื่อง จึงให้ทหารไปจับตัวนางมายังท้องพระโรง เพื่อไต่สวนและลงโทษในความอุกอาจของนาง เมื่อเหล่าทหารได้จับกุมนางมาอยู่เฉพาะพระพักตร์แล้ว จึงทรงไต่สวนนางด้วยพระพักตร์ที่โกรธกริ้ว ระคนกับสีหน้าอันหม่นหมองเพราะปัญหาที่เร้ารุมอยู่ในพระราชหฤทัยพระองค์ 
ช่างน่าแปลกแท้ ๆ หญิงแก่ชราแทนที่จะกลัวจนตัวสั่นเพราะความผิดของตน กลับอยู่ในอาการสงบนิ่ง ลอบชายตามองดูพระองค์ พระราชินี และพระชายาซินเดอเรลลาอยู่บ่อยครั้ง ในที่สุดนางจึงหยิบเอาลูกกลม ๆ ใส ๆ ออกมาจากย่ามใบเก่าพอ ๆ กับอายุของนาง ตั้งวางไว้ที่โต๊ะตัวเล็กหน้าพระราชบัลลังก์ และทูลพระราชาว่านางคือหมอดูลึกลับผู้ล่วงรู้เหตุการณ์ทุกอย่างในปฐพี และในขณะนี้หายนะกำลังจะมาสู่เมืองนี้อย่างแน่นอน และกองทัพจากศัตรูจะเข้ายึดเมืองนี้ไว้ได้ เพราะขณะนี้กองทัพของเจ้าชายได้แตกพ่ายและตัวเจ้าชายเองก็สิ้นพระชนม์ในสงครามเสียแล้ว 
ระหว่างที่นางพูดนั้น ช่างประหลาดแท้ที่ลูกแก้วใสนั้นกลับกลายเป็นภาพต่าง ๆ ในสนามเพื่อให้พระราชาและทุกคนในท้องพระโรงได้ทอดพระเนตร เป็นภาพของเจ้าชายที่ทรงถูกหอกปักที่พระราชหฤทัย นอนสิ้นพระชนม์อยู่ใกล้ลำธารสายเล็ก ๆ ที่กลายเป็นสีเลือดแดงฉาน และภาพของศัตรูข้าศึกที่กำลังยกทัพประชิดเมืองเข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยเสียงไชโยโห่ร้องก้องดังสัตว์ป่าที่หิวกระหายเลือดและความตาย 
เมื่อทั้งสามพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงถึงกับตะลึงงัน พระราชินีถึงกับทรงล้มฟุบแน่นิ่งไปทันที ฝ่ายพระราชาก็ทรงนิ่งเงียบ พระวรกายสั่นสะท้านไปทั่ว ทรงรำพึงรำพันอยู่ในพระโอษฐ์ว่าไม่จริง ไม่มีทางเป็นไปได้ และหันพระพักตร์มาทางหญิงแก่ตวาดว่า "นังหญิงเฒ่า เจ้ากำลังโกหกข้า ข้าจะให้เหล่าทหารนำเจ้าออกไปประหารเดี๋ยวนี้" ทว่าหญิงแก่นั้นกลับไม่สะทกสะท้าน และทูลตอบให้ทรงคิดให้รอบคอบโดยกล่าวว่า "หม่อมฉัน มีวิธีแก้ปัญหาทุกอย่างได้ หากทรงกระทำตามหม่อมฉัน แต่หาไม่แล้วหม่อมฉัน ทั้งพระองค์ และทุก ๆ คนที่นี่จะต้องตาย อิ อิ อิ อิ" 
เมื่อพระราชาได้ยินดังนั้น จึงทรงนิ่งเงียบ พระขนงค์ขมวดขึ้นจนดูยุ่งเหยิง เส้นพระโลหิตเส้นใหญ่ ๆ ค่อยโผล่เป็นเส้นขึ้นบนพระพักตร์ และเป็นทางยาวขึ้นไปถึงพระเกศ ในที่สุดจึงทรงยอมตามที่หญิงแก่เสนอ ซึ่งสิ่งที่หญิงแก่เสนอก็คือ "พระองค์ต้องประหารพระชายาซินเดอเรลลาให้ตายภายในวันพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงวัน เพราะนางเป็นตัวกาลกิณี กินบ้านกินเมือง หากเชื่อหม่อมฉัน พระองค์จะทรงรักษาเมืองนี้เอาไว้ได้ และความผาสุขจะกลับมาอีกในไม่ช้า" 
เมื่อได้ฟังดังนั้น พระราชาจึงทรงหันพระพักตร์ไปยังพระชายาซินเดอเรลลา ซึ่งร่ำไห้ด้วยสำนึกถึงความอับโชคของตน นางสบพระพักตร์ของพระราชาด้วยความสำนึกผิด และกราบทูลพระราชาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันจึงขอถวายชีวิตอันน้อยนิดนี้ แทนคำขอขมาต่อพระองค์ พระมารดา และประชากรทั้งปวง และแก่เจ้าชายพระสวามีผู้ล่วงลับด้วย และจักขอถูกสาปเป็นผีป่ารักษาอาณาจักรของพระองค์ตลอดไป 
เที่ยงวันรุ่งขึ้น พระชายาซินเดอเรลลาจึงถูกนำตัวไปยังแดนประหารที่จัดขึ้นอย่างง่าย ๆ ทรงถูกถอดมงกุฏ และเสื้อคลุมอันงามสง่าออก เมื่อเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณเที่ยงตรง พระชายาก็คุกเข่าลง ก้มพระพักตร์เพื่อให้เพชฆาตได้ทำตามหน้าที่ของตน 
สามวันหลังการประหารชีวิตพระชายาซินเดอเรลลา ก็ปรากฏเสียงกลอง เสียงแตร เสียงเขาสัตว์ดังมาแต่ไกล พื้นแผ่นดินต่างกระหึ่มด้วยเสียงฝีเท้าม้า และพลทหารเดินเท้า จนแม้ฝุ่นธุลีก็ยังคงลุกขึ้นสะบัดตนล่องลอยขึ้นมาเต้นรำกับสายลม ที่โชยพัดมาร่วมกับขบวนแห่ด้วย ใช่แล้วนี่คือขบวนแห่แห่งชัยชนะของเจ้าชายต่ออริราชศัตรู ความชื่นชมยินดีจากกองทัพอันมีชัยชนะ โดยหารู้ไม่ว่าพระชายายอดรักของพระองค์ไม่มีโอกาสวิ่งเข้ามาต้อนรับถวายพระพรอีกแล้ว คงทิ้งไว้แต่รองเท้าที่อ้างว้างเดียวดายเพียงข้างเดียว....ของพระองค์..... 
เมื่อความจริงปรากฏขึ้นแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแผนการของแม่มด ซึ่งจำแลงเป็นหญิงแก่มาหลอกให้พระราชา พระราชินี และชาวเมืองเข้าใจผิด จนถึงกับประหารชีวิตพระชายาซินเดอเรลลาแล้ว ยิ่งเพิ่มความโศกเศร้าและความทุกข์ระทมให้แก่ทุก ๆ คน ยิ่งขึ้นไปอีก ที่มีส่วนในการประหารชีวิตพระชายาของเจ้าชาย 
ฝ่ายเจ้าชายก็ทรงเป็นทุกข์ยิ่งกว่าครั้งใด ๆ มา ทรงนั่งเฝ้าลูบคลำรองเท้าแก้ว และพร่ำเพ้อรำพันถึงพระชายาซินเดอเรลลาไม่หยุดหย่อน จนพระวรกายซูบผอม พระพักตร์หม่นหมอง เอาแต่เก็บพระองค์ในห้องบรรทม ไม่กระทำการใด ๆ หรือเสวยพระกระยาหารใด ๆ เลย 
ในที่สุดเทศกาลคริสต์มาสก็ใกล้เข้ามาแล้ว ลมหนาวเริ่มโชยพัดมาพร้อมกับพัดพาเอาความเหน็บหนาวและมวลหิมะสีขาวสดลงมาจากฟากฟ้า จับเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ที่ไร้ใบ อันเหมือนกับความเจ็บปวด และทุกข์ระทม และหยาดน้ำตาที่จับเกาะอยู่ในหัวใจและร่างกายอันปราศจากไออุ่นแห่งความรักของเจ้าชาย 
..... เจ้าชายผู้น่าสงสาร..... 
ในที่สุดคืนวันคริสต์มาสก็มาถึง คืนแห่งความสุขและความหวังสำหรับทุก ๆ ชีวิต ในคืนนี้เป็นคืนที่ทุกสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ อาจจะกลับเป็นสิ่งที่ เป็นไปได้เสมอ เจ้าชายก็เช่นกันทรงนำเอารองเท้าแก้วข้างนั้น เข้าไว้ที่ใต้ต้นสน และอธิษฐานด้วยความหวังอย่างแรงกล้า ด้วยพระพักตร์ที่นองไปด้วยน้ำพระเนตรหน้าเตาผิงที่ให้ไออุ่นในยามหนาวเหน็บเช่นนี้ ดังจะขอให้ความหวังของพระองค์กลับกลายเป็นความจริง ให้ "ชีวิตของพระชายากลับคืนมาอันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้" กลับมา "เป็นสิ่งที่เป็นไปได้" เพื่อแผดเผาคราบน้ำตาและเพิ่มไออุ่น... เป็นไออุ่นแห่งความรัก..... ความรักที่อยู่ไกลแสนไกล......... 
ทันใดนั้น นางฟ้าองค์เดียวกันกับที่ปรากฏกายแก่ซินเดอเรลลา เพื่อช่วยให้นางได้มีโอกาสเข้าพระราชวังร่วมงานเลี้ยงของเจ้าชายก็ปรากฏกายมาหาเจ้าชาย ชุดสีขาวบริสุทธิ์ รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน และคฑาวิเศษที่ประดับด้วยมุกและเพชรพลอยหลากสี นางถือรองเท้าแก้วอีกข้างหนึ่งมาด้วยเพื่อมอบให้กับเจ้าชายพลางกล่าวว่า "เจ้าชายผู้น่าสงสาร คืนนี้เป็นคืนแห่งความหวัง และเป็นคืนที่ทุกสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะเป็นไปได้เสมอ จงจำไว้ก่อนเที่ยงคืนวันนี้เจ้าชายจงเดินทางไปยังโบสถ์เพื่อร่วมงานวันคริสต์มาส จงนำรองเท้าแก้วไปด้วย ซินเดอเรลลาจะรอสวมรองเท้าของเธออยู่ที่นั่น จงจำไว้ว่าเจ้าชายมีเวลาเพียงแค่เที่ยงคืนของคืนนี้เท่านั้น จงหาพระชายาของพระองค์ให้พบก่อนแม่มดร้าย และพวกแม่เลี้ยงมิฉะนั้นนางจะไม่มีวันได้พบกับพระองค์อีกต่อไป และอาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันพ้นจากคำสาป แห่งความหายนะของแม่มดร้ายอีกตลอดกาล" 
และแล้วเจ้าชายแห่งความหวังก็รีบเร่งไปยังโรงม้า และควบออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมิได้ทรงฉลองพระองค์อย่างงดงามแต่ประการใด มีเพียงเสื้อคลุมหนังสัตว์ผืนเดียวเท่านั้นและรองเท้าแก้ว ท่ามกลางหนทางที่หนาวเหน็บและมืดมิด มิได้เป็นอุปสรรคให้ทรงหวาดกลัวสิ่งใด ๆ เพราะความหวาดกลัวที่สุดในขณะนี้ของพระองค์ คือ หวาดกลัวว่าจะไม่ได้มีโอกาสพบกับซินเดอเรลลาอีกต่อไป หากพ้น 1 ชั่วโมงนี้ไป......หายนะจะเข้าครอบงำหัวใจของพระองค์และความสุขของอาณาจักรตลอดไป.. 
ขณะที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปได้ ระหว่างทางห่างจากโบสถ์ประมาณ 100 เมตร ซึ่งเสียงระฆังและเสียงขับขานสรรเสริญพระกุมารเจ้ากำลังบรรเลงอย่างไพเราะอยู่นั้น ทรงพบเงาตะคุ่ม ๆ ของใครคนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกันกับพระองค์ และแล้วเมื่อทรงควบม้ามาใกล้ ๆ ก็พบว่าเงานั้นได้ล้มลงเสียแล้ว แม้จะพยายามประคองกายลุกขึ้น แต่ทว่าความหนาวเหน็บจากหิมะที่โอบล้อมรอบตัวเขานั้น ก็ทำให้เขาไม่สามารถจะก้าวต่อไปอีกได้ เขานั้นสั่นเทาเพราะความเหน็บหนาว เสื้อคลุมที่ขาดกะรุ่งกะริ่ง ทำให้เจ้าชายทรงรีบควบเข้าไปใกล้ และก้มลงช่วยเหลือเขาทันที 
โอ หญิงชราผู้น่าสงสาร! ทรงรีบถอดเสื้อคลุมของพระองค์คลุมตัวนาง ทรงประคองนางให้ลุกขึ้น จากนั้นทรงรีบเสด็จขึ้นม้าเพื่อจะรีบขี่ไปให้ทันเวลาที่เหลืออีกไม่มากนักแล้ว ทว่าสายพระเนตรของพระองค์ทรงมาสะดุดอยู่ที่เท้าอันเปลือยเปล่าของนาง ทำให้ทรงรู้สึกสงสารนางอย่างจับใจ บนพื้นหิมะอันเย็นยะเยือกนี้ แม้กระทั่งรองเท้าหนังก็ยังแทบจะยืนทรงตัวอยู่ไม่ได้แล้ว ครั้นจะให้รองเท้าของพระองค์ก็ช่างใหญ่เสียเหลือเกิน ย่อมเข้ากันไม่ได้กับเท้าของนางเป็นแน่ พระองค์จึงทรงยืนไตร่ตรองบางสิ่งบางอย่างถึงรองเท้าแก้ว แต่ทว่าหากคืนอันเหลือเวลาอีกน้อยนิดนี้ไม่ทรงสามารถเสด็จเข้าไปร่วมงานยังโบสถ์ และนำรองเท้าแก้วคู่นี้ไปสวมเท้าซินเดอเรลลาได้แล้ว ก็คงไม่มีวันที่พระองค์จะทรงได้พบกับพระชายายอดรักของพระองค์อีกแล้ว แต่ทว่าหากต้องทิ้งให้หญิงชราผู้นี้ต้องยืนเปล่าเปลี่ยวท่ามกลางความหนาวเหน็บ และสัมผัสกับพื้นที่แสนเย็นยะเยือกอย่างนี้แล้ว ก็ทรงละอายพระทัยมากเพราะทรงเป็นถึงหน่อเนื้อกษัตริย์ ย่อมต้องรับใช้ประชากรของพระองค์อย่างสุดความสามารถ 
ในที่สุดหลังจากที่ทรงคำนึงไตร่ตรองดีแล้ว ทรงตัดพระทัยหยิบรองเท้าแก้วขึ้นมาและสวมให้นางผู้นั้นปรากฏว่าใส่เข้ากันได้พอดีทีเดียว แล้วทรงรีบอุ้มนางขึ้นประทับบนหลังม้า และพาไปยังโบสถ์อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถได้เมื่อเข้ามายังโบสถ์แล้ว สายตาแห่งความประหลาดใจระคนตื่นเต้นทุกคู่นั้นล้วนจับจ้องไปยังพระองค์ อาการที่แน่นิ่งเหมือนกับได้พบกับสิ่งที่ประหลาดที่สุด ทำให้เจ้าชายทรงรู้สึกแปลกประหลาดใจด้วย จึงทรงรีบเสด็จลงจากหลังม้า และทันใดนั้นเอง ขณะที่ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปอุ้มหญิงชราผู้นั้น พระองค์ก็ทรงตะลึงงัน พระทัยเต้นแรงดังจะหลุดออกมาจากพระอุระ น้ำพระเนตรเอ่อท้น ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมตลอดเส้นทางที่ผ่านมากับหญิงชราผู้นี้จึงไม่รู้สึกได้ถึงไออุ่นของพระชายาเล่า? 
ใช่แล้ว แท้จริงแล้ว หญิงชราผู้อาภัพโชคและยากเข็ญผู้นั้นกลับกลายเป็นสตรีแสนสวย ใบหน้าแจ่มใสละมุน ผิวพรรณอ่อนนุ่ม เส้นผมสยายยาวหอมฟุ้ง อาภรณ์แพรพรรณที่สวมใส่ช่างสวยงามยิ่งนักใต้เสื้อคลุมหนังสัตว์ของเจ้าชาย สตรีผู้นี้แหละเป็นสตรีที่พระองค์ปรารถนามาตลอด เป็นสตรีที่ทรงรักที่สุดอย่างหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้ เป็นสตรีผู้เลอโฉมและวิเศษที่สุดในอาณาจักร "ซินเดอเรลลา" 
และแล้วบทเพลงแห่งการเฉลิมฉลองคืนขององค์พระผู้ไถ่ ผู้บันดาลให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้เสมอสำหรับพระองค์ ก็ก้องกังวานขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุขของทุกคน ที่มาร่วมชุมนุมกันรับเสด็จพระผู้ไถ่ องค์แห่งความรักและเสียสละ องค์แห่งความหวังและความจริง 
คืนวันคริสตมาส คือ คืนแห่งความรัก ที่ต้องพร้อมจะหยิบยื่นให้แก่กันและกัน คืนแห่งความเสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน คืนแห่งความหวังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างจริงใจ และที่สุดจะเป็นคืนแห่งความจริงที่เป็นไปได้เสมอ ดังเช่น ความรักเสียสละ ของเจ้าชายที่บันดาลให้ความหวังอันไม่มีทางเป็นไปได้กลับกลาย "เป็นความจริงและเป็นไปได้"
                    
                                                                          โดย นพรัตน์				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน