บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๒

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ ๒
ตอน รักสองต้องห้าม
 	ลมปลายฤดูหนาวพัดเอื่อยๆ ขณะข้าพเจ้าขับรถกระบะคู่ชีพเคลื่อนออกจากหน่วยดับเพลิง ไปตามถนนใหญ่สายหลัก ต้นจานริมทางหลายต้นออกดอกสีส้มเบ่งบานเต็มกิ่งก้าน ดูเป็นสีสันประดับประดาให้ทุ่งนาที่แห้งแล้งเวลานี้ดูสดชื่นขึ้นบ้าง 
	หลายวันแล้วที่ข้าพเจ้าไม่ได้กลับบ้าน ออกเวรวันนี้จึงกะว่าจะกลับเยี่ยมแม่สักหน่อยเพื่อจะได้ปรึกษาหารือเตรียมงานบวชที่ตกปากรับคำกับไว้ และข้าพเจ้าได้ยื่นหนังสือลาบวชต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว
	รถเคลื่อนมาถึงสามแยก ข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นชายวัยรุ่นสองคนกำลังลวนลามหญิงสาวที่ศาลาริมทาง ดูท่าทางแล้วต้องไม่ใช่แฟนกันแน่  ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ ข้าพเจ้าจึงหยุดรถแล้วเดินเข้าไปหา
	มีอะไรให้ช่วยไหมครับ  
	หญิงสาวท่าทางดีใจรีบเดินมาหา แต่ถูกชายทั้งสองดักหน้าไว้
	เรื่องของผัวเมียคนอื่นไม่เกี่ยว  
	ใจเย็นๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน  ข้าพเจ้ายกมือห้าม เมื่อเห็นพวกเขาเดินปรี่เข้ามา  
	พี่คะช่วยด้วยค่ะ เราไม่ใช่ผัวเมียกันนะคะ  เธอร้องบอก
	เฮ้ย...เราอัดสั่งสอนไอ้หน้าจืดหน่อยวะหมูจะหามดันเสือกเอาคานมาสอด
	พูดจบมันปรี่เข้ามาแล้วปล่อยหมัดหมายที่ใบหน้าข้าพเจ้าขณะระวังตัวอยู่แล้วจึงฉากหลบแล้วเตะสวนเข้าไปที่หน้าท้องจนมันตัวงอ  อีกคนเมื่อเห็นเพื่อนโดนเตะ จึงยกฝ่าเท้าถีบเข้ามา   ข้าพเจ้ารีบจับขาทันควัน แล้วเตะสวนขาอีกข้างของมันจนล้มคลุกฝุ่นไปไม่เป็นท่า  
	คนที่โดนก่อนงัวเงียลุกขึ้น ข้าพเจ้าดูท่าทียอมปล่อยให้ลุกขึ้นมาตั้งหลัก แต่ด้วยความใจดีมันจึงประเคนแข้งมาใส่ที่กลางหลังจนข้าพเจ้าเซถลา
	ระวังด้านหลังค่ะ เสียงเธอร้องเตือนอย่างตกใจ
	ข้าพเจ้ารีบชำเหลืองไปทางด้านหลังเห็นอีกคนปรี่เข้ามาใกล้ จึงตวัดจระเข้ฟาดหางโดนใบหน้าของมันอย่างจังจนร้องโอ๊ยล้มฟุบ  ข้าพเจ้าไม่ปล่อยโอกาสให้ไอ้คนแรกเข้ามาง่ายๆ อีกแล้ว จึงกระโดดถีบที่หน้าอกของมันจนกระเด็นไปกระแทกเสาศาลาแล้วลงกองกับพื้น
	นึกว่าพวกมันจะเข็ดหลาบ  คนที่โดนจระเข้ฟาดหางกลับชักมีดพกออกมาจากเอว แล้วค่อยๆ บรรจงถอดออกจากฝัก ดวงตาขมึง ขบกรามแน่น มืออีกข้างยกขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก  ข้าพเจ้ามองมีดในมือของมันอย่างไม่กระพริบ  พลัน...มันแทงตรงดิ่งมาที่อกของข้าพเจ้าในขณะที่ระวังตัวอยู่แล้ว จึงเพียงเอนตัวหลบ เสี้ยววินาทีนั้นก็คว้าไปที่ข้อมือที่ถือมีดแล้วบิดไขว้หลังของมันอย่างแรงจนมีดร่วงลงพื้น ก่อนที่จะผลักไปข้างหน้าจนมันเซหัวคะมำ  
	จังหวะนั้นเสียงเรียกกันดังขึ้นในวิทยุมือถือของข้าพเจ้าที่วางอยู่ในรถ ทั้งสองหันไปมองหน้ากันอย่างตกใจ ก่อนหันมายกมือไหว้ข้าพเจ้าอย่างหวาดๆ 
	โทษครับพี่ แหมเป็นตำรวจก็ไม่บอก  พูดจบทั้งสองรีบวิ่งไปที่รถเครื่องของตนก่อนสตาร์ทให้อีกคนซ้อนท้ายขับกระชากออกไป   
	ขอบคุณนะค่ะ... พี่เจ็บไหมคะนี่  เสียงใสๆ เล่นเอาข้าพเจ้าหันไปมองราวกับว่าเธอคือพิม หญิงสาวผู้ที่หักอกข้าพเจ้าจนคิดที่จะหันไปหารสพระธรรมเยียวยา  แต่เมื่อเพ่งมองแล้วก็รู้สึกหายเหนื่อยเหมือนกัน  เมื่อเห็นใบหน้าใสๆ รับกับทรงผมที่รวบรัดไว้ด้านหลัง  ดูเธอสวยเรียบทีเดียว
	ไม่เป็นไรครับ  ข้าพเจ้าตอบพลางปัดฝุ่นที่เสื้อ 
	เธอก้าวขึ้นรถตามคำเชื้อเชิญ  เพื่อไปส่งบ้านที่ห่างออกไปจากทางแยกราวสองกิโลเมตร เธอเล่าให้ฟังว่านัดรอให้ญาติออกมารับ แต่ยังไม่เห็นมาจนมีวัยรุ่นขี่รถเครื่องผ่านมาอาสาจะไปส่ง แต่เธอปฏิเสธจึงถูกลวนลาม
	 เราพูดคุยระหว่างทางทำให้รู้ว่าเธอเป็นครูอัตราจ้างที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ทุกวันเธอจะขี่รถเครื่องมาเอง บังเอิญวันนี้ไปส่งหนังสือราชการที่จังหวัดจึงไปรถโดยสาร ส่วนข้าพเจ้าได้แนะนำให้เธอทราบว่าเป็นหัวหน้าดับเพลิงไม่ใช่ตำรวจตามที่วัยรุ่นพวกนั้นเข้าใจ
	เมื่อถึงบ้านเธอแนะนำให้รู้จักแม่  และเล่าเรื่องราวให้แม่ฟัง  แม่เธอขอบคุณข้าพเจ้าเป็นการใหญ่  	เรานั่งคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมง  ข้าพเจ้าจึงขอตัวกลับ   เธอเดินมาส่งที่รถ   
	โชคดีค่ะพี่ยุทธว่างๆ แวะมาเที่ยวเล่นที่บ้านสุดานะคะ  เธอบอกก่อนที่ข้าพเจ้าขึ้นรถขับออกไป
 	รถเคลื่อนออกมาท่ามกลางความมืดสลัวของเวลาย่ำค่ำจนต้องเปิดไฟหน้ารถส่องสว่าง พลางนึกถึงใบหน้าหญิงสาวชื่อสุดา ร่างบอบบางใบหน้าสวยเรียบ  แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ลึกๆ วนเวียนในมโนภาพ แต่...ไม่หรอกเราจะไม่หลงรักใครง่ายๆ อีกแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมามันสอน    เพียงแค่รับเธอมาไว้พิจารณาในหัวใจก็พอแล้ว  
		
	จวบจนงานบวชใกล้มาถึงข้าพเจ้าส่งการ์ดเชิญให้สุดา พร้อมส่งไปให้พิมทางไปรษณีย์ 
	วันงานเริ่มคึกคักแต่เช้า ผู้คนมาช่วยงานเริ่มหนาตา พิธีปลงผมเริ่มขึ้น ก่อนโกนหัวให้ข้าพเจ้า เสร็จแล้วจึงสวมชุดนาครับการบายศรีสู่ขวัญจากพราหมณ์ตามประเพณีท้องถิ่น หลังเสร็จพิธีข้าพเจ้านั่งพักที่เก้าอี้ส่งสายตามองผู้คนที่มาช่วยงาน   และแล้วสายตาก็ไปสะดุดตรงหญิงสาวคนนั้นที่กำลังเดินเข้ามาหา	 
	สวัสดีคะพี่ยุทธ โอ๊ะ ต้องเรียกพี่นาคยุทธสินะ  ข้าพเจ้ารับไหว้พลางยิ้มให้ แล้วส่ายสายตาหาใครสักคน
	มองหาใครหรือคะ  
	อ๋อ...มองหาเพื่อนน่ะ  คงไม่มาแล้วล่ะ ที่จริงแล้วข้าพเจ้ามองหาพิม  แต่คิดไปอีกทีพิมคงไม่มาหรอก เพราะงานเราคงไม่สำคัญสำหรับคนชื่อพิมอีกแล้ว     ข้าพเจ้าคิดลมๆ แล้งๆ ไปเองต่างหากล่ะว่าจะมา
	พี่ครับมีจดหมายมาถึงพี่  น้องชายยื่นซองจดหมายให้
	ข้าพเจ้าพยายามระงับความตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าเป็นจดหมายจากพิม  รีบฉีกอ่าน เธอบอกว่ายินดีและอนุโมทนากับงานบวช แต่ไม่สามารถมาช่วยงานได้ พร้อมฝากธนาณัติมาช่วยงานห้าร้อยบาท แค่นี้ข้าพเจ้าก็อดปลื้มไม่ได้แล้ว  แต่...จะดีใจไปทำไมก็ในเมื่อเธอจะแต่งงานแล้วนี่ สุดาไง สุดาต่างหากสิที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา-เราต้องรับมาพิจารณา    ข้าพเจ้าครุ่นคิด 
	จดหมายใครค่ะ  เสียงสุดาทำให้ข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์
	อ๋อ...เพื่อนน่ะ
 &&&&&&&&&&&&&&&&&&&
	ตะวันสาดแสงส่องเหนือทิวเขา ขณะข้าพเจ้าเดินบิณฑบาตตามหลังพระเจ้าอาวาส  ไปอย่างช้าๆ ตามถนนในหมู่บ้าน พอกลับถึงวัด 
	พอดีเป็นวันเกิดค่ะเลยมาทำบุญ  สุดากับแม่นั่งพนมมือก่อนลุกขึ้นยืนตักบาตร  ข้าพเจ้ารับตักบาตรอย่างสำรวม  
	เชิญที่ศาลาดีกว่านะโยมทั้งสอง  ข้าพเจ้าเชื้อเชิญก่อนนั่งสนทนากับเธอและแม่พอสมควรแล้วข้าพเจ้าจึงขอตัวขึ้นกุฏิไป  
	ข้าพเจ้านั่งสมาธิเพื่อขับไล่ความคิดอันฟุ้งซ่าน ความคิดอันว้าวุ้นสับสนอย่างไร้ขอบเขต  นั้นออกไป โอ...โยมสุดา  โยมพิม
	พุทธโท...พุทธโท  ข้าพเจ้าพึมพำขณะลมหายใจเข้า-ออก  หลับตาทำสมาธิให้แน่วแน่ แต่...ความคิดยังฟุ้งซ่าน ต้องเริ่มต้นใหม่หลายต่อหลายครั้ง  จนสงบนิ่ง ความจริงแล้วข้าพเจ้าพยามยามปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นพระสงฆ์จะได้ไม่เป็นบาปหรือผิดวินัยในขณะครองสมณะเพศ
	ข้าพเจ้าละจากนั่งสมาธิ  พลางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างกุฏิ  ต้นข้าวที่เขียวขจีถูกลมพัดพลิ้วไหว ชาวนาก้มๆ เงยๆ กับการปักดำต้นกล้าในแปลงนาของตนเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  พลัน...เม็ดฝนโปรยปรายลงมา แต่ไม่มีทีท่าว่าชาวนาจะขยับหนีหรือหลบฝนไปไหน  ยังคงปักดำอย่างมุ่งมั่น  ข้าพเจ้ามองผ่านเลยไปที่ทิวเขาเวลานี้ถูกปกคลุมไปด้วยละอองฝนจนดูพร่ามัว  
&&&&&&&&&&&&
	สายลมหนาวพัดมาเป็นครั้งแรกในช่วงปลายฝนต้นหนาว วันออกพรรษามาถึงแล้ว ข้าพเจ้าลาสิกขาจากสมณะเพศ  เพื่อกลับไปรับราชการต่อ
	หวัดดีค่ะพี่ทิด เสียงใสๆ ของใครบางคน ข้าพเจ้าหันไปมอง
	อ๋อ...น้องสุดามาทำบุญออกพรรษาเหรอจ๊ะนี่ 
	ค่ะ...พี่ทิดยุทธ  ส่งยิ้มหวาน
	เธอนั่งรถโดยสารมาคนเดียว ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสขับรถไปส่งเธอที่บ้านหลังจากทำบุญเสร็จแล้ว วันนี้ดูเธอมีความสุขมาก  
	สุดาขอถามพี่อย่างหนึ่งได้ไหมคะ  เธอถามขณะนั่งคุยกันที่บ้านของเธอ
	ครับ...ว่าไงครับ
	ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนนะคะเพราะสุดาเป็นหญิงไม่สมควรจะพูดคำนี้ แต่...มันจำเป็นจริงๆ ค่ะ  คือว่าพี่ยุทธคิดยังไงกับสุดาคะ
	ข้าพเจ้าอึ้งไปไม่รู้ว่าจะตอบเธอยังไงดี ใช่...ข้าพเจ้ายอมรับว่าไม่ได้รังเกียจเธอ แต่ ณ เวลานี้ยังไม่ได้รักเธอแค่นั้นเอง		
	โทษนะคะพี่ยุทธสุดาอยากรู้ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะตัดสินใจ  เธอยังย้ำถาม   เมื่อเห็นข้าพเจ้าเงียบไป ความสงสัยยังผุดพรายขึ้นในใจข้าพเจ้าเหมือนกันว่าทำไมเธอจึงใจร้อนนัก
	สักวันพี่จะให้คำตอบแล้วกัน  ข้าพเจ้ากล่าวก่อนขับรถออกมา มองกระจกหลังเห็นเธอยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นคล้ายกับว่าไม่พอใจในคำตอบ
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
 
	ขณะข้าพเจ้านั่งตรวจเอกสารที่โต๊ะทำงาน
	หัวหน้าครับมีจดหมายถึงหัวหน้า  ลูกน้องยื่นซองจดหมายให้
	ข้าพเจ้าฉีกซองอย่างดีใจ  เพราะมันเป็นจดหมายของพิมนั่นเอง 
	ข้าพเจ้ากวาดสายตาอ่านข้อความในจดหมายอย่างใจจดใจจ่อ  และแล้วข้าพเจ้าก็ร้องไชยโยอย่างลืมตัวจนสายตาทุกคู่ของลูกน้องจ้องมองมา 
	ข่าวดีอะไรหรือครับหัวหน้า
	ปะ...ปล่าวหรอก...ขอโทษที  ข้าพเจ้ารีบเดินออกจากห้องทำงาน ยืนพิงเสาอาคารยิ้มเหม่อมองต้นคูณที่เขียวขจีเป็นทิวแถว  จะขาดก็แต่เพียงดอกสีเหลืองเท่านั้นที่ยังไม่ถึงฤดูกาล
	จะไม่ให้ข้าพเจ้าดีใจยังไงเล่า ก็ในเมื่อพิมเขียนมาบอกว่าแฟนหนุ่มชาวญี่ปุ่นถูกแม่บังคับให้กลับไปแต่งงานกับหญิงสาวชาวแดนปลาดิบด้วยกัน เขาบินกลับไปโตเกียวหลายวันแล้ว พิมยอมรับว่าเสียใจมาก จะกลับบ้านในวันปีใหม่ที่จะถึงนี้ และที่สำคัญอยากพบข้าพเจ้า
	แฟนของใคร..มอเตอร์ไซค์ทำหล่น หน้ามนสวยสะดุดตา...
	ข้าพเจ้าฮำเพลงอยู่คนเดียวอย่างมีอารมณ์ พลางนับไม้นับมือระยะเวลาเหลือเดือนสองเดือนที่จะถึงวันปีใหม่	 
	เสียงรถเครื่องที่เลี้ยวเข้ามาจอดที่โรงรถใกล้ๆ ทำให้ข้าพเจ้าชะงักจากการฝันหวาน พอถอดหมวกกันน็อคออก
	หวัดดีค่ะพี่ยุทธ	
	อ้าว...น้องสุดาหวัดดีจ๊ะ    ไปไงมาไงล่ะนี่
	พอดีมาอบรมที่อำเภอค่ะ  แล้วตอนนี้ก็พักเที่ยงพอดี เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ข้าพเจ้ารู้ทันจึงเอ่ยปาก
	ไป...ถ้างั้นเราไปทานข้าวกัน   เธอยิ้มดีใจ
	ข้าพเจ้าพาเธอไปที่ร้านเดิมที่เคยพาพิมไปเมื่อปีที่แล้ว  
	น้องสุดาพี่อยากบอกกับน้องตรงๆ นะ  คือว่า...
	อ๋อ...พูดมาเลยค่ะกำลังรอฟัง  เธอกระตุ้นอย่างอยากรู้
	คือว่าพี่มีความรู้สึกที่ดีกับน้องสุดาเสมอๆ นะ แต่อย่างว่าพี่ไม่อยากให้ความหวังอะไร เอาเป็นว่าถ้าน้องสุดาจะตัดสินใจยังไงกับใครล่ะก็พิจารณาได้เลย  ใช่สิก็ข้าพเจ้ามีความหวังจากพิมนี่ เพราะนั่นคือความหวังใหม่ที่พึ่งจะได้รับ  สุดาก้มหน้าดูเศร้าๆ ไป ถามคำตอบคำ เธอเร่งให้ข้าพเจ้าพากลับอ้างว่าจะไปอบรมต่อภาคบ่าย  เธอยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับดวงตาที่มีน้ำเอ่อซึม  ทำให้อดสงสารเธอไม่ได้  แต่...จะทำไงได้ในเมื่อหัวใจมันปรารถนาเช่นนั้น
&&&&&&&&&&&&&&&&
	วันนี้อากาศช่างหนาวเหน็บจนสั่นสะท้าน มันเป็นวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2541 ข้าพเจ้าก้าวขึ้นรถด้วยหัวใจที่เบิกบาน 
	รถเคลื่อนไปข้างหน้า ดูๆ แล้วช่างเหมือนปีที่แล้วไม่มีผิด ดอกไม้ช่อใหญ่วางข้างๆ ความหวังตั้งใจเหมือนเดิม คือชวนพิมไปกินข้าวแล้วบอกรักพร้อมขอเธอแต่งงาน  คราวนี้คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว 
	รถจอดหน้าบ้านเธอ สักครู่เธอออกมาต้อนรับ   ใช่...จะต้องไม่เหมือนเดิมตรงที่ไม่มีไอ้ยุ่น
ออกมาด้วยอย่างแน่นอน  ข้าพเจ้ากระหยิ่มในใจ 
	หวัดดีค่ะพี่ยุทธ     ดูเธอผอมลงมาก และหมองๆ ไงชอบกล คงอกหักล่ะสิท่า  ไม่เป็นไรจะรักษาแผลใจให้   ข้าพเจ้าคิด 
	หวัดดีครับน้องพิม  ข้าพเจ้ายื่นดอกไม้ช่อใหญ่ให้  โอ...ช่างเหมือนปีที่แล้วจริงๆ ด้วย และต้องดีกว่าปีที่แล้วคือความสมหวัง ข้าพเจ้าหัวเราะร่าในอารมณ์
	เรานั่งคุยกันที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน  
	พี่กะว่าจะชวนน้องพิมไปทานข้าวร้านเดิมเราไงจ๊ะ
	ขอโทษด้วยนะคะพี่ยุทธ พิมไม่ค่อยสบาย เวียนหัวจะอาเจียน  ต้องขอตัวก่อนนะคะ  ข้าพเจ้าดูหน้าเธอแล้วคงไม่สบายจริงๆ 
	ไม่เป็นไรจ๊ะน้องพิม  ไปหาหมอหรือยังนี่  ข้าพเจ้าเป็นห่วง
	ไปแล้วค่ะ  
	หมอบอกว่าเป็นไร  เธอไม่ตอบ  ข้าพเจ้าสังเกตเห็นน้ำตาเธอเอ่อซึม  
	น้องพิมคงคิดถึงเขา  ข้าพเจ้าพูดอย่างน้อยใจ  พิมเงยขึ้นมองหน้าข้าพเจ้าก่อนก้มหน้าต่อ     
	งั้นพี่ไม่รบกวนน้องพิมล่ะนะพักผ่อนเถอะ  พรุ่งนี้พี่จะมาใหม่แล้วค่อยคุยกัน เธอพยักหน้าก่อนที่ข้าพเจ้าขับรถออกมาอย่างสับสน
	รุ่งขึ้นข้าพเจ้าไปหาเธอที่บ้านอีกครั้ง  ยังไงๆ วันนี้ก็ต้องพูดเรื่องรักเรื่องขอแต่งงานให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป  ข้าพเจ้าคิด  
	 พิมออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มระรื่นเบิกบานไม่เหมือนวันวาน
	หายดีแล้วเหรอน้องพิม ข้าพเจ้าถามอย่างดีใจเมื่อเห็นเธออารมณ์ดี
	แต่แล้ว...ให้ตายสิไอ้ยุ่นคนเดิมเดินตามเธอออกมา แล้วมันมาได้ไงนี่ ไหนเธอบอกว่ากลับไปแต่งงานที่ญี่ปุ่นแล้ว  
	อ๋อ...เขาตามพิมมาเมื่อคืนนี้ค่ะ  พิมอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าของข้าพเจ้างุนงง   
	เขาบอกว่าเคลียกับแม่เรียบร้อยแล้วค่ะ เราจะกลับไปอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยกัน ตอนนี้พิมกำลังมีเด็กได้สอง-สามเดือนแล้ว  ข้าพเจ้ายิ่งงุนงงเป็นสองเท่า  มันอะไรกันนี่ แล้วทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้  บัดซบ...จริงๆ  เลย  
	ข้าพเจ้าขอตัวออกจากที่นั่นโดย ไม่อ้างเหตุผลใดๆ อีกแล้ว ได้ยินแต่เพียงเสียงใสๆ ไล่หลัง
	ขอบคุณมากนะคะสำหรับความช่วยเหลือและสิ่งดีๆ ทุกสิ่งอย่าง โชคดีปีใหม่นะคะพี่ชายที่แสนดี 
	 และแล้วก็คิดขึ้นได้ว่ายังไงเสียเรายังมีอีกคน ใช่อย่างน้อยๆ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เสียใจเหมือนปีที่แล้ว  เรามีคนสำรองหัวใจ
	รถเลี้ยวไปตามถนนทางเข้าหมู่บ้าน แล้วจอดนิ่งหน้าบ้านสุดา ใช่วันนี้มีคำตอบให้อย่างไม่ลังเลอีกแล้ว และคิดว่าต้องเป็นข่าวดีสำหรับเธอแน่
	สวัสดีค่ะพี่ยุทธ  พอดีเลยค่ะกำลังจะไปหาที่บ้านเชียว  เธอออกมาต้อนรับ  คนนี่สิใช่เลย...ตัวจริงเสียงจริง  ข้าพเจ้ายิ้มอย่างอย่างมีความหวัง
	เหรอจ๊ะ  จะไปหาพี่เหรอ  มีอะไรด่วนล่ะนี่น้องสุดา  
	ข้าพเจ้ายิ้มอย่างดีใจ  แต่แล้ว...ก็ต้องหุบยิ้มลงพลันเมื่อเห็นซองสีชมพูยื่นมาให้
	ค่ะ...ว่าจะไปเชิญมาเป็นเกียรติในวันวิวาห์ของสุดาค่ะ  วันที่ 14  กุมภานี้ มางานสุดาให้ได้นะคะ
 
@@@@@@@@@@@@@@@				
comments powered by Disqus
  • ยายแม่มดจ้า

    10 พฤศจิกายน 2549 14:57 น. - comment id 93520

    อุ้ย....เรื่องสั้นเรื่องยาว นวนิยาย.....
    
    ปะปนหมดแล้ว  ขอยาดม  ยาอม  ยาหม่องเอามาเลย........36.gif
  • ป.ยุทธ

    10 พฤศจิกายน 2549 15:53 น. - comment id 93521

    บอกแล้วให้แยก  แต่ยายฯบอกว่าไม่ลายตานี่ป๋มเลยลงซะเลย   (ที่จริงแล้วมันคือเรื่องสั้นขนาดยาวนะเอง)
  • ทะเลไร้คลื่น

    23 พฤศจิกายน 2549 02:28 น. - comment id 93863

    46.gif..... อิอิ กินแห้วซะแระพี่เรา 46.gif
    
    โลเลจัง เลือกไม่ถูกนักนี่ จ๋มๆๆจ๋มน้ำหน้า 
    
    กิ๊วๆๆๆๆ46.gif74.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน