บันทึกรักนักดับเพลิง

ป.ยุทธ

บันทึกรักนักดับเพลิง บทที่ 1
ตอน พบรักในเปลวเพลิง
	1  เมษายน 2537
	ต้นคูนที่เรียงรายเป็นทิวแถวริมรั้ว และสองข้างถนนคอนกรีตทางเข้าสำนักงานเทศบาลออกดอกเหลืองอร่ามเป็นพวงย้อยเต็มกิ่งก้าน    
ลมร้อนพัดดอกพลิ้วไหวรับแสงตะวันที่กำลังลอยตัวสูงขึ้นสาดส่องกระทบดูพริ้งพราย ชวนสะกดใจให้ผู้มาเยือนให้หลงใหล  
	พื้นที่เทศบาลตำบลกระจุกตัวอยู่ในชุมชนที่ถูกเรียกว่าอำเภอที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไปนัก ถนนที่ทอดยาวผ่านหน้าสำนักงานนั้น สองฟากทางเต็มไปด้วยตึกและห้องแถวเรียงราย  บ้างเป็นอาคารปูน  บ้างเป็นไม้ตามแต่ฐานะของเจ้าของ แต่ละคูหาถูกตกแต่งเป็นกิจการร้านค้ามากเสียกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว
	ข้าพเจ้าขับรถกระบะคู่ชีพเลี้ยวไปตามถนนทางเข้าสำนักงาน พลางคิดถึงคำพูดของแม่ก่อนมา
	ลูกลาบวชให้แม่สักพรรษานะลูกนะ
	รอไปก่อนนะครับแม่ ให้งานผมนิ่งกว่านี้ก่อน ความจริงแล้วอยากจะบอกกับแม่ว่าให้น้องบวชแทนได้ไหม  หรือไม่ถ้าไม่ถนอมน้ำใจแม่ล่ะก็อยากพูดออกไปว่า เสียใจด้วยนะแม่
	รถถูกขับเคลื่อนไปอย่างเนิบช้า  ผ่านพุ่มพฤกษ์ดอกสีทองแต่ละต้น ใจไม่อยากให้ถึงที่หมายเร็วไป  เพราะอยากจะชมความเหลืองอร่ามของดอกไม้ให้เต็มตาก่อนที่จะเข้าไปตบเท้ารายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา   ของวันแรกที่ย้ายมารับตำแหน่งใหม่ ตำแหน่งที่ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น
	เมื่อออกจากห้องผู้บังคับบัญชาแล้ว ข้าพเจ้าตรงดิ่งไปที่หน่วยดับเพลิงที่อยู่ด้านหลังอาคารสำนักงาน   ไม่นานนักพนักงานดับเพลิงแต่ละคนเข้ามาไหว้ทักทายข้าพเจ้าในฐานะผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของพวกเขา
	ข้าพเจ้านั่งทบทวนและประเมินผลงานย้อนหลังที่ผ่านมานับแต่ย้ายมาใหม่   หากเป็นหน้าฝนพวกเราจะเบาใจ เพราะเหตุการณ์เกิดน้อยมากอันเนื่องจากสภาพความชื้น   แต่ถ้าถึงคราหน้าหนาวและหน้าร้อนเมื่อไหร่ล่ะก็ พวกเราจะไม่เป็นอันหลับอันนอน   ต้องคอยระแวดระวังรอรับแจ้งเหตุ  โดยเฉพาะเวรวิทยุ-โทรศัพท์จะต้องประจำตลอด 24 ชั่วโมง  ส่วนข้าพเจ้าไปไหนมาไหนจะไม่ยอมห่างวิทยุมือถือ พร้อม ว.ประสานงานกับเครือข่ายใหญ่ตลอด
	บ่อยครั้งที่ได้รับแจ้งเหตุ  พวกเราจะไม่รีรอรีบบึ่งรถดับเพลิงระงับเหตุ หลายต่อหลายครั้งที่ได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชา และชาวบ้านร้านตลาด  ที่สามารถระงับเหตุไฟไหม้ได้เร็วไวไม่ลุกลามใหญ่โต
	บางครั้งพวกเราเหน็ดเหนื่อยจากการดับไฟ โดยเฉพาะวันนั้นดับไฟที่ลุกลามจากป่ามาตามตอซังข้าวเข้าใกล้บ้านเรือน   ท่ามกลางแสงแดดอันแผดกล้าของเที่ยงวัน  ไม่มีถนนให้รถดับเพลิงเข้าไปฉีดน้ำใกล้ๆ   พวกเราต้องหักเอากิ่งไม้ที่มีใบหนาเข้าตบไฟ ทุกคนร้อนระอุจากแสงแดดระคนเปลวไฟ บางครั้งสำลักควัน แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และหิวกระหาย สักเพียงใด  พวกเราก็ยืนหยัดปกป้องอัคคีภัยให้ชาวประชา
	วันนั้นข้าพเจ้ายังจำเหตุการณ์ได้ดี เป็นวันที่ 9  มกราคม 2539 ขณะกำลังขับรถกลับจากทำธุระมุ่งหน้าไปตามถนนที่ทอดผ่านชุมชนตัวอำเภอในเวลาอันเย็นย่ำเพื่อกลับหน่วยดับเพลิง พลันสายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มควันที่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า เสียงร้องของผู้คนระเบ็งเซ็งแซ่ระคนตกใจฟังไม่ได้ศัพท์
	ไฟไหม้หรือครับ? ข้าพเจ้าร้องถามเมื่อจอดรถแล้วเดินไปหากลุ่มคน   ไม่มีคำตอบจากใคร  ข้าพเจ้าจึงแหงนมองไปตามพวกเขา
	โอ!!!ให้ตายสิ...หญิงสาวคนนั้นร้องขอความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนกบนอาคารชั้น 3 โดยมีเหล็กดัดคล้ายกรงขังที่หน้าต่างปิดกั้น เปลวไฟและกลุ่มควันพวยพุ่งแรงขึ้นทุกขณะ
ข้าพเจ้าไม่รอช้า ว.แจ้งไปยังลูกน้องผู้เข้าเวรประจำหน่วยดับเพลิงที่อยู่ห่างออกไปราวครึ่งกิโลเมตร
	ห้านาทีผ่านไปอย่างเนิบช้า เสียงหวออันโหยหวนของรถดับเพลิงดังแว่วมาแต่ไกล เวลานี้ผู้คนที่เรียกว่าไทยมุงเริ่มแน่นขนัด ข้าพเจ้าเป่านกหวีดให้ผู้คนหลีกทางให้รถผ่าน เมื่อรถดับเพลิงมาถึง ข้าพเจ้าให้สัญญาณมือให้รถกระเช้าดับเพลิงประชิดตัวตึก
	ไม่รอช้าข้าพเจ้ากระโดดขึ้นกระเช้าพร้อมส่งสัญญาณให้รถยกสูงสู่ที่หมายหญิงสาวที่ติดอยู่กับหน้าต่างเหล็กดัดนั้น
	น้อง...ถอยไป  ข้าพเจ้าร้องสั่ง ก่อนที่จะใช้ขวานเหล็กใหญ่สำหรับกู้ภัยฟันไปที่ลูกกรงเหล็กสองสามที แต่...ไม่มีทีท่าว่าลูกกรงเหล็กจะหักงอหรือพังทลาย ข้าพเจ้ามองหน้าเธอเวลานี้ เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าที่ขาวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวระคนตื่นตระหนก
	พลัน...กลุ่มควันจากเปลวไฟที่ถูกรถดับเพลิงคันอื่นระดมฉีดเข้าไปก็พวยพุ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง เธอกำลังสำลักควัน...
	หมอบลง ข้าพเจ้าร้องบอกตามหลักวิชาการที่ฝึกอบรมมา ว่ากลุ่มควันจะมีความบางเบาลอยตัว หากหมอบแนบพื้นจะพอมีอากาศหายใจ  เธอปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย  ก่อนที่ข้าพเจ้าจับเอาหัวฉีดน้ำประจำกระเช้าฉีดเข้าไปในห้องเพื่อไล่กลุ่มควันนั้นเป็นการบรรเทา
	สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยาน...ข้าพเจ้านึกในใจก่อนกระหน่ำฟันขวานลงบนเหล็กดัดหลายต่อหลายครั้งอย่างนับไม่ถ้วน  เวลานั้นดูเหมือนว่าข้าพเจ้าไม่เหน็ด ไม่เหนื่อย คล้ายกับว่ามีพลังฮึดขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์
	นานเท่าไหร่ไม่รู้-รู้เพียงว่าเหล็กดัดนั้นหักสะบั้น และพังทลายลง ข้าพเจ้าร้องเรียกหาเธอ-เธอยืนขึ้นยื่นมือมา ไม่รอช้าข้าพเจ้าคว้าข้อมือเธอดึงขึ้นกระเช้า ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและปรบมือของบรรดาไทยมุงอย่างดีใจ และโล่งอก  เธอกอดข้าพเจ้าไว้แน่นอย่างหวาดกลัวความสูงระคนดีใจ
	หลังจากกระเช้าลงพื้นเธอวิ่งไปสวมกอดและร่ำไห้กับบรรดาญาติพี่น้อง  ที่ยืนรอ จนลืมแม้กระทั่งจะขอบคุณข้าพเจ้า  แต่ช่างเถอะข้าพเจ้าไม่ได้น้อยใจหรือตำหนิเธอแม้สักนิด
	ค่ำคืนนั้นรถดับเพลิงเร่งฉีดสกัดกั้นการลุกลามของเปลวไฟ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเพราะมันได้ลุกลามไปหลายคูหา  ผู้บังคับบัญชาสั่งขอรับการสนับสนุนรถดับเพลิงทั่วทั้งจังหวัดมาระดมฉีด 
	เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเพลิงจึงอยู่ในวงจำกัด  คงเหลือเพียงกลุ่มควันและเปลวไฟ ที่แดงฉานอยู่ไม่มากนัก  พวกเราเข้าเคลียพื้นที่โดยการกู้ซากถ่านที่ยังมีแสงไฟเพื่อให้ดับสนิท
	ผู้บังคับบัญชาสั่งกางเต็นท์เป็นศูนย์อำนวยการชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย  และให้พวกเราเฝ้าระวังดูแลความเรียบร้อย
	ภายในเต็นท์เต็มไปด้วยเหยื่อเพลิงที่ร่ำไห้โหยหวนกับความสูญเสียอันใหญ่หลวงในชีวิต   ภาพเบื้องหน้าสิบกว่าคูหาที่มอดไหม้  ยังคงเหลือเพียงต้นเสาที่โด่เด่อย่างทระนง   ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ากับความล้มเหลวในการฉีดสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามออกไปในครั้งนี้  แม้ว่าหลายต่อหลายคนจะบอกว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย และทำดีที่สุดแล้วก็ตาม
	ไหน...ไหน...ไอ้หัวหน้าดับเพลิงมันอยู่ไหน ดับกันยังไงวะถึงเอาไม่อยู่จนซิบหายหมดอย่างงี้ เสียงเอะอะของชายวัยกลางเดินปรี่เข้ามาประชิดตัว  แล้วปล่อยหมัดกระแทกปากข้าพเจ้าจนเซถลาล้ม ลูกน้องกรูกันเข้าจับตัวเขาไว้
	ปล่อยเขาเถอะ ข้าพเจ้าลุกขึ้นบอก พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลจากมุมปาก
	ส่งตำรวจดีไหมครับหัวหน้า ลูกน้องยังจับตัวชายคนนั้นไว้แน่น
	ไม่ต้อง...เขาสูญเสียมากพอแล้ว  เป็นผมอาจทำเหมือนเขาก็ได้...ปล่อยเขา ข้าพเจ้ากระชากเสียง
	ลูกน้องปล่อยตัวเขา-เขาคุกเข่าลงกอดขาข้าพเจ้าแล้วร่ำไห้เหมือนเด็กๆ ปากพร่ำบ่นถึงความสูญเสียสิ้นเนื้อประดาตัว
	หนึ่งสัปดาห์ผ่านมาขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเคร่งเครียดกับกองเอกสาร
	หัวหน้าครับมีแขกมาขอพบ ลูกน้องมารายงาน ข้าพเจ้าพยักหน้าให้เข้ามา
	สวัสดีค่ะ เธอนั่นเอง ข้าพเจ้าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกรีบเชื้อเชิญให้นั่ง พลางมองดวงหน้าใสๆ  จิ้มลิ้มที่รับกับเส้นผมที่ยาวสลวยนั้น เล่นเอาจังงังเหมือนถูกมนต์สะกดไปชั่วครู่
	พิมมาขอบคุณที่ช่วยชีวิตวันนั้นค่ะ เธอส่งยิ้มหวาน
	ไม่เป็นไรครับ...เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว น้ำเสียงข้าพเจ้าประหม่า
	งั้นเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ พิมขอเลี้ยงข้าวเที่ยงคุณหัวหน้าดับเพลิงนะคะ หัวใจข้าพเจ้าพองโต ดีใจราวถูกหวย
	เรียกผมยุทธก็ได้ครับ
	ค่ะพี่ยุทธ เสียงหวานใสเล่นเอาหัวใจแทบหยุดเต้น
	เธอก้าวขึ้นรถที่ข้าพเจ้าเปิดประตูรอ  ที่หมายคือร้านอาหารเรือนแพริมฝั่งแม่น้ำ
	ขอบคุณพี่ยุทธอีกครั้งนะคะที่ช่วยชีวิตพิม เธอย้ำขณะทานข้าว
	ข้าพเจ้ายอมรับว่ามีความสุขมาก จากความอ้างว้างไม่เคยมีเพื่อนต่างเพศ บัดนี้เริ่มก่อตัวในใจให้ยอมรับว่านี่หรือคือรักแรก- รักแรกพบ เราคุยกันสนุกถูกคอ
	เธอเล่าให้ฟังหลังจากที่ข้าพเจ้าช่วยเธอลงมา เธอวิ่งไปหาพ่อแม่  ดีใจจนลืมขอบคุณข้าพเจ้า  โชคยังดีบ้านมีประกันภัยจึงไม่เดือดร้อนนัก  เวลานี้เธอกับครอบครัวไปซื้อบ้านจัดสรรหลังใหม่แล้ว
	ก่อนจากกันหลังจากอาหารเที่ยงวันนั้น เธอถือโอกาสบอกลาข้าพเจ้า
	พิมตัดสินใจไปทำงานบัญชีกับพี่สาวที่โรงงานทางภาคตะวันออกอาทิตย์หน้าค่ะ 
	อ้าวเหรอ...โอ..ผมคงคิดถึงพิมน่าดู
	คิดถึงก็เขียนจดหมายหรือไม่ก็โทรหาได้นี่คะ
	ครับ... ข้าพเจ้าเสียงอ่อยๆ
	ระหว่างที่เธอรอวันเดินทาง ข้าพเจ้าแวะเวียนไปหาเธอที่บ้านแทบทุกวัน
	รถทัวร์เคลื่อนออกจากสถานี บขส. ข้าพเจ้าเห็นเพียงมือทีเรียวงามนั้นโบกลาในกระจกรถภาพนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา... โลกแห่งความเหงาเข้าครอบงำข้าพเจ้าเสียแล้ว
	ไม่ถึงสิบวันจดหมายของเธอก็ส่งมาถึงมือ  ข้าพเจ้าดีใจรีบเปิดซองด้วยมือที่สั่นระริก เธอบอกว่าปีหนึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านได้เฉพาะในช่วงปีใหม่   เธอส่งรูปมาให้ดูต่างหน้า และเล่าถึงหน้าที่การงานของเธอที่โรงงานนั้น โรงงานอันเป็นธุรกิจของชาวญี่ปุ่น สิ่งสำคัญที่ข้าพเจ้าอดดีใจไม่ได้อีก นั่นคือเบอร์โทรศัพท์ที่เธอให้มา อ่านจบข้าพเจ้าหยิบรูปเธอขึ้นมาจุมพิต 
	ข้าพเจ้าไม่รีรอที่จะตอบจดหมาย และโทรศัพท์ทางไกลไปหาเธอ แม้ว่าค่าโทรจะหลายร้อยบาทก็ตามที  จากนั้นมาสัปดาห์ละครั้งที่ข้าพเจ้าโทรไป    หลายต่อหลายสัปดาห์ และนานหลายต่อหลายเดือน  จนข้าพเจ้ากล้าพูดกับตัวเองว่ารักเธอเข้าเต็มเปาเสียแล้ว
	ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง ข้าพเจ้ามุ่งหน้าไปหาเธอที่บ้านอย่างไม่ลังเลใจ ใช่...มันเป็นวันที่  1 มกราคม 2540 ในวันนั้น ความหวังตั้งใจว่าจะชวนเธอไปทานข้าว แล้วหาโอกาสเหมาะๆ บอกรักเธอ ขอเธอแต่งงาน  เพราะข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะมีครอบครัวกับเขาเสียที  ไม่ขอบวชให้แม่แล้ว
	ข้าพเจ้าชะลอรถช้าๆ หน้าบ้านเธอ  หัวใจเต้นแรงอย่างประหม่า  เมื่อรถจอดสนิทไม่ลืมที่จะหยิบเอาดอกไม้ช่อใหญ่ที่ซื้อมา พลางขยับเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เข้ารูปอย่างมั่นใจ
	สวัสดีค่ะพี่ยุทธ... เธอออกจากบ้านมาต้อนรับ
	สวัสดีครับน้องพิม ผมยื่นดอกไม้ให้ เธอรับเอาพลางกล่าวขอบคุณ  สักครู่ชายตัวสูงขาว หน้าตาตี๋เดินตามเธอออกมา เธอหันไปพูดกับชายคนนั้นด้วยภาษาที่ข้าพเจ้าฟังไม่รู้เรื่อง
	พี่ยุทธคะนี่คุณยาซากิ คู่หมั้นพิมค่ะ เราจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ แล้วไปอยู่ที่ญี่ปุ่น  เดี๋ยวการ์ดเชิญตามไปนะคะ
	ราวฟ้าผ่าลงกลางใจจนหักสะบั้น  ข้าพเจ้าตัดสินใจไปจากที่นั่น โดยอ้างว่าลูกน้อง ว. มาแจ้งว่ามีราชการด่วน น้ำตาของลูกผู้ชายอกสามศอก ชายผู้ได้ชื่อว่าฮีโร่อย่างข้าพเจ้ามันไม่เคยไหลออกมาง่ายๆ   แต่...ครานี้มันเอ่อซึมที่เบ้าตาได้อย่างไร ก้อนบางอย่างมากระจุกที่ลำคอ  หลังมือถูกยกขึ้นมาเช็ดที่ดวงตาขณะรถเคลื่อนออกไปอย่างไร้ที่หมายไปชั่วขณะ พลางนึกสมน้ำหน้าตัวเองที่แอบรักเธอข้างเดียว...
	อ้าว...ลูกกลับเร็วจังวันนี้  ไหนบอกว่าไปหาเพื่อนกลับค่ำๆ ล่ะ แม่ทักขณะข้าพเจ้าเดินลงจากรถ
	แม่ครับ...ผมจะบวชให้แม่เร็วๆ นี้  เตรียมงานไว้เลย พูดจบข้าพเจ้าเดินเข้าห้องอย่างซึมเศร้า ได้ยินแต่เสียงแม่ที่พูดด้วยความปลาบปลื้มมากระทบหู
	ในที่สุดเวลาที่แม่รอคอยก็มาถึง แม่ดีที่สุดในโลกเลยลูก...
					@@@@@@@@@@@@@@@@				
comments powered by Disqus
  • ยายแม่มด

    10 พฤศจิกายน 2549 07:22 น. - comment id 93509

    ตาไม่ลายค่ะ  แวะมาอ่านค่ะ อ่านทั้งหมดบางทีก้อไม่คิดเห็นแอบอ่านมั้ง
    
    ....................36.gif........................
  • ป.ยุทธ

    10 พฤศจิกายน 2549 09:17 น. - comment id 93510

    แนะ เหน็บแนมซะด้วย  ยายแม่มดมหาเสน่ห์  งัยก็ขอบคุณนะที่อุดส่ามาอ่าน  61.gif
  • ทะเลไร้คลื่น

    23 พฤศจิกายน 2549 02:32 น. - comment id 93864

    แวะอ่าน อ่านแล้วก็นั่งอมยิ้มทุกที
    
    เป็นคนที่มีจินตนาการเพ้อฝันดี
    
    อิอิ เหมือนกันแหละ ชอบคิดเพ้อฝัน
    
    ....เพ้อฝันได้ แต่อย่าเพ้อเจ้อ....46.gif74.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน